จะสร้างประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ที่ทิ้งไว้เฉยๆ ของคุณ หรือ ของครอบครัว อย่างไร

เนื่องจากเป็นหัวข้อแรกก็เลยขอพูดถึงประสบการณ์จากงานที่ทำก่อนครับซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ คือเราได้เพิ่มเติมหมวดสุขกันเถิดเราขึ้นมาครับไว้ท้ายบทความ เป็นแนวคิดสร้างความสุขในชีวิตที่ไม่ต้องรอแม้วินาทีเดียวแล้วครับ หวังว่าท่านจะติดตามอ่านถึงตอนท้ายนะครับ

เวลาเราพูดถึงทรัพย์สินโดยปรกติจะมีทรัพย์สินในหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการถือทรัพย์สินประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป และทรัพย์สินที่คน หรือ ครอบครัวนั้น ๆ ถือมากที่สุดส่วนใหญจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องแน่นอนที่คนเราเมื่อมีเงินถึงจุดหนึ่งก็ต้องการทรัพย์สินต่าง ๆ ในรูปของ รถ และ บ้าน ตามลำดับฐานะที่เพิ่มขึ้น และความต้องการจะมีชีวิตครอบครัวเป็นของตนเอง และเมื่อมีฐานะการเงินที่มั่นคงขึ้นก็ซื้อทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งคอนโด บ้าน และ ที่ดิน ทั้งเพื่อเก็งกำไร เก็บค่าเช่า หรือ ใช้ประโยชน์ในอนาคต หรือกลัวว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้ อนาคตอาจไม่มีปัญญาซื้อ หรือไม่อาจตัดใจซื้อได้ เพราะ กลัวว่าทรัพย์สินประเภทนี้จะราคาสูงขึ้นกว่านี้มาก และสำหรับบางคนบางครอบครัวก็เป็นเศรษฐีเก่า มีที่ดินมากมายตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด บางคนก็มีแต่ที่ดินแต่ไม่มีสภาพคล่องทางการเงิน โดยต้องการจะขายที่ดินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แต่ก็ขายไม่ได้เพราะปู่ย่ายังอยู่ ยังไม่ให้ขาย หรือ ปู่ย่าไม่อยู่แล้วแต่เป็นที่ดินมรดก ผู้มีสิทธิจึงมีหลายคนไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้ จึงต้องทิ้งที่ดินไว้เฉย ๆ หรือต้องการรขายแต่เมื่อมีผู้มีอำนาจตัดสินใจหลายคน ราคาที่จะขายจึงต้องสูง เพราะถ้าต่ำก็ไม่สามารถสร้างความพอใจให้แก่ทั้งหมดได้ บางคนก็ซื้อคอนโดในต่างจังหวัด หรือบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด เพื่อไปพักผ่อนยามมี ลองวีคเอนด์ หรือต้องการพักผ่อน แรก ๆ ซื้อใหม่ ๆ ก็ไปบ่อย หลัง ๆ ก็เบื่อ หรือไม่ก็ไม่ค่อยได้ไป ทิ้งไว้เฉย ๆ มากกว่า ไปปีละ 2-3 ครั้ง ซึ่งถ้ามาคิดค่าดอกเบี้ยในแต่ละปีจากเงินที่นำไปซื้อมา ยังมากกว่าเสียเงินไปพักโรงแรม 5 ดาวในการไปเที่ยวในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะถ้าที่ซื้อเป็นคอนโดซึ่งเป็นประเภทที่ต้องเสียค่าส่วนกลางตลอด และ ราคาส่วนใหญ่จะตกมากกว่าเพิ่มขึ้น

สำหรับบางคนบางครอบครัวมีทรัพย์สินของครอบครัวตัวเองอยู่แล้ว ในรูปของบ้าน และที่ดิน ที่ปล่อยที่ไว้ไม่ได้เข้าไปอยู่หรือใช้ประโยชน์ หรือที่เรียกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ นั่นเอง การทิ้งที่ดินหรือบ้านไว้เฉย ๆ โดยไม่ใช้ประโยชน์ ทำให้เราเสียประโยชน์ที่พึงจะได้รับอะไรบ้าง เราลองมาดูกัน

1. เจ้าของก็ต้องเสียภาษีที่ดินไปเปล่า ๆ โดยไม่ใช้ประโยชน์ แน่นอนคุณอาจไม่ได้เสียเองทุกปี และสุดท้ายถ้ามีการซื้อขายคุณก็ต้องเสียให้กรมที่ดินอยู่ดี

2. คุณสูญเสียรายได้ของคุณโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว ที่ดินที่ทิ้งไว้ คือทรัพย์สินครับ ถ้าเราแปลงทรัพย์สินตัวนี้ให้เป็นตัวอื่น เช่น เงินคุณก็อาจจะได้ดอกเบี้ย หรือนำไปลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมันยังคงเป็นอสังหาริมทรัพย์ของเรา แต่เราทิ้งไว้เฉย ๆ หรือปล่อยมันให้ขึ้นราคาไปเองตามโครงสร้างของเศรษฐกิจ มันคือการสูญเสียรายได้โดยที่คุณมองไม่เห็น

3. ถ้าคุณปล่อยที่ดินที่ไว้โดยที่ไม่ทำประโยชน์ และไม่ดูแล หรือเยี่ยมเยียนเลย อาจเพราะที่ดินอาจอยู่ไกลจากเรา เช่นอยู่ต่างจังหวัด แล้วมีผู้อื่นบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินโดยที่เราไม่รู้ ถ้าเป็นที่ดินที่มีโฉนดแล้วใช้เวลา 10 ปีผู้ใช้ประโยชน์จะได้รับสิทธิครอบครอง เป็นเจ้าของใหม่ในทันที ถ้าเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่าง ๆ ก็ใช้เวลาตั้งแต่ 1-5 ปี ตามแต่ชนิดของหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ๆ

4. ปัจจุบันได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นมาตรการทางภาษี โดยมีหลักเกณฑ์สรุปได้ว่า เจ้าของที่ดินรายใดได้ทำประโยชน์ในที่ดินของตนแล้วจะเสียภาษีให้รัฐน้อยกว่าเจ้าของที่ดินซึ่งปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ซึ่งหากพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับจะแก้ปัญหาการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดินได้ทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเนื่องจากการควบคุมโดยมาตรการทางภาษี นอกจากจะเป็นการเร่งรัดให้เจ้าของทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้มีการกว้านซื้อที่ดินไว้โดยไม่ทำประโยชน์ การปล่อยที่ดินทิ้งไว้เฉย ๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะเสียเงินจำนวนมากในการดูแล ที่อาจจะทำให้เราเฉยอีกไม่ได้

แน่นอนถ้าเราไม่เฉย ไม่ปล่อยที่ดินหรือบ้านของเราทิ้งไว้ เราต้องทำอย่างไร และ เราจะได้ประโยชน์ ยังไง

แรกสุดเราต้องคิดก่อนว่าเราจะทำประโยชน์กับ ทรัพย์สินของเราได้อย่างไร แต่ก่อนหน้านั้นเราอาจต้องมาถามผู้มีสิทธิทั้งหลายก่อนสมมุติว่ามีผู้มีสิทธิหลายคนว่า พร้อมจะทำประโยชน์ในทรัพย์สินของเราแล้วหรือไม่ หลังจากนั้นก็ค่อยมาเลือกว่าโซลูชั่นไหนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น ขาย ให้เช่า ให้คนอื่นทำประโยชน์ฟรี โดยทำสัญญาเช่ากับเรา หรือไม่อยากยุ่งยากมากให้คนกลาง หรือที่เรียกว่านายหน้าที่ดินจัดการ ขาย หรือ เช่าในระยะสั้น หรือ ยาวให้เรา และเป็นที่ปรึกษาให้เราในสิ่งที่เราอยากรู้ในรายละเอียด เช่น ผลประโยชน์ที่ควรได้รับ ถ้าทำการเช่าในระยะสั้น หรือ กลาง หรือ ยาว

ผลประโยชน์หลักที่เราได้รับก็คือสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ เคยเป็นปัญหาของเราไป คือ ถ้าขายไป ก็ได้รับเงินทุนเข้ามานำไปใช้ประโยชน์ทางอื่น และปลดเปลื้องภาระทำทรัพย์สินที่ทิ้งไว้เฉย ๆ ไปได้ หรือถ้าเช่า เราก็สามารถได้รายได้ และสามารถตั้งระยะเช่าให้เหมาะสมกับ แผนการในอนาคตว่าเราต้องการใช้ที่ดินเมื่อไร และยังมีผู้มาปรับปรุงที่ดินเราให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อเค้าจะนำไปใช้ประโยชน์ และไปปล่อยให้ผู้ใดบุกรุก หรือ เสียภาษีทิ้งไปเปล่า ๆ และ เสี่ยงกับการต้องเสียภาษีเพิ่มถ้ามีกฎหมายใหม่ออกมาอีกด้วย

สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้วางแผน หรือไม่ต้องการลำบากในการดำเนินการ อย่างที่เราได้เกริ่นไว้แต่แรกแล้วว่า สามารถใช้คนกลางในการจัดการ ที่เรียกว่านายหน้าที่ดิน (Broker) ในการจัดการให้ ซึ่ง Broker ก็มีทั้งในรูปแบบของบริษัท และ Broker อิสระที่ไม่มีบริษัทสังกัด แต่ส่วนใหญ่การบริการที่ดีจะขึ้นอยู่กับใจที่พร้อมจะบริการ และ ประสบการณ์ในอาชีพ

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสอบถาม ฝากคอมเม้นท์ได้หลังไมค์นะครับ คืออยากทำตัวเป็นดีเจบ้างอะครับ รับปรึกษาได้ทุกเรืองครับ รวมถึงเเรื่องความรัก เอแต่จะแก้ปัญหาได้รึเปล่าอันนี้อีกเรื่องนะคร้าบ เนื่องจากบทความข้างบนผมเขียนไว้นานหลายเดือนแล้วพึ่งจะได้โอกาสนำมาลง และไม่ค่อยได้เกาสำนวนเท่าไร ถ้าน่าเบื่อไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ ยังไงช่วยติชมด้วยครับ จะได้พัฒนาขึ้นครับ เกือบลืมไปครับนอกจากคอมเม้นท์์ ถ้าต้องการติดต่อทางเมล์ก็ติดต่อได้ที่ numsodonsales@gmail.com




มุมสุขกันเถิดเรา (แนวความคิดสร้างความสุขในชีวิตที่ไม่ต้องรอแม้วินาทีเดียว)

สำหรับตอนแรกของหมวดสุขกันเถิดเราจะเป็นเรื่อง

1. ปรัชญาของคุณ

แปลกไหมล่ะครับ ทุกคนต้องการความสุข แต่เราจะไปเรียนรู้เจ้าความสุขนี่จากไหนกันเราเกิดมา เราไปโรงเรียน เราเรียนคณิตศาสตร์ เราเรียนรู้เกี่ยวกับฮีโมโกลบินและภูเขาหิมาลัย แต่เราไม่เคยได้เรียนเรื่องความสุขเลย

ผมเคยถามตัวเองว่า "ทำไมบางคนถึงมีความสุขอยู่เสมอ"
ผมสงสัยว่า "คนที่มีความสุขฉลาดกว่าพวกเราที่เหลือหรือไง หรือพวกคนที่มีความสุขโง่เขลาเกินกว่าจะตระหนักว่า พวกเขาควรทุกข์เศร้าเสียบ้าง
เรื่องนั้นเดี๋ยวไว้คุยกันต่อทีหลังครับ
สมัยผมยังเด็ก ผมเคยฝันถึงอนาคต
จนเมื่อผมมาถึงอนาคต ผมก็มักผิดหวัง
ผมพบว่า ชีวิตนั้นยากกว่าที่มันดูเหมือนจะเป็น
ผมอยากรู้ว่า
"ทำไมคนอื่น ๆ มีชีวิตแบบแสนน่าทึ่ง"
"ทำไมคนอื่น ๆ มีความสุขมากกว่าผม"

ผมอ่านหนังสือต่าง ๆ ผมเข้าร่วมฟังการบรรยายและสัมมนาทั้งหลาย
ผมลองเดินลุยกองไฟ
ผมอ่านเรื่องราวเหล่านักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ผมคิดว่าพวกเขาสอนเรื่องความสุขให้กับผมได้
ผมเผอิญอ่านเจอเรื่องของกลุ่มนักปรัชญากรีกโบราณที่มีชื่อว่า กลุ่มผู้กังขา พวกเขากล่าวว่า "ท่านจะมีความสงบสุขในจิตใจได้ ก็ต่อเมื่อท่านไม่เชื่อในสิ่งใดเลยเท่านั้น"

แล้วคุณจะเชื่อคำกล่าวนี้ได้สักแค่ไหนกันครับ
ผมอ่านเรื่องของโสคราติสกับชายผู้หนึ่งที่มีชื่อ จอร์เจียส จอร์เจียสกล่าวว่า
1. ไม่มีสิ่งใดมีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น
2. ถ้าบางสิ่งมีตัวตนอยู่จริง ท่านก็มิอาจรู้ได้ ด้งนั้น
3. ตัวท่านเองก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง

แต่คุณจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้อย่างไรกันล่ะครับ
ลองจินตนาการดูนะครับว่า ตำรวจจราจรสั่งให้คุณจอดรถ แล้วถามคุณว่า "ไหนลองให้เหตุผลมาซักข้อสิว่า ทำไมผมไม่ควรออกใบสั่งฐานขับรถเร็วให้คุณ"
แล้วคุณก็ตอบตำรวจไปว่า "ก็เพราะคุณตำรวจไม่มีตัวตนอยู่จริงนะสิครับ"

ผมมีข้อสังเกตสองประการเกี่ยวกับเหล่านักปรัชญาทั้งหลาย คือ

1. พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุขมากนัก และ
2. พวกเขาจำนวนมากเป็นนักคณิตศาสตร์ครับ!

จบตอนแรกของตอนปรัชญาของคุณแล้วนะครับ อ่านต่อตอนต่อไปบทความหน้านะครับ




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2555 17:25:19 น.   
Counter : 302 Pageviews.  


หนุ่มโสด onsales
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add หนุ่มโสด onsales's blog to your web]