4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

หน้าผากแม่นากพระโขนง




หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก ไปมาหาสู่ระหว่างวัดกับวังนางเลิ้งเสมอ โอรสเสด็จในกรมฯ พระองค์หนึ่งคือ หม่อมเจ้าคำแดงฤทธิ์ เคยประชวรหนักรักษาทั้งยาฝรั่ง ยาไทย เวทมนตร์คาถาก็ไม่หาย เสด็จในกรมฯ เลยรับสั่งให้บนบวช 10 วัน ปรากฏว่าได้ผลหายประชวร ทั้งครอบครัวเลยต้องไปจำศีลอยู่ที่วัดบางประกอกเกือบเดือน หน้าผากแม่นาคพระโขนงนั้นตกทอดเป็นลำดับจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาถึงหม่อมเจ้าพระพุทธปาธปิลันทร์ และหลวงพ่อพริ้ง

เล่ากันสืบมาว่า สมัยนั้นแม่นากอาละวาดผู้คน ชาวบ้าน พระ เณรแถบย่านคุ้งน้ำพระโขนงจนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จโตจึงต้องเดินทางไปปราบด้วยพุทธคุณ เจาะกะโหลกแม่นาค ขนาดความกว้างประมาณ นิ้วครึ่ง – 2 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว (โดยประมาณ) มาขัดมัน ลงอักขระ ปิดทองและติดย่ามไปไหนด้วยเสมอ แม้ว่าแม่นากจะซาบซึ้งในรสธรรม แต่ก็ยังคงมีนิสัยชอบหยอกล้อสามเณรอยู่เหมือนเดิม ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา เมื่อครั้นที่มาบวชเป็นสามเณรที่วัดระฆัง ก็โดนการหยอกล้อจนสมเด็จโตต้องล้วงกะโหลกแม่นากออกจากย่ามแล้วบอกว่า โยมนาก อย่าไปกวนสามเณรเลย เมื่อกะโหลกแม่นากตกทอดมาถึงพระพุทธปาธปิลันทร์ก็มีการกล่าวตักเตือนกันอีก หลังจากที่หลวงพ่อพริ้งส่งมอบกะโหลกแม่นากให้กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านทรงเอามาเจาะรูทำเป็นปั้นเหน่งรัดบั้นพระองค์ติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อประทับอยู่ในตำหนักจะใส่พานวางไว้ที่ห้องพระ และทรงบอกเล่าให้หม่อมทุกคนได้ฟังเพื่อให้รับรู้ถึงความสำคัญ กระนั้นแม่นากก็เคยปรากฏกลิ่นถึง 2 ครั้งที่ตำหนักนางเลิ้ง

หม่อมแจ่ม หรือหม่อมองค์น้อยนั้นเป็นคนกล้าหาญ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร นอกเหนือจากเสด็จในกรมฯ เท่านั้น วันหนึ่งเพื่อน ๆ ของหม่อมได้แวะมาเยี่ยมเยือน การสนทนาวันนั้นได้วกเข้าหาเรื่องแม่นาก จนเกิดการท้ากันว่า หากหม่อมไม่กลัวก็ให้เดินเข้าห้องพระ เมื่อหม่อมแจ่มเดินเข้าห้องพระ ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปหมดจนต้องเผ่นหนีออกมาจากห้องพระ เสด็จในกรมฯ ตรัสว่า คนที่แม่นากไม่พอใจจะเห็นร่างของแม่นากในแบบที่น่ากลัว มีกลิ่นเหม็น ดังนั้นจึงไม่ควรไปท้าเขา กลัวหรือไม่กลัวก็เฉย ๆ ซะ ส่วนคนที่แม่นากพอใจจะมาหยอกล้อด้วยแบบที่สวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจ

อีกคราวหนึ่ง ขณะกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาหม่อมทั้งหลายว่า ใครอยากจะคุยกับแม่นากก็ได้ หม่อมแจ่มอีกนั่นแหละที่ขอทดสอบ เสด็จในกรมฯ จึงส่งหน้าผากแม่นากให้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน หม่อมแจ่มได้อธิษฐานขอให้แม่นากมาอย่างงดงาม สักครู่ใหญ่ ๆ จึงได้กลิ่นเหม็นไหม้ ยิ่งนานก็ยิ่งอบอวลหนักขึ้น หม่อมแจ่มจึงรีบนำเอากะโหลกหน้าผากแม่นากไปคืนเสด็จฯ ทันที พร้อมกับทูลถึงเรื่องที่เจอมา พระองค์ทรงพระสรวลและตรัสว่า รออีกสักประเดี๋ยวก็เห็นแล้ว หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าลองของอีก กระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างอยู่ที่โต๊ะเสวย เสด็จเตี่ยได้ตรัสว่า แม่นากเขาลาไปเกิดแล้ว เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ สมบัติชิ้นนี้ได้ตกทอดอยู่ในการดูแลของนายเทียบ อุทัยเวช น้องชายของหม่อมแจ่ม ซึ่งเป็นมหาดเล็กคู่พระทัย ในตำแหน่งพลทหารเรือ ฝ่ายเสนารักษ์ หลังออกจากราชการ ได้ทำหน้าที่ดูแลศาลเสด็จเตี่ยเชิงสะพานเทวกรรม นางเลิ้ง ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก ปั้นเหน่งแม่นากเคยเก็บไว้ที่ศาลแห่งนี้ จนเมื่อมีการตัดถนนจึงได้โยกย้ายศาลดังกล่าวไปที่วัดโพธิ์ ปรากฏต่อมาว่า ของชิ้นนี้สูญหายไป

เนื่องจากเสด็จในกรมฯ มีพระอาจารย์หลายท่าน ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า วิชาของท่านที่ร่ำเรียนมานั้นน่าจะมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางไสยเวทของกรมหลวงชุมพรฯ ที่มีการบันทึกไว้เป็นเกร็ดโดย หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง พระธิดาของเสด็จในกรมฯ เท่านั้น



หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง อาภากร














 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 11:33:01 น.
Counter : 2800 Pageviews.  

ปลุกตำนานอาถรรพ์ : ลัดดาแลนด์

ตามที่คนเก่าคนแก่ก่อนได้เล่าว่า.....เมืองเชียงใหม่ เมื่อก่อนย้อนไปน่าจะซัก 30 กว่าปีได้ ลัดดาแลนด์เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวที่โด่งดังมากเพราะมีสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่มาก ๆ มีทั้งช้างให้นั่ง มีรถม้า มีรถไฟเล็ก การแสดงฟ้อนรำต่าง ๆ  มีค่าบัตรด้วยน่าจะ 8 บาทหรือ 10 บาทประมานนั้น ทำให้หน้าหนาวทุกปีจะมีคนขึ้นมาเที่ยวเยอะมาก เจ้าของคือ คุณนายลัดดา (ไม่ทราบนามสกุลเดิม) เป็นสถานที่ยอดฮิตของวัยรุ่นสมัยนั้นจะไปออกเดทกันเพราะมีความเชื่อว่าคู่ไหนไปอธิฐานขอความรักกับต้นไทรหน้าลัดดาแลนด์แล้วคู่นั้นจะได้รักกันไปตลอดชีวิต  ส่วนประชากรในหมู่บ้านทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นคนที่มีฐานะดีเข้าไปอยู่ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านเศรษฐีก็ได้ 



แต่เรื่องของเรื่อง หรือต้นเหตุแห่งความเฮี้ยนมาเกิดขึ้นตอนที่บ้านหลังหนึ่งถูกโจรขึ้นและโดนคนร้ายฆาตกรรมเสียชีวิตทั้งครอบครัวแล้วเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้เพราะคนที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังนั้นบางคืนก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้บ้าง อะไรบ้าง บางคืนก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือบางครั้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะ แต่จุดที่ผู้คนแถบนั้นเจอความเฮี้ยนกันจนอยู่ไม่ได้คือบางคืนคนแถวนั้นจะเห็นครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วออกมายืนหน้าบ้าน ออกมารดน้ำต้นไม้ คนที่ผ่านไปมาโดนหลอกทุกคน ทำให้ตอนเที่ยงคืนจนถึงเช้าไม่มีใครจะกล้าออกจากบ้านเลย



นานวันเข้ายิ่งเฮี้ยนหนักจนถึงขั้นตามมาหลอกถึงบ้าน คนแถวนั้นอยู่ไม่ไหวเลยพากันย้ายออกไปเกือบหมด ทำให้แถวนั้นกลายเป็นบ้านร้างเยอะ แต่ยังมีบ้านอีก 3 หลังที่ยังไม่ไปไหน และ 1 ใน 3 หลังนั้นเจ้าของเป็นฝรั่งไม่ค่อยได้อยู่ แต่จะบินมาเที่ยวเฉพาะฤดูหนาวเพราะอย่างที่รู้กันว่าเมืองเชียงใหม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อมาก เจ้าของบ้านที่เป็นฝรั่งท่านนั้นได้จ้างเด็กสาวชาวพม่ามาเฝ้าบ้านแต่ผ่านไปไม่นานก็มีโจรมาขึ้นบ้านหลังนั้น และฆ่าเด็กสาวคนนั้นแล้วหมกศพไว้ในห้องเก็บของใต้บันได กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาพบก็ผ่านไปเกือบ 2 เดือน สาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาพบได้ก็คือบ้านที่ยังเหลืออยู่ใกล้ ๆ กัน ได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากในบ้าน แต่ก็ไม่ได้สงสัยเพราะยังคงเห็นเด็กสาวคนนี้มานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านทุกวัน จนวันหนึ่งเพื่อนบ้านดังกล่าวทนกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยคละคลุ้งไม่ไหว จึงได้ตะโกนบอกเด็กสาวคนนั้นว่าให้ทำความสะอาดบ้านบ้าง เพราะอาจจะมีหนูตาย พูดยังไม่ทันจบเด็กสาวก็หันหน้าเละ ๆมา เพื่อนบ้านก็เลยรีบวิ่งแจ้นไปแจ้งความและแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบพอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเปิดบ้านเพื่อทำการตรวจสอบจึงพบศพดังกล่าว



อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะพบศพและได้ทำพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลทางศาสนาแล้วแต่เด็กสาวคนนั้นก็ยังมานั่งอยู่ที่เดิมทุกวัน ถ้านั่งธรรมดาไม่มายุ่งกะชาวบ้านก็คงจะดี ไม่มีใครเดือดร้อนแต่เพื่อนบ้านแถบนั้นเล่าว่า บางคืนเด็กสาวจะตามมายืนมองที่หน้าต่างห้องนอนตอนนอนกลางคืนเลยด้วยซ้ำดังนั้นเพื่อนบ้านทั้งแถบจึงพากันย้ายออกอย่างไม่เสียดายบ้าน เรื่องเล่าเขย่าขวัญมากมายเกี่ยวกับลัดดาแลนด์ที่คนเชียงใหม่น่าจะรู้และจำกันได้ดี ยกตัวอย่างเช่น

1. มีคู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมากและมาอธิฐานขอให้ความรักสมหวังกับต้นไทรที่ลัดดาแลนด์แต่แล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยอมรับฝ่ายชาย ทั้งสองจึงมาแขวนคอตายคู่กันที่ใต้ต้นไทรนั้นคนแถวนั้นเล่ากันว่า ทุกวันครบรอบวันที่ทั้งคู่ผูกคอตายเวียนมาบรรจบ (ดิชั้นไม่รู้นะคะว่าวันไหน) คนแถวนั้นจะเห็นทั้งคู่ห้อยหัวโตงเตงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้คนที่ผ่านไปมาได้พบเห็น

2. ช่วงก่อนที่จะสร้างสวนสาธารณะนี้เสร็จ ตอนที่ขุดหลุมเพื่อที่จะทำบ่อน้ำทางโครงการได้พบกับโครงกระดูกมนุษย์จำนวนหนึ่ง แต่ไม่เปิดเผยให้บุคคลทั่วไปได้ทราบกัน 



3.  เมื่อ 10 กว่าปีก่อนสถานที่แถวนั้นเป็นที่รกร้างและเปลี่ยวมาก จึงมีการนำศพคนตายที่ถูกปล้นหรือถูกฆ่าข่มขืนมาทิ้งไว้ที่นั้น ที่พอทราบมา ณ ขณะนี้ จากรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจคืออย่างน้อย ๆ ก็ 8 ศพ แต่ที่ไม่รู้อีกน่าจะเยอะมาก

4.  มีหญิงสาวและหญิงขายบริการหลายคนที่ทำแท้งแล้วนำซากเด็กทารกไปทิ้งไว้ในสระน้ำของโครงการลัดดาแลนด์เป็นจำนวนมากหลายคนบอกว่ามากกว่า 100 เลยทีเดียว



5. มีขี้ยาคนหนึ่งที่อัพยาเกินขนาดแล้วเกิดช็อคตายคาศาลาที่ริมสระน้ำของโครงการกว่าจะมีคนมาพบ ศพก็เน่าหมดแล้ว แต่บางแหล่งข่าวเล่าว่าที่ช็อคเพราะหัวใจวายเนื่องจากเห็นบางอย่างที่หน้าสะพรึงกลัวมาก ๆ (หน้าของศพดวงตาเบิกโพลง และลิ้นจุกปาก) และสุดท้ายก็โดนเอาไปเป็นตัวตายตัวแทนเพราะกัญชายังเหลืออยู่ข้างๆ ศพอีกเยอะเลย

6. มีการนำศาลพระภูมิรวมถึงตุ๊กตาสะเดาะเคาระห์มาทิ้งไว้เป็นจำนวนมากจนทางเทศบาลต้องมารื้อไปทิ้งไว้นอกเมือง แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ เพราะถึงจะย้ายไปไกลแค่ไหน วันรุ่งขึ้นตุ๊กตาและศาลเหล่านั้นก็จะกลับมาอยู่ ณ ที่เดิม โดยไม่ทราบสาเหตุ



7.  มีหญิงสาวที่มาขอความรักกับต้นไทรแล้วผิดหวังในความรัก เลยมากินยาฆ่าแมลงตายใต้ต้นไทรหน้าหมู่โครงการลัดดาแลนด์โดยที่ทิ้งจดหมายไว้สั้นๆว่า "จะอยู่ข้างๆเธอตลอดไป"หลังจากนั้น ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า วิญญาณจะสิ่งอยู่ในตุ๊กตาสัตว์ที่วางไว้อยู่มากมายในโครงการ 








 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 17 กันยายน 2557 16:45:41 น.
Counter : 2141 Pageviews.  

ตำนานแม่นากพระโขนง




แม่นาก
เป็นสาวสวยชาวพระโขนง บ้านอยู่ริมคลอง พ่อแม่มีฐานะดีระดับเศรษฐีก้ว่าได้ จึงมีหนุ่มแก่มาติดเพราะความที่รูปสวยรวยทรัพย์ แต่แล้วแม่นากก็เกิดความรักกับหนุ่มบางเดียวกันชื่อ "พ่อมาก" ซึ่งมีฐานะยากจน นิสัยติดจะนักเลงนิดหน่อย ชอบสนุกสนานเฮฮา เพื่อนฝูงเยอะแยะ เที่ยวเตร่เสเพลไปที่นั่นที่นี่ตามประสาหนุ่มรักสนุก ทั่วๆ ไป ไม่ว่าบางจาก สำโรง ปากน้ำ พ่อมากกับเพื่อน ๆ ก็ล้วนแต่ไปเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าเมายาชนิดหัวหกก้นขวิดมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็มีจิตใจผูกรักเดียวด้วยแม่นากเพียงเท่านั้น

จนในที่สุดก็เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นจนได้ นั่นคือ พ่อแม่ของแม่นากตบคำรับหมั้นพ่อม่ายชาวจีน อาชีพค้าขายที่มีฐานะทัดเทียมกัน กำหนดวันแต่งงานเอาไว้เรียบร้อย แม่นากแม้ไม่ได้รักใคร่ว่าที่สามีแก่คราวพ่อเลย แต่ก็ไม่อาจขัดความประสงค์ของพ่อแม่ได้ เนื่องจากสมัยนั้นยังมีการคลุมถุงชนอยู่ โดยที่พ่อแม่คิดเอาง่าย ๆ ว่า "อยู่ด้วยกันไปก็รักกันเอง"

แต่ความรักของแม่นากกับพ่อมากก็มีความลึกซึ้ง และรุนแรงเกินกว่าใครจะนึกถึง ทำให้ก่อนจะถึงวันแต่งงานแม่นากก็หอบผ้าหนีตามชายคนรักไปดื้อๆ พ่อแม่ของแม่นากคงจะรู้จักนิสัยใจคอลูกสาวตัวเองดี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป สองผัวเมียแยกมาปลูกเรือนเล็กๆ ริมคลองเป็นเรือนรักเรือนหอ พ่อมากเลิกนิสัยนักเลงเกะกะ ไม่เป็นโล้เป็นพาย กลับกลายมาเป็นคนขยันทำมาหากิน ทั้งทำไร่ทำนา ว่างก็ปักเบ็ดราว ลงเรือทอดแห แม่นากก็ปลูกผักสวนครัว ได้ผักปลามากินไม่เดือดร้อน แถมยังรักใคร่ปรองดองกันเป็นอันดี  ประหนึ่งว่าจะครองรักกันราบชื่นบานจนชั่วชีวิตสลาย ไม่นานนักแม่นากก็ตั้งท้อง ความดีอกดีใจของสองผัวเมียนั้นมากมายไม่มีอะไรเปรียบ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็หายโกรธหายเคือง พากันปลาบปลื้มยินดีที่จะได้มีหลานตาหลานยายไว้เชยชมสมใจ ข้างพ่อมากก็ทะนุถนอมเมียปานไข่ในหิน ไม่ยอมให้ทำงาน โดยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนลูกในท้อง แม้แต่งานเบาๆ ก็แย่งมาทำเสียเอง แม่นากก็ยิ่งสุขกายสุขใจเป็นที่สุด

แต่แล้วก็เกิดเรื่องรุนแรงร้ายกาจขึ้นในเวลาต่อมา นั่นคือ พ่อมาก ได้รับหมายเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารปีละ 3 เดือนที่กรมพระสุรัสวดี! ผัวเมียต้องจากกันทั้งน้ำตา ขณะนั้นแม่นากตั้งท้องได้ราว 6-7 เดือนแล้ว ผัวไปรับราชการตามหน้าที่ ตัวเองก็ต้องอยู่เดียวดายแสนจะหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยว ยังดีที่มีญาติมิตรมาเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะ "ทิดทุย" เพื่อนสนิทของพ่อมาก นอกจากไปมาหาสู่แล้วยังมีผักปลาอาหารมาฝากสม่ำเสมอ

ในสมัยนั้น พระโขนงกับใจกลางกรุงเทพฯ ไกลกันมาก การเดินทางที่สะดวกที่สุดก็คือการลงเรือแจวไปมาหาสู่กัน แต่ก้ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะถึง จนกระทั่งแม่นากเจ็บท้องใกล้จะคลอดลูกแล้ว พ่อมากก็ยังติดราชการอยู่กรุงเทพฯ ลุงต้องไปตาม "ยายจั่น" หมอตำแยประจำตำบลมาทำคลอดให้กลางดึก ปรากฏว่าเด็กขวางท้องอยู่ ยายจั่นพยายามกล่อมท้อง ทั้งโยกทั้งคลึงสารพัดก็ไม่เป็นผล อย่างดีเด็กก็เอาตีนโผล่ออกมาแล้วหดกลับเข้าไปอีก แม่นากเจ็บปวดแทบสิ้นใจ แผดร้องโหยหวนน่าสงสารยิ่งนัก สองมือโหนเชือก หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก หมอตำแยสั่งเบ่งก็พยายามเบ่งสุดกำลัง แต่ลูกในท้องก็ยังไม่ยอมคลอดมาเสียที ความเจ็บปวดทวีคูณขึ้นจนสุดที่มนุษย์ทั่วๆ ไปจะทนทานได้ แม่นากเบ่งลูกเป็นครั้งสุดท้าย แต่ไร้ผล ในใจคิดถึงผัวรักก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง "พี่มากจ๋า! ช่วยเมียด้วย..." แล้ววิญญาณก็หลุดผล็อย ลอยออกจากร่างอันแสนจะทนทุกข์ทรมานในพริบตานั้นเอง!

ว่ากันว่าด้วยความรักความคิดถึงผัวรักก่อนจะขาดใจ วิญญาณจึงล่องลอยไปหาผัวถึงโรงทหาร พ่อมากได้เห็นหน้าเมียก็ดีใจ แต่พูดคุยกันได้ 2-3 คำแม่นากก็หายหน้าไปแล้ว วิญญาณกลับมาอยู่ที่พระโขนง นั่งอุ้มลูกที่คลอดออกมาเรียบร้อยอยู่ที่ท่าน้ำเพื่อรอผัวรัก บางทีก็ร้องเพลงกล่อมลูกด้วยเสียงเยือกเย็นวังเวงใจ ล่องลอยไปตามสายลมยามราตรี ชาวบ้านร้านช่องได้ยินเข้าก็หนาวสันหลัง ขนลุกกรูเกรียว รีบมุดเข้ามุ้งนอนห่มผ้าคลุมโปงไปตาม ๆ กัน ทิดทุยเล่าว่า ตอนที่นำศพแม่นากไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ แม่นากยังคงลืมตาโพลง โดยโบราณเชื่อว่า การที่ศพตายโดยยังลืมตาแสดงว่ามีห่วงผูกพัน ทิดทุยจึงพยายามปิดเปลือกตาให้เมียเพื่อน พร้อมกับบอกให้ไปสู่ที่ชอบๆ แต่ก็ทำไม่สำเร็จจนแล้วจนรอด ศพแม่นากยังลืมตาโพลงเหมือนจะจ้องมองหาผัวรักอยู่เช่นเดิม!

ต่อมาเกิดเสียงเล่าลือว่าผีแม่นากเฮี้ยนเหลือหลาย เป็นที่หวาดกลัวของชาวพระโขนงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขนาดเจ๊กขายหมูพายเรือผ่านมาได้ยินเสียงเรียกก็วาดหัวเรือเข้าไป เห็นแม่นากนั่งอยู่ที่ขั้นบันได เล่นเอาอาแป๊ะร้องจ้า จ้ำพายพรวด ๆ หนีผีแม่นากจนเรือล่ม ต้องว่ายน้ำไม่คิดชีวิต ก่อนจะตะเกียกตะกายขึ้นบก วิ่งตะโพงหนีพร้อมกับส่งเสียงร้องลั่นๆ ว่าโดนผีหลอกไปตลอดทาง คนที่นั่งเรือผ่านบ้านร้างก็มักจะเห็นแม่นากยืนอุ้มลูกรอผัวอยู่บ่อยๆ ไม่เลือกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน จนแทบไม่มีใครกล้านั่งเรือผ่านแต่เพียงลำพังอีกต่อไป เล่ากันว่าคนที่บังเอิญผ่านไปทางหลังบ้านร้างนั้น ก็มองเห็นแม่นากยืนอุ้มลูกร้องไห้ คนที่ไปเก็บผักหักฟืนใกล้ๆ ป่าช้าก็เห็นแม่นากนั่งให้นมลูกอยู่บนหลุมศพของตัวเองกลางวันแสกๆ ปากต่อปากก็บอกกล่าวกันไปเหมือนไฟลามทุ่ง ว่าวิญญาณแม่นากเฮี้ยนนัก...เป็นที่น่าขนพองสยองเกล้าของผู้คนในย่านพระโขนงโดยทั่วไป!






 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 11:27:11 น.
Counter : 1990 Pageviews.  

อาถรรพ์ป่าแก่งกระจาน




เรื่องลี้ลับอาถรรพ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียชีวิตทหารกล้า จากโศกนาฏกรรม  เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ตกในวันที่ 16 ก.ค. มีทหารเสียชีวิต 5 นาย แบล็กฮอว์กตกในวันที่ 19 ก.ค. มีทหารเสียชีวิต 8 นาย พลเรือน 1 ราย และเฮลิคอปเตอร์เบล 212 ตกในวันที่ 24 ก.ค. ทำให้ทหารเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บ 1 ราย เกิดอะไรขึ้นที่ป่าแก่งกระจาน มีเรื่องลี้ลับ "อาถรรพ์" จริงหรือ?

ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หลังจากส่วนหัวเครื่องเฮลิคอปเตอร์รุ่น ยูเอช-1 เอช (ฮิ้วอี้) ตกในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ขณะบินเข้าไปรับเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนที่ยังตกค้างอยู่ในป่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. หลังจากเข้าไปปฏิบัติภารกิจกวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำลายต้นไม้แล้วมี ผู้เสียชีวิตถึง 5 คน และเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮอว์ก ที่เข้าไปช่วยเหลือก็มาตกซ้ำอีกรอบ ตกซ้ำเป็นลำที่ 2 ในอีก 3 วันต่อมา และล่าสุดได้เกิดเฮลิคอปเตอร์เบล 212 ร่วงอีกลำ เกิดอะไรขึ้นหลังโศกนาฏกรรมในการสูญเสียบุคลากรชั้นยอดของประเทศไทย

อาถรรพ์แรก - ตามหาศีรษะไม่พบเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไม่ได้
อาถรรพ์นี้ถูกกล่าวขานกันมาก โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 4 หลังจากทหารหน่วย ฉก.ทัพพระยาเสือ กองพล ร.9 เข้าไปลำเลียงศพทหารทั้ง 5 นาย ออกมาจากเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มีรายงานว่า สภาพที่ความสูญเสียที่เห็นนั้น พบซากเฮลิคอปเตอร์สภาพส่วนหัวชนเสียบคาผนังหิน ต่ำจากยอดเขาเพียง 10 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีร่องรอยการเผาไหม้ในรัศมี 10 เมตร ด้วยการปะทะอย่างแรงทำให้เกิดการระเบิดและมีเพลิงลุกไหม้อีกด้วย

ด้านสภาพของผู้โดยสารทั้งหมด 5 นายถูกเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก หนึ่งใน 5 ศพนั้นคาดว่ายังไม่เสียชีวิตทันที ส่วนอีก 4 ศพ ร่างติดคาซากเครื่อง บางศพเหลือเพียงกระดูกเท่านั้น และยังมีอยู่ 1 ศพที่ไม่สามารถหาศีรษะพบ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยเรื่องลี้ลับก่อนขึ้น ฮ.ว่า ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเอง และคณะผู้สื่อข่าวในระหว่างที่เฝ้ารอ ให้อากาศเปิดอยู่ในป่า ใกล้จุดเกิดเหตุ เนื่องจากตนมีลางสังหรณ์ ที่เป็นเรื่องของความเชื่อของคนที่อยู่กับป่ามาตลอด

"ขณะที่ผมเข้าไปในที่เกิดเหตุครั้งแรก เห็นศพศพหนึ่งไม่มีศีรษะ อาจจะเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ ที่หากค้นหาชิ้นส่วนของศพไม่ครบ ก็จะทำให้ไม่สามารถนำศพออกมาได้ทั้งหมด ด้วยการเกิดอุปสรรคต่างๆ เช่น การนำ ฮ.เข้าพื้นที่ ดังนั้น ผมจึงวิทยุสั่งให้ค้นหาให้เจอในที่สุด เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถหาพบก็เกิดเรื่องประหลาด โดยเมื่อตอนที่ยังไม่สามารถค้นหาศีรษะ ส่วนที่หาไปเจอได้เกิดฝนตกตรงจุดเกิดเหตุ และอากาศปิดมาตลอด แต่พอเจ้าหน้าที่วิทยุมาบอกกับตนว่าพบศีรษะแล้ว สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงดีขึ้นทันที เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และน่าจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่จะทำให้การปฏิบัติในครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้"

อาถรรพ์ที่ 2 : ปักธูปไม่ลง
เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะ พ.ต.ประพันธ์ เจียมสูงเนิน นักบินที่ 1 ประจำเครื่องแบล็กฮอว์ก พร้อมทหารจากกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กองพลทหารราบที่ 9 ได้จุดธูปไหว้เจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ให้ดลบันดาลการปฏิบัติภารกิจนำศพ 5 ทหารออกมาจากฐานต้นน้ำเพชร สำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ทั้งหมดไม่สามารถปักธูปลงบนพื้นดินได้ ต้องเปลี่ยนอยู่หลายจุด จึงจะสามารถปักธูปได้ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึง

อาถรรพ์ที่ 3 : พูดเป็นลาง
"ผมจะเดินทางไปด้วยตัวเอง เพื่อนำน้องๆ ผู้ประสบเหตุทั้ง 5 คน กลับมาให้ได้ภายในวันนี้" คือคำพูดของ พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 ผู้นำทีมขึ้นแบล็กฮอว์ก และที่น่าแปลกอีกก็คือ พล.ต.ตะวัน นับเป็น ผบ.พล ร.9 คนที่ 2 ที่ประสบอุบัติเหตุ ฮ.ตก เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2543 พล.ต.สัญชัย รัชตะวรรณ ประสบอุบัติเหตุ ฮ.ตกและเสียชีวิตที่บ้านท่ามะนาว อ.เมืองกาญจนบุรี
นอกจากนี้ ยังมีคำพูดก่อน-หลังขึ้นเครื่อง ที่ถูกเปิดเผยในทำนองหยอกล้อกันว่า "ไม่ต้องกลัวเครื่องตก" หรือ "เครื่องไม่ตกหรอก" เป็นต้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจพูดก็ตาม แต่คำพูดทำนองนี้โบราณเขาถือกัน

อาถรรพ์ที่ 4 : เซ่นสังเวยเจ้าป่า เวลาหยุดพักกินอาหาร
เรื่องการพิธีเปิด-ปิดป่าก็มีการพูดถึงนายพยัพ คำพันธุ์ เซียนพระเครื่องและ เครื่องรางชื่อดัง และผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่าให้ความรู้เรื่องการทำพิธีเปิดป่าแบบฉบับโบราณว่า การเดินป่าทุก ๆ ครั้งต้องทำพิธีเปิดป่าด้วยการจุดธูป 9 ดอก พร้อมกับอธิฐานขอให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ผีเหย้า ผีเรือน เจ้าของที่ เจ้าของทาง ลูกขอเปิดป่า ถ้าหากลูกทำผิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามแต่ ขอกราบ ขอขมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วก็กลั้นใจเอามีดทิ่มดินแล้วก็พลิกดินขึ้นมา 3 ครั้ง พร้อมกับพลิกใบไม้ทั้งสด-แห้งที่ตกอยู่ข้าง ๆ ให้จับหงายขึ้นมาให้หมด ส่วนพิธีปิดป่าเมื่อเราทำภารกิจเดินป่าเสร็จแล้วก็ต้องนำดินที่พลิกขึ้นมาแล้ว ใบไม้ที่เราจับพลิกปิดเอาไว้อย่างเดิม นี่กรณีเราเดินออกมาทางเดิม แต่ถ้าเดินออกจากป่าอีกด้านหนึ่งก็ยกมือไหว้บอกเล่าและขอขมาเจ้าป่าธรรมดา "แต่หากไม่มีธูปเทียน ก็สามารถหักกิ่งไม้แห้งที่อยู่บริเวณนั้น อธิฐานและปักกิ่งไม้เอาไว้ หลังจากนั้นก็นำมีดทิ่มดิน 3 ครั้ง แล้วก็พลิกใบไม้ทั้งสดและแห้งบริเวณนั้นเป็นอีกด้านหนึ่งด้วย เรื่องแบบนี้พูดไปไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะว่าป่าทุกๆ ป่า กระเหรี่ยง และชาวเขาเขาทำพิธีโบราณแบบนี้เพื่อป้องกันตัวเองทั้งหมด" พยัพ กล่าว

นอกจากนี้ เรื่องเวลาหยุดพักรับประทานอาหาร พรานหลายคนก็แนะนำว่าจะต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งใส่ใบไม้ถวายเจ้าป่าเจ้าเขา และบรรดาผีป่าผีดงทั้งหลาย เป็นการแสดงความคารวะตามประสาผู้มาเยือนที่ดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือช่วยคนเดินป่าให้เกิดความรู้สึกสบายใจ เพราะได้กระทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ไม่ได้ละเมิดหรือดูหมิ่นดูแคลนแต่อย่างใด หากมีการล่าสัตว์ พรานอาจจะตัดเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ส่วนหนึ่งวางไว้ในที่อันควร เพื่อเป็นการถวายแต่เจ้าป่าเจ้าเขา พรานสมัยก่อนจะล่าสัตว์และตัดไม้เท่าที่มีความจำเป็นสำหรับเลี้ยงชีพเท่า นั้น ไม่ใช่ตัดเตียนไปหมดจนแทบจะสูญพันธุ์เหมือนอย่างวันนี้

ขณะเดียวกัน ฟากโหราศาสตร์ยังมีการพูดถึงดาวอังคาร ที่ถือว่าเป็นดาวทหารจะมีการสูญเสียจากเครื่องยนต์กลไกขัดข้อง หรือแม้กระทั่งดวงของคนที่เสียชีวิตชุดแรกมีเข้าเคราะห์แทบจะทุกคน ดังนั้นเมื่อคนมีเคราะห์มาอยู่รวมกันมากๆ ก็เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ส่วน เรื่องฮวงจุ้ยหรือชัยภูมิที่เขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรีนั้น ก็มีการกล่าวขานกันมากว่า ลักษณะคล้ายกับความอาถรรพ์ของ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาการันตีข้อมูลนี้




ภาพมีลักษณะคล้ายคนปรากฏอยู่
ซึ่งมีลักษณะคนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงในซากเครื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา









 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 10:22:50 น.
Counter : 4171 Pageviews.  

ปั๊มน้ำมันร้าง : เพชรบูรณ์




หลายท่านอาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ แม้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงานมีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น

แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก มีสภาพคล้ายเป็นป่าละเมาะ และเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนที่มองหาที่ดินทำมาหากิน ก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านสักท่าใด แต่เขาหารู้ไม่ว่าที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่

โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอกไม่เป็นอันหลับอันนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจากเดิม

ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้นมีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปีแม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้้น มีเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จะมีลูกไฟลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน ที่ดินบริเวณนี้แม้จะมีผู้ร่วมจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน แต่ไม่มีใครปริปากให้คนภายนอกได้รับรู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่นผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่ แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร เครื่องยนต์ก็ดับเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดี แต่เมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอย่าง เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว! แต่เรื่องยังไม่จบ เพราะนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้น หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ ซ้ำอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจ





สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้นโดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ แต่เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ราวกับไม่มีปั๊มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคันที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลาย จนในที่สุด เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง 3 รูปที่อยู่คนละแห่ง พระภิกษุต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม" และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้านาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไป และก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการและปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา แต่ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป 





 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 10:21:28 น.
Counter : 3444 Pageviews.  

1  2  3  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.