Book of Eli - การอ่านคืออำนาจ

บทความนี้มีสปอยล์นะ


The Book of Eli

โลกหลังสงคราม สังคมมนุษย์ล่มสลาย ชายไร้ชื่อคนหนึ่ง (แต่คนดูก็รู้อยู่ดีว่าชื่ออีไล) ได้ออกเดินทางพร้อมพาหนังสือเล่มหนึ่งติดตัวไปด้วย หนังสือเล่มนี้มีอำนาจที่จะช่วยพื้นฟูมนุษยชาติ้ได้ ขณะเดียวกันคาร์เนกี ผู้นำของเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ก็อยากได้หนังสือเล่มนี้ เพื่อใช้ในการแสวงหาอำนาจไว้ในกำมือ



หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออะไร ก็ไม่ต้องเดากันหรอกครับเพราะหนังก็รีบบอกกันแต่เนิ่นๆ เลย ว่าคือพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งรอดมาจากการถูกเผาในยุคสงครามเพียงเล่มเดียวนั่นเอง ประเด็นสำคัญที่ให้เราติดตามดูมันอยู่ที่ว่า อีไลจะพาคัมภีร์ไปไหน และพาไปทำไม



ตัวหนังเหมือนจะยกย่องพระคัมภีร์ว่าเป็นสิ่งที่ส่องทางสว่างให้มนุษย์ชาติ แต่ในมุมกลับกัน หนังก็ใช้คำพูดของฝ่ายร้าย เพื่อบอกว่าในอดีต พระคัมภีร์ก็เคยถูกใช้เพื่อแสวงหาอำนาจมาก่อน ซึ่งคนที่ใช้พระคัมภีร์นั้นเป็นใคร คงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันดี



และในฉากที่อีไลเล่าเรื่องหนังสือ ว่าเหตุที่หนังสือถูกเผาจนหมดก็เพื่อเพื่อป้องกันไม่ให้คนเอาไปใช้ในทางที่ผิด แต่บางคนก็ว่าเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นตัวจุดชนวนสงครามขึ้นมา มันก็สะท้อนประวัติศาสตร์หลายพันปีที่ผ่านมา โลกมีสงครามเกิดขึ้นด้วยหลายสาเหตุ และหนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ ความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อด้านศาสนา



ความเชื่อ ความศรัทธา เป็นดาบสองคม จะมีคุณหรือโทษก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์จะนำมันไปใช้อย่างไรเท่านั้นเอง



แม้แต่ตัวอีไลเอง เพื่อปกป้องหนังสือเล่มนี้ก็ต้องสังเวยชีวิตคนไปหลายคน ทั้งโจรผู้ร้าย และคนบริสุทธิ์ที่อีไลสามารถปกป้องได้ แต่ก็เลือกที่จะดูอยู่ห่างๆ ดีกว่า และในตอนท้าย อีไลก็คิดขึ้นได้ว่า เขาปกป้องหนังสือเล่มนี้ และอ่านมันทุกวันมาตลอด 30 ปี แต่กลับไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่หนังสือได้สอนไว้เลย



คำสอนสำคัญๆ นั้น เป็นประโยคง่ายๆ คือ "ทำเพื่อผู้อื่น มากกว่าทำเพื่อตัวเอง"



ฉากแอ็คชั่นในหนังมีแค่ประมาณ 5 ฉาก แต่ทำคิวบู๊ได้กระชับ และเร้าใจดี และมีอารมณ์ขันมาเป็นระยะๆ ช่วยให้หนังไม่น่าเบื่อจนเกินไป

ฉากจบหลังจากที่ผ่านจุดหักมุมไปแล้ว รู้สึกจะเนิบนาบไปหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกดีๆ



มนุษยชาติยังคงไม่สิ้นหวัง





Create Date : 04 มีนาคม 2553
Last Update : 19 ตุลาคม 2553 15:05:15 น.
Counter : 1294 Pageviews.

0 comment
Dorian Gray - ความอ่อนเยาว์ ความงาม ความลุ่มหลง


Dorian Gray
เมื่อดอเรียน เกรย์ หนุ่มรูปงาม กลายเป็นเศรษฐีจากกองมรดก เขาได้ย้ายมาอยู่ในลอนดอน เข้าสู่สังคมแห่งแฟชั่นฟุ้งเฟ้อ และงานสังสรรค์ เพื่อนใหม่ของเขา "เฮนรี่" ได้พาเขาสู่อีกด้านของลอนดอน ปาร์ตี้ ยาเสพติด เซ็กส์ นำพาเขาสู่ความลุ่มหลงในความงาม และความอ่อนเยาว์ "แบซิล" เพื่อนอีกคนผู้เป็นศิลปิน ได้วาดภาพเหมือนให้เขา มันเป็นผลงานชิ้นเอก ราวกับภาพมีชีวิตจริง และภาพนั้นจะคงความงามไปตลอด แต่คนผู้เป็นเจ้าของภาพจะต้องแก่ไปตามกาลเวลา เกรย์จึงตัดสินใจขายวิญญาณให้ซาตาน แลกกับความอ่อนเยาว์ตลอดกาล



ชื่อเดิมในฉบับนิยายคือ Picture of Dorian Gray แต่ชื่อใหม่ได้ตัด Picture of ออกไป ด้วยเหตุผลว่าตัวหนัง จะพูดถึงรูปภาพน้อยลง และมาเจาะความเป็นตัวตนของเกรย์มากขึ้น แต่ดูจนจบเรื่องแล้วก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเกรย์มากนัก เรารู้ว่าแรงผลักดันให้เกรย์ขายวิญญาณให้ซาตานคือความลุ่มหลง แต่หนังไม่ได้ย้ำให้เห็นภายในจิตใจของเกรย์ ความกดดันอะไรที่มากพอจะขับดันให้คนคนหนึ่งยอมขายวิญญาณของตัวเอง เรารู้ว่าเพื่อนชักจูงเขาไปสู้ด้านมืด แต่อะไรที่ผลักดันให้เขาถลำลึกไปกว่าเพื่อนของตัวเอง



แน่นอนว่าความงามอมตะ เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้มีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้วย่อมใฝ่ฝันถึง อย่างไรก็ตาม สังคมในยุคนั้นไม่ได้ยอมรับในความงามแบบผิดธรรมชาติ แม้จะอิจฉาในความงามที่เกรย์มี แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นสิ่งไม่มงคล ลับหลังก็สั่งสอนลูกตัวเองไม่ให้มาสุงสิงกับเกรย์ สะท้อนให้เห็นถึงสังคมจอมปลอมในยุควิคตอเรียน ความงามที่เกรย์มี จึงอาจจะกลายเป็นเหมือนคำสาป ในรอยยิ้มที่สนุกสนาน แต่หาได้มีความสุขจริงไม่



สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ก็ต้องการแค่ความรัก จากคนที่เรารักแค่นั้นเอง



ในสมัยที่เรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรก ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหลากหลาย ทั้งเสียงชมและเสียงด่า แต่สำหรับสังคมในปัจจุบันที่มองกันแต่ภาพลักษณ์ภายนอก ผลิตภัณฑ์บำรุงความงาม และการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องปกติที่เห็นโดยทั่วไป ดอเรียน เกรย์ ตัวจริงอาจจะอยู่ไม่ไกลตัวคุณ หรือที่จริงแล้ว คุณนั่นแหละคือ ดอเรียน เกรย์





Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 0:26:18 น.
Counter : 548 Pageviews.

1 comment
Dorian Gray - ความอ่อนเยาว์ ความงาม ความลุ่มหลง


Dorian Gray
เมื่อดอเรียน เกรย์ หนุ่มรูปงาม กลายเป็นเศรษฐีจากกองมรดก เขาได้ย้ายมาอยู่ในลอนดอน เข้าสู่สังคมแห่งแฟชั่นฟุ้งเฟ้อ และงานสังสรรค์ เพื่อนใหม่ของเขา "เฮนรี่" ได้พาเขาสู่อีกด้านของลอนดอน ปาร์ตี้ ยาเสพติด เซ็กส์ นำพาเขาสู่ความลุ่มหลงในความงาม และความอ่อนเยาว์ "แบซิล" เพื่อนอีกคนผู้เป็นศิลปิน ได้วาดภาพเหมือนให้เขา มันเป็นผลงานชิ้นเอก ราวกับภาพมีชีวิตจริง และภาพนั้นจะคงความงามไปตลอด แต่คนผู้เป็นเจ้าของภาพจะต้องแก่ไปตามกาลเวลา เกรย์จึงตัดสินใจขายวิญญาณให้ซาตาน แลกกับความอ่อนเยาว์ตลอดกาล



ชื่อเดิมในฉบับนิยายคือ Picture of Dorian Gray แต่ชื่อใหม่ได้ตัด Picture of ออกไป ด้วยเหตุผลว่าตัวหนัง จะพูดถึงรูปภาพน้อยลง และมาเจาะความเป็นตัวตนของเกรย์มากขึ้น แต่ดูจนจบเรื่องแล้วก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเกรย์มากนัก เรารู้ว่าแรงผลักดันให้เกรย์ขายวิญญาณให้ซาตานคือความลุ่มหลง แต่หนังไม่ได้ย้ำให้เห็นภายในจิตใจของเกรย์ ความกดดันอะไรที่มากพอจะขับดันให้คนคนหนึ่งยอมขายวิญญาณของตัวเอง เรารู้ว่าเพื่อนชักจูงเขาไปสู้ด้านมืด แต่อะไรที่ผลักดันให้เขาถลำลึกไปกว่าเพื่อนของตัวเอง



แน่นอนว่าความงามอมตะ เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้มีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้วย่อมใฝ่ฝันถึง อย่างไรก็ตาม สังคมในยุคนั้นไม่ได้ยอมรับในความงามแบบผิดธรรมชาติ แม้จะอิจฉาในความงามที่เกรย์มี แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นสิ่งไม่มงคล ลับหลังก็สั่งสอนลูกตัวเองไม่ให้มาสุงสิงกับเกรย์ สะท้อนให้เห็นถึงสังคมจอมปลอมในยุควิคตอเรียน ความงามที่เกรย์มี จึงอาจจะกลายเป็นเหมือนคำสาป ในรอยยิ้มที่สนุกสนาน แต่หาได้มีความสุขจริงไม่



สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ก็ต้องการแค่ความรัก จากคนที่เรารักแค่นั้นเอง



ในสมัยที่เรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรก ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหลากหลาย ทั้งเสียงชมและเสียงด่า แต่สำหรับสังคมในปัจจุบันที่มองกันแต่ภาพลักษณ์ภายนอก ผลิตภัณฑ์บำรุงความงาม และการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องปกติที่เห็นโดยทั่วไป ดอเรียน เกรย์ ตัวจริงอาจจะอยู่ไม่ไกลตัวคุณ หรือที่จริงแล้ว คุณนั่นแหละคือ ดอเรียน เกรย์





Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2553 17:29:13 น.
Counter : 324 Pageviews.

0 comment
Star Trek - Reboot ใหม่ โดนใจวัยรุ่น

สารภาพตามตรงว่าไม่เคยดู Star Trek จบเลยสักภาค

ไม่รู้เป็นไง ดูเรื่องนี้เป็นต้องเคลิบเคลิ้มง่วงนอนทุกที "ดั่งต้องมนต์สะกด?"

ภาคนี้เป็นภาคแรกที่ดูแล้วรู้สึกโอเค และดูเพลินจนจบเรื่อง


หนังใช้เวลาไปเกือบครึ่งเรื่อง เพื่อปูพื้นตัวละคร และเหตุการณ์ก่อนเคิร์กวัยละอ่อนจะได้เป็นกัปตันยาน US Enterprise

ด้วยเวลาอันจำกัด และตัวละครหลักที่มีมาก ถือว่าผู้กำกับและคนเขียนบททำได้ดีในส่วนนี้ ที่ทำให้คนดูได้รู้ถึงบุคลิกของตัวละคร พร้อมกับดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีสะดุด

เสียดายที่หลังจากเปิดตัวละคร และเป้าหมายของตัวร้ายแล้ว เวลาที่เหลือของหนังก็เป็นการแอ็คชั่นตามสูตร ซึ่งคอหนังแอ็คชั่นบอกว่า ไม่ต้องดูก็รู้แล้วว่าจะจบยังไง



สิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือการเลือกนักแสดงได้เข้ากับตัวละครเสียจริง โดยเฉพาะแซกคารี ควินโต ในบทสป็อก ที่พอเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่า "หมอนี่มีปมแน่นอน"

และไซม่อน เพ็ก ในบทสก็อต ซึ่งไม่ค่อยมีบทสักเท่าไร แต่ก็ขโมยซีนได้ทุกทีที่โผล่มา

อีกอย่างที่ชอบก็คงไม่พ้นงานสร้างสุดตระการตา ซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดขายหลักของหนังเรื่องนี้เลย

เรียกว่าถ้าไม่ได้งานสร้างระดับนี้ ลำพังแค่เนื้อเรื่องอย่างเดียว หนังเรื่องนี้คงจะจืดๆ กร่อยๆ

ลองคิดดูว่า ถ้าบอกว่าี่มีผู้ชาย 4 คนต่อยตีกัน ก็คงฟังดูงั้นๆ แต่พอบอกว่า 4 คนนี้ ต่อยกันอยู่บนแท่นขุดเจาะด้วยเลเซอร์สุดไฮเทค (ซึ่งห้อยอยู่กับโซ่ยักษ์สนิมเขรอะ?) ที่ความสูงเป็นหมื่นๆ ฟิต

มีพื้นโลกและก้อนเมฆเป็นแบ็คกราวน์อยู่ลิบๆ คนฟังหลายๆ คนก็ร้อง "อู้วววว น่าสนใจดี"



แต่สงสัยจริงๆ นะ ว่าในยุคนั้นไม่มีอาวุธดีๆ ที่จะทำลายแท่นขุดเลยหรือ อย่างเช่นปืนประจำสถานีรบของยาน แทนที่จะส่งมนุษย์ดิ่งพสุธาลงไปเสียงตายกันซะอย่างนั้น



เรื่องนี้มันขัดใจผมตรงตัวละครของกัปตันเคิร์กนี่ล่ะ

เริ่มจากการเป็นเด็กมีปัญหา เป็นพวกหัวขบถ แต่ดันมีพ่อเป็นฮีโร่ เลยมีกัปตันยานท่านหนึ่งแนะนำให้สมัครเข้า Star Fleet

หลังจากนั้นก็ยังคงความเป็นขบถอยู่ เห็นได้จากตอนที่ถูกกล่าวหาว่า โกงการทดสอบ "ยานโคบายาชิ"

หมอก็ไม่ได้แก้ต่างให้ตัวเองโดยการใช้หลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ แต่แก้ต่างโดยการแดกดันผู้ออกแบบบททดสอบ (ก็คือสป็อก) ว่าจงใจสร้างแบบทดสอบ ให้เป็นภาระกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จได้

หลังจากที่ได้ขึ้นยานเอ็นเตอร์ไพรส์ (แบบไม่ถูกกฎ) เคิร์กก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ และได้ช่วยให้ยานรอดพ้นวิกฤติมาได้

ซึ่งผมก็มองว่าเคิร์กวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีจริงๆ แต่ถ้าไม่ใช่ยานเอ็นเตอร์ไพรส์ ทางฝ่ายผู้ร้าย (เนโร) คงจะยิงยานนี้ร่วงไปตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

เรื่องราวดำเนินต่อไปจนถึงตอนที่สป็อกสละตำแหน่งกัปตัน แต่ไม่ได้มอบตำแหน่งให้ใครต่อ

เคิร์กก็ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ และลูกยานก็ยอมรับซะเฉยๆ ทั้งๆ ที่เคิร์กเองก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำสักเท่าไร

ก็เข้าใจว่าตัวละครมีวุฒิภาวะยังน้อย และยังพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ ในภาคต่อๆ ไป แต่ก็อยากมีจุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัดๆ สักหน่อยกับการขึ้นมารับตำแหน่งที่ต้องดูแลชีวิตคนหลายร้อยคน



แน่นอนว่าบุคลิกแบบนี้มักจะถูกใจวัยรุ่น (โดยเฉพาะอเมริกัน) ตรงที่มาดของพระเอก จะเป็นพวกเด็กมีปัญหา และหัวขบถ มีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าสิ่งที่ฉันคิดคือความถูกต้อง

และสุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ และกลายเป็นฮีโร่ จาก โนบอดี้ กลายเป็น ซัมบอดี้

ลองคิดดู ถ้าตัวละครบุคลิกแบบเดียวกันนี้ ไปอยู่ฝ่ายผู้ร้ายละ เหตุการณ์คงจะกลับกัน กลายเป็นเชื่อมันในความคิดที่ผิด และนำพาพวกพ้องไปสู่หายนะ สุดท้ายก็ถูกตราหน้าเป็นคนเลว



ทางฟากตัวร้ายก็ไร้เหตุผลสิ้นดี (แต่อีริค บาน่าแสดงดีนะ ผมชอบ) ดาวบ้านเกิดถูกซูเปอร์โนวาทำลาย สป็อกพยายามมาช่วยแล้ว แต่มาไม่ทันเวลา

ดาวตัวเองโดนภัยธรรมชาติแท้ๆ หาที่ระบายออกไม่ได้ ก็มาโกรธสป็อก

ต้องไปทำลายดาวดวงอื่น ให้มันบรรลัยเหมือนบ้านตู

เออ... เอากะมันสิ



สงสัยอยู่ว่า ตอนที่ยานของเนโรย้อนเวลามานั้น ก็ผ่านมาทางหลุมดำ แต่ตอนจบเรื่องที่โดนหลุมดำดูดเข้าไปอีกที ดันโดนแรงดึงดูดบดขยี้ ตายซะอย่างงั้น?

ตกลงแล้วหลุมดำนี่มัน เป็นหลุมเอนกประสงค์งั้นหรือ???



สุดท้ายแล้วการ reboot ครั้งนี้ ต้องบอกว่าทำได้ดี ถึงจะไม่ได้ขั้นยอดเยี่ยม แต่ด้วยโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ตระการตา บุคลิกตัวละครที่ถูกใจกลุ่มคนดูรุ่นใหม่

และตัวละครเหล่านี้ยังต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แน่ใจว่า เจ เจ เอบรัมส์ ได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับทางสตูดิโอพาราเม้าท์ที่จะหากินกับแฟรนไชส์นี้ได้อีกนาน






Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2554 23:33:36 น.
Counter : 584 Pageviews.

1 comment
Revenge of the Fallen
บันทึกความรู้ของชาว Cybertron ที่เชื่อว่าถูกทำลายไปพร้อมกับ The Cube ในภาค 1 แล้วนั้น ที่จริงแล้วยังคงมีเหลืออยู่ในตัวของแซม สกอต วิสกี้ เอ้ย! แซม วิทวิคกี้ พระเอกหนุ่มของเรานั่นเอง

Fallen ปรมาจารย์รุ่นเดอะของ Decepticon ผู้ซึ่งเคยมาเยือนโลก ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จึงเดินทางมายังโลกอีกครั้ง และล่าตัวแซม เพื่อค้นหาความรู้ที่จะนำไปสู่วิทยาการของ Cybertron ที่จะใช้เพื่อทำลายระบบสุริยจักรวาล

เรื่องย่อสั้นๆ แค่นี้ก็พอมั้ง




คงไม่ต้องให้บรรยายอะไรอีก ยี่ห้อ Michael Bay มันฟ้องอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้อง ทุบรถ ระเบิดตึก ถล่มเมืองอย่างแน่นอน

ไม่รู้ในวัยเด็กแกมีปมด้อยอะไรหรือเปล่า พอโตขึ้นมาถึงต้องมาระบายอารมณ์ใส่ในหนังได้อย่างสะใจขนาดนี้ (สะใจจริงๆ ขอบอก) กับความยาวหนัง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ พี่ก็ปล่อยของ โชว์แอ็คชั่น สาดกระสุน อัดระเบิดกันไม่ยั้ง สำหรับคอหนังแอ็คชั่น ไปดูได้เลยครับ คุ้มค่าตั๋วแน่นอน (หนังเข้ามาแล้ว 1 สัปดาห์ สงสัยคงได้ดูกันหมดแล้วล่ะ เขียนรีวิวช้าไปหน่อย)


และในหนังของ Bay ก็มักจะแอบแดกดันรัฐบาลอยู่นิด ๆ มาดูเรื่องนี้รู้สึกจะไม่นิดซะแล้ว ก็เล่นให้ตัวแทนปธน. เป็นตัวต้นเหตุทำเสียเรื่องซะขนาดนั้น ผู้กำกับบ้านเราลองทำอย่างนี้บ้างอาจจะได้ไปนอนเล่นที่ฮ่องกงสักสามวัน



ที่สำคัญคือ ดูหนังของ Michael Bay อย่าคิดมากครับ ประเภทว่า "ทำไมตำรวจปล่อยไปง่ายจัง" "ทำไมหุ่นยนต์อาละวาดทั้งเมือง ยังรัฐบาลปิดข่าวได้เงียบขนาดนั้น"

อย่าคิดเลย ความสมจริงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ทำให้หนังสนุกขึ้นหรอกนะ




ใครคิดเหมือนผมบ้าง?

- คิดว่า Spilberg เป็น Producer ให้ พอดูเครดิตท้ายเรื่อง อ้าว ... Producer นี่ใครหว่า ไม่รู้จัก... ดูต่อไปอีกนิด อ่อ Spilberg เป็น Executive Producer นี่เอง
- Bay มักจะชอบให้กล้องวิ่งวน ๆ รอบตัวนักแสดง โชว์ฉากอลังการ 360 องศา ที่ผมชอบมากๆ คือฉากของ Cage ในเรื่อง The Rock มันเท่ห์สุด ๆ แต่พอหมุนหลาย ๆ รอบมันก็มึนหัวนะ ขนาดอยู่กลางโรง แล้วคนที่นั่งแถวติดหน้าจอคงเมาเลยมั้ง

- บางที่ในฉากชุลมุนมันแยกไม่ออกว่าเป็นหุ่นตัวไหนอ่ะ อย่าง Megatron กับ Starscream ถ้ามองไกลๆ ก็คล้ายๆ กัน (หรือเราตาถั่วหว่า)



Create Date : 01 กรกฎาคม 2552
Last Update : 6 สิงหาคม 2552 17:59:02 น.
Counter : 393 Pageviews.

0 comment
1  2  

ลัคกี้เหมียว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]