ธรรมมะลึกลับ4 ภาค1


คำว่า ธรรมะ, พระธรรม, สัจธรรม
มีความหมายใกล้เคียงกันมากแต่ต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อยกล่าวคือ คำว่า ธรรมะ นั้นเป็นคำกว้างๆ กลางๆ ใช้หมายรวมครอบคลุมได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมะในภาคส่วนไหน จึงแบ่งออกได้เป็น
๑. สมมุติธรรม คือ ธรรมอันไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไป อันนำบุคคลผู้ไม่รู้ไปสู่ความลุ่มหลง
๒. วิมุติธรรม คือ ธรรมแท้ อันนำบุคคลผู้รู้แจ้งไปสู่ความหลุดพ้น นำไปสู่นิพพาน
ส่วนคำว่า "ธรรมชาติ" นั้น ก็เป็นคำกว้างรองลงมาบ่งบอกถึงสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนั้นเอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างหรือปั้นแต่งขึ้น ดังนั้น บางสิ่งจึงไม่เรียกว่าเ็ป็นธรรมชาติ เช่น การสร้างทำ, ปั้นแต่งสิ่งของต่างๆ ของมนุษย์ เรามักจะไม่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ
ส่วนคำว่า "ธรรมดา" นั้นเป็นคำกว้างรองลงมาอีกเช่นกันใช้หมายถึง ลักษณะของสิ่งที่เป็นไปตามปกติ ดังนั้น จึงมีคำว่า "ไม่ธรรมดา" เกิดขึ้น หมายถึง ธรรมะในภาคส่วนที่เกิดน้อยหรือเกิดไม่บ่อย เราจึงมักเีรียกว่า "ไม่ธรรมดา"
ส่วนคำว่า "สัจธรรม" นั้น มุ่งเน้นหมายความแคบลงอีกเช่นกัน ใช้หมายถึง "หลักการแก่นแท้" ของสรรพสิ่ง ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นเปลือก ไม่จริงแท้ จึงไม่ได้หมายรวมอยู่ใน "สัจธรรม" เช่น ความคิดมิจฉาทิฐิผิดไปจากความจริง ย่อมไม่ถูกนับเป็นสัจธรรม
นอกจากนี้ ยังมีคำว่า "ธรรมะ" ที่ใช้ในความหมายแคบด้วย เช่น ใช้หมายถึงภาคฝ่ายให้คุณ, ฝ่ายดี, ฝ่ายสัมมาทิฐิ เราเรียกว่า "ฝ่ายธรรมะ" แต่ภาคฝ่ายที่ตรงข้าม จะถูกเรียกว่า "ฝ่ายอธรรม" หรือ ธรรมะฝ่ายที่ให้โทษแก่มวลมนุษย์ เ้ป็นต้น

สุดท้าย คำว่า "พระธรรม" นั้น ใช้ในความหมายแคบอีกเช่นกัน หมายถึง "ธรรมะที่ตรัสรู้และแสดง" โดยพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั่นเอง ซึ่งพระธรรมนี้ มีลักษณะเป็น "ส่วนหนึ่ง" ของ ธรรมะ อันไม่รวม "ธรรมะที่เกิดจากการปรุงแต่งของผู้อื่น" เช่น คนที่โกหกไปเรื่อย คำโกหกของเขาไม่อาจรวมอยู่ในพระัธรรมได้ แต่พระธรรมก็ได้กล่าวถึงการโกหกของเขาว่า "มุสา" นั่นเอง
อนึ่ง พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีลักษณะอันสอดคล้องกับ สัจธรรม, ฝ่ายธรรมะ, ธรรมชาติ เป็นต้น แต่ก็ไม่นับว่าเ้ป็นสิ่งเดียวกันเสียทีเดียว (ใช้ในความหมายต่างกันเล็กน้อย หรือมองในมุมที่ต่างกัน) ดังนั้น จึงอาจมีผู้ที่เข้าถึง "สัจธรรม" ได้มากมาย ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ก็มีได้ เป็นได้ แต่สัจธรรมนั้น อาจไม่ได้มุ่งตรงสู่นิพพานก็ได้ เป็นเพียงสัจธรรมความจริงในบางแง่ บางมุม ที่แต่ละคนอาจมองเห็นในมุมที่ต่างกันไป
นอกจากนี้ พระธรรม ยังประกอบด้วยส่วนที่เป็น "สัจธรรม" หรือความจริงแบบแก่นแท้ และส่วนที่ไม่ใช่สัจธรรม แต่ก็เป็นพระธรรมเหมือนกัน เช่น ศีล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีมาก่อน แต่พระพุทธองค์ทรงตราไว้ในภายหลัง เพื่อใช้ในการเตือนสติพระสาวก ให้เห็น "ความเป็นปกติ, ธรรมดา ของพระอรหันต์ทั้งหลาย" อนึ่ง
พระธรรมในส่วนที่ไม่ใช่สัจธรรมนี้ จะกล่าวว่าไม่ใช่ความจริงแท้ ก็ไม่ได้ เพียงแต่ไม่ใช่ "ความจริงในส่วนแก่นแท้" ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น การใช้คำว่า ธรรมะ, สัจธรรม, ธรรมดา, ธรรมชาติ ประกอบกับ "พระธรรม" ในพระพุทธศาสนานั้น ก็อาจเพื่ออธิบายและอาศัยความสอดคล้องต้องกันของสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ ตรงต่อ "พระธรรม" ของพระพุทธเจ้า ก็เท่านั้นเอง (ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสียทีเดียว แต่ก็สอดคล้องกัน) เช่น การที่พระพุทธเจ้าสอนให้พระสาวกบางรูป เพ่งกสิณ "ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ" ก็เพ่งจาก "ธรรมชาติ" นั่นเอง ในขณะที่ "พระธรรมหมวดธาตุสี่" อันประกอบด้วย ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ อาศัยฟังจากพระวัจนะก็ได้ ไม่้ต้องเพ่ง

พระสงฆ์ ภิกษุ สาวก
สามคำนี้ มีความหมายต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือ
พระสงฆ์ นั้นใช้หมายถึง ผู้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา
ส่วนคำว่า พระสาวก นั้น หมายรวมถึงทั้งผู้ที่บวชและไม่บวช หากน้อมเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ก็นับเป็นพระสาวกได้ ดังนั้น พระสาวกจึงมีทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาส
ส่วนคำว่า "ภิกษุ" นั้น หากแปลตามตำราไทย ท่านให้ไว้ว่า "ผู้ขอ" จึงมีความหมายทับซ้อนกับคำว่า "ขอทาน" เพราะขอทานก็เป็นผู้ขอเหมือนกัน
ในที่นี้ ผมจึงขออนุญาตให้คำจำกัดความคำว่า "ภิกษุ" ใหม่้ ว่าหมายถึง "ผู้รับ" อันจะต่างจาก "ขอทาน" เพราะไม่ใช่ผู้ขอ ไม่ได้กระทำกรรมด้วยการขอ แต่อยู่เฉยๆ หรือทำกิจของตนไป โดยไม่ได้มีเจตนากระทำกรรมด้วยการขออะไรจากใคร แต่พร้อมแล้วที่จะรับ ถ้ามีผู้ใดพร้อมที่จะให้ ก็รับได้ นี่จึงต่างจาก "ขอทาน"
ดังนี้ หากภิกษุไปเดินเรี่ยไร ทำกรรมด้วยการขอ ร้องขอ บอกกล่าวให้คนมาทำบุญกับตน ก็นับว่าไม่ใช่กิจของภิกษุแต่หากภิกษุนั้นอยู่เฉยๆ แล้วมีผู้กระทำให้แทนโดยตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อมีผู้ให้ ภิกษุก็รับไป อย่างนี้ นับว่าเป็นกิจของภิกษุผู้รับ ไม่ใช่ผู้ขอ
นอกจากนี้ ยังมีัคำที่เกี่ยวข้อง เช่น คำว่า "สมมุติสงฆ์" อันหมายถึง ผู้ที่ถือบวชเป็นพระสงฆ์โดยสมมุติในทางพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้เป็นพระสงฆ์แท้ ซึ่งมีได้ทั่วไปในประเทศไทย เช่น พระสงฆ์ที่ได้จากการบวชโดยประเพณี เป็นที่ยอมรับกันในประเทศไทย ตามประเพณีไทย แม้ว่าไม่ตรงกับธรรมวิันัย ผิดธรรมวินัย ก็นับว่าสำเร็จเป็น "สมมุติสงฆ์" ได้เช่นกัน แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น "พระสงฆ์แท้" เท่านั้นเอง
อาทิเช่น การบวชของพระภิกษุณี ในไทยนั้น ทางคณะสงฆ์ไม่ยอมรับ เนื่องจาก "สายภิกษุณีขาดสิ้นไปแล้ว" การบวชนี้ กลับได้รับการยอมรับจากสังคมไทย สามารถบิณฑบาตรแล้วมีผู้คนอนุเคราะห์ให้ ก็นับว่าเป็น "สมมุติสงฆ์" เช่นกัน เมื่อได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว จุติขึ้นสวรรค์ ก็สามารถ "ต่อสายธรรมบนสวรรค์" อันเป็นสายธรรมที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงโปรดไว้เมื่อครั้งเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ (และเทวดาเหล่านั้นมีอายุมากกว่ามนุษย์มากเป็นพันปีทิพย์ หลายท่านบรรลุอรหันตผลจึงยังดำรงอยู่เพื่อรอต่อสายธรรมให้ได้) เมื่อต่อสายธรรมเช่นนี้แล้ว จึงนับว่าเป็น "พระสงฆ์แท้" โดยสมบูรณ์ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีคำว่า "อรหันตสาวก" อีกด้วย ใช้หมายถึง พระสาวกที่ได้อรหันตผล สามารถเผยแพร่ธรรมในพระพุทธศาสนาได้ตรงนิพพาน จึงสามารถต่อสายธรรมสืบทอดพระพุทธศาสนาได้
อนึ่ง พึงเข้าใจด้วยว่า "สายธรรม" ก็อย่างหนึ่ง จำต้องสืบทอดต่อจากผู้มีธรรมจริง
"สายพระสงฆ์" ก็อย่างหนึ่ง จำต้องต่อจาก "พระสงฆ์ที่ได้บวชอย่างถูกพระธรรมวินัยจริงๆ"
ดังนั้น ผู้ต่อสายพระสงฆ์แต่ไม่ได้ต่อสายธรรม ก็ยังเป็นพระสงฆ์ได้ แม้ว่าไม่ได้มีธรรมแท้จริง
ในขณะที่ผู้มีธรรม เช่น ฆราวาสที่บรรลุอรหันตผล อาจไม่ได้ต่อสายพระก็ได้ ก็ยังนับว่ามีธรรมเช่นเดิม ซึ่งตามนัยของพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า "หากฆราวาสบรรลุธรรม ไม่ได้บวช จะละสังขารภายใน ๗ วัน" แล้วจึงได้ถึงซึ่งพระนิพพานไป นับว่า "จบกิจ" จบพรหมจรรย์ จบชาติ จบภพ โดยสมบูรณ์ ดังนี้แลฯ ...

โลกธาตุ
ในจักรวาลมีดวงดาวมากมาย ในจำนวนดาวมากมายเหล่านี้ มีทั้งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ ในจำนวนนี้ ยังมีดาวที่เรียกว่า "โลกธาตุ" คือ ดาวมี "รูปธรรมชีวิต" ดำรงอยู่ ในรูปแบบที่ต่างกันไป ทั้งที่มีวัตถุสสารประกอบเป็นสังขาร และที่ไม่มีวัตถุสสารประกอบเป็นสังขาร มีเพียงพลังงานละเอียด, พลังชีวิต ประกอบเป็นวิญญาณขันธ์ก็มี
ดาวดวงไหนไม่มีรูปธรรมชีวิตดำรงอยู่ ไม่เรียกว่า "โลกธาตุ" ดาวดวงไหนมีรูปธรรมชีวิตดำรงอยู่ จึงเรียกว่า "โลกธาตุ"
ในบรรดาโลกธาตุทั้งหลาย มีทั้งโลกธาตุที่มี "พุทธะ" ดำรงอยู่ หรือเป็นแดนเกิดของ "พุทธะ" จำนวนมาก เรียกว่า "พุทธเกษตรโลกธาตุ" หรือ "พุทธเกษตร" เฉยๆ ก็ได้ เช่น สุขาวดีพุทธเกษตร, อภิรตีพุทธเกษตร, พหุสคันโธพุทธเกษตร ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งในพุทธเกษตรเหล่านี้จะมีพุทธะดำรงอยู่ตลอด ไม่มีที่สิ้นสุด ดังแสงธรรมไร้ประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุดฉะนั้น
โลกธาตุที่เหลืออื่นๆ นอกนั้น อาจมีหรือไม่มีพระพุทธะ ไปเกิด, ไปตรัสรู้, ไปปรินิพพาน "ในบางวาระ" เป็นครั้งคราวไป ดังนั้น บางโลกธาตุจึงมี "ช่วงที่ว่างจากพุทธะ" ช่วงนั้น โลกธาตุันั้นก็เหมือน "ดับมืดลง" เรียกว่า "ยุคมืด" จนเมื่อมีพระพุทธะมาเกิด, มาตรัสรู้แล้ว พระองค์แรก โลกธาตุนั้นจึงพ้นจาก "ยุคมืด" ได้ จากนั้น จึงเกิดมีพุทธะองค์อื่นๆ สืบต่อเนื่อง ตามๆ กันมา พระุพุทธะพระองค์แรกที่ตรัสรู้ จึงถูกเรียกว่า "พระพุทธเจ้า" หรือเจ้าแห่งพุทธะ เป็นดั่งเจ้าเหนือพุทธะองค์อื่นๆ ทั้งมวล เป็นผู้นำสูงสุดเีพียงหนึ่งเดียวในหมู่พุทธะเหล่านั้น




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2556    
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 0:06:32 น.
Counter : 1585 Pageviews.  

ธรรมลึกลับ3 ภาค1

-พี่สาวส่งเอกสารมาทางอีเมล์ครับ

Mouth Buddha1
พุทธวัจนะภาษา
คือ ภาษามคธ มิใช่ภาษาของชาวมคธ แต่เป็นภาษาดั้งเดิมของปวงสัตว์ ที่สื่อสารกันได้ทั้งหมด ไม่มีแบ่งแยก ทั้งคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ล้วนสื่อสารกันได้ด้วยภาษานี้ ไม่มีตัวอักษร กำ้เนิดก่อนเทพอักษรจะประดิษฐ์ตัวอักษรใดๆ เป็น "ภาษาจิต" เป็นภาษากลาง, เป็นภาษาสากล ที่ทุกสรรพชีวิต เข้าใจเท่าเทียมกัน หลังความเสื่อมเกิดขึ้นบนโลกแล้ว สรรพชีวิตไม่อาจเข้าใจกันได้ เทพอักษรจึงลงมา สร้าง "ตัวอักษร" ขึ้นภายหลัง แต่พราหมณ์ได้บันทึกประวัติไว้ ทำให้กษัตริย์แคว้นมคธใช้คำว่า ภาษามคธ กับอักษรของตน แต่นั่น หาใช่ "ภาษามคธ" (ภาษาจิต) แต่ดั้งเดิมไม่
อนึ่ง พระพุทธองค์ทรงใช้ "ภาษามคธ" นี้ จึงสื่อสารกับคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ได้ทั้งหมด ทว่า เพราะมนุษย์โลกเสื่อมลงไปมากแล้ว ท่านจึงยังจำเป็นต้องใช้ "ภาษาที่เกิดจากเทพอักษร" มีตัวอักษร,
เสียง, รูป ปรุงแต่ง เพื่อสื่อสารไปเช่นนั้นเอง
ดังนั้น ภาษา, ถ้อยคำ, เสียง ฯลฯ ทั้งหลาย ล้วนไม่มีสาระ หากไม่เข้าถึงภาษามคธนี้ (ภาษาจิต) ในทางเซนเรียกภาษานี้ว่า "จิตสู่จิต" คือ การสื่อสารจากจิตถึงจิตโดยตรงเหนือกว่าคำพูดใดๆ
อนึ่ง บุคคลจะบรรลุธรรมได้ด้วย "ภาษามคธ" นี้เท่านั้น หาไม่แล้ว ย่อมหลงกล ติดบ่วงแห่งเทพอักษร หลงตัวอักษรและภาษาต่างๆ มิอาจเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง (ด้วยอักษรภาษามีขีดจำกัดในการอธิบายธรรม)
ดังนี้ จึงมีคำกล่าวว่า "ธรรมะที่อธิบายได้ ไม่ใช่ธรรมแท้" แต่กระนั้นการอธิบายก็ยังจำเป็น เพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ที่ มีจิตใจหยาบ เสื่อมลง ไม่อาจเข้าใจในภาษามคธได้ แต่มิใช่เพื่อการบรรลุธรรมที่แท้จริงเลย ...
พระอรหันต์กับนิพพาน
เป็นคนละสิ่งกัน อรหันต์คืออรหันต์, นิพพานคือนิพพาน ทว่า สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันมาก
กล่าวคือ บุคคลถึงซึ่งนิพพานได้ จำต้องผ่านการบรรลุอรหันต์มาก่อน
แต่บุคคลที่บรรลุอรหันต์นั้น ไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป
คำว่า "อรหันต์" นั้น เป็นผลมาจากการสร้างเหตุให้เกิดเป็น ให้ได้เป็น
เหตุแห่งการได้เป็นอรหันต์ ก็คือ การบรรลุธรรม
เมื่อบรรลุธรรมแล้วอาจจะนิพพานในชาตินั้นเลย หรือยังไม่รีบนิพพานก็ได้
การที่อรหันต์เป็นผลจากการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรม บรรลุธรรมเป็นเหตุ จึงมีอรหันตผล เป็นผลนั้นเอง
"อรหันต์" จึงเป็นธรรมในปฏิจสมุปบาท อันอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิด
เป็น "รูปนาม" อย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นสิ่งที่ "ไม่ได้มีอยู่ก่อน" เหมือนการให้ปริญญาคนที่เรียนจบแล้ว นั่นแล
ผู้ที่มีปัญญาแจ้งถึงนิพพาน ก็นับว่า "อรหันต์" เท่านั้นเอง

ทว่า "นิพพาน" เป็นธรรมอันหลุดพ้นแล้วจากเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งมวล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดจากเหตุใดๆ และไม่ใช่ผลของเหตุใดๆ จึงไม่ได้เกิดจากการเกิดหรือดับของเหตุปัจจัยใดๆ จึงพ้นแล้วจากเหตุปัจจัย พ้นแล้วจากปฏิจสมุปบาท พ้นแล้วจากการเกิดดับกล่าวได้ว่านิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ปัจจัย เป็นเช่นนั้นเอง เหนือกาลเวลา ไม่จำกัดกาล แม้ในอดีตก็เป็นเช่นนี้, ปัจจุบัน ก็เป็นเช่นนี้, อนาคตก็เป็นเช่นนี้ มิใช่ เพิ่งมามี มาเกิด มาเป็น ก็เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือสร้างให้นิพพานมีขึ้น เกิดขึ้น เพราะผลแห่งการอรหันต์ ก็หาไม่ อุปมาเหมือน ธรรมชาติหนึ่ง บัณฑิตผู้รู้แจ้งในธรรมชาตินี้ เรียกว่า "อรหันต์" ซึ่งอรหันต์นี้เกิดภายหลังธรรมชาตินี้ ทว่า ธรรมชาตินี้่ ไม่ขึ้นแก่กาล เป็นเช่นนี้มานานและตลอดไป ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต นั่นเอง แต่มิอาจกล่าวได้ว่า "นิพพานมีอยู่ เกิดอยู่ หรือดำรงอยู่ ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคต" ด้วยเพราะนิพพานไม่ขึ้นกับกาล ไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ หรือดับไป จะว่ามีอยู่, เกิดอยู่ หรือดับไปในกาลใดๆ ก็หาได้ไม่? จึงไม่อาจกล่าวว่าเที่ยง หรือจีรัง หรืออมตะ ด้วยเพราะไม่ใช่ธรรมอันเกิดขึ้น, ดำรงอยู่ หรือไม่ดับไป ในกาลใดๆ จึงพ้นแล้วทั้งปวง

ดังนั้น "พระิอรหันต์" จึงไม่เที่ยง ด้วยเพราะเป็นเพียง "รูปนามหนึ่ง" ในปฏิจสมุปบาท มิใช่ธรรมอันพ้นแล้วจากการเกิดดับ ยังเกิดและดับได้อยู่ ดังนี้ จึงอาจนิพพานในชาตินั้นๆ เลยก็ได้ (ด้วยรู้แจ้งในนิพพานแล้ว) หรืออาจยังไม่รีบนิพพานก็ได้เช่นกัน ในกรณีที่รีบนิพพานในชาตินั้นๆ เลย จำต้องอาศัย "ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องเตือนสติ ด้วยปัญญาของพระอรหันตสาวก ไม่อาจทราบทุกอย่าง แต่พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูญาณ ทราบทุกอย่าง จึงคอยบอกหรือเตือนสติพระสาวกได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จึงจำต้องเดินตามพระพุทธเจ้า ไม่อาจขาดซึ่งพระพุทธ, พระธรรมวินัย และความเป็น "อรหันตสาวก" ได้เลย จำต้องครบองค์รัตนตรัยทั้งสามส่วนดังนี้ฯ จักถือเอาว่าได้เพียงพระธรรมมาแล้วศึกษาเองก็บรรลุได้ ทำความเข้าใจด้วยการอ่านก็บรรลุได้ (สุตมยปัญญา) ไม่มีพระวินัย, ไม่ตรงต่อพระพุทธเจ้าก็นิพพานได้ นั้น เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะยุคนี้ ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะนิพพานได้ด้วยตนเองแล ...

พระพุทธเจ้า
คือ ผู้รู้, ผู้ตื่น, ผู้เบิกบานเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยชอบเป็น "พระองค์แรก" ในยุคนั้นๆ หมายความว่าก่อนหน้านั้น ไม่มีผู้บรรลุธรรมอยู่เป็นมนุษย์บนโลก หรือผู้บรรลุธรรมคนสุดท้ายได้ละสังขารขาดสายสิ้นไปจากโลกแล้ว
เมื่อท่านบรรลุอรหันต์เป็นพระองค์แรกด้วยตนเอง ที่เรียกว่าการ "ตรัสรู้" แล้วมีหน้าที่โปรดสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่นิพพานตามพระองค์ไปจึงนับเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่เมื่อตรัสรู้อรหันตผลแล้วไม่มีหน้าที่ในการสอนสัตว์ให้นิพพานตามตนไป (แต่อาจมีหน้าที่อย่างอื่น)
อันบุคคลจะถึงซึ่งนิพพานได้ จึงต้องมีจิตตรง ศรัทธาตรง "ต่อพระพุทธเจ้าแท้จริง" ไม่อาจมีจิตตรงต่อสิ่งอื่นๆ หรือศรัทธาสิ่งอื่น แล้วจะถึงซึ่งนิพพานได้ เช่น มารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า, นิมิตภาพแห่งพระพุทธเจ้า, สิ่งอื่นใดอันทำให้คิดว่าเป็นพระพุทธเ้จ้า แต่มิใช่พระพุทธเจ้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ บุคคลมีจิตตรงแล้ว, ศรัทธาแล้ว ก็ไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้
ตราบเมื่อสิ้นยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าสู่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้าๆ จึงจะถึงซึ่งนิพพานได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเลย แต่หากยังอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าแล้ว บุคคลจะถึงซึ่งพระนิพพาน จำต้องมีจิตตรง, ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสาม ที่เรียกว่า "พระรัตนตรัย"
จริงอยู่ว่านิพพานไม่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องให้เกิด, ให้ดำรงอยู่, ให้ดับไป ในกาลทั้งสาม แต่บุคคลใดจะถึงซึ่งนิพพานแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องมี "พระรัตนตรัย" ครบสมบูรณ์ก่อนจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เป็น "เหตุจอง" ไว้ก่อน

บุคคลจะพึงอาศัยความศรัทธาหรือมีจิตตรงต่อพระสาวก ที่เรียกว่า "หลวงปู่, หลวงพ่อ" ครูบาอาจารย์อันประเสริฐของตน แต่กลับไม่มีจิตตรง ศรัทธาแท้ต่อ "พระพุทธเจ้าที่แท้จริง" เขาผู้นั้นไม่อาจถึงซึ่งนิพพานได้ แต่เขาอาจถึงซึ่งอรหันตผลในสายธรรมอื่นๆ อันเชื่อมต่อตรงมาสู่โลก เช่น สายธรรมของพระอามิตภะ, พระพุทธะ (ยูไล) ที่สถิตย์ ณ สุขาวดีโลกธาตุต่างๆ เป็นต้น
บุคคลผู้บรรลุอรหันตผลเช่นนี้ จะยังไม่ถึงวาระนิพพาน และจะจุติยังสุขาวดีสวรรค์ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" อันมีพระพุทธะอื่นๆ เป็นต้นสายธรรม
ทั้งนี้ ควรเข้าใจด้วยว่า คำว่า "พุทธะ" เป็นคำกว้างๆ กลางๆ หมายถึง "จิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะและความเป็นพุทธะอันแท้จริง ซึ่งเป็น "จิตวิญญาณ" ต้นธาตุ, ต้นธรรม และต้นกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวล หมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งมวลนั้น ต่างก็กำเนิดมาจาก "พุทธะ" ทั้งสิ้น
อนึ่ง พึงทราบด้วยว่า "พุทธะ คือ จิตวิญญาณ" มิใช่ "จิต" อย่างเีดีัยว ด้วยเพราะมี "วิญญาณ" ปรุงแต่ง จึงเป็นพุทธะได้ ส่วนจิตนั้น บริสุทธิ์ประภัสสร ดังเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง ไม่มีทั้ง "พุทธะ" หรือ "อพุทธะ" แต่เมื่อได้รับการปรุงแต่งแล้ว "จิตวิญญาณ" จึงเป็นพุทธะ (แต่จิตนั้นก็ยังคงเป็นจิตประภัสสรเช่นเดิม เหมือนเอาน้ำผสมกับน้ำมัน ส่วนของน้ำ ก็ยังเป็นน้ำเช่นเดิม)
อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นี้ ภาษาจีนคือ "ยูไล" ซึ่งสามารถสำเร็จได้หลายทาง ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรม หรือรับธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อบรรลุยูไล หรือจิตวิญญาณกลับสู่ "ภาวะเดิมแท้" ดังเดิม (จิตวิญญาณต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำิเนิด) แล้ว หากมิใช่กิจที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจเป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" จึงไม่ใช่พระพุทธเ้จ้า
เมื่อทำหน้าที่ตามกิจของตน อันไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้าแล้ว จะยังไม่นิพพานบนโลกนี้ จึงจุติสู่ "สุขาวดีโลกธาตุ" (ในขณะที่พระพุทธเจ้าเมื่อจบกิจละสังขารแล้ว จะนิพพานบนดาวโลกนี้ หรือดาวโลกที่ตนไปเกิด)
เมื่อจุติที่สุขาวดีโลกธาตุ จะนับว่าเป็น "พระพุทธเจ้าบนสุขาวดีโลกธาตุนั้น" อีกพระองค์หนึ่ง (มีหลายพระองค์) แต่ไม่อาจใช้คำเรียกว่าพระพุทธเจ้า "บนโลกนี้ได้" เพราะจะเกิดความสับสน และทับซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีแต่พระสมณโคดม เพียงพระองค์เดียว
ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า บนโลกนี้ ที่เกิด, ตรัสรู้ และนิพพาน บนโลกนี้ แต่ "พุทธะ" (หรือพระยูไล) คือ ผู้ที่จะได้ไปเกิด, ตรัสรู้ และนิพพานใน "โลกธาตุอื่น" คือ "พุทธเกษตรทั้งหลาย" (ซึ่งมีอยู่มากมาย) เช่น "สุขาวดีโลกธาตุ" เป็นต้น




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2556    
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 0:05:18 น.
Counter : 1439 Pageviews.  

ธรรมมะลึกลับ 2


ตอนนี้ไม่ใช้วินโดวส์ใดๆ ใช้ระบบปฏิบัติการ ลินุกซ์ JOLi ClouD OS ----cloudคือการนำคอมพ์หลายเครื่อง มาพ่วงกันให้มีความเร็วเป็นซูเป้อร์คอมพิวเตอ

ร์
มาแล้วครับในวินโดวส์ธรรมดา -- แต่ลินุกซ์เร็วมากมากจนไม่กล้าไปทางไหน เล่นแบบนี้อุ่นใจกว่าเยอะยังไงข้อมูลก็เซฟไว้ใ
ด้

วิถีพัฒนาฝ่าชาติภพ --คือหนังสือชีวประวัติของ ปาโก้ ราบาน ชาวฝรั่งเศส ด้วยชีวิตเกิดมาเจอสงคราม พอ5ขวบก็ต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว พบกับความทุกข์มหาศาล ยามเยอรมันเช้าโจมตีฝรั่งเศส
แม่ สืบทอดมาจากพวกซ้ายจัด เธอต่อต้านศาสนจักร ศาสนาคืิอสิ่งมอมเมาประชาขน
แต่ยายเหมือนแกะดำในครอบครัว ท่านเคร่งศาสนามาก ทุกเช้า ตื่นแต่เช้าเพื่อไปโบสถ์ รักษาโรคด้วยสมุนไพร มีความรู้ทางไสยศาสตร์จากยายของเธออีกชั้นหนึ่ง

--ในหมู่บ้าน บลูช็อง แคว้นเบอร์ดาน พวกเด็กรู้จากโลกภายนอก จากคำบอกเล่าของพวกพ่อค้านักเดินทาง
----อายุ7 ขวบเขาได้ญาณ พบว่าตัวเอง เป็นร่างทิพะย์ที่มี แต่แสง ไร้น้ำหนัก ไร้ตัวตน
----หลายครั้ง ยายบอกว่าให้เก็ฯเรื่องญาณทัสสนะ เป็นความลับส่วนตัว
ครั้งหนึ่งผมเ็ห็นไกลถึงอดีค ที่ดาวดวงอื่น เขาเหมือนคนอื่น แต่นั่นคือตัวตนเดียวกับผม
ผมนอนอยูู่่ยบนเตียงขายคนนั้นในขณะที่ผมตื่นอยู่ ---วิญญาณของขายผู้นั้นกำลังลอยออกจากร่
างกา
ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในหลุมดำลึกแห่งภวังค์----- ทันใดนั้นผมก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจ้าจนตาพร่าพราย ราวกับว่าวิญญาณผมได้ด้มลายหายไปในแสงนั้น ผมได้เดินทางมาสู่อีกโลก อีกมิติหนึ่ง --อันที่จริงผมไม่แน่ใจว่า กลับสู่อดีตหรือเปล่า
เสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า "เจ้ากำลังเข้าใกล้ภพภูมิที่7 แล้ว"

-พี่สาวส่งเอกสารมาทางอีเมล์ครับ

Mouth Buddha1
พุทธวัจนะภาษา
คือ ภาษามคธ มิใช่ภาษาของชาวมคธ แต่เป็นภาษาดั้งเดิมของปวงสัตว์ ที่สื่อสารกันได้ทั้งหมด ไม่มีแบ่งแยก ทั้งคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ล้วนสื่อสารกันได้ด้วยภาษานี้ ไม่มีตัวอักษร กำ้เนิดก่อนเทพอักษรจะประดิษฐ์ตัวอักษรใดๆ เป็น "ภาษาจิต" เป็นภาษากลาง, เป็นภาษาสากล ที่ทุกสรรพชีวิต เข้าใจเท่าเทียมกัน หลังความเสื่อมเกิดขึ้นบนโลกแล้ว สรรพชีวิตไม่อาจเข้าใจกันได้ เทพอักษรจึงลงมา สร้าง "ตัวอักษร" ขึ้นภายหลัง แต่พราหมณ์ได้บันทึกประวัติไว้ ทำให้กษัตริย์แคว้นมคธใช้คำว่า ภาษามคธ กับอักษรของตน แต่นั่น หาใช่ "ภาษามคธ" (ภาษาจิต) แต่ดั้งเดิมไม่
อนึ่ง พระพุทธองค์ทรงใช้ "ภาษามคธ" นี้ จึงสื่อสารกับคน, สัตว์, เทพ, ผี ฯลฯ ได้ทั้งหมด ทว่า เพราะมนุษย์โลกเสื่อมลงไปมากแล้ว ท่านจึงยังจำเป็นต้องใช้ "ภาษาที่เกิดจากเทพอักษร" มีตัวอักษร,
เสียง, รูป ปรุงแต่ง เพื่อสื่อสารไปเช่นนั้นเอง
ดังนั้น ภาษา, ถ้อยคำ, เสียง ฯลฯ ทั้งหลาย ล้วนไม่มีสาระ หากไม่เข้าถึงภาษามคธนี้ (ภาษาจิต) ในทางเซนเรียกภาษานี้ว่า "จิตสู่จิต" คือ การสื่อสารจากจิตถึงจิตโดยตรงเหนือกว่าคำพูดใดๆ
อนึ่ง บุคคลจะบรรลุธรรมได้ด้วย "ภาษามคธ" นี้เท่านั้น หาไม่แล้ว ย่อมหลงกล ติดบ่วงแห่งเทพอักษร หลงตัวอักษรและภาษาต่างๆ มิอาจเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง (ด้วยอักษรภาษามีขีดจำกัดในการอธิบายธรรม)
ดังนี้ จึงมีคำกล่าวว่า "ธรรมะที่อธิบายได้ ไม่ใช่ธรรมแท้" แต่กระนั้นการอธิบายก็ยังจำเป็น เพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ที่ มีจิตใจหยาบ เสื่อมลง ไม่อาจเข้าใจในภาษามคธได้ แต่มิใช่เพื่อการบรรลุธรรมที่แท้จริงเลย ...




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2556    
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 0:04:04 น.
Counter : 1316 Pageviews.  

ธรรมมะจากบุรุษลึกลับ

ต้นลานคล้ายต้นตาล แต่ลูกลานโตกวา่าลูกชิด-- เนื้อคล้ายๆกัน
ใครตกใจ หรือตาโต--ละโมบ คนเหนือว่า "แป๋งต๋าเต้าบะลานต้ม"--ตาเท่าลูกลานต้ม
-----ใบลานใช้เขียน-- จารคัมภีร์ มีประโชน์มาก สามารถเก็บรักษาไว้ได้นับร้อยปี

ในหนังสือหน้าที่9 ดร.โจชัวบอกว่า ได้รับยา AZTมาดู-- เป็นสูตรปกติที่รักษาโรคเอดส์นี้ ซึ่งเป็นยาที่มีพิษรุนแรง สามรถฆ่าชีวิตคนให้ตายเร็วกว่าที่ไวรัสเอดส์ทำอีก รัักษาหายใด้--หายไปจ่ากโลกนี้--ผู้แปล อิอิ)ตามเอกสารที่ปกปิด โรคนี้ไม่มียารักษา แต่ ฮันนา โครเก้อร์ หมอยาสมุนไพร แพทย์ทางเลิอก จากโคโลราโด้ ใด้ทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคนี้ ได้ผลดีมากพอสมควรเลยครับ--ดร.โจชัวกล่าว
และบอกอีกว่า เราไม่ได้เป็นเหยื่อของเอดส์หรืออิลลูมิเนติ กลุ่มภราดรภาพดำ----ชาวซีต้า(เกรย์)หรือชาวเรปติเลี่ยน(มนุษย์กิ้งก่า)---อะไรเลย เราทุกคนมีพลังในแง่ของปัจเจกชน และมีอิสระในการตัดสินใจในชีวิต-ดร.โจชัวกล่าวต่อไป

เราไม่ได้เป็นเหยื่อของจิตใจ ร่างกาย อารมณ์ หรือสรรพสิ่งในจักรวาลอันไม่สิ้นสุด เราคือพระัเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สุดยอด มีทั้งพลังกายพลังใจ พลังจิต
---ผลที่ว่ามีใครหรืออะไรมีผลต่อตัวคุณ เป็น เพราะคุณ "ยอมให้มันเกิดขึ้น หรือยอมให้มันมีอิทธิพลเหนือตัวคุณ" ถ้าคุณต่อสู้ ดิ้นรน ด้วยพลังในตัวคุณเท่านั้น-- พวกต่างดาวก็จะไม่สารถลักพาตัวคุณไปใด้
การขัดขืนกับพลังมืด ใช้ใด้ในกรณีของเอดส์ด้วย กินอาหารทืี่ดี ออกกำลังกาย รับแสงแดด และสูดอากาศบริสุทธิ์ คิดแต้่สิ่างที่ดีและถูกต้อง ปรับคลื่นความคิดสู่ศาสดาของท่าน พุทธะ หรือ อาตมัน ตัวตนภายใน ทุกสิ่งก็ไม่สามารถจะแตะคุณได้ แม้แต่เชื้อเอดส์ก็ตาม

มีนิพพานแต่ไม่มีผู้ไปนิพพาน
ผู้ที่แจ้งนิพพาน คือความไม่เกิดไม่ดับที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็มีไม่น้อย คนทีนั่งสมาธิไปนิพพานอย่าไปวิจารย์ลัทธิอื่นเลยครับ
ตัวเองก็ยังหลงทางเหมือนกัน

ถ้านิพพานเปรียบเหมือนไปเชียงใหม่ และพระพุทธเจ้าเลือกเอาการนั่งรถทัวร์เป็นวิธีเดินทาง
เพราะมันกว้างขวางและใครๆก็ไปได้ ถ้าไปเครื่องบินค่าใช้จ่ายสูงอาจไปได้เฉพาะบางคน
คนที่มีรถส่วนตัวก็อาจจะขับรถไปเองก็ได้ แต่บางคนไปยึดเอารถทัวร์เป็นเป้าหมายทั้งๆที่นั่งไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ขอให้เป็นรถทัวร์เป็นใช้ได้
แต่สุดท้ายมันไม่ใช่เชียงใหม่ ไปลงที่ไหนก็ไม่รู้แต่บอกว่าเป็นเชียงใหม่
เป้าหมายคือเชียงใหม่สำคัญกว่าวิธีการ บางคนอาจจะขี่จักรยานไป
ซึ่งวิธีนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน แต่ไปถึงเป้าหมายที่เดียวกันเป็นใช้ได้




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2556    
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 0:00:19 น.
Counter : 1566 Pageviews.  

Enlighttenment--- ประจักษ์แจ้งสัจจะ-- คือการเข้าใจสัจจะด้วยตนเอง

 
--ข้าพเจ้า เป็นหัวหน้ายามตอนนั้น ยามที่โรงรถบอกว่า ตะกี้ได้ยินวัตถุ แหวกอากาศดังวิ้วแล้วหายไป ช้าพเจ้าก็เฉยๆ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
พอเข้าไนตึก ผู้กองหิน เป็นอดีตทหารอเมริกัน ก็ดินมาบอกว่า ได้ยินเสียงตูม หมือนระเบิดที่หลังห้อง พอเปิดม่านดู เห็นชายคนนึงนอนอยู่กับดิน เป็นฝรั่ง ผิวขาวเผือด ท่าทางคงเสียชีวิตแล้ว
เมื่อแจ้ง โรงพยาบาลๆก็ส่งรถมา ต่อมาก็ตำรวจ หมอนิติเวช ผมกับตำรวจพยายามหาดูว่าตกมาจากห้องไหน ก็เห็นไฟรางๆมาจากชั้น 12 เขาคือ อดีตผู้คุม จากอังกฤษ --มัลค่อล์ม
คงจะเหยียบเศษแก้ว แล้วหงายหลังตกลงมา ดินแข็งๆยังยุบเป็นรูปตัวเค้า พอดีมีรถจอดบังอยู่ เลยไม่มีใครเห็น
--เมื่อข้าพเจ้าจัดการทุกอย่างเสรึจ-- จึงโทรบอกพี่สาว ทันใดนั้น มีพลังอย่างนึงวิ่งออกจากท้อง ทำให้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา มันทั้งดีใจ-- เสียใจ เศร้าใจ สะเทือนใจ พร้อมๆกัน "จริงๆแล้วมนุษย์ทุกคนช่างไร้ที่พึ่งโดยสิ้นเชิง" เมื่อถึงคราว ---มัจจุราชก็กระชากเอาวิญญาณไป ทิ้งร่างให้นอนเดียวดายไม่ผิดกับหมาข้างถนน บางคนใหญ่คับฟ้า หรูหรา เสียภาษีให้รัฐหลายร้อยล้าน ถึงคราวตาย ยางครั้งอาจมีมูลนิธิมาเก็บศพให้อย่างขอไปที และเหล่าคน ที่เอาเงินเขาไป ไม่ได้มาแยแสสนใจเลยก็มีครับ
---ความจริง---ที่ว่าทุกคนจะต้องตายในสักวันหนึ่ง---All men are mortal. ผมไม่เคยสนใจเลย---- บัดนั้นมันซึมซาบ ยิ่งกว่ารู้ ยิ่งกว่าเข้าใจ--- มันคือการประจักษ์แจ้งสัจจะ ธรรมมะปิติแบบนึง พี่สาวว่า อจ.สม บอกว่า ดวงวิญญาณแม่ผมก็รับรู้และดีใจที่ลูก ได้เข้าถึงธรรมมะข้อนี้

ทุกๆคนก็ต้องตาย จะแก่ตาย หรืออุบัติเหตุ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ ปกติ แต่ผมบางครั้งทำไม่รับรู้ไม่สนใจอะไรทั้งน้น เพลิดเพลินกับการได้หยอกล้อ สาวสวย----ใช้ชีวิตสนุกสนานอย่างเดียว-----ทั้งๆที่อศุภะ(สิ่งที่น่าเกลียด)ก็มีมาให้เห็นตลอด คอนโดดูดส้วม อุจจารระกับถุงยางตกเรี่ยราด การสมสู่ระหว่างชายกับชาย น่าขยะแขยง มีเค้าให้เห็นมากกว่าชายพาหญิงมาเพื่อการประเวณี(ฝรั่งออฟผู้ชาย)
----ภรรยาว่า ถ้านางงามจักรวาลมานั่งยองๆขับถ่าย ปลดทุกข์(เรื่องธรรมชาติ---ธรรมดา) เป็นภาพที่ไม่น่าดูด้วยประการทั้งปวง---เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
--อันว่า(กิเลส)ตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสียใด้ัฉันให้ถอง(สุนทรภู่)

 




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2556    
Last Update : 6 สิงหาคม 2556 20:46:03 น.
Counter : 1406 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  

jesdath
Location :
เชียงราย Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jesdath's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.