แว๊บ!!แว๊บ!!_จริงจริง นะค๊ะ!
Group Blog
 
All Blogs
 

ประกาศคุม 5 โครงการขนาดใหญ่

"สมัคร" ประกาศคุม 5 โครงการขนาดใหญ่ด้วย ตัวเอง หวั่นรัฐมนตรีทำงาน โดดเดี่ยว

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ สนทนาประสาสมัคร ว่า วันที่ 25 ก.พ. จะนัดข้าราชการระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงมาประชุม เพื่อรับฟังนโยบายให้ทราบว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร

“ก็จะบอกเลยว่าโครงการที่ใหญ่ๆ 5 โครงการนี้ โครงการขนส่งมวลชนในเมืองหลวง โครงการรถไฟทั่วประเทศ โครงการเรื่องน้ำ โครงการเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการแพทย์ จะทำเป็นคณะกรรมการ 5 โครงการ โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานทั้ง 5 โครงการ” นายกฯ กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อจะได้ไม่ปล่อยให้ รัฐมนตรีต้องไปทำงานโดยโดดเดี่ยว ในเรื่องที่จะลงมือทำ 1 ปีนี้ เช่น เรื่องเกี่ยวกับขนส่ง มวลชน จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อย่างไร จะเดินหน้าให้ถึงการประมูล ทางทูตญี่ปุ่นได้ขอเข้าพบและแจ้งว่าพร้อมสนับสนุน

นายสมัคร กล่าวอีกว่า การ สร้างรถไฟฟ้ายังไม่ระบุว่ามี สายสีไหน ส่วนรถไฟที่จะ ขยายเป็นรางคู่จะสร้างไปชานเมือง 9 เส้นทาง ประมาณ 300 กิโลเมตร

“เวลานี้มี 43 กิโลเมตร ใต้ดินมีอยู่ 20 กิโลเมตร ข้างบน มีอยู่ 23 กิโลเมตร จะมีอีก ประมาณ 300 กิโลเมตร และจะลงมือทำสายไหน ตรงไหนเริ่มก่อน จะเตรียมการไว้แล้วก็จะ ไม่ทำให้ชักช้า ได้เริ่มลงมือ ได้ตอกเสาเข็ม ดำเนินการแน่นอน” นายกฯ กล่าว

นอกจากนี้ นายสมัครยัง สนับสนุนนโยบายการปลูกป่า ยูคาลิปตัสตามแนวคิดของนาย วุฒิพงศ์ ฉายแสง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยระบุว่าหลังมีผู้เชี่ยวชาญยูคาลิปตัสมาขอพบ และพูดกัน 1 ชั่วโมง ทำให้ทราบว่าการปลูกยูคาลิปตัสจะทำให้ผลิตข้าวได้มากขึ้น เพราะรากต้นยูคาลิปตัสเป็นปุ๋ยที่ดีสำหรับต้นข้าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า การปลูกยูคาลิปตัสบนเนื้อที่ 1 ไร่ ได้ 300 ต้น 5 ปี สามารถตัดยูคาลิปตัสมาได้ไม้ 2 ตัน หากปลูกแบบตัวแอลแล้วใช้ระยะเวลาเท่ากันจะได้ไม้ถึง 5 ตัน มีต้นทุนค่าต้นกล้าแค่ต้นละ 4 บาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการปลูกต้นตะกูเพื่อทำเฟอร์นิเจอร์แทนไม้สักด้วย

ด้านคณะทำงานโครงการเรื่องผันน้ำ จะมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปตั้งคณะทำงานร่วมกัน โดยกระทรวงทรัพยากรฯ มีหน้าที่หลักในการหาข้อมูลและศึกษาแนวทาง ว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำได้ รวมไปถึงการผันน้ำจากแม่น้ำสายหลักเข้าสู่พื้นที่การเกษตร

นายกฯ กล่าวว่า จากนั้นกระทรวงเกษตรฯ จะนำข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรฯ ไปปฏิบัติ เช่น การก่อสร้างระบบ ชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำ เป็นต้น แล้วแต่พื้นที่ไหนมีความเหมาะสมที่จะทำการชลประทานในรูปแบบใด

จากการสอบถามไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม แต่ละกระทรวงกล่าวว่า การประชุมกับนายกฯ วันนี้ เป็นการไปเพื่อรับทราบนโยบาย




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 17:20:18 น.
Counter : 670 Pageviews.  

กกต. ต้องให้ความกระจ่างแก่สังคมในกรณีของท่านประธานฯ ยงยุทธ

เรื่องการพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ท่านประธานฯ ยงยุทธ ของคณะกรรมการฯ(โดยมีมติ ๓ ต่อ ๒) กำลังเป็นกระแสข่าวที่ได้รับความสนใจจากสังคมในวงกว้าง

โดยล่าสุดท่านอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หากได้รับสำนวนจากคณะกรรมการฯ ก็จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ทันที ในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากกรณีของท่านยงยุทธเป็นปัญหาที่อ่อนไหว เพราะท่านยงยุทธเอง ได้ยืนยันมาตลอดว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นขบวนการจัดฉาก เพื่อมุ่งหมายให้นำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ กกต.จะต้องใช้ความรอบคอบ ซึ่งท่านประธาน กกต.ก็ได้ออกมายืนยันว่า “เราต้องทำโดยรอบคอบ”

แต่เท่าที่ได้ประมวลจากข้อมูลข่าวสารที่ผ่านๆ มา ก็ชักจะไม่แน่ใจว่า กกต.ได้ใช้ความรอบคอบต่อกรณีนี้เท็จจริงเพียงใด?

เนื่องจากที่ผ่านมา มีคำถามที่สังคมตั้งข้อสงสัย ซึ่ง กกต.ยังไม่เคยให้ความกระจ่างในหลายข้อ ดังต่อไปนี้

ข้อแรกคือ เรื่องหัวหน้าชุดสืบสวนของตำรวจสันติบาล ซึ่งทาง กกต.ได้ขอเพิ่มมาภายหลัง คือเจ้าพนักงานที่ถูกครหาว่า มีความใกล้ชิดต่อกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง กับพรรคการเมืองที่ท่านยงยุทธสังกัด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สำนวนขาดความน่าเชื่อถือลงไป เนื่องจากเป็นคดีทางการเมือง แต่แทนที่ กกต.จะทบทวนสำนวนการสืบสวนกลับกลายเป็นว่า ทั้งคณะกรรมการฯ และ กกต.มักกล่าวยืนยันมาโดยตลอดว่า จะใช้สำนวนการสอบสวนของตำรวจสันติบาลชุดดังกล่าว เป็นหลักในการวินิจฉัย

ข้อต่อมา คือเรื่องวิซีดี ซึ่งทาง กกต.ได้เคยยืนยันว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ทำให้เชื่อได้ว่า ท่านยงยุทธกระทำความผิดจริง แต่เมื่อผู้ถูกกล่าวหาร้องขอ ให้ทำการพิสูจน์หลักฐานว่า มีการตัดต่อขึ้นมาหรือไม่ เหตุใด กกต.จึงปฏิเสธ? ซ้ำประธาน กกต.ยังกล่าวในเชิงให้ร้ายผู้ถูกกล่าวหาว่า “เป็นการประวิงเวลาหรือไม่” ทั้งที่ท่านยงยุทธได้เรียกร้องในเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

ข้อที่สาม คือคำถามว่าเหตุใด กกต.จึงเชื่อถือพยานเพียงคนเดียว ที่ให้การว่าท่านยงยุทธแจกเงินจำนวนสองหมื่นบาทว่า เป็นข้อเท็จจริง แต่ กกต.ไม่เชื่อพยานอีก ๙ คน ที่ได้เดินทางมาชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า ไม่เคยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากท่านยงยุทธตามที่ถูกกล่าวหา?

สำหรับในประเด็นนี้หากใช้สามัญสำนึก ของผู้ที่ไม่ต้องจบวิชากฎหมาย ก็พอจะคิดได้ว่า เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ที่กำนันทั้งสิบคน จะต้องเดินทางจากเชียงราย โดยเครื่องบินมารับเงินสดเพียงสองหมื่นบาทจากท่านยงยุทธที่กรุงเทพฯ เนื่องจากหากจะมีการให้ทรัพย์สินกันจริง ท่านยงยุทธสามารถฝากตัวแทนไปมอบให้ที่เชียงราย หรือใช้วิธีโอนเงินด้วยวิธีอื่นได้อีกหลายช่องทาง

แล้วเหตุใด กกต.จึงปักใจเชื่อเหลือเกินว่า กำนันทั้งสิบคน ต้องเดินทางมาเพื่อรับเงินจำนวนดังกล่าวจริง !!!

ความจริงแล้ว พื้นที่จังหวัดเชียงราย เป็นเขตที่ท่านยงยุทธได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยส่วนใหญ่อยู่แล้ว เปรียบไปก็คล้ายจังหวัดสุพรรณ ที่ประชาชนสนับสนุนท่านบรรหาร

ทำไมท่านยงยุทธ จะต้องไปสุ่มเสี่ยงแจกเงินแค่ไม่กี่แสน เพื่อแลกกับคะแนนเสียงซึ่งไม่น่าจะช่วยให้เพิ่มขึ้นได้เท่าไหร่ หรือจะดูจากผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ก็เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ประชาชนที่เชียงรายไม่สนับสนุนคณะรัฐประหาร จึงทำให้น่าเชื่อได้ว่า ต่อให้ไม่มีการแจกเงิน ประชาชนก็ยังคงให้การสนับสนุนพรรคที่ต่อต้านคณะรัฐประหารอยู่ดี ซึ่งก็มีเพียงพรรคเดียว คือ พรรคพลังประชาชน

หากเปรียบกับกรณีพบเงินหนึ่งล้านสามแสนบาท พร้อมรายชื่อประชาชนที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ของหัวคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่ง กกต.ได้วินิจฉัยเพียงให้จัดการเลือกตั้งใหม่) นั้น เป็นการกระทำที่ต้องสงสัยว่า ใช้เพื่อการซื้อเสียงเพียงหนึ่งอำเภอ แล้วเงินแค่สองแสนบาท จะไปมีผลสลักสำคัญอะไรต่อผลคะแนนเสียงทั้งจังหวัดเชียงราย

เหตุใด คำถามและข้อสงสัยทั้งหมดที่กล่าวมา ซึ่งเคยมีผู้หยิบยกเสมอมา แต่ กกต.ก็ยังคงนิ่งเฉย และยังมีแนวโน้มที่จะสรุปว่า จากหลักฐานทั้งหมดทำให้ “น่าเชื่อได้ว่า” ท่านประธานฯ ยงยุทธกระทำความผิดจริง

กกต.เป็นองค์กรอิสระ ที่มีอำนาจมาก กล่าวคือมีอำนาจกึ่งนิติบัญญัติ คือ มีอำนาจในการออกระเบียบหรือประกาศ ทั้งยังมีอำนาจบริหารกึ่งตุลาการ ที่จะวินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง การมีอำนาจมากจะต้องมาคู่กับความรับผิดชอบเสมอ

ผู้ใช้อำนาจจึงต้องมีความเที่ยงธรรมและสุจริต

หาก กกต.ไม่สามารถให้ความกระจ่างต่อสังคมได้ ในหลายๆ คำถามที่ได้กล่าวมา และวินิจฉัยไปโดยอาจคิดเพียงว่า ให้เรื่องพ้นไป เพื่อไปสู่การพิสูจน์ในชั้นศาล ก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือ และผลตามมาที่ กกต.จะต้องรับผิดชอบในอนาคต !!!




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 10:44:35 น.
Counter : 402 Pageviews.  

เอแบคโพลล์ชี้คนกรุงเกินครึ่งหนุน 111

เอแบคโพลล์ชี้คนกรุงเกินครึ่งหนุน 111 อดีตกรรมการพรรคไทยรักไทยเข้ามาช่วยทำงานในตำแหน่งต่างๆ ของหน่วยงานรัฐ แต่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ กลับไม่ถึงครึ่ง แต่ส่วนใหญ่ยังสนับสนุน 'สมัคร สุนทรเวช'

ศูนย์วิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,459 ตัวอย่างเกี่ยวกับภาพลักษณ์รัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่า ประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50 ยังคงรับรู้ในระดับ 'น้อย' ต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลนายสมัคร ว่ากำลังเร่งทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ ทั้งปัญหาสินค้าราคาสูง ปัญหายาเสพติด อย่างไรก็ตาม ประชาชนประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 32.4 กำลังรับรู้ในระดับที่ 'มาก' ว่า นายสมัครกำลังเปลี่ยนแปลงไปที่ไม่ตอบโต้กับกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ร้อยละ 36.2 รับรู้ระดับ 'มาก' ว่า มีความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลเรื่องตำแหน่งทางการเมือง และประมาณ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25.9 รับรู้ระดับมากว่า รัฐบาลกำลังแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน

ต่อกรณีแนวคิดที่จะให้อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยบางคนใน 111 คน เข้ามาช่วยทำงานในตำแหน่งต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ผลสำรวจพบว่า เกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 53.6 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 45.6 ไม่เห็นด้วยและร้อยละ 0.8 ไม่มีความเห็น

นอกจากนี้ ผลสำรวจพบค่าคะแนนความเชื่อมั่นเฉลี่ยของประชาชนต่อการแก้ปัญหาโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในอีก 6 เดือนข้างหน้าพบว่า เมื่อค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล ที่จะสามารถ แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้มีเพียง 4.31 คะแนน การแก้ปัญหายาเสพติดได้เพียง 4.26 คะแนน ปัญหาแตกแยก ภายในพรรคร่วมรัฐบาลได้เพียง 3.76 คะแนน และการปราบปรามปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นได้เพียง 3.62 คะแนน ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจยังคงพบว่า ประชาชนยังคงให้การสนับสนุน นายสมัคร สุนทรเวช มากกว่ากลุ่มที่ไม่สนับสนุน โดยพบว่า ร้อยละ 45.4 สนับสนุน ร้อยละ 36.8 ไม่สนับสนุน และที่เหลือร้อยละ 17.8 ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือขออยู่ตรงกลาง




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 9:55:05 น.
Counter : 422 Pageviews.  

อนุ กกต.มติเอกฉันท์ใบแดง"ยงยุทธ"

เมื่อวันที่ 14 ก.พ.51 นายสุวิทย์ ธีรพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนคดีทุจริตซื้อเสียง ที่ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า คณะกรรมการได้มีความเห็นสรุปความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหญ่แล้ว ในกรณีที่มีการกล่าวหาว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยดูจากการสอบพยาน ไม่ได้ให้การผิดไปจากที่เคยให้การไว้กับชุดสืบสวนสอบสวนของสันติบาล ดังนั้น จึงได้เสนอข้อเท็จจริงพร้อมความเห็นประกอบข้อกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 (2) และมาตรา 57 ให้ กกต.แล้ว จึงถือว่าหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นอันยุติ




มีรายงานว่าจากการที่พยานยืนยันการให้ปากคำเดิม จะเท่ากับว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง ซึ่งนายยงยุทธเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน ดังนั้น ความผิดที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่ความผิดที่ กกต.จะนำไปสู่การสั่งเลือกตั้งใหม่ ต้องเป็นความเห็นสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธไปแล้ว หาก กกต.มีความเห็นยืนว่านายยงยุทธมีความผิดจริง ตามที่คณะกรรมการเสนอไปก็ต้องเสนอต่อศาลฎีกาให้พิจารณา โดยเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นายยงยุทธ ติยะไพรัช จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในทันที จนกว่าศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง แต่ทั้งนี้หากศาลมีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธแล้ว นายยงยุทธ ซึ่งมีตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น กกต.ก็จะมาพิจารณาในเรื่องของการเสนอยุบพรรคพลังประชาชน




เพราะตามกฎหมายนั้น มาตรา 103 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ระบุว่าหากกรรมการบริหารพรรกการเมืองใด กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค รู้เห็นปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วไม่แก้ไข ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิธีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้ กกต.เสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนั้น และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคกับกรรมการบริหารพรรค มีกำหนด 5 ปี




วันเดียวกันนี้ ที่ประชุม กกต.มีมติให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ทั้งสามคน ได้แก่ นายเอี่ยม ทองใจสด นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ และนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ทั้งหมดสังกัดพรรคพลังประชาชน




"ยงยุทธ"ซีด-โวยถูกจัดฉาก

ด้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าตกใจว่า ยังไม่รู้เรื่อง จึงไม่ขอตอบเรื่องนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคงต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นก่อน เพราะเดี๋ยวจะเป็นการกดดันและแทรกแซงการทำงานของ กกต. ซึ่งต้องรอความชัดเจนก่อน และเรื่องนี้ยังมีเวลาอีกหลายวัน




ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวอย่างมั่นใจว่า "แน่นอน ทุกอย่างมันเป็นการจัดฉากเอาไว้อยู่แล้ว วันนี้คงไม่ต้องพูดอะไร ใครทำอะไรไว้สังคมก็จะรู้ความจริง"


เมื่อถามย้ำว่า หากได้ใบแดงจะกระทบต่อการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า คงไม่กระทบ และอยากให้ทุกอย่างชัดเจนก่อน ไม่อยากพูดอะไรออกมา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธ มีสีหน้าตื่นตระหนก พยายามซักถามนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์อย่างคาดคั้นว่า ทำไมรู้เรื่องเร็วจัง สำนวนสอบสวนรั่วหรือ ตนเป็นเจ้าของคดียังไม่รู้เรื่องเลย ทำไมต้องมาถามอะไรคาดคั้น




กำนันพยานปากเอกร้องขอคุ้มครองชีวิต

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีรายงานว่า นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานสำคัญในคดีทุจริตซื้อเสียงที่ จ.เชียงราย ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 5 พรรคพลังประชาชน ที่กำลังถูกสอบสวน ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความคุ้มครองให้ตนเองและครอบครัว หลังจากระบุว่าถูกคุกคามข่มขู่อย่างหนัก


ทั้งนี้ มีรายงานว่านายชัยวัฒน์ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงสองครั้ง ครั้งแรกทำหนังสือถึงนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขา กกต.เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ได้ลงเลขที่รับหมายเลข 178 เอาไว้แล้ว สาระสำคัญในหนังสือร้องเรียนดังกล่าวของนายชัยวัฒน์ ระบุว่า ตัวเองและครอบครัวถูกคุกคามข่มขู่เอาชีวิต โดยอ้างเหตุการณ์ในคืนวันที่ 29 มกราคม 2551 เวลาประมาณ 04.00 น. มีชายฉกรรจ์ 4 คนนั่งรถกระบะมาจอดอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ เนื่องจากคนในบ้านรู้ตัวเสียก่อน




ส่วนหนังสือฉบับที่ 2 ได้ส่งถึงนายสุวิทย์ ธีรพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนคดีทุจริตซื้อเสียง ที่ จ.เชียงราย (กรณีของนายยงยุทธ) นอกจากเรียกร้องให้มีการส่งเจ้าหน้าที่มาให้การคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังเรียกร้องขอให้เร่งรัดสรุปการสอบสวนเพื่อเสนอต่อ กกต.ได้วินิจฉัยโดยเร็ว เพื่อให้คดีได้จบลงโดยเร็ว


นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากส่งเรื่องร้องเรียนไปแล้วสองครั้ง แต่ปรากฏว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ทุกวันนี้ตนและคนในครอบครัวต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่กล้าประกอบอาชีพได้ตามปกติ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 11:51:47 น.
Counter : 411 Pageviews.  

อัยการสูงสุดฉะคตส.ล้ำเส้น แฉจ่าย 19 ล้านให้สภาทนาย

อันนี้ยาวหน่อยนะครับแต่ได้ข้อมูลละเอียดดีและ
เปิดเผยข้อมูลว่าที่แท้ที่ขอเรี่ยไรเงินและบอกว่างบหมดนั้น
จะเอาไปทำอะไร ให้ใคร และคุ้มหรือไม่หรือว่าแบ่งกันใช้



อัยการสูงสุดระบุ คตส. ทำข้ามขั้นตอนดึงเรื่อง “หวยบนดิน” ไปฟ้องเอง ทั้งที่อสส.ยังไม่ได้ชี้ขาด ระบุจ่าย 19 ล้านให้สภาทนายความก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพยานหลักฐานอ่อนปวกเปียก ระบุไม่พบหลักฐานการนำเงินไปใช้ในทางมิชอบ มีแต่เอาไปทำประโยชน์ ซัด คตส.คิดแต่เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ระบุอยากฟ้องมากก็รับผิดชอบเอาเอง


จากกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) พยายามจะดึงดันฟ้องร้องคดีหวยบนดินด้วยตัวเอง หลังจากที่อัยการสูงสุดระบุว่าหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ และมีการออกมาวิพากษ์อัยการสูงสุดด้วยท่าทีที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นนั้น

นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่อัยการสูงสุดออกมาระบุว่า คตส. ไม่มีอำนาจยื่นคำฟ้องในคดีหวยบนดิน เนื่องจากอัยการสูงสุดยังไม่ได้มีความเห็นแตกต่างในกรณีที่ คตส.มีมติว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือบุคคลใดกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในประกาศ คปค.ฉบับที่ 30

นอกจากนี้ยังระบุ คตส. ไม่มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ในการยื่นเรื่องฟ้องร้อง เนื่องจากตามมาตรา 10 ,11 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดให้การยื่นฟ้องเป็นการดำเนินการของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอัยการสูงสุดเท่านั้น ว่า ประเด็นนี้ คงจะต้องมีการนำเข้าไปหารือในที่ประชุม คตส. ชุดใหญ่ ว่าเหตุใดอัยการถึงออกมาให้ความเห็นในลักษณะนี้

เพราะการแสดงความเห็นดังกล่าว อาจจะเป็นการเปิดทางให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ หยิบยกขึ้นมาใช้เป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้ และตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ข้อ 9 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ในกรณีที่ คตส. มีความเห็นแตกต่างในคดีที่คตส.ส่งเรื่องไปให้ แต่ คตส. ยืนยันความเห็นเดิม คตส. มีอำนาจดำเนินการให้มีการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลเองได้

นายอุดม กล่าวว่า ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ คตส. ส่งสำนวนสอบสวนคดีนี้ ไปให้อัยการสูงสุด ก็มีความเห็นว่าสำนวนสอบสวนของ คตส. ไม่สมบูรณ์ และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาความเห็นร่วมกับคณะทำงานของ คตส. ซึ่งภายหลังการประชุม 2 ครั้ง คณะทำงานฝ่ายอัยการ ก็ยังยืนยันความเห็นเดิมว่า สำนวนสอบสวนของ คตส. ไม่สมบูรณ์ แต่ในส่วนของ คตส. ยืนยันว่าสำนวนสมบูรณ์ดีแล้ว และที่ประชุม คตส. ชุดใหญ่ ก็มีมติเห็นชอบ ตามความเห็นของ คณะทำงานฝ่าย คตส. ที่จะให้ทำหนังสือขอให้อัยการส่งสำนวนสอบสวนคดีคืนมาเพื่อที่ คตส. ก็ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเองตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

“เรื่องความเห็นที่แตกต่างกัน ระหว่าง คตส. กับ อัยการ มันข้ามขั้นไปแล้ว เพราะถ้าเขาไม่เห็นต่างจากเรา เขาจะตั้งคณะทำงานฝ่ายอัยการ ขึ้นมาพิจารณาสำนวนรวมกับเราทำไม และเมื่อความเห็นไม่ตรงกัน เราก็ทำเรื่องไปขอสำนวนคืนมาเพื่อที่จะได้มายื่นเรื่องฟ้องเอง ซึ่งเขาก็เพิ่งจะคืนสำนวนมาให้เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ไม่เข้าใจว่าจะเอาสำนวนของเราไปเก็บไว้ทำไม และที่สำคัญ ในการส่งคืนสำนวนกลับมา ก็ส่งคืนมาเฉพาะตัวจริง และในส่วนของสำเนาไม่ได้ส่งคืนมา ซึ่งทาง คตส. ก็คงจะทำหนังสือขอสำเนากลับคืนมาอีกครั้งเร็วๆ นี้” นายอุดมกล่าว

เมื่อถามว่า การที่อัยการสูงสุดไม่ได้มีความเห็นแตกต่างในกรณีที่ คตส. มีมติว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือบุคคลใดกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ จะทำให้ คตส. มีสิทธิ์ฟ้องร้องคดีเองได้หรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า ทางอัยการได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานแล้ว เมื่อผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ถือว่าจบ และ คตส. ก็จะดำเนินการส่งฟ้องเอง เนื่องจากมีกฎหมายรองรับ ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามอีก ว่า คตส. มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ในการยื่นเรื่องฟ้องคดีหรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า คตส. มีอำนาจในการใช้กฎหมาย ของ ป.ป.ช. เมื่อป.ป.ช. มีอำนาจตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาฯ คตส. ก็มีอำนาจนี้ด้วย

ด้านนาย นาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. กล่าว เมื่ออัยการสูงสุดเห็นไม่ตรงกันกับ คตส. เราก็มีอำนาจที่จะฟ้องร้องคดีเองได้ แล้วจะเอายังไงอีก ซึ่งในประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ก็ระบุไว้ชัดเจนถึงอำนาจในเรื่องนี้ ส่วนความเห็นของอัยการที่ออกมาจะเป็นการเปิดทางให้ผู้ถูกกล่าวหา ใช้เป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างไร

“ประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ให้อำนาจ คตส. ฟ้องร้องคดีเอง เมื่ออัยการไม่เห็นด้วย คตส. ก็ต้องฟ้องคดีเอง ซึ่งในส่วนคดีกล้ายาง ก็คงเป็นเหมือนกัน ถ้าอัยการเห็นต่างเราก็ต้องฟ้องคดีเอง ซึ่งอาจจะรวมถึงคดีอื่นด้วย ที่ต่อไปเราจะต้องฟ้องร้องเองหมด” นายนามกล่าว

ด้านนาย กล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส. ซึ่งมีตำแหน่งเป็น 1 ในกรรมการป.ป.ช.กล่าวว่า คตส.มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ในการยื่นเรื่องฟ้องคดีเองได้ เช่นเดียวกับ ป.ป.ช. เมื่อป.ป.ช. มีอำนาจตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาฯ คตส. ก็มีอำนาจนี้ด้วย

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวระบุว่าแม้ประกาศคปค. จะเทียบเท่ากับกฎหมาย แต่ในแง่ความชอบธรรมแล้ว คตส. ก็ควรจะยอมรับความจริง และเลิกทำงานบนพื้นฐานของการยึดอำนาจ ตามวิถีทางเผด็จการได้แล้ว เพราะบรรยากาศในบ้านเมืองขณะนี้ต้องการความสงบเรียบร้อยและเป็นบรรยากาศทางประชาธิปไตย
ขณะเดยวกันทางด้าน นายชัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงการที่ คตส. ดึงเอาสำนวนคดีออกสลากพิเศษ เลขท้าย 3 และ 2 ตัว ไปขอความเห็นกับสภาทนายความเพื่อที่คตส.จะดึงดันเรื่องส่งฟ้องเองนั้น เป็นเรื่องที่ยังไม่ถึงในขั้นตอนที่ทางคตส.จะนำเอาไปดำเนินการได้เอง

ในทางกฎหมาย ต้องรอให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดเสียก่อนถ้าทางอัยการพิจารณาตัดสินลงความเห็นมาว่าไม่สามารถจะดำเนินการฟ้องได้ ทางคตส.อยากจะเอาไปดำการอย่างไรก็ขึ้นกับทางคตส.เอง

ส่วนกรณีที่ไปดึงเอาสภาทนายความช่วยตัดสินยื่นยันในเรื่องสำนวนคดีนั้น นายชัยวุฒิ กล่าวว่าสภาทนายไม่ได้มาช่วยให้ฟรีแน่นอน เท่าที่รู้มามีการเรียกร้องค่าดำเนินการมาอาจจะอยู่ในหลัก 19 ล้าน ซึ่งตนเชื่อว่าถึงไปขอคำรับรองมาก็ไม่น่าจะทำอะไรได้เนื่องพยานหลักฐานมันอ่อนมากจนทำให้สำนวนไม่สมบูรณ์

ในส่วนของหลักฐานที่นำมาใช่ยื่นยันมันก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่ไปบ่งชี้เลยว่า ได้มีการนำเงินที่ขายสลากออกไปใช่ในทางมิชอบ แต่กลับมีการไปใช้โดยก่อประโยชน์สาธารณะมากกว่า ดังนั้นทางอัยการสูงสุดจึงส่งเรื่องกลับให้ทางคตส.เองสอบใหม่เพื่อเพิ่มเติมข้อมูล แต่ในเมื่อทางคตส.ไม่ดำเนินการใดๆกลับจะนำเรื่องไปทำซะเอง ก็ให้คตส.รับชอบเต็มๆ เอง เพราะหาถ้าอัยการสูงสุดยังดื้อคนที่เจ็บตัวกลับเป็นทางอัยการสูงสุด

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวอีก การที่ทางอสส.ปฏิบัติหน้าที่ในการดูสำนวนคดีเรื่องนี้ก็ได้ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนกฏหมายเสมออยู่แล้ว แต่ในบางครั้งอาจมองว่าอาจเสียเวลาไปบ้างแต่เพื่อความถูกต้องที่สุด คตส.เองน่าจะเข้าใจไม่น่ามองว่าเป็นการดึงสำนวน อีกทั้งยังออกมาบอกว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกอีก ซึ่งทั้งคตส.เองกับทางอัยการสูงสุดเอง ก็เป็นข้าราชการทางกกหมายเหมือนกันไม่น่าทำกันได้ลงคอ

การกระทำเช่นนี้เป็นการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เท่าที่ผ่านมาคนอื่นเขาก็มองว่าทางอัยการสูงสุดเป็นผู้ร้ายในสายตาอยู่แล้ว ถ้าคิดในมุมกลับกันเหมือนเป็นการปัดสวะให้พ้นตัวซะมากกว่า หากเกิดข้อผิดพลาดในเรื่องคดีขึ้นส่งเรื่องฟ้องไปที่ศาลแล้วถูกตีกลับมาผู้เสียหายเอาเรื่องฟ้องร้องกลับทางคตส.เองก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 10:27:46 น.
Counter : 348 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

แสนแสบ!!ทรวง!!
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสนแสบ!!ทรวง!!'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.