ตัวคนเดียวเที่ยวเมืองน่าน


ผมเคยไปน่านเมื่อ 2 ปีที่แล้วตอนงานพืชสวนโลก



 


ไปตอนนั้นไปจังหวัดภาคเหนือหลายแห่ง น่าจะ ถึง7แห่ง แวะพักไปเรื่อยๆ ที่วิ่งอ้อมไปน่านครั้งที่แล้วเพราะว่าเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่ไม่เคยไป เป็นจังหวัดที่76 อยากไปเที่ยวให้ครบทั่วประเทศก่อน อายุ  20 เลยยิ่งอยากไปใหญ่ แต่พอไปถึงแล้ว ก็.... ชอบมากๆ เรียกว่าชอบสัดๆโดยไม่เกี่ยวกับประเด็นเที่ยวทั่วไทย แล้วกันรู้สึกว่าเมืองนี้ดีไปหมด ธรรมชาติสวย วัฒนธรรมยังเป๊ะ ผู้คนมีความเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อนักท่องเที่ยว หลังจากไปน่านครั้งนั้น เวลามีคนชวนไปภาคเหนือผมก็จะบอกว่าอยากไปน่านแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลย



 


จนมหาลัยมีหยุด 1 อาทิตย์ผมก็วางแผนกับเพื่อนๆว่าจะไปเที่ยวน่านกัน แต่ปรากฏว่าทริปล่มผมก็เลยเอาว่ะ กูชอบจังหวัดนี้มากบวกกับอากาศกำลังหนาว เลยแบกเป้ไปเที่ยวคนเดียว แต่ไม่ใช่แบ็คแพ็คน่ะครับทีแรกที่ตั้งใจไว้ไม่กะจะโบกรถหรืออะไรเพราะโตมาจนป่านนี้ก็เพิ่งเคยเที่ยวคนเดียวแหละครับผมเลยเอาแค่เที่ยวคนเดียวซอฟต์ๆไปก่อน



 


เริ่มแรกก็ออกจากหมอชิตตามสไตล์เย็นวันอังคารที่ 13 มกรา รถโดยสาร ปรับอากาศชั้นหนึ่งของสมบัติทัวร์ราคา 497 บาทครับใช้ได้เลย ใช้เวลานั่งรถประมาณ 9 ชั่วโมงเศษเกือบ 10 แนะนำให้นอนไปครับผม ผมหลับยาวจนถึงพิษณุโลกเลย รถทัวร์แวะทานอาหารที่พิษณุโลกครับ พอผมลงไปก็ชะงักงงันเล็กน้อยเนื่องจาก อ่าน่ะ หนาวมากไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของพิษณุโลก เริ่มเครียดเพระเอาเสื้อหนาวมาแค่ 2 ตัวเท่านั้นเอง ขึ้นรถกลับไปก็หลับยาวจนถึงแพร่ก็หลับๆตื่นๆจนถึงน่าน (นับว่าโชคดีที่หลับเพราะเห็นว่ารถแจกถุงอ้วกด้วย)



 


พอลงที่น่านผมก็ขึ้นรถแดงเช่นเดียวกับขึ้นที่เชียงใหม่ ราคา 20 บาท แนะนำว่าถ้าใครเดินได้ให้เดินไปครับไม่ไกลเลยแต่อาจจะหลงเพราะฉะนั้นนั่งรถไปดีกว่า.... เอ๊ะยังไง ผมลงรถที่ตรงข้ามโรงแรมน่านฟ้าเป็นโรงแรมเก่ามีตลาดเช้าอยู่ตรงข้ามผู้คนคึกคักนั่งท่องเที่ยวน้อยเพราะเป็นวันธรรมดาครับ ของขายเยอะดี ผมก็มองซ้ายมองขวาไม่รู้จะไปทางไหนมาคราวที่แล้วมีรถมาคราวนี้ไม่มีอะไรเลย ถามคนแถวนั้นเอาว่า “ข่วงเมือง” ไปทางไหนเพราะคราวที่แล้วเคยมามีที่บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย คนน่านถามได้ทุกคนถ้ามีอะไรสงสัยไม่ต้องกลัวครับอัธยาศัยดีมากกกกกกก



 



โรงแรมน่านฟ้าโรงแรมเก่าแก่ของเมืองน่านครับ



 กาดเช้าครับ


แล้วผมก็เดินไปเรื่อยๆตามทางที่มีคนบอกมาผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีหมอกลงเต็มไปหมดตอนนั้นเกือบ 7โมงแล้วน่ะครับยังไม่เห็นดวงอาทิตย์ครับ เดินไปเรื่อยๆจนเจอข่วงเมืองครับผม ข่วงเมืองก็คือลานกลางเมืองน่ะครับ คล้ายๆสนามหลวงแต่เล็กกว่าเยอะครับให้เดาผมว่าสมัยโบราณน่าจะประโยชน์ใช้สอยเหมือนกัน คำว่าข่วงคงเรียกลานว่างทั่วๆไป้มั้งครับเพราะเห็นมีข่วงหน้าประตูชุมแพด้วยยังไงใครเป็นคนเหนือก็มาบอกทีน่ะครับผม พอถึงข่วงเมืองก็ยังไม่ไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครับเดินเล่นบริเวณคุ้มหลวง วักพระธาตุช้างค้ำ แล้วก็วัดภูมิทร์ก่อน บริเวณนั้นเป็นเขตเมืองเก่าครับตอนเช้าก็มีรถติดฟแดงเล็กน้อย  ไฟแดงที่นี่สวยน่ะครับ ทำให้เข้ากับเมืองรวมถึงเสาไฟด้วยทำเป็นรูปเรือแข่ง แล้วก็เสาไฟฟ้าที่นี่ตั้งแต่ผมมาเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็เอา สายไฟลงใต้ดินหมดแล้ว แต่ที่ยังมีเสาอยู่เพราะสายโทรศัพท์ไม่ยอมเอาลงใต้ดินก็ตลกดีครับจะเห็นเสาไฟบริเวณนี้ไม่มีหม้อแปลงเลย นอกจากนั้นก็บริเวณนี้ก็มีการทุบกำแพงลงครึ่งหนึ่งตามสถานที่ราชการเพื่อให้มุมมองของเมืองสวยขึ้น ก็สวยจริงๆแหละครับ ข้อดีอีกอย่างของเมืองนี้ก็คือจะมีเลนจักรยานและป้ายเตือนให้ระวังจักรยานครับ น่ารักจริงๆแม้ว่าบางทีจะมีรถจอดขวางบางก็ตามแต่ก็ต้องของคุณความพยายามของทางจังหวัดที่พยายามทำให้น่านเป็นเมืองจักรยานน่ะครับ ดังนั้นช่วงที่อากาศไม่หนาวมาก(ดังเช่นที่ผมยืนตัวสั่นอย่างตอนนี้) ก็จะเห็นคนปั่นจักรยานเยอะพอสมควรครับ



 



 



เมืองน่านเป็นเมืองจักรยานครับผม
 


หลังจากเดินดูพระอาทิตย์แรกที่เมืองน่านของทริปนี้ที่กลางข่วงเมืองแล้วก็เดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เปิดเพราะว่าเช้าเกิน (7โมงก่า) แต่ที่ศูนย์มีพี่ตำรวจอยู่คนหนึ่งผมเลยเข้าไปคุยถามหาที่พักที่เที่ยว พี่เค้าก็ตกใจเล็กน้อยที่มาคนเดียวและไม่มีรถ พี่เขาก็แนะนำต่างๆ รวมถึงแนะนำที่เช่าจักรยานซึ่งก็อยู่ใกล้ๆโรงแรมน่านฟ้าที่ผมเดินมาทีแรก(T_T) และแนะนำให้หาข้าวกินที่นั่น และให้แผนที่เมืองน่านมา ผมก็ขอบคุณพี่เค้าและฝากกระเป๋าไว้ที่นั้นด้วยเพราะระหว่างนี้ผมต้องการปั่นจักรยานเที่ยวครับที่พักค่อยว่ากันเพราะผมเองยังไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน ดังนั้นการฝากกระเป๋านับเป็นเรื่องที่ดีมาก 55 แนะนำให้ทำครับผม



 



ภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่วักพระธาตุช้างค้ำครับ บริเวณข่วงเมือง
 


แยกออกมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผมก็เดินมาเรื่อยๆจนกลับมาที่ตลาดเช้ามาหาของกินแล้วก็เช่าจักรยานร้านโอเวอร์ซีบริเวณหัวมุมถรร ใกล้ๆตลาด แล้วก็ปั่นเล่นเมืองน่านพร้อมแผนที่ในมือ ส่วนกระเป๋านั้นฝากไว้กับคุณตำรวจแล้วส่วนที่พักนั้นก็......เอ่อ ค่อยว่ากัน



 


ที่แรกที่ไปเดาถูกไหมครับว่าที่ไหนที่นั่นก็คือท่ารถครับปั่นผ่านข่วงเมืองไปตั้งใจจะไปท่ารถแต่ไปไม่ถึง ก็ผ่านเสาหลักเมืองน่านและวัดมิ่งเมืองที่แปลกตาจนต้องจอดดู คล้ายๆวัดร่องขุ่นครับเวอร์นิดๆแล้วก็เป็นสีเงินทั้งวัด แปลกตาดีครับตัดกับศิปลแบบล้านนาที่เรียบง่ายแถวนั้นค่อนข้างมาก มีการสลักลวดลายวิจิตรบรรจงมาก หลังจากที่นมัสการเสร็จเรียบร้อยก็ปั่นจักรยานแบบหลงบ้างนิดหน่อยจนถึงขนส่งเพื่อถามว่ามีรถไปอำเถอะไรบ้างก็มีหลายอำเภอส่วนมากออกทุก 1 ชั่วโมง แล้วก็ออกมาดูในแผนที่บริเวณนั้นมีวัดพญาวัดอยู่ใกล้ๆเลยปั่นๆไป แปลกตาดีครับผมเป็นเจดีย์แบบเหลี่ยมเป็นชั้นๆและยอดเป็นแบบล้านช้างแบบอีสานผสมกลมกลืนกันจนแปลกตาครับผม สร้างเพื่อระลึกถึงพระนางจามเทวีด้วยครับและวัดก็ติดกับกำแพงเมืองโบราณที่ย้านมาเป็นเมืองที่ 3 ที่เรียกว่าเวียงใต้ด้วยครับส่วนเมืองน่านปัจจุบันคือย้ายมาครั้งเป็นเมืองที่ 5 ครับผม  เห็นในแผนที่เลยไปเป็นพระธาตุเขาน้อยที่สามารถเห็นเมืองน่านจากมุมสูงได้มีเหรอครับจะพลาดก็ปั่นจักรยานไปเลยครับผมไปถึงปุ๊บ ถึงนี่คือถึงตีนเขานน่ะครับก็จบเลยครับเดินลากจักรยานขึ้นแทน อากาศบนนั้นเย็นมากครับผม วิวเมืองน่านจากระยะไกลๆสวยมาก เป็นเมืองที่รู้สึกว่าจะมีเรื่องการควบคุมความสูงของอาคารด้วยครับ อาคารค่อนข้างเตี้ยและมีวัดวามากมายเมื่อมองจากมุมข้างบน มีพระพุทธรูปปางค์ลีลาประดิษฐานอยู่บนยอดเขากำลังมองเมืองน่านอยู่ด้วยครับ ทที่พระธาตุนนี้ชื่อเขาน้อยตามตำนานเล่าว่าเกิดจากมเหสีน้อยของเจ้าเมืองน่านขอนุญาตแบ่งเส่นเกศาพระพุทธเจ้ามาสร้างไว้ที่นี่เลยเรียกว่าพระธาตุเขาน้อย(อันนี้เอามาจากประวัติวัดสวนตาลน่ะครับ) การเดินทางขึ้นพระธาตุเขาน้อย(ที่คนทั่วไปขับรถขึ้น) ใช้เวลานานพอควรครับแต่คุ้มเหนื่อยกว่าขึ้นพระธาตุแม่เย็นที่ปายเยอะ แต่วิวสวยกว่าครับเป็นป่ามากกว่า แนะนำให้ขึ้นมาดูวิวเมืองน่านจากที่สูงครับ ผมเองกว่าจะเดินขึ้นก็10โมงเกือบ 11 โมงแล้วครับ



 



ภาพเมืองน่านระยะใกล้จากพระธาตุเขาน้อยครับ
 



 


หลังตากที่อิ่มมอกอิ่มใจกับวิวเมืองน่านก็ถึงเวลาลงจากพระธาตุเขาครับผมก็ลงสบายแต่ใครขี่จักรยานก็อย่าบีบเบรคกระทันหันนน่ะครับหน้าทิ่มแน่ๆแล้วก็เลี้ยงซ้ายก่อนถึงถนนใหญ่ไปดูเครื่องเงินนันทบุรีแต่ไม่ได้ซื้อครับก็ปั่นออกมากลับเขาเมือง แวะนมัสการที่วัดศรีพันต้นเป็นวัดที่สวยมากมีเรือแข่งที่ยาวที่สุดในประเทศไทยจอดอยู่ ตัววัดเองก็สวยมากครับแต่ดูยังสร้างไม่เสร็จดียังไม่มีช่อฟ้า แล้วก็ถึงเวลากินข้าวครับตอนเที่ยงแก่ๆ ปั่นตรงจากวัดศรีพันต้นไปกินร้านข้าวซอยต้นน้ำ อร่อยมากครับ เป็นข้าวซอยที่อร่อยมากมีข้าวซอยเนื้อกับไก่และมีขนมหวาน เป็นร้านเล็กๆอยู่ใกล้วัดมิ่งเมือง คนที่มากินนี่ส่วนมากก็เป็นคนในเวียงนั้นแหละครับผม



 



ร้านข้าวซอยต้นน้ำครับใกล้ๆวัดมิ่งเมือง
 



 



ข้าวซอยเนื้อรสเด็ด
 



 


หลังจากนั้นก็เข้าสู่บริเวณข่วงเมืองที่มาตอนบ่ายเพราะแดดจะแรงอยากเดินล่นในข่วงที่ร่มรื่นครับและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านก็เปิดสายๆ(9โมง) เลยไปเขาน้อยก่อนครับแล้วค่อยมาเข้าพิพิธภัณฑ์ เริ่มจากพิพิธภัณฑ์ก็เป็นคุ้มเจ้าหลวงเก่า งาช้างดำของขึ้นชื่อเมืองน่านเก็บอยู่ที่นี่แหละครับมาดูกันได้ ค่าเข้าชม 20 บาท หลังจากเสพย์ประวัติมืองน่านจนอิ่มก็มีข้อมูลเมืองน่านเล็กน้อยๆครับ เมืองน่านเดิมอยู่ที่อำเภอปัวแล้วย้ายมายังภูเพียงแช่แห้งที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำน่าน แล้วก็ย้ายมาที่ฝั่งเวียงใต้ตรงบริเวณวัดพญาวัดที่ไปมาเมื่อเช้า แล้วก็ย้ายไปทางเหนือก่อนย้ายลงมาที่เมืองน่านปัจจุบันจึงนับเป็นเมืองน่านที่ 5 แล้วน่ะครับ โดยที่ย้ายบ่อยๆส่วนมากเป็นเพราะแม่น้ำน่านเปลี่ยนทิศทางครับ เมืองน่านมักจะโอนอ่อนไปตามผู้ที่มีอำนาจมากไม่ว่าสุโขทัย เชียงใหม่ หรือพม่า เนื่องจากเมืองน่านเป็นเมืองเล็กและมีบ่อเกลือภูเขา(อำเภอบ่อเกลือจังหวัดน่าน) ทำให้เมืองน่านมักตกเป็นที่สนใจของเมืองในสมัยก่อนครับผม ในส่วนของสมัยรัตนโกสินทร์นั้นเจ้าเมืองน่านบางองค์ได้รับการอวยยศเทียบชั้นเจ้าฟ้าก็มีน่ะครับผมแสดงให้เห็นถึงความแนบแน่นของน่านกับศูนย์กลางทางอำนาจ บริเวณพิพิธภัณฑ์นั้นนอกจากคุ้มเจ้าเมืองแล้วก็มีวัดน้อย และที่สวยงามมากคือทางเดินต้นลั่นทมทีอยู่ข้างหน้าคุ้มน่ะครับถ้าไปหน้าหนาวต้นจะผลัดใบเหมาะกับการถ่ายรูปมากครับผม



 



ถนนต้นลั่นทมบริเวณหน้าคุ้มเจ้าหลวง
 



คุ้มเจ้าหลวงครับผมปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านครับ
 



 


ออกมาจากพิพิธภัณฑ์ก็จะเป็นวัดต่างๆที่สำคัญของเมืองน่านเริ่มจาก ซ้ายมือคือวัดหัวข่วงเป็นวัดที่มีหอพระไตรปิฎกที่สวยงามและชื่อของวัดคือวัดที่อยู่บริเวณข่วงเมืองนั้นเอง ตรงข้ามกับคุ้มเจ้าเมืองก็คือวัดพระธาตุช้างค้ำอันเป็นวัดหลวงกลางเวียงเป็นวัดหลวงที่ใกล้กับเขตราชฐานมาก มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และเจดีย์ช้างล้อมรวมถึงพระพุทธรปปางลีลาศิลปะสุโขทัยอยู่ในวัดอีกด้วย ส่วนฝั่งขาวของคุ้มเข้าเมืองเลยจากข่วงเมืองไปคือวัดภูมิทร์วัดที่ขึ้นชื่ออีกวัดของจังหวัดน่านเคยเป็นรูปบนธรบัตรสมัยก่อนด้วย วัดนี้มีลักษณะพิเศษคือมีพระประธานแบบจตุรมุข คือพระประธานเป็นพระพุทธรูป 4 องค์หันหลังชนกัน แล้วตรงยอดวิหารจตุรมุขมียอดเหมือนเจดีย์ และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างของวัดนี้คือมีภาพจิตกรรมศิลปะสกุลช่างเมืองน่านวาดอยู่ภายใน ที่มีความสวยงามและบอกเล่าวิถีชีวิตคนน่านสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี และมีรูปปู่ม่านย่าม่านที่คนน่านเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของคนน่านอยู่ด้วย



 



เด็กๆวิ่งเล่นบริเวณข่วงเมืองหน้าวัดภูมิทร์ครับ 
 



 


หลังจากเที่ยวบริเวณขวงเมืองเสร็จก็ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ๆกันตอนนี้ศูนย์เปิดเกือบหมดแล้วผมจึงไปในส่วนของอุทยานก็มีพี่มาให้ข้อมูลว่า ถ้าไม่มีรถมาเองมีอุทยานอันเดียวที่มีรถเมลล์ผ่านคืออุทยานภูคา ซึ่งผมเคยไปมาเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว แต่ผมก็เอาว่ะไปอีกก็ได้ยังไงก็ยังไม่มีที่นอนอยู่แล้ว พี่เขาบอกว่ารถเมลล์ออกจาน่านไปอำเภอปัวอำเภอก่อนขึ้นภูคานั้นหมด 5 โมงตอนนั้นบ่าย 2 แล้ว แต่ยังไงผมก็ขึ้นภูคาไม่ทันเพราะรถเมลล์สาย ปัว-บ่อเกลือซึ่งผ่านภูคา หมด บ่าย2 ผมจึงตัดสินใจไปต่อโดนการไปนอนที่ปัวแล้วค่อยขึ้นภูคาพรุ่งนี้เช้า ผมอยากไปถึงปัวเย็นๆจึงกะขึ้นรถเที่ยว บ่าย 4 ยังเหนือเวลาอีก 2ชั่วโมงนิดๆ  จึงเอากระเป๋ามาสะพายอีกครั้งแล้วปั่นจักรยานไปวัดสวนตาล วัดสวนตาลมีต้นตาลประปรายดั่งชื่อ วัดนี้นั้นเป็นลักฐานแสดงถึงการที่เชียงใหม่สามารถยึดครองน่านได้สำเร็จและเป็นคนจากราชวงศ์เชียงใหม่มาปกครองน่าน ออกมาจากวัดสวนตาลผมก็ยังมีเวลารอรถเมลล์รอบ4โมงอีกจึงปั่นไปร้านโอท็อปเชิงสะพานข้ามแมม่น้ำน่าน ผมก็นั่งคุยอยู่บคนขายของในนั้นไปพลาง (สังเกตว่าทุกคนที่นี่คุยกันง่ายมาก)พอดีพี่เค้าเป็นคนปัวก็บอกการเดินทางไปภูคาให้ฟังอีกครั้งระหว่างที่คุยอยู่นั้นก็มีระถกระบะมาจอดหน้าร้านแล้วคนขับรถเดินไปซื้อของฝั่งตรงข้าม บนรถเขียนว่า”อุทยานแห่งชาติดอยภูคา” พี่คนที่ผมคุยด้วยเป็นคนเห็นเค้าเลยบอกให้ผมติดรถคนนี้ขึ้นไป ผมก็ไม่กล้าพี่เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาคุยให้เพราะเขาพูดคำเมืองได้ ระหว่างที่รออยู่นาน พี่อุทยานก็ยังไม่ออกมาจากอีกร้านซักทีรถรอบต่อไปก็ใกล้ออก ผมเลยเดินเข้าไปในร้านฟังตรงข้ามเพื่อคุยกับเขาเองแล้วก็ได้ไปในที่สุด ผมรีบเอาจัรกยานไปคืน แล้วเดินมาที่ร้านโอท็อปพี่อุทยานเขาก็นั่งรอแล้วก็เดินทางกันร่ำลาพี่ที่ร้านโอท็อปเป็นการเรียบร้อย



 


ระหว่างทางที่นั่งไปปัวนั้นห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 50 กิโล พี่เขาขับแปบเดียว อ้อพี่เขาชื่อพี่ภุชงค์ น่ะครับเป็นรองหัวหน้าอุทยาน แวะซื้อของที่ปัวเล็กน้อยแล้ววิ่งขึ้นเขาไปอีก 20 กิโลก็จะถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระหว่างทางผมกับพี่เขาก็คุยกันเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาตินั้นแหละครับ แล้วก็คุยว่าพรุ่งนี้ผมจะลงมาได้ยังไง 55 ยังไม่รู้วิธีลงมาเลยครับ



 


และแล้วผมก็มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคาหนาวตั้งแต่ก้าวแรกที่ลง อุณหภูมิต่ำสุดเมื่อคืนคือ 2องศา ผมก็เริ่มเครียดเพราะเอาเสือหนาวมา 2 ตัว ผมนอนบ้านแบบบ้านเกวียน ไม่ได้นอนเตนท์เพราะน่าจะหนาวราคา300บาท  ผมไปถึงบ้านเกวียนก็มีคนอยู่แล้ว ประมาณ 7คนนั่งทำอาหารกันอยู่ก็ทักทายพอเป็นพิธี หลังจากนั้นผมก็ไปถ่ายภาพจนมืดก็กลับมาที่บ้านเกวียน พวกที่มาก่อนก็ชวนไปนั่งด้วย และกินดื่มเล็กน้อย 55 สรุปว่าพวกพี่เขาเป็นศิลปินเป็นช่างปั้นเป็นจิตกรอะไรแบบนั้น มาช่วยชาวบ้านที่พระธาตุแช่แห้งทำสินค้าโอท็อปแล้วเลยขึ้นมาเที่ยวภูคา มีพี่คนนึงชื่อหนึ่งเป็นคนน่านด้วย อืมห์ๆ ก็คุยกันนานน่ะครบจนถึงเที่ยงคืนตอนนั้นนหนาวมาก ไม่สามารถออกนอกกองไฟได้เลยแต่ผมก็อาบน้ำอยู่ดีพราะไม่ได้อาบมา จะเข้าวันที่ 2 อยู่แล้ว 55 แล้วผมก็อาบน้ำซึ่งมีน้ำอุ่นด้วย 55



 




 



ภูคายามพระอาทิตย์กำลังตกดินครับผม
 



 


ตื่นมาตอนเช้าก็แน่นอนว่าผมต้องขอติดพี่ๆเขาลงภู ตอนแรกว่าจะอยู่เดินเที่ยวป่าก่อนแต่เนื่องจากเงินร่อยหลอ และไม่มั่นใจว่าจะมีรถเมลล์ผ่านมาไหมเลยขอติดพี่เขาไปดีกว่าได้ไปลานดูดาวซึ่งเคยมาแล้วพบว่าสวยกับ จุดชมวิวด้วย ระหว่างทางออกก็แวะดูอุณหูภูมิหน้าที่ทำการว่าเท่าไหร่ปรากฎว่า 1.7องศา มิน่าเมื่อคืน เสื้อหนาวและผ้าห่มมิช่วยอะไรใดๆ แล้วก็ติดรถพี่เขาไปจุดชมวิว



 



ต้นก่วมภูคาต้นเมเปิลแห่งดอยภูคาครับ
 



วิวยามสายๆของภูคาครับ
 



ทางโค้งหน้าจุดชมวิวสวยงามดีครับ
 


 แล้วเลยไปอำเภอบ่อเกลืออำเภอที่ทำเกลือภูเขาอำเภอนี้เงียบมากครั้งหน้าถ้ามีโอกาสอยากมานอนซักคืน อยู่กลางอุทยานหลายอันเลย แล้วก็แยกกับพี่ๆเขาที่ปัวเพราะพี่ๆเขาไปหอศิลป์ริมน่านที่เคยไปมาแล้วและพี่ๆเขาเป็นศิลปินก็คงดูอย่างดูดดื่ม ผมเลยลงที่ปัวเผื่อมีอารายเที่ยว



 



นี่คือกลางอำเภฮครับผม
 



ที่ต้มบ่อเกลือภูเขาครับ ขายถุงละ 20 บาท
 



วิ่งบนสันเขากันเลยทีเดียว
 



 


ก่อนลงพี่ที่เป็นคนน่านพาไปกินก๋วยเตี๋ยวใต้ต้นหูกวางอร่อยดีและแนะนำให้เราไปเที่ยวบ้านป่ากลาง ที่มีชาว “ถิ่น” อาศัยอยู่ พอแยกกันเราก็ขึ้น 2 แถว 20บาท(ได้จ่ายตังค์ค่ารถซักที) เพื่อไปป่ากลาง ก็เป็นหมู่บ้านเงียบๆห่างจากปัว 7 กิโลแต่ห่างปัวไปถึง กิโลก็เป็นทุ่งนา และไม่เกิน 5 กิโลก็เป็นป่าแล้ว อ่าน่ะให้ตายชอบเมืองนี้จังก็ไปดูชาวถิ่นปักผ้ากันอยู่แล้วก็ไป ร้านเครื่องเงิน ซื้อแหวนมา 1 วง เป็นหมู่บ้านเล็กๆอย่าหวังอะไรมาก เสร็จแล้วก็เดินไปดูหมู่บ้าอื่นๆต่อ เพราะทุกหมู่บ้านมีการทอผ้าหมดเลย ก็กะจะหาผ้าฝากแม่ ระหว่างนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์ที่คาดว่าคงสงสารเราเนื่องจากเห็นชัดเจนมากว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว สะพายเป้และกระเป๋ากล้องเดินเป็นกิโล มอเตอร์ไซค์มาจอดแล้วถามว่าจะเข้าปัวไหม เข้าจะไปจะไปส่งเราก็แบบช็อคกับความมีน้ำใจ แต่พอดีอยากเดินเล่นก่อนเลยปฏิเสธไป เฮ้อคนที่นี่มีน้ำใจจิงๆรักเมืองน่านครับบบบบ  แล้วสุดท้ายก็ได้ผ้ามาหนึ่งผือ ราคา180 ไม่แพงน่ะ เดินๆเอาเถอะมีทุกหมู่บ้านอ่ะที่ขายผ้า แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างขับผ่านมาพอดี(สงสัยอ่ะดิว่าทำไมการเดินทางของเรามันราบรื่นขนาดนี้ แต่มันเป็นงี้จริงๆ สงสัยเพราะเราขอหลวงพ่อทุกวัดเลยว่าให้เราสนุกกับการเที่ยวคนเดียวครั้งนี้) ค่ารถ30 บาทเข้าปัวเราก็ไปเพราะว่าเราเมื่อยแล้ว หลังจากนั้นตอนแรกว่าจะเที่ยวปัวเพราะ มีอีก 2-3 วัดที่อยากเข้า เช่นวัดปรางค์ที่มีต้นดิกกะเดี๋ยมที่สั่นได้ด้วยแต่ว่ารีบกลับเพราะอยากไปดูพระอาทิตย์ตกที่ริมน้ำน่าน และง่วงเพราะยังไม่ได้นอนจิงจังเลย นอกจากบนรถทัวร์(ที่ก็หลับและบนภูคาที่นอนไปหนาวไป) ไปถึงปัวก็นั่งรถเมลล์แดงกลับตัวเวียงน่าน ระหว่างทางก็หลับสนิทตื่นอีกที่ก็น่านแล้ว 55



 


ถึงน่านก็ตรงไปที่โรงแรมน่านฟ้าห้องราคา 350 โรงแรมคลาสิกดี เป็นส่วนที่คึกคัดที่สุดของเมืองน่าน ไม่ตั้งใจจะหลับแต่เผลองีบไป ตื่นมาอีกทีระอาทิตย์ก็ส้มๆแล้วรีบวิ่งไปริมน้ำน่านเพื่อถ่ายรูป (เมืองเล็กก็เดินไปมาได้ ดีเงี่ยแหละ) พอดีมีคนมาซ้อมเรือแข่งที่ริมนน้ำน่านด้วยเลยนั่งดูเขาซ้อมไปถ่ายรูปไป



 


  


แม่น้ำน่านยามเย็นครับ ตอนที่ผมไปมีคนมาซ้อมพายเรือด้วย
 



 


จนมืดก็เดินกลับผ่านนร้านโอท็อปก็แวะไปขอบคุณพี่ๆเขาอีกที แล้วก็เริ่มเดินหาอะไรกิน เดินผ่านคุ้มเจ้าราชบุตรก็เห็นร้านขายนมอยู่ร้านหนึ่งแต่ยังไม่แวะขายจิ้นทอด(เนื้อทอด) ด้วย เดินเลยไปส่วนข่วงเมืองเพราะอยากดูข่วงเมืงตอนกลางคืน ที่นี้เขาก็เปิดไฟขาวธรรมดาไม่ได้เปิดไฟส้มเอาใจนักท่องเที่ยว ผมชอบน่ะที่เมืองเขาทำอะไรตามใจไม่ต้องไปเอาใจมากหรอกนักท่องเที่ยวเอาจิงๆ เดินไปได้ซักพักก็ทนความหิวไม่ไหวเลยเดินกลับไปร้านขายนม เขามีชื่อร้านว่า ร้านใจ๋เมือง เพราะตั้งอยู่กลางเวียง ขายนมและอาหารคาวพวกน้ำพริกเทือกนั้น ฝั่งตรงข้ามร้านตรงกำแพงคุ้มเจ้าราชบุตรก็เป็นรูปตั้งเรียงเต็มไปหมด กินอาหารคาวเสร็จก็มากินนมในร้านและแน่นอนเหมือนที่เกิดเป็นประจำในเมืองน่าน พี่เจ้าของร้านเขามาคุยด้วย พี่เขาชื่อพี่ติ่ง เป็นคนเชียงใหม่ เป็นสถาปนิกชอบเมืองน่านเลยมาเปิดร้านนมที่นี่ ร้านก็มีสไตล์มาก สวยและแนว อาจจะคล้ายๆที่ปาย แต่ต่างกันเยอะน่ะในวัตถุประสงค์เพราะที่นี่เขาเปิดให้คนในเวียงมากินไม่ได้เน้นนักท่องเที่ยวและวันนั้นก็มีแต่คนในเวียงกับฝรั่งโต๊ะเดียว อีกอย่างที่นี่เปิดเป็นร้านสอนศิลปะ ด้วยสอนฟรีให้เด็กๆ คือเปิดร้านแล้วก็พยายามมีส่วนร่วมกับชุมชน ผมเลยลังเลว่าร้านนี้ทำชุมชนเปลี่ยนหรือว่าร้านนีสร้างสีสันให้ชุมชนแต่เอาเป็นว่าผมชอบร้านนี้ คุณตำรวจท่องเที่ยวก็ชอบเพราะเขายังพูดถึงรูปถ่ายที่ร้านนี้เอามาโชว์ฝั่งตรงข้ามร้านเลย คนที่เดินผ่านไปมาก็ดูรูปถ่ายทางอากาศหาบ้านตัวเองสรุปว่าร้านนี้มีส่วนรวมกับชุมชนแน่นอน แล้วผมก็ชอบพี่เจ้าของร้านด้วยอัธยาศัยดีอ่ะครับ แล้วเขาก็ไม่อยากให้น่านเปลี่ยนไปเป็นแบบปายด้วยเท่าที่คุย





ร้านใจ๋เมืองร้านสวยๆครับผม


คุยไปคุยมาพี่เขารูว่าผมเดินมาเลยให้ยืมจักรยานมา  1 คันผมก็อิดออนเล็กน้อยก่อนจะรับมา 55 แล้วก็ปั่นเล่นในเวียงเล็กน้อย แต่ก็หนาวมากเพราะใส่เสื้อหนาวมาตัวเดียว อากาศในเวียงโดยปกติตอนกลางคืนประมาณ 8 องศาครับ(คุณตำรวจบอก) แล้วผมก็ปั่นกลับโรงแรม พร้อมตั้งนาฬิกาปลุกด้วยคิดว่าพรุ่งนี้จะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่พระธาตุแช่แห้ง



 


ตื่นช้ากว่าที่ปลุกไปประมาณ ครึ่งชั่วโมงก็ตาลีตาเหลือกออกจากโรวแรมแล้วก็ปั่นจักรยานข้ามแม่น้ำ ไปไหว้พระธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้งหรือที่เราเรียกกันว่าพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีเถอาะและเป็นศูนย์กลางเมืองน่านสมัยย้ายมาจากเมืองปัวอีกด้วย การปั่นจักรยานขึ้นสะพานเหนื่อยมาก เอ้าฮึบ!! ปวดน่องเลย หมอกลงจัดทั้งเมืองโโยเฉพาะเมื่อข้ามแม่น้ำไปฝั่งอำเภอภูเพียงแล้ว หมอกลงจัดมา ในชีวิตไม่เคยเห็นหมอกจัดขนาดนี้มาก่อน ก็ปั่นไปเรื่อยๆ 7 โมงแล้วยังไม่เห็นพระอาทิตย์ ตอนที่ปั่นไปนั้นอากาศเย็นจัดมากจนมือเจ็บเวลาถ่ายรูปหรือจับแฮนด์จักรยานนี่เจ็บใช้ได้เลย ไปถึงเชิงภูเพียงแช่แห้ง หมอกลงจัดมองขึ้นไปไม่เห็นพระธาตุจนเดินขึ้นไปถึงกำแพงวัดจึงเห็นพระธาตุรู้สึกว่าผมจะไปเป็นคนแรกของวันนี้ ถ่ายรูปไปมา นานมาก จนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ยังไม่เห็นแสงเพราะว่าหมอกจัดจนแสงส่องไม่ได้เห็นเป็นดวงกลม จน 9 โมงพระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นผม จึงปั่นจกรยานกลับมาเวียง แล้วก็ไปนั่งถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกับหมอกริมแม่น้ำได้อีกรอบ อ่าที่ได้รูปสวยๆทันเวลานี่ต้องขอบคุณพี่ติ่งเจ้าของจักรยานจริงๆครับ






พระธาตุหลวงภูเพียงแช่แห้งยามเช้าครับ


 



แม่น้ำน่านยามเช้าหมอกอ้อยอิ่งริมตลิ่งครับ



หลังจากนั้นก็ถึงเวลาทานอาหารเช้าก็ทานร้านข้าวต้มเลือดหมูตรงข้ามโรงแรมครับ อยากบอกว่าอร่อย 55 เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานไปอัดรูปเพื่อที่จะส่งเป็นไปรษณียบัตรให้เพื่อนๆ อยากบอกหลายๆคนที่ไม่รู้ว่าไอ้รูปที่อัดเองเนี่ยเราสามารถเขียนข้างหลังติดแสตมป์ส่งให้เพื่อนๆได้เน้อ เผื่อใครชอบทำจาได้ทำกัน แล้วก็ปั่นไปซื้อตัวรถรอบ 19.30 แล้วก็ ปั่นกลับไปโรงแรมน่านฟ้าครับเพื่อที่จะออกจากโรงแรมตอนเที่ยง



 


อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เก็บของแล้วไปกินข้าวที่ร้านเฮือนฮอมตรงข้ามร้านข้าวซอยต้นน้ำ อร่อยดีครับแต่ไม่เห็นคนที่เวียงกินกันเห็นมีแต่นักท่องเที่ยว ตรงนี้เป็นบริษัทท่องเที่ยวด้วยครับผม หลังจากนั้นก็ปั่นไปเอารูปปั่นไปซื้อแสตมป์แล้วก็ปั่นกลับไปร้านใจ๋เมืองเพื่อคืนจักรยานแล้วนั่งเขียนโปสการ์ดที่ถ่ายเองตั้งแต่ 13.00 – 17.00 ประมาณ 20 ใบครับแล้วก็ เดินหาตู้เล็กๆส่ง เดินไปจนถึงข่วงเมืองก็ยังหาไม่เจอก็เลยเดินไปร่ำลาพี่ๆตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พี่ๆเค้ากำลังกินข้าวเย็นกันอยู่ก็ชวนกินด้วย (อ้ากผมรักเมืองนี้) แล้วก็ขอดูรูปพี่ๆเค้าก็ชมกัน แล้วก็พูดถึงรูปตรงร้านใจ๋เมือว่าสวยดี (แสดงว่าคนน่านทั่วๆไปก็ดูรูปที่ร้านนี้กัน) เสร็จแล้วผมก็เดินหาตู้ส่งต่อ เดินไปเดินมาก็โผล่ไปวัดพญาภูโดยไม่ตั้งใจ วัดพญาภูนั้นเห็นแต่ไกลแต่ม่ชัดเพราะอยู่กลางชุมชน มีซุ้มประตูโขงที่ใหญ่มากและก็มีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่านหลังจากผมนมัสการเสร็จกำลังใส่รองเท้าก็มีเสียงดนตรีเย็นๆแว่วมา ฟังครั้งแรกนึกว่าไวโอลิน ฟังดีๆก็รู้ว่าเป็นเสียงซอ ผมก็นั่งฟังไปซักพักจนเสียงดนตรีหยุดเล่นเพราะมากครับเย็นมากๆเลย บวกกับอากาศช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน ซึ้งมากๆ ผมก็เลยนึกถึงซอล่องน่าน ซึ่งเป็นดนตรีที่ขึ้นชื่อของเมืองน่าน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าถ้าใช่ก็โชคดีมากครับผมที่ได้มาฟังทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ เสร็จแล้วก็เดินผ่านเรือนจำเมืองน่าน กลับร้านใจ๋เมือง ร่ำลากับพี่ติ่งแล้วก็เดินมาเรื่อยๆว่าจะไปลาพี่ๆที่ร้านโอท็อปแต่ก็เย็นมากแล้ว ส่งไปรษณีย์เสร็จก็เดินไปที่ท่ารถเลยครับ



 


ขากลับกลับรถทุ่งช้าง-กรุงเทพ ใช้ได้ครับ หลับสบายและหนาวจนมาถึงกรุงเทพเช่นเดิมครับ มาถึงก็ขึ้นรถเมลล์กลับบ้านครับ กลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง และก็อดเปรียบเทียบสีหน้าของผู้คนที่นี่กับที่น่านไม่ได้ครับ ซึ่งข้อเปรียบเทียบมันก็เริ่มตั้งแต่กระเป๋ารถเมลล์ครับและยิ้มผมเองก็เริ่มหุบตั้งแต่ถึง กรุงเทพครับผม...



 


สรุปครับ



 


น่าน
เราชอบเมืองนี้มากกกกกก
ด้วยอากาศที่เย็นมากในตอนนี้
และความชอบส่วนตัว
เราเลยหนีไปน่านคนเดียว
ไม่ได้บอกบิดามารดา

ที่นั่นสวยเหมือนเดิม
แต่เราได้อะไรระหว่างทางมากขึ้นเยอะ
น้ำใจของคนที่นั่น
น้ำใจของคนระหว่างทาง
ไม่อยากเรียกว่าแบ็คแพ็คเพราะเราไม่ได้โบกรถ
แต่เราวิ่งไปขอเขาขึ้นตามรถที่จอดเอา
เอ๊ะต่างกันไง
เอาเป็นว่าที่พักของเรา รถของเรา ไม่ซ้ำประเภทกันซักวัน
นั่งรถทัวร์ไป ขอนั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่อุทยานขึ้นดอย(ขอบคุณพี่ภุชงค์ครับ)
ขอนั่งรถเก๋งนักท่องเที่ยวลงดอย (ขอบคุณพี่ๆศิลปินทีเจอบนภูคาครับ)
นั่งรถ 2 แถวไปเที่ยวป่ากลาง
นั่งมอเตอร์ไซค์กลับเข้อำเภอปัว
นั่งรถเมลล์แดงเข้าน่าน
ปั่นจกรยานที่ขอยืมเขามารอบเมือง (ขอบคุณพี่ติ่งครับ)
แล้วก็นั่งรถทัวร์กลับ



 


ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เป็นห่วงการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกตลอดการเดินทาง



 


ขอโทษบิดามารดาที่มิได้บอกจนบัดนี้ และใช้เงินเยอะไปหน่อย(ใช้ไป4000บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว ค่าที่พัก+ค่ารถไม่เกิน1600บาท ที่เหลือคือค่าของฝากและค่ากิน!!!)



 


เราโชคดีที่อุส่าห์ได้ดูเขาซ้อมเรือ



 


โชคดีที่อาจจะได้ฟังซอล่องน่านอีกต่างหาก



 


เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงมิได้แต่งเติม บางคนอาจจะสงสัยความสมบูรณ์แบบและความราบรื่นในครั้งนี้แต่มันคือเรื่องจริง อาจจะเกิดเพราะว่าคนที่นี่มีน้ำใจจนเราผู้ซึ่งเป็นแปลกหน้าไม่รู้สึกติดขัด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราโชคดีที่ขอพระทุกวัดว่าขอให้เราเที่ยวสนุก แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรเราก็ดีใจมากที่ตัดสินใจออกมาเที่ยวคนเดียวครั้งนี้



 


รักเมืองน่านครับ



 



สุขีสโมสรมันคือการเที่ยวในอุมคติ
แต่เราไม่รู้แฮะว่าเรียกว่าแบ็คแพ็คไหม

สูดซิ!!! กลิ่นอิสระภาพ






Free TextEditor


Create Date : 18 มกราคม 2552
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:00:42 น. 7 comments
Counter : 7021 Pageviews.  

 
สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไปเลยยยยยยยยยยยยยยย
น่าน หนาว มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: yopathum วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:2:33:35 น.  

 
เคยไปเหมือนกัน
ไปที่ทุ่งช้าง
ตามรอยพ่อสมัยแกไปรบ
สนุกดี


โดย: ซิ้งค์ (teerapuch@sync ) วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:2:39:24 น.  

 


โดย: chalawanman วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:7:38:02 น.  

 
อยากให้ไปเที่ยวงานแข่งเรือ ช่วงออกพรรษา

เรือแข่งสนุกมาค่ะทั้งฝีพาย กองเชียทุ่มสุดตัวเลย

และเรือแข่งที่น่านไม่เหมือนที่อื่นนะค่ะ สวยมากๆ


โดย: Gijona วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:15:42:34 น.  

 
ค่ะ

ประทับใจไปด้วยคน

อยากไปจริงจังงงงงงงงงง ยิ่งได้อ่านที่คุณพูมเขียนก็รู้สึกว่าเมืองนี้ยัง pure และน่าดูชมยิ่งนัก

ในฐานะเพื่อนที่อยากไปแต่มีส่วนทำให้ทริปล่ม ก็ขอบอกว่า เอาจริงๆก็เป็นห่วงมากเลย ในใจลึกๆก็ไม่ค่อยอยากให้ไป แต่พออ่าน และได้ฟังเรื่องราวก็รู้สึกว่า ดีแล้วที่คุณพูมได้ไปนะคะ เป็นการเที่ยวคนเดียวที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบนะ แม้จะเสียค่าใช้จ่ายมากไปนิดนึง


รออ่านและรอดูภาพต่อนะคะ


โดย: nupig (puppyyo ) วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:21:29:41 น.  

 
น่าเที่ยวๆ


โดย: ratta วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:15:20:11 น.  

 
แนะนำเว็บท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม


โดย: attractions (loveyoupantip ) วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:10:50:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

nilotic poet
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add nilotic poet's blog to your web]