รักในโลกมืด

ทันทีที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์คุ้นเคยจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน ฉันหันหน้าเหลียวไปตามเสียงนั้นก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวลงมา ตามด้วยเสียงไขกุญแจประตูรั้วบ้าน กลอนประตูถูกดึงขึ้น บานพับซ้ายขวาถูกจับแยกออกจากกันแล้วเปิดกว้างเพื่อเปิดทางให้มีพื้นที่ว่างพอที่รถยนต์คันนั้นจะขับเคลื่อนเข้ามาจอดในทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กกะทัดรัด

ฉันนั่งนิ่งๆ ฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก นาฬิกาแบบโบราณมีลูกตุ้มกลมใหญ่ที่แขวนไว้ตรงผนังแกว่งไกวได้ยินเสียงจังหวะเวลาที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ หากแต่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

เสียงกริ๊กเบาๆ ดังขึ้นที่ประตูบ้าน คงเป็นเสียงของลูกกุญแจที่บิดคมเขี้ยวปลดล็อกพันธนาการ ประตูถูกแง้มออกเบาๆ ก่อนที่จะมีเสียงกดเรียกหาความสว่างจากแสงไฟนีออนที่ไม่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความแตกต่างใดๆ จากโลกมืดที่ฉันกำลังเผชิญอยู่

ลูกตุ้มนาฬิกาโบราณเรือนเดิมทำลายความเงียบในเวลานั้นด้วยการตีเป็นจังหวะดังกังวานอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาสองยามแล้วและอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงนั้นถูกกลบด้วยเสียงของผู้ชายคนที่เคยเป็นดวงตาให้ฉันมองเห็นโลกที่กว้างใหญ่ในสภาพของคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเอง

......................................................

"ถ้าฉันกลายเป็นคนพิการ คุณจะยังรักฉันไหม?"

ฉันนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่เล็กๆ หลับตาพริ้ม เมื่อปลายนิ้วหนักหน่วงนวดลงบนหนังศีรษะ ความรู้สึกโล่งสบายทำให้ฉันอยากจะหลับตาอยู่อย่างนั้น สัมผัสความรักจากเขาที่ถ่ายทอดมาสู่ฉันอย่างอบอุ่นคล้ายกับแสงแดดในยามเย็นอย่างนี้

ห้องน้ำแบบ open air เปิดโล่งแวดล้อมด้วยความเขียวชะอุ่มนานาพันธุ์ภายในกรอบสี่เหลี่ยมพื้นที่กว้างขวางสร้างความรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ น้ำตกจำลองไหลรินมาเป็นสาย แม้ไม่ได้สัมผัสสายน้ำแต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกชุ่มฉ่ำเย็นเยือกเข้าไปถึงในใจ

"ถามอะไรอย่างนั้นนะ...คุณนี่!" เขาดุฉันอย่างทีเล่นทีจริง ขณะที่กำลังยีฟองแชมพูบนเส้นผมยาวสลวยของฉัน เปลือกตาที่หลุบหลับเพราะฟองขาวที่กระเด็นมาเข้าตาทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพที่มองไม่เห็นอะไรชั่วคราว เขาหยิบผ้าขนหนูมาซับเบาๆ ที่ดวงตาฉัน ก่อนจะถือโอกาสฝังปลายจมูกลงที่แก้มใสของฉันอย่างเอาเปรียบ

"ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณรักฉันแค่ไหนก็เท่านั้น" ฉันขยับปากพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างเอาใจ "ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้คุณอาจจะรักฉัน แต่วันพรุ่งนี้คุณอาจจะไม่รักฉันก็ได้"
ปลายนิ้วของเขาหยุดนวดฟองนุ่มชั่วคราวคล้ายกับกำลังนิ่งคิด

"ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็รักคุณ"

สิ้นเสียงคำตอบจากเขา ฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาตัวเองอย่างช้าๆ มองเห็นใบหน้าของเขากลับหัวกลับหางกับฉัน รอยยิ้มในดวงตาที่กลับด้านคู่นั้นซ่อนความหวานลึกซึ้งจนฉันต้องแอบหลับตาลงอีกครั้งด้วยความเขินอาย

ฟองแชมพูขาวถูกล้างออกจนหมดจดแล้ว แต่เขายังคลอเคลียกับฉันอย่างไม่มีวินาทีหน่าย....

เวลาที่คบกันมาเกือบสิบปีทำให้เรามั่นใจในกันและกันจนกระทั่งตัดสินใจที่จะเริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยกัน งานแต่งงานอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเองถูกจัดขึ้นท่ามกลางเพื่อนฝูงและญาติมิตรต่างมาร่วมอวยพรให้ฉันกับเขารักกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

เขากระหายในความรักและพาฉันมาดื่มน้ำพระจันทร์เพียงลำพังที่บ้านพักบนเนินเขาแห่งนี้

ความเงียบสงบของขุนเขา เสียงหวีดหวิวของแมกไม้และแมลงตัวน้อยช่วยเพิ่มบรรยากาศความดื่มด่ำให้กับคู่รักหวานที่กำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน โดยเฉพาะในยามที่เราอยู่ด้วยกันแนบชิดถ่ายเทความรักให้กันท่ามกลางแสงดาวและนวลจันทร์ยามค่ำคืน

เช้าวันรุ่งขึ้นเราสองต่างโบกมือลาหุบเขาที่โอบล้อมความสุขของเราตลอดช่วงเวลาฮันนีมูนหวานเพื่อมุ่งหน้ากลับไปใช้ชีวิตตามวิถีใหม่ๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ฉันเชื่อมั่นว่าทุกก้าวย่างที่ฉันเดินไปจะมีเขาอยู่เคียงข้างฉันเสมอ

เราสบตากันแวบหนึ่งเมื่อรถยนต์คันเล็กค่อยๆ เคลื่อนลงจากเนินเขาอย่างยากลำบากไม่แพ้คราวที่ขึ้นมา ความคดเคี้ยวของเส้นทางที่ขรุขระ ทำให้จังหวะการเคลื่อนตัวของพาหนะหยุดชะงักหลายครั้ง ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นกับฉัน เมื่อแสงแดดที่เจิดจ้าในนาทีก่อนถูกเมฆดำเคลื่อนคล้อยมากลบจนมิด

หยดน้ำเล็กๆ พุ่งตัวมากระทบทีละน้อยก่อนจะค่อยๆ เพิ่มประมาณมากขึ้น...มากขึ้น...จนในที่สุด ถนนตรงหน้าก็ถูกม่านฝนมาบดบังจนแทบมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า

"คุณ...ระวังค่ะ!" สำนึกสุดท้ายของฉันก่อนที่สติจะดับวูบไป

......................................................


อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฉันต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับเดือน ส่วนเขาได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก เพราะมีถุงลมนิรภัยช่วยลดแรงปะทะและผ่อนความรุนแรงให้บางเบา

เขาคอยเฝ้าดูแลฉันอยู่ไม่ห่าง ไม่ว่าฉันจะเป็นอย่างไรเขาก็รักฉันจริงๆ ขณะที่ฉันต้องปรับตัวหลายอย่างเมื่อโลกหลากสีสันที่ฉันเคยมองเห็นกลับกลายเป็นโลกที่มืดดำหลังจากที่ฉันต้องสูญเสียการมองเห็นเพราะเศษกระจกชิ้นใหญ่ทิ่มลึกดวงตาทั้งสองข้าง ไม่นับรอยริ้วเล็กๆ ที่กรีดเป็นแผลเต็มใบหน้า

แรกๆ ฉันยังมีความหวังว่าอาจจะมีคนบริจาคดวงตาไว้บ้าง ฉันมีความหวังที่จะได้มองเห็นอีกครั้ง แต่เมื่อคุณหมอบอกว่าต้องรอคิวนานและไม่รู้ว่าฉันจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เพราะมีคนตาบอดรอเข้าคิวรับการบริจาคดวงตามากมาย ความหวังของฉันจึงดูเลือนลางไปในทันที

ใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่ฉันเคยมองเห็นกลายเป็นเพียงภาพจินตนาการทุกครั้งที่ฉันสัมผัสมืออุ่นที่คอยปลอบโยนให้กำลังใจ เสียงนุ่มทุ้มทำหน้าที่ในการมองเห็นให้ฉันด้วยการอ่านหนังสือให้ฉันฟังเมื่อฉันไม่สามารถอ่านได้ดังเช่นคนปกติอีกต่อไป

อาหารที่หกเลอะ เสียงโครมครามและความไม่คุ้นชินกับโลกใบใหม่ทำให้ฉันเหมือนเด็กอ่อนที่ต้องมีคนดูแลและประคับประคองให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนั้นอยู่ตลอดเวลา เขากลายเป็นดวงตาให้ฉันโดยไม่ต้องรับการผ่าตัดใดๆ เป็นเวลานานหลายปี

......................................................

ลูกตุ้มนาฬิกาโบราณเงียบเสียงลงไปแล้ว

กลิ่นฉุนของความมึนเมาลอยมากระทบความรู้สึก เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตรงมาทางฉัน โซฟาที่อ่อนยวบใกล้ๆ ตัวทำให้ฉันรู้ว่าเขามานั่งข้างๆ และชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาเอ่ยขึ้นมาประโยคแล้วประโยคเล่าเป็นเวลานาน ขณะที่ฉันนั่งฟังนิ่งๆ โดยไม่โต้แย้งใดๆ นอกจากประโยคเดียวสั้นๆ ในตอนท้าย................................

"ตกลงค่ะ"

ฝีเท้าเดียวกันค่อยๆ เลือนเสียงไป เขาคงเดินขึ้นห้องนอนไปแล้ว ส่วนฉันยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมเพื่อย้อนคิดและทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา กระทั่งนาฬิกาโบราณเรือนเดิมแกว่งไกวลูกตุ้มลูกตุ้มอีกครั้งเป็นสัญญาณบ่งบอกการก้าวข้ามเวลาสองยามไปสู่ตีหนึ่งของวันใหม่

......................................................

"ผมกำลังมีอนาคต...ภรรยาของผมต้องเชิดชูหน้าตาให้กับผมได้"

"วันๆ ผมคงไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าต้องดูแลคุณอยู่อย่างนี้"

"ผมรับไม่ได้จริงๆ ที่มีเมียตาบอด"

"เราเลิกกันเถอะ กลับไปอยู่กับพ่อแม่ของคุณซะ อย่าเป็นภาระของผมอีกเลย"

ฉันนอนหลับตาพริ้ม เมื่อปลายนิ้วหนึ่งกดนวดลงบนหนังศีรษะ ขมับทั้งสองข้างถูกกดวนจนเกิดความรู้สึกโล่งสบาย ต้นคองามระหงถูกนวดเฟ้นจนรู้สึกผ่อนคลาย ฉันอยากจะนอนหลับตาอยู่อย่างนี้โดยไม่ต้องตื่นลืมตาขึ้นมารับรู้อะไรอีกเลย

ฟองแชมพูขาวถูกล้างออกจนหมดจดแล้ว ช่างเสริมสวยหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเบาๆ จนผมยาวสลวยของฉันแห้งหมาดๆ ก่อนพาฉันมานั่งที่เก้าอี้ หวีซี่ถี่จะสางเบาๆ ตั้งแต่โคนผมจรดปลาย ความร้อนถูกเป่าออกจากไดร์สู่เส้นผมงาม ส่วนเบื้องหน้าฉันเดาว่าคงมีกระจกเงาบานใหญ่ที่ฉันมองอย่างไรก็มองไม่เห็นตัวเอง

หากแต่อีกภาพหนึ่งกลับเด่นชัด...

ภาพที่ฉันเซ็นลายมือชื่อหวัดๆ ลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคนจับมือชี้จุดให้เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสรภาพ หลังจากที่เขาเอ่ยขอกับฉันเมื่อหลายวันก่อนและฉันได้ตอบตกลงด้วยเหตุผลที่เขาไม่ต้องการให้ฉันเป็นภาระกับชีวิตของเขาอีกต่อไป

เราถือใบหย่าคนละใบและเดินจากกันไปด้วยดี โดยมีพ่อแม่ของฉันใช้ความรักที่ให้ฉันมาทั้งชีวิตโอบอุ้มและประคับประคองฉันอีกครั้ง ในวันที่ฉันต้องเดินเพียงลำพังโดยไม่สามารถมองเห็นเส้นทาง

ครั้งหนึ่งฉันเคยมองความรักอย่างงดงามและไม่เคยคิดว่ามันจะจืดจางลงไปได้ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเราต่างเติมเต็มชีวิตให้กันและกันไม่ว่าฉันจะถามกี่ครั้ง เขาก็ยืนยันความรักที่มีต่อฉันว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป...

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...!!!

มันอาจจะเป็นความจริงของชีวิตที่ปวดร้าว แต่ฉันก็เข้มแข็งพอที่จะมองโลกกว้างใหญ่ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีเขาเป็นดวงตาอีกต่อไป เมื่อความรักที่ฉันเคยคิดว่ามันยิ่งใหญ่และไม่มีวันเสื่อมสลายจะต้องจบลงไปเมื่อฉันต้องกลายสภาพเป็นคนพิการทางสายตา

วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร...ทุกครั้งที่ฉันเอ่ยถามว่า "ฉันกลายเป็นคนพิการอย่างนี้ คุณจะยังรักฉันอีกไหม?" จึงไม่ได้รับคำยืนยันเหมือนที่ผ่านๆ มา นอกจากความเงียบงัน

ความรักที่งดงามคงมีเพียงแค่ในนิยาย....

"ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็รักคุณ" ฉันเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันเป็นเพียงแค่คำยืนยันในวันที่ฉันสามารถมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตัวเอง...เท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ







 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2549   
Last Update : 12 พฤษภาคม 2549 9:45:35 น.   
Counter : 405 Pageviews.  

ด้วยรักและผัดไทย

ผู้ชายสูงวัยหัวล้านเถิกน้ำหนักร้อยกิโลเศษๆ คนนั้นจ้องมองมาที่ฉันด้วยแววตากลัดมัน พุงพลุ้ยกลมป่องที่อุดมไปด้วยไขมันยื่นออกมาจนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ก็แทบจะบดบังไว้ไม่ได้ อาหารจานเป็นร้อยราคาแพงเกินปริมาณที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าอาจจะทำให้กระดุมเสื้อของเขาหลุดปริออกจากกันได้ง่ายๆ ถ้าหากเขายังไม่หยุดสวาปามราวกับตายอดตายอยากมาจากไหน...อย่างนี้




ไฟหลากสีที่สาดส่องมายังหน้าเวทีทำให้เกิดเพียงแค่แสงสีสลัวๆ หมุนคว้างสวนทางกันไปมาในอากาศ เสียงดนตรีดังลั่นทำให้คนที่พูดกันด้วยน้ำเสียงธรรมดาต้องใช้วิธีตะโกนใส่หน้ากันแทน ฉันมองลงไปเบื้องล่าง คืนนี้คนมาเที่ยวแน่นร้านซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับช่วงสิ้นเดือนที่คนมีเงินตุงกระเป๋าอย่างนี้




"ฉันเปล่านะ เขามาเอง ฉันเปล่าชวนนะ เขามาเอง"




บทเพลงของราชินีลูกทุ่งชื่อดังในอดีตเปล่งออกมาจากลูกคอของฉันอย่างมีลีลา สายตายั่วยวนถูกส่งไปที่ผู้ชายหน้าตาเหมือนตือโป๊ยก่ายคนนั้น สะโพกผายกลมกลึงและเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสั้นจู๋ของฉันส่ายยั่วเย้าไปมาตามจังหวะเสียงเพลง เนินอกอวบอิ่มล้นหลามปิดบังด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นกระเพื่อมไหวจนหนุ่มๆ ที่นั่งอยู่ด้านล่างเวทีมองตะลึงจนตาค้าง




"แฟนใครอ้วนๆ นี่ไม่ได้ชวนซักหน่อย มาหาฉันบ่อยเลยที่งานร้องเพลง" ร่างอ้วนตุ๊ต๊ะเหมือนหมูตอนโยกหัวไปมาตามจังหวะคึกคักของเสียงเพลงพร้อมยิ้มจนตาหยีรับเนื้อเพลงนั้นราวกับจะบอกทุกคนในที่นี้ว่าผู้ชายคนอ้วนๆ ในเพลงนั้นหมายถึงตัวเอง ก่อนจะยกแขนโบกไม้โบกมือให้ฉัน




ฉันส่งยิ้มหวานกลับไปขณะที่ไมค์ยังจ่อปากเมื่อมองเห็นในมือของเขามีมาลัยพวงใหญ่ มันมิใช่ดอกไม้สีหวานหอมหวล หากแต่เป็นธนบัตรชำระหนี้ได้ตามกฎหมายซึ่งฉันไม่สามารถคาดคะเนได้ว่ามันมีจำนวนเท่าไร แต่สีม่วงๆ ของมันที่เรียงร้อยอยู่หลายใบก็พอจะทำให้ฉันรู้ได้ว่าคืนนี้ฉันจะได้พวงมาลัยหลายพัน




อาชีพนักร้องคาเฟ่อย่างฉันอยู่ได้ด้วยพวงมาลัยจากเสี่ยที่หนีเมียมาเที่ยว!




"แค่ฉันบอกยังว่าง คนข้างๆ ไม่มี" ไอ้แก่หัวล้านมันคงทนฉันร้องเพลงยั่วยวนอยู่บนเวทีไม่ไหวแล้ว มันยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกจนน้ำสีอำพันไหลลงคอมันจนเกือบหมดแก้ว ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินปัดเป๋มุ่งหน้ามาหาฉันที่หน้าเวทีในมือของเขาถือรายได้ของฉันในคืนนี้มาด้วย




"ไอ้ฉันก็พูดแค่นี้ แล้วเขาก็รี่มาเอง"




ริมฝีปากเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงของฉันยังขยับร้องเพลงต่อไป ขณะที่ในใจคิดไปว่านาทีทองของฉันมาถึงแล้ว ฉันสวมบทนางแมวยั่วสวาทร่ายลีลาหยอกเย้าเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้และเตรียมทำใจไว้ล่วงหน้าว่าเนื้อหนังมังสาของฉันจะต้องถูกมนุษย์บ้ากามคนนี้ล่วงเกินไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง




แม้จะขยะแขยงแค่ไหนแต่ฉันก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่ออาชีพนี้...ฉันเป็นคนเลือกเอง




หน้าอกคัพซีของฉันอยู่ในระดับสายตาของไอ้แก่พุงพลุ้ยนั่นเมื่อฉันก้มตัวลงต่ำยกมือไหว้อย่างนอบน้อมอ่อนหวานทันทีที่มันทำท่ายื่นพวงมาลัยมาคล้องคอ ผืนผ้าที่ปกปิดอยู่เพียงน้อยนิดทำให้ลูกตามันแทบถลนออกมานอกเบ้า ถ้าหากทำได้มันคงอยากจะเกลือกกลิ้งใบหน้าลงบนอกนุ่มหยุ่นขาวของฉัน ซุกไซร้อยู่อย่างนั้น




ส่วนพวกผู้ชายที่อยู่ข้างล่างคนอื่นๆ ก็คงจะได้อาหารตาไปพร้อมๆ กัน เพราะกระโปรงสั้นรัดติ้วที่ฉันสวมใส่แทบไม่ได้บดบังสรีระบนเรือนร่างของฉันเลย แค่เพียงถุงน่องบางๆ เท่านั้นที่ทำให้ฉันไม่รู้สึกโป๊จนเกินไป แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ป่านนี้พวกผู้ชายเหล่านั้นมันคงใช้สายตาเปลื้องผ้าผ่อนของฉันไปจนแทบไม่เหลืออะไรแล้วกระมังเมื่อความวอบแวมปรากฏแก่สายตาทุกครั้งที่เรียวขาฉันขยับไปตามจังหวะเพลง




"ขอบคุณมากค่ะ...เสี่ยขา พอค่านมลูกหนูพอดีเลยค่า"




แขกที่มาเที่ยวคาเฟ่ฮาตรึมเพราะไม่รู้ว่าฉันพูดจริงหรือพูดเล่น ส่วนชายหัวล้านเถิกชะงักยิ้มทำหน้าเจื่อนๆ ชั่ววูบก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ "แหม! หนูล้อเล่นค่ะป๋า ลูกผัวหนูยังไม่มีหรอกค่ะ"




ดนตรียังคงเล่นไปตามทำนอง แต่เพลงไม่มีเนื้อร้องเพราะฉันส่งเสียงออดอ้อนผ่านไมโครโฟนให้คนมาเที่ยวได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่อธนบัตรมาลัยถูกฝ่ามืออวบอ้วนเอื้อมขึ้นมาคล้องใส่คอฉันโดยสมบูรณ์ ความสากของแผ่นกระดาษแม้จะทำให้เกิดความรำคาญซอกคอ แต่เมื่อนึกถึงมูลค่าของมันทำให้ฉันลืมความระคายผิวไปเสียสิ้น




หมับ...!!! นึกแล้วเชียว ไอ้แก่ตันหากลับมันบีบหน้าอกฉันเป็นของแถม ฉันยิ้มใส่จริตอย่างไม่ถือสา มองร่างชายสูงวัยเดินยืดอกพาร่างอ้วนตุ้ยของตัวเองกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม




"อย่าเคืองอย่าโกรธ อย่ามาโทษฉันนะ ฉันไม่ได้ชวนเขานะ เขามาเอง" ลีลาเร่าร้อนถูกโยกย้ายทิ้งท้ายตามจังหวะดนตรี สายตาชะม้อยชะม้ายของฉันหว่านไปยังด้านล่างเวทีอย่างไม่มีจุดหมาย ชายมากหน้ายิ้มรับอาการยั่วยวนของฉันอย่างพึงพอใจ




คืนนี้หมดคิวร้องเพลงของฉันแล้ว ราตรีสวัสดิ์...พ่อบ้านเมียเผลอทั้งหลาย ฉันสะพายกระเป๋าออกจากคาเฟ่กลับบ้านทันที โดยไม่สนใจเสียงบ๋อยที่มากระซิบบอกว่าเสี่ยคนนั้นต้องการพบตัวฉัน...




..................................................................




เยื้องๆ คาเฟ่ที่ฉันเป็นนักร้องประจำมีรถเข็นขายผัดไทยโต้รุ่งเลื่องชื่อของคนแถวนั้นอยู่ร้านหนึ่ง




ลูกค้าที่เป็นคนกลางคืนมาอุดหนุนอย่างเนืองแน่นไม่ขาดสายทั้งแบบกินที่ร้านและซื้อกลับบ้าน นั่งบ้าง ยืนบ้าง ต่อคิวรอกันอย่างอดทน อาจจะเป็นเพราะบริเวณนี้มีร้านอาหารโต้รุ่งตั้งอยู่เพียงร้านเดียวก็เป็นได้ ส่วนร้านอื่นๆ มักจะเลิกขายตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน




โต๊ะและเก้าอี้เก่าคร่ำคร่า 8 ชุด ตั้งวางอยู่บนพื้นที่ว่างๆ หน้าอาคารพาณิชย์ซึ่งตอนกลางวันเปิดเป็นร้านขายของชำทั่วไป ส่วนตอนกลางคืนเปิดหน้าร้านให้คนมาเช่าวางขายของแทบจะไม่มีเวลาเว้นว่างลูกค้าและหนึ่งในลูกค้าขาประจำของร้านผัดไทยแห่งนั้นก็คือ...เขา




อีกไม่กี่โมงก็จะเช้าแล้ว...
ฉันเดินออกจากสถานบันเทิงซึ่งเป็นที่ทำงานเดินมุ่งหน้าไปยังร้านผัดไทย คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างวินดึกที่คุ้นเคยกันดีผิวปากปิ๊ดปิ๊วแซวฉันไปตามประสา ฉันเชิดหยิ่งเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ ก็แค่หมาเห่านักร้องคาเฟ่เท่านั้น




เสียงตะหลิวกระทบกะทะเหล็กดังมาแต่ไกล กลิ่นหอมของเส้นผัดไทยผสมกุ้งแห้งและเต้าหู้หั่นฝอนลอยมากระทบจมูก ผู้คนมากมายยังยังเดินสวนทางกับฉันในราตรีที่ไม่มีวันหลับใหล ส่วนเขาคนนั้นส่งยิ้มมาให้เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ทุกทีๆ




"รอนานไหมพี่"




"ไม่นานหรอก...ก็แค่ผัดไทยหมดไปอีกจาน"




เขาตอบรับพร้อมกับประโยคเย้าแหย่ฉันอย่างอารมณ์ดี แม่ค้าผัดไทยละสายตาจากกะทะเหล็กร้อนเบื้องหน้าหันมาทักทายฉันอย่างคุ้นเคยกันดี แต่ยังไม่วายรักษาจังหวะเสียงกระทบระหว่างตะหลิวกับกะทะอย่างสม่ำเสมอราวกับว่าถ้ามันเงียบเสียงไปแล้วจะทำให้ผัดไทยของแกขายไม่ดีกระนั้น




"แหม! น่าอิจฉาจริงจิ๊ง มารับมาส่งกันทู้กวัน" สาวใหญ่เจ้าของร้านผัดไทยลากเสียงขึ้นสูงเหน็บฉันกับแฟนหนุ่มอย่างเอ็นดู โดยเฉพาะแฟนฉันซึ่งสนิทสนมกับแกมาก เพราะเป็นลูกค้าขาประจำที่อุดหนุนผัดไทยแกทุกวัน โดยอาศัยร้านแกเป็นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างมารอรับฉันกลับบ้านหลังเลิกงานร้องเพลง




โชคดีที่เขาชอบผัดไทย...ก็เลยกินได้ทุกวันอย่างไม่รู้เบื่อ!!!




"ไปแล้วนะป้า" แฟนฉันเอ่ยปากร่ำลาแม่ค้าผัดไทยและชักชวนฉันซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์พาฉันกลับไปส่งที่บ้านโดยที่ป้าแกไม่มีโอกาสรู้เลยว่า....




..................................................................




แม่เฒ่าเคี้ยวหมากหยับๆ ปากแดงแจ๋เพราะฤทธิ์น้ำหมากกระซิบกระซาบคุยอย่างออกรสกับหญิงชรารุ่นราวคราวเดียวกันขณะที่กำลังฟังพระสวดอภิธรรมศพ




"เค้าว่ามันตายเพราะถั่วลิสง!!!"




"เฮ้ย! ถั่วลิสงอะไรวะฆ่าคนตาย มีอย่างที่ไหน แกเอาอะไรมาพูด" อีกเสียงหนึ่งลั่นกระซิบออกมาอย่างไม่เชื่อเมื่ออีกฝ่ายบอกเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ร่างไร้วิญญาณนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพนั้น




ชุดนักร้องคาเฟ่วาบหวิวที่ฉันเคยสวมใส่ถูกถอดทิ้งไปชั่วคราวเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่รัดกุมขึ้นอย่างให้เกียรติผู้จากไป ชุดดำที่เคยบ่งบอกถึงเสน่ห์อันลึกลับของฉันถูกแทนค่าเป็นการไว้ทุกข์ครั้งสุดท้ายต่อชายผู้เป็นที่รักซึ่งถูกกระชากวิญญาณไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคมะเร็ง!




สองมือฉันกระพุ่มไหว้...ขณะที่น้ำตาไหลนองอาบแก้มอย่างเกินห้ามใจ




ถึงแม้ฉันจะเป็นคนเต้นกินรำกินแต่ฉันก็รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง ฉันมีหน้าที่ขับกล่อมเสียงเพลงแลกกับเงินของคนมาเที่ยวโดยไม่ได้เอาตัวเข้าแลกเหมือนกับเพื่อนนักร้องด้วยกันและคนที่เป็นเกราะปราการปกป้องฉันตลอดมาก็คือ...เขา




ทุกๆ คืนเขาจะมานั่งเฝ้ารอรับฉันกลับบ้านและฆ่าเวลากับความหิวโหยด้วยการอุดหนุนผัดไทยร้านป้าเจ้าประจำที่มีอยู่เพียงร้านเดียวที่อยู่ใกล้ๆ คาเฟ่ของฉัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี โดยไม่มีเว้นแม้วันหยุดราชการ




เขาตายเพราะถั่วลิสงจริงๆ!!!




สารอัลฟ่าท็อกซินที่อยู่ในนั้นค่อยๆ สะสมในร่างกายเขาอย่างไม่รู้ตัว แค่เพียงกินอาหารซ้ำซากเข้าไปทุกวันก็ก่อมะเร็งให้เกิดขึ้นในร่างกายได้อยู่แล้ว นี่เขายังจะรับเชื้อราเข้าไปทุกวันอย่างนั้นอีก ทำไมนะ...ทำไมต้องเป็นเขา! ทำไมต้องเป็นผัดไทย! ฉันกรีดร้องอยู่ในอกอย่างไม่เข้าใจ




พระสวดจบแล้ว แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับ น้ำตาของฉันยังไม่หยุดไหลเมื่อเดินเข้าไปใกล้โลงศพช้าๆ ก่อนวางถ้วยเล็กๆ ภาชนะบรรจุอาหารแล้วเคาะโลงศพเบาๆ ปลุกเขาขึ้นมา...




"พี่ๆ ผัดไทยที่พี่ชอบวางอยู่นี่นะ"





 

Create Date : 30 เมษายน 2549   
Last Update : 30 เมษายน 2549 0:10:20 น.   
Counter : 238 Pageviews.  


plengdao
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add plengdao's blog to your web]