ข่าวน้องแก้ม ตำรวจถูกวิจารณ์หนัก โพสต์ FB ระบายความในใจ
ข่าวน้องแก้ม ทำตำรวจถูกวิจารณ์หนัก ก่อนเจ้าหน้าที่โพสต์เฟซบุ๊กระบายความในใจ ลั่น ทำสุดความสามารถแล้ว หากไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงต้องใช้เวลาในการค้นหาศพอีกนาน
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกำลังมีการแชร์ข้อความในเฟซบุ๊ก จ่าเอส ครับผม ซึ่งคาดว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความระบายความรู้สึก หลังถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีคนร้ายฆ่าข่มขืน น้องแก้ม วัย 13 ปี บนขบวนรถไฟ ซึ่งญาติของผู้เสียชีวิต ได้ออกมาระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดฉากให้มารดาของน้องแก้ม ท่องสคริปขอบคุณตำรวจ มอบดอกไม้และขอบคุณทั้งที่ไม่ได้ช่วยเหลือ โดยเจ้าของเฟซบุ๊กระบุว่า "ใครเป็นคนพบพิรุธ ใครเป็นคนเช็กพิกัดตัวคนร้ายจากมือถือ แล้วจับคนร้ายได้ ใครเป็นคนทำให้มันรับสารภาพ ใครเป็นคนทำให้มันบอกว่าทิ้งศพไว้ที่ไหน พวกคุณต้องดูกล้องวงจรปิดอีกเป็นสิบปี เดินหาศพอีกเป็นชาติ เส้นทางจากประจวบไม่ใช่สั้น ๆ ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากตำรวจจะหาเจอมั้ย ตำรวจทั้งจังหวัดจะต้องมาช่วยค้นหากับคุณมั้ย คุณต้องใช้สมองสิ ใช้แต่แรงเดินหาให้หมดแรงก็ไม่เจอ เอาข้อมูลที่แท้จริงแล้วมาหาไม่ต้องเสียทั้งเวลา เสียทั้งแรง แล้วคุณคิดหรือว่าตำรวจไม่ต้องทำงานอย่างอื่นเหรอ คุณคิดว่าตำรวจมีงานนี้งานเดียวเหรอ ไม่ได้พูดว่าใครบ่นเฉย ๆ
นอกจากนี้และยังระบุว่า ไม่มีใครเข้าใจอาชีพตำรวจ ซึ่งทุกวันพวกต้องหามาตรการมาป้องกันเหตุสารพัด เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งเวลาที่ตำรวจทำดีแต่กลับไม่มีใครมองเห็นและขอให้เลิกพูดสักทีว่าภาษีของประชาชน เพราะรัฐเขาจ้างตนก็เพราะฝีมือไม่ใช่หรือ เหมือนกับที่บริษัทจ้างพวกคุณทำงาน ซึ่งตนรู้ดีว่าต้องทำอะไร
อย่างไรก็ตามหลังมีผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กได้แชร์ข้อความดังกล่าวออกไป ทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ได้ลบข้อมูลที่โพสต์ไว้ทั้งหมด พร้อมตั้งค่าเฟซบุ๊กเป็นส่วนตัวทันที
ขอขอบคุณ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2557 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2557 21:01:35 น. |
|
1 comments
|
Counter : 982 Pageviews. |
|
|
|
แต่น้ำหนักที่เทลงไป มักจะเน้นย้ำไปที่ อิสลามหรือมุสลิม อาจเป็นเพราะมุสลิมคือประชากรส่วนใหญ่ของโลกไปแล้ว หรือไม่ก็มุสลิมกระจายอยู่ทั่วโลกอย่างกว้างขวางไปแล้ว หรืออีกนัยหนึ่ง คือมีผู้อยู่เบื้องหลังการฝังมายาคติหนึ่ง ที่มีจุดมุ่งหวังที่จะ ลดทอนความรวดเร็วของปรัชญาที่สามารถทำให้โลกเกิดสันติได้จริง เริ่มจากสันติในหัวใจของมนุษย์แต่ละคน จนกระจายไปสู่สันติของสังคมขนาดเล็ก ไปถึงใหญ่ได้จริงๆ หากปรัชญาสันติจะเกิดจริง การต่อต้าน(เพราะขัดผลประโยชน์เขา) เขาก็ต้องเร่งใส่สงคราม ใส่ความไร้สันติ แต่งแต้มศาสนานี้ให้มากๆ เพื่อลดทอนความรวดเร็ว(เพียงพันกว่าปี ปรัชญานี้ครอบคลุมทุกปรัชญา และกว้างขวางเกือบจะที่สุดไปแล้ว)
สื่อต่างๆ ได้รับเอาข้อมูลข่าวสารระดับบนลงล่างอย่างไร้ในปัญญาญาณขิงองค์กรสื่อเองอย่างช่วยไม่ได้ ในการไปเป็นเครื่องมือป่าวประกาศถึงชื่อศาสนาหนึ่งว่า เป็นปัญหาทำให่เกิดความไม่สงบสุขสันติ กล่าวบนเนื้อข่าวที่ผสมกับเหตุการณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้นอย่างปกติวิสัยของมัน ลองพิจารณาว่า หากไม่ต้องกล่าวชื่อศาสนาหรือกลุ่มชนที่นับถือศาสนาใดใดในข่าวได้ มันก็คือการรายงานข่าวเหตุการปกติที่เกิดขึ้นทั่วโลกเท่านั้นเอง
แต่หากเลิกไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่อศาสนา และยังต้องทำให้ผู้คนเข้าใจว่าศาสนาที่คนในข่าวถือครองนั้นคือต้นเหตุแห่งการก่ออาชญากรรม ก่อทุจริตคดโกงบ้านเมือง ก่อสงคราม เนรคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพวกเขา จงกล่าวในทุกๆข่าว เช่นปัจจุบันที่เขียนบทความนี้ ก็มีคดีน้องแก้ม ที่ถูกข่มขืนบนรถไฟ โดยชายคนหนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธชื่อวันชัย แสงขาว. หรือ โจรพุทธหื่นย่ำยีแล้วฆ่าเด็กบนรถไฟ หรือ เด็กพุทธถูกชายพุทธข่มขืน
ไม่เอาใช่ไหม ฉะนั้น ลองเริ่มกระบวนการ ลด ละ เลิก ในการกล่าวชื่อศาสนา หรือหมู่ชนที่นับถือศาสนาใดใดที่ก่อการทุจริต เพราะอย่างไรเขาผิดในการทุจริตแน่นอน การกล่าวลื่อศาสนากำกับ ย่อมมิใช่สิ่งที่จรรโลงปัญญาว่าพบเหตุแห่งปัญหาว่าจะมาจากศาสนา(หรือใช่ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าว อย่างเช่นคดีนายวันชัย แสงขาว ก็ไม่ต้องเขียนลงไป หรือกล่าวไป) หากจะกล่าว ก็กล่าวให้ครบทุกข่าว เพื่อเป็นสถิติที่ถูกต้อง แต่จะไมากล่าว ก็คือความยุติธรรมแท้
และเมื่อท่าน ผ่านการศึกษา และวิเคราะห์ ในหลักการของศาสนาของคนในข่าวอย่างพอเพียงแล้ว ท่านก็ยังสามารถนำหลักการแก่นธรรมของปรัชญาศาสนานั้นๆไปตักเตือนผู้ที่นับถือ ถือครองปรัชญานั้นที่ก่อการทุจริต ตกเป็นข่าวได้อย่าง สง่าผ่าเผย สุจริตธรรม
ลองนับสถิติคดี น่ารังเกียจแบบนี้ว่า ผู้ก่อคดีเหล่านั้น นับถือศาสนาอะไรกันบ้าง ลองรวบรวมมาเพื่อการก่อเกิดปัญญาญาณ