|
Return On Invested Capital (ROIC)
ROIC เป็นผลตอบแทนต่อการลงทุนของ Investors (ทั้งผู้ถือตราสารหนี้และผู้ที่หุ้นสามัญ)
สูตร ROIC = NOPAT/Invested Capital สาเหตุที่ใช้ NOPAT ไม่ใช้ Net Icome เพราะว่าตัวส่วนเป็น Invested Capital ซึ่งเป็นเงินลงทุนของผู้ลงทุนทั้งสองกลุ่ม ดังนั้นกำไรที่ใช้ควรเป็นกำไรก่อนที่จะจ่ายดอกเบี้ยออกไป
NOPAT = EBIT*(1-Tax) Invested Capital หลักๆคิดว่าหาได้ 3 วิธีนะครับ
1.เอา Equity+Debt โดย Debt ในที่นี้ไม่ใช่ Liability นะครับ (เพราะจะไม่รวม เจ้าหนี้การค้าและค่าใช้จ่ายค้างจ่าย) แต่จะหมายถึงเงินที่มาจากผู้ให้กู้ เช่น กู้แบงค์ ออกตราสารหนี้ ออก Note Payable โดยหากสังเกตุ มันคือ หนี้ที่มีดอกเบี้ย ครับ
2.เอา สินทรัพย์ทั้งหมด- หนี้ระยะสั้นที่ไม่มีดอกเบี้ย เช่น เจ้าหนี้การค้าและค่าใช้จ่ายค้างจ่ายครับ
3.เอา Equity+(สินทรัพย์ระยะสั้น-หนี้ระยะสั้นที่ไม่มีดอกเบี้ย)
โดยทั้งสามวิธีจะให้คำตอบที่เท่ากันนะครับ
Create Date : 28 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 6:55:41 น. |
Counter : 9047 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การใช้ P/E
P/E นั้นมีสองประเภทนะครับ
1.Trailing P/E ใช้ ราคาหุ้นหารด้วยกำไร 4 ไตรมาสที่ผ่านมาล่าสุด 2.Leading P/E ใช้ ราคาหุ้นหารด้วยกำไร 4 ในอนาคต (โดยปกติในเวบต่างๆจะใช้ Trailing P/E แต่กรณีใช้จริง ผมคิดว่าใช้ Leading P/E จะเหมาะสมกว่า)
ในการเปรียบเทียบ P/E 1.เปรียบเทียบกับผู้อื่น เช่น อุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ บริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน โดย ความเห็นผมควรเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำธรุกิจคล้ายคลึงกันมากกว่า 2.เปรียบเทียบกันตนเองในอดีต วิธีนี้ ให้หาค่าเฉลี่ยของ P/E ในอดีต แล้วดูว่าตอนนี้สูงกว่าหรือไม่
ข้อเสียของ P/E 1.คือใช้ Earning โดย Earning นั้นเป็นตัวที่สามารถตกแต่งได้ง่ายที่สุด สำหรับคนที่ซื้อหุ้นเพราะ P/E ต่ำผมแนะนำว่าให้ดูงบดีๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเจอกำไรหรือรายได้บางอย่างที่ไม่ได้มาจากการดำเนินธุรกิจจริงๆ เช่น กำไรจากการขายที่ดิน การเปลี่ยนนโยบายบัญชี
2.ไม่ได้คำนึงถึง Growth ของกำไร เนื่องจากในบางครั้ง P/E สูงนั้นอาจเหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากบริษัทมี growth ที่คาดในอนาคตที่สูง ซึ่งในกรณีอาจแก้ปัญหาโดยใช้ PEG (คือ P/E หารด้วย Growth อีกที) โดยถ้าผมจำไม่ผิดถ้าต่ำกว่า 1 จะถือว่าถูก (ลองหาหนังสือ one up wall street มาอ่านดูนะครับ) 3.P/E นั้นไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง 4.ประเมินมูลค่าไม่ได้หาก E เป็นลบ
ข้อเสียของการใช้อัตราส่วนทางการเงิน(Relative Valuation) เช่น P/E,P/B 1.มันบอกได้แค่ว่า หุ้นตัวนี้ถูกกว่าหรือแพงกว่าอีกตัวแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าน่าลงทุนหรือไม่น่าลงทุน (บางครั้งการที่ถูกกว่าก็อาจจะไม่น่าลงทุนก็ได้) 2.อันนี้มาจาก ดร.นิเวศน์ นะครับ ท่านบอกว่าอัตราส่วนการเงินเหมาะที่จะใช้กับธุรกิจที่กำไรมั่นคงเท่านั้น
Create Date : 07 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 8:51:26 น. |
Counter : 799 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทำไมธนบัตรที่เป็นแค่กระดาษถึงมีมูลค่า???
เพื่อให้เข้าใจ ผมขอเปรียบเทียบกับ ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ ตราสารหนี้ ซึ่งเป็นแค่กระดาษเช่นกัน แต่ก็มีมูลค่า ทั้งนี้เพราะ มีคนเซ็นรับรองว่าจะมีการใช้เงินตามสัญญาที่ตกลงกันไว้
ธนบัตร ก็เปรียบเหมือนสัญญาใช้เงินเช่นกัน โดยผู้ที่เซ็นรับรองการเป็นลูกนี้ ก็คือ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยนั่นเอง
Create Date : 30 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 30 เมษายน 2554 15:30:28 น. |
Counter : 1059 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
The Eficient Market Hypothesis (EMH)
EMH เป็นทฤษฎีที่พูดถึงเกี่ยวกับความเร็วของราคาในการสะท้อนข้อมูล ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1.Weak-Form Efficiency
ในระดับ Weak-Form นั้นกล่าวว่า ราคาหุ้นในปัจจุบัน ได้สะท้อนข้อมูลของในอดีตทั้งหมดแล้ว ดังนั้น หากตลาดอยู่ในระดับ Weak การลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่สามารถทำกำไรเหนือตลาดในระยะยาวได้
2.Semistrong-Form Efficieny
หากตลาดอยู่ในระดับ Semistrong Form แล้ว ราคาปัจจุบันของหุ้นได้สะท้อนข้อมูลสาธารณะทั้งหมดแล้ว ดังนั้นการนำข้อมูลต่างๆที่เปิดเผยสู่สาธารณะแล้ว มาวิเคราะห์(การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน) ไม่สามารถทำกำไรเหนือตลาดในระยะยาวได้
3.Strong-Form Efficiency
ใน ระดับ Strong-Form กล่าวว่า ราคาปัจจุบันของหุ้นได้สะท้อนทั้งข้อมูลที่เปิดเผยในที่สาธารณะและข้อมูลภาย ในทั้งหมดแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจะไม่สามารถทำกำไรเหนือตลาดในระยะยาวโดยใช้ข้อมูลภายในได้
โดยหากตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าจะถือว่าผ่านการทดสอบในระดับต่ำกว่าด้วย เช่น ตลาดในระดัับ Semistrong-Form การวิเคราะห์พื้นฐานรวมทั้งเทคนิค ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้
กลุ่มที่มีความเชื่อว่าตลาดอยู่ในระดับ Strong-Form จะแนะนำให้ลงทุนใน Set Index เนื่องจากเชื่อว่านักลงทุนไม่สามารถเอาชนะตลาดได้
แต่จากการวิจัยพบว่า ตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ Weak-Form และ SemiStrong-Form
นอกจากนี้ Warren Buffett ก็ได้พิสูจน์จากผลตอบแทนของเขาแล้วว่า สามารถที่จะเอาชนะตลาดได้
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2554 | | |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2554 21:43:44 น. |
Counter : 1992 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การหา Require Return of Equity ( Re) ด้วย CAPM เชิงปฏิบัติ
เราจะมาหา Re แบบง่ายๆกัน
สูตร Re=Rf+(Rm-Rf)beta
โดย Rf = Risk Free Rate ปกติเราจะใช้ ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี โดยหาข้อมูลได้ที่ //www.thaibma.or.th/PriceYield.html
Rm-Rf = Market Risk Premium โดยหาข้อมูลได้ที่ //pages.stern.nyu.edu/~adamodar/New_Home_Page/datafile/ctryprem.html
beta = คือความเสี่ยงที่เป็นระบบ ของหุ้นที่ต้องการหา Re โดยหาข้อมูลได้ที่ https://www.trinityquicktrade.com/Quicktrade/jsp/tools.jsp
นี่ เป็นแค่วิธีอย่างง่ายนะครับ ในความเป็นจริงเราอาจต้องดูว่า Input และสูตรที่ใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่ง Market Risk Premium และ beta นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ก็ต้องขอขอบคุณ เวบดีๆ ที่ได้มำข้อมูลมาให้เราแล้ว
Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2554 | | |
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2554 10:18:58 น. |
Counter : 8148 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|