Blog for cosmetic junky

ของฝากคนผิวแห้ง (เอ๊ะหรือว่าเป็นผิวแพ้ง่าย?)

คิดว่ามีหลายคนสงสัยว่าผิวแห้ง คือผิวแพ้ง่ายหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่นะคะ เพียงแต่คนผิวแห้งมีแนวโน้มว่าจะมีผิวแพ้เครื่องสำอางง่ายกว่าคนผิวมัน เมื่อมันไม่เหมือนกันเลย การดูแลก็ต่างกันคะ มาดูคนผิวแพ้ง่ายหรือมี sensitive skin กันก่อน คือ
1. ควรเช็คดูให้รู้ว่าเราแพ้อะไร บางทีเกิดจากอาหาร หรือสารเคมีในเครื่องสำอางบางตัว ถ้าเกิดอาการผื่นแดง บวม หรือ คัน ให้หยุดใช้ก่อน จะเห็นผลเร็วมากว่าหน้าจะดีขึ้นภายใน 2 วัน การหาสาเหตุนี้ต้องอดทนนิดนึงนะคะ เพราะเราใช้เครื่องสำอางหลายตัว หรือบางครั้งอาการเกิดเพราะมีปฎิกริยาร่วมกันของเครื่องสำอางสองชนิด แต่ถ้าเรารู้สาเหตุแล้วจะเป็นผลดีมากในการเลือกซื้อเครื่องสำอางครั้งต่อไปคะ

2. ถ้าไม่สามารถหาสาเหตุได้ ควรหาซื้อครีม cortisone ซึ่งเป็นครีมแก้แพ้ ให้ทาติดต่อกันหลายวัน แม้ว่าหายแล้วก็ควรจะทาต่อไปอีก แต่ไม่ควรใช้เกิน 2 หรือ 3 เดือน

3. หลีกเลี่ยงการใช้ AHAs, Retin-A, Renova, benzoyl peroxide (ยาแก้สิว) ในบริเวณที่เป็นผื่นแพ้ รอให้หายก่อนนะคะ เพราะสารเหล่านี้จะไประคายเคืองผิวคะ

4. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า ไอน้ำ หรือการออกเหงื่อเยอะๆ หรือถู เกา บริเวณที่เป็น

5. ควรหาหมอคะ ถ้าไม่หายภายใน 4-6 อาทิตย์

สำหรับคนที่ไม่เคยเกิดอาการเป็นผื่น บวม ขึ้นหน้า แต่ว่าผิวมักแห้ง บางทีเป็นขุ่ย นั่นไม่ใช่ sensitive skin นะคะ แต่เป็นผิวแห้งค่ะ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าผิวแห้งคืออะไร ผิวแห้งไม่ได้มีความหมาย simple ว่าผิวขาดน้ำหรือความชุ่มชื้น มีการศึกษาความชุ่มชี้นในผิวของผิวแห้ง และของผิวมัน ซึ่งมีระดับความชุ่มชื้นไม่แตกต่างกันเลย ถ้าคนที่มีผิวแห้งอยากให้ผิวชุ่ชื้นขึ้น แล้วแช่ตัวในน้ำนม หรือน้ำมัน (baht oil) นานๆ กลับจะทำให้ผิวเสียได้ เพราะสารเคลือบชั้นผิวถูกทำลายหายไป โครงสร้างระหว่างเซลล์ผิวจึงฟังก์ชั่นไม่ปกติ เลยทำให้ผิวยิ่งแห้งขึ้น และดูกร้านๆ ฉะนั้นการดูแลผิวแห้งจึงควรที่จะรักษาสารเคลือบผิวของคุณที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และบำรุงโครงสร้างผิวชั้นในให้แข็งแรง

โชคดีที่บ้านเรามีอากาศชื้น อาการของคนที่มีผิวแห้งจึงไม่รุนแรง ปัญหาที่พบมากคือ1. คนผิวแห้งที่ต้องอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน 2. แสงแดดที่แรง แม้ว่าอยู่ภายในอาคารก็ทำให้เราได้รับผบกระทบด้วย

ฉะนั้นการดูแลที่ถูกต้องคือ ถ้าในห้องที่มีแอร์อยู่ ทำให้ผิวเราแห้งมาก ให้หาเครื่องพ่นไอน้ำมาใช้ เพราะอากาศที่แห้งจะทำให้น้ำในผิวเราระเหยออก และควรทาครีมกันแดดทุกวัน แม้ว่าอยู่แต่ในที่ร่มก็ตาม

การขจัดผิวหนังชั้นนอกโดยการใช้ alpha hydroxy acid (glycolic หรือ lactic acid) ก็เป็นการช่วยทำให้ผิวแห้งที่เป็นขุยหลุดไป และสร้างผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมา

อายุที่มากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งขึ้น เพราะระดับของ estrogen ลดลง ทำให้ชั้นผิวและชั้นไขมันใต้ผิว (ซึ่งเป็นตัวปกป้องผิว) บางลงด้วย น่าเสียดายที่ยังไม่มีครีมตัวไหนสามารถแก้ปํญหานี้ได้จริงๆ นอกจากการรับประทานฮอร์โมนต่างๆ เพื่อไปทดแทน estrogen ที่เสียไป ซึ่งการรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (มี phytoestrogens) ก็ช่วยให้ผิวดีขึ้นได้

ขั้นตอนการดูแลผิวแห้ง
1. ใช้ครีมกันแดด ทุกวัน เพราะแสงแดดทำลายความชุ่มชื้นของผิว

2. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ดี ประกอบด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidants) ยิ่งถ้ามีผิวแห้งมากๆ ควรหามอยส์เจอร์ที่มี lipids เช่น lecithin, cholesterol, glycerol, glycerides, และ plant oil และครีมควรบรรจุอยู่ในขวดทึบ ไม่ใช่กระปุก เพื่อคงสภาพของส่วนผสมไม่ให้สูญหาย

3. ให้ทามอยส์เจอร์ซ้ำได้ ในเวลาระหว่างวัน ที่รู้สึกว่าผิวแห้ง ควรพกครีมทามือ หรือโลชั่นไว้ในกระเป๋า เพื่อทาหลังล้างมือ หรือทาหน้า และตัวระหว่างวัน

4. ไม่ใช้สบู่ ควรใช้แต่คลีนเซอร์อ่อนๆ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่าหลังใช้หน้าตึงๆ จนถึงคอ แสดงว่าไม่เหมาะกับคุณแล้วคะ

5. ไม่ควรแช่ตัวในน้ำอุ่นนานเกินไป รู้คะว่ามันรีแลกซ์ แต่มันทำให้เซลล์ผิวเสียได้ เอาแค่แช่ในเวลาสั้นๆก็พอ

6. ถ้าอากาศแห้งมากในหน้าหนาว ให้หาเครื่องทำไอน้ำมาเปิดไว้ในห้อง อันนี้จำเป็นมากๆ ถ้าอยู่ต่างประเทศ

7. ไม่ควรแช่ผิวในอ่างด้วย bath oil ถ้าอยากให้ได้ผลดีที่สุด ให้ทา bath oil หลังอาบน้ำเสร็จแล้ว

8. ขจัดเซลล์ผิวเก่า ด้วย AHA

9. ใช้ plant oil บริสุทธิ์ เช่น olive oil ทาหลังจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ในเวลาก่อนนอน ให้ใช้หยดเล็กๆ ไม่กี่หยด นวดส่วนที่แห้งมากๆ เพราะ olive oil เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ยอดเยี่ยม

10. อย่าลืมริมฝีปาก เพราะมันก็ขาดน้ำได้เหมือนกัน ให้ใช้ลิปบาล์ม หรือลิปกลอส แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีสารระคายเคืองอย่างเช่น peppermint และ menthol




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 12 พฤษภาคม 2550 15:41:12 น.   
Counter : 818 Pageviews.  

แผนรบเอาชนะผิวผสม ตอนที่ 3

ตอนสุดท้ายแล้วคะ
การดูแลผิวผสม ในส่วนที่เป็นผิวธรรมดา – แห้ง และแห้งมาก

• อย่างที่อธิบายไปเมื่อตอนที่แล้ว BHA เป็นทางเลือกที่คุณจะใช้หรือไม่ก็ได้ กับผิวบริเวณนี้ ถ้าต้องการใช้ก็ให้เลือกแบบโลชั่น หรือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นมากกว่า ให้เริ่มที่ค่า 1% ก่อนแล้วค่อยเพิ่มระดับ ยิ่งถ้าเป็นหน้าร้อนผิวจะมันมากขึ้น เลือกใช้ 2% ได้เลย ยิ่งถ้ามีปัญหาสิวอุดตัน หรือสิวเสี้ยน BHA เป็นสิ่งที่ต้องใช้เลยล่ะ

• ถ้าคุณไม่มีปัญหาเรื่องสิว แนะนำให้ใช้ โปรดักส์ ที่ส่วนผสมของ AHA (ซึ่งเหมาะกับผิวแห้ง)ทั่วใบหน้า AHA (บางทีถูกรียกว่า glycolic acid) ควรอยู่ที่ 8% ทั้ง AHA และ BHA มีคุณสมบัติทำให้ผิวดูสดใส เพราะไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวให้เกิดเร็วขึ้น และยังทำให้ collagen ใต้เซลล์ผิวแข็งแรง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น

• คุณอาจใช้ toner ที่มีมอยส์เจอร์ผสมอยู่ด้วย เช็ดหลังทำความสะอาดหน้าเพื่อเตรียมผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนลงเซรั่ม หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ให้ทาในขณะที่ผิวยังชื้นๆจากการใช้ toner แล้ว

• อย่างที่แนะนำว่าควรหาวิธีปกป้องแสงแดด โดยใช้รองพื้นหรือแป้งที่มี SPF 15 ขึ้นไป แต่เฉพาะในส่วนที่หน้าแห้งให้ทาเซรั่ม หรือมอยส์เจอร์ก่อน

• บำรุงผิวส่วนนี้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารให้ความชุ่มชื้นที่ทำให้ผิวนุ่มนวล ต้องแน่ใจว่า ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอางค์เหล่านี้เก็บอยู่ในภาชนะทึบ (หรือขวดสีชาก็ได้) และปิดไม่ให้อากาศเข้ามาได้ อาจเป็นขวดปั๊ม หรือ หลอด (ไม่ใช่แบบกระปุก) เพื่อคงรักษาคุณประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ

• ถ้าในส่วนที่เป็นผิวแห้ง นั้นแห้งมากๆ (เช่นเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ หรือช่วงหน้าหนาว) ให้ใช้เซรั่มทาก่อน แล้วตามด้วย มอยส์เจอร์ที่เป็นครีม

• การใช้มาสก์ในส่วนนี้ควรใช้ moisturizing mask เมคชัวร์ว่ามีส่วนผสมของน้ำมันจากพืชพรรณธรรมชาติอยู่ด้วย

• ถ้าบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่แห้งที่สุด ให้ใช้ครีมหรือเซรั่มที่เข้มข้นขึ้น ในตอนเช้า ให้รอจนกว่าครีมจะซึมซาบลงไปก่อนจึงแต่งหน้าตามปกติ สำหรับกลางคืนให้เพิ่มครีมที่มีส่วนผสมของ olive หรือ primrose oil ทาบางๆ (สองอย่างนี้ให้ความชุ่มชื้นสุดๆ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ)

• บางทีส่วนที่หน้าแห้งก็เกิดสิวได้ ให้ใช้ benzoyl peroxide ที่ 2.5% ถ้ายังไม่หายให้เพิ่มเป็น 5% ถ้าใครแพ้ Benzoyl peroxide ก็อาจต้องหาตัวยาอื่นมาใช้ เช่น Clindamycin, Erythromycin, Tetracycline, Differin cream ต้องให้หมอจ่ายให้คะ

• ถ้าสีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะเกิดได้จากแสงแดด หรือฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป (เช่น วัยทอง หรือในคนที่ตั้งครรภ์) ควรเลือกโลชั่น หรือ ครีม lightening ที่มีส่วนผสมของ hydroquinone ที่ 2% ทาอย่างน้อยวันล่ะครั้งเฉพาะจุดที่เป็น

จบแล้วคะ คิดว่าไม่ยากเกินไป คือถ้าทำเป็นรูทีนก็จะชินไปเอง และเพื่อความเข้าใจในส่วนผสมที่ดีขึ้น คุณสามารถเข้าไปดูที่หมวด พจนานุกรมส่วนผสม ได้
ขอบคุณคะ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 8 พฤษภาคม 2550 23:55:51 น.   
Counter : 810 Pageviews.  

แผนรบเอาชนะผิวผสม ตอนที่ 2

มาต่อกับตอน 2 ดีกว่า

การดูแลผิวบริเวณที่มันของคุณๆที่มีผิวผสม

• แนะนำมากๆเลยว่าควรใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ BHA ที่มีค่า 1% หรือ 2% และต้องมีปริมาณ pHที่พอเหมาะด้วย (อันนี้เดียวจะเนะนำนะคะว่าใช้ยี่ห้ออะไร รุ่นไหนดี ในหมวด เครื่องสำอางค์ติดเรท) ควรใช้ทุกวัน วันละครั้งเป็นอย่างน้อย เลือกเอาได้เลยคะว่าชอบแบบน้ำ ครีม หรือแบบเจล คุณประโยชน์ของ BHA นั้นดีมากๆเลยสำหรับผิวผสม เพราะมันสามารถป้องกันน้ำมันส่วนเกินไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน ดังนั้นจึงลดปัญหาสิวต่างๆได้ นอกจากนี้ BHA ยังขจัดผิวหนังที่ตายแล้ว ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวใหม่ดีขึ้น โอเคมากๆเลยคะถ้าจะใช้ BHA ทั่วใบหน้า แต่อาจจะเลือก ค่า 2% ใช้ในบริเวณที่มัน และ 1% ในบริเวณที่แห้งกว่า

• ถ้าอยากใช้มาสก์พอกหน้า (เช่น โคลน) เพื่อดูดซับความมัน ก็ทำได้คะ แต่ต้องใช้ในบริเวณที่มันเท่านั้น วิธีใช้ ก็ใช้หลังจากทำความสะอาดหน้าเสร็จแล้ว พอกมาสก์ไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกจ๊า

• ถ้าคุณๆมีปัญหาสิว ให้ใช้ครีมแก้สิวที่มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่ได้ผลดีที่สุดคือโปรดักค์ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide จากผลการวิจัยนะคะใน แลงเซท เจอนัลนะคะบอกว่า Benzoyl peroxide มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งเราสามารถไปซื้อได้ตามร้าน Watson , Bootsแต่ถ้าใครแพ้ Benzoyl peroxide ก็อาจต้องหาตัวยาอื่นมาใช้ เช่น Clindamycin, Erythromycin หรือ Tea tree oil แต่อย่างหลังนี้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดนะคะว่าใช้แล้วได้ผลแน่นอน เพราะบางคนก็ใช้แล้วหาย แต่บางคนก็ไม่ได้ผลคะ

• สำหรับผลิตภัณฑ์กันแดด ควรใช้รองพื้นหรือแป้งเพรส ที่ค่าอย่างน้อยต้องเป็น SPF 15 คะ คุณสามารถใช้เซรั่ม หรือมอยส์เจอร์ทาในส่วนที่แห้งก่อนก็ได้ แล้วค่อยตามด้วยรองพื้นทั่วหน้า ถ้าใครไม่ใช้รองพื้นหรือแป้งให้เลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อแมท

• บำรุงผิวส่วนนี้ด้วยเซรั่ม หรือโทนเนอร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ สารติดต่อกับเซลล์ผิว วิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดการอุดตันในผิวมัน แค่ให้แน่ใจว่าในเซรั่ม ไม่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ และเซรั่มควรมีส่วนประกอบหลักเป็น ซิลิโคน หรือน้ำ

• ถ้าระหว่างวันผิวมีความมัน ก็ให้ใช้ฟิล์ม หรือกระดาษซับมันซับ แล้วตามด้วยแป้งตลับเนื้อบางเบา ถ้าจะให้เป็นธรรมชาติ ควรใช้แปรงคะ

• สำหรับผิวหน้าที่มีความมันมากๆ ให้ใช้ Clinique t-zone shine control ทาก่อนรองพื้นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด



ถ้าใครสามารถหาซื้อ smashbox ได้ ขอแนะนำ smashbox’s Anti-Shine สี Smashing Neutral (ไม่มีสี) เจ๋งมากๆ



• ถ้าสีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะเกิดได้จากแสงแดด หรือฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป (เช่น วัยทอง หรือในคนที่ตั้งครรภ์) ควรเลือก เจล lightening ที่มีส่วนผสมของ hydroquinone ที่ 2% ทาอย่างน้อยวันล่ะครั้งเฉพาะจุดที่เป็น hydroquinone นี้ไม่มีขายตามท้องตลาดในเมืองไทย ต้องให้แพทย์ผิวหนังออกให้ แต่ที่อเมริกามีให้เห็นอยู่ทั่วไปคะ

พรุ่งนี้จะมาอัพเดทตอนที่สาม เป็นตอนสุดท้ายน๊า




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2550   
Last Update : 6 พฤษภาคม 2550 1:27:26 น.   
Counter : 3270 Pageviews.  

แผนรบเอาชนะผิวผสม ตอนที่ 1

ผิวผสม เป็นประเภทของผิวที่พบได้มากที่สุดในประเทศแถบร้อน อย่างประเทศไทย แล้วคนที่มีผิวประเภทนี้ก็มักจะพ่ายแพ้กับการรับมือกับสภาพผิวที่มีทั้ง บริเวณที่แห้ง และ มัน นั่นก็เพราะผิวบริเวณส่วนกลาง เช่น หน้าผาก จมูก คาง และแก้ม มีต่อมผลิตไขมันที่มากกว่าบริเวณอื่นๆของหน้าไงล่ะจ๊ะ งั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม บริเวณที่มันๆ เหล่านี้ถึงเกิดสิวได้ง่ายมากกว่าบริเวณอื่น ในขณะเดียวกัน บริเวณที่มีต่อมไขมันน้อยกว่า เช่น รอบดวงตา ข้างแก้ม ก็มักจะแห้ง หรือผิวเป็นขุ่ยบ้าง ทีนี้ปัญหาก็จะเกิดหล่ะ เมื่อคุณพยายามดูแลผิวผสม เหมือนดูแลผิวมัน อย่างเช่นใช้คุณใช้เครื่องสำอางค์สำหรับผิวมัน ส่วนผสมมากมายที่ใช้ได้ดีกับบริเวณ ทีโซน (T-zone) นั้นไม่ช่วยผิวส่วนที่แห้งกว่า บริเวณ ข้างแก้ม รอบดวงตา หรือ คางเลย ฉะนั้น การดูแลรักษาผิวผสมจึงต้องอาศัยเครื่องสำอางค์ทั้งสองประเภท คือซึ้อมาทั้งสองอย่าง ของคนหน้ามัน และคนหน้าแห้ง ไม่แนะนำให้ใช้ครีมของผู้ที่มีผิวผสม เพราะส่วนผสมจะมุ่งเน้นที่จะไปขจัดความมันมากกว่า

ถึงแม้ว่าผิวบนหน้าคุณจะเป็นผิวเดียวกัน แต่วิธีดูแลต่างกันสำหรับคนที่มีผิวผสมเพื่อให้ได้ผลดีสูงสุด เมื่อคุณสามารถปรับเปลี่ยนรูทีนในการดูแลผิวผสมได้ ผิวของคุณจะเกิดความสมดุลย์กัน และผิวก็จะดีขึ้น ความสมดุลย์ คือคีย์เวิร์ดที่คุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจเลยคะ เมื่อต้องรับมือกับผิวผสม เป้าหมายก็คือ ป้อนเครื่องสำอางค์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ล่ะส่วนที่ต่างกันนี้แหละคะ

ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน กฎพื้นฐานของการดูแลผิวทุกประเภท ก็ยังคงนำมาใช้กับคนผิวผสมด้วย การใช้สารที่ระคายเคือง หรือสารขัดผิวแรงๆ (ที่มักมีมากับผลิตภัณฑ์เพื่อผิวมัน) กับหน้าจะทำให้ผิวผสมที่มีลักษณะเป็นผิวสองประเภทแย่เข้าไปอีก โดยเฉพาะบริเวณรอบหน้าที่เป็นผิวแห้ง อาจเกิดความหยาบกร้าน และ รอยแดง มิหนำซ้ำ การใช้ของแรงๆ ยังทำให้ผิวที่มันๆ บริเวณทีโซนไม่ดีขึ้น เหมือนเป็นการไปกวนให้ต่อมผลิตไขมันมากขึ้นอีก

เพราะว่าผิวผสม ต้องการการดูแลที่ผสมผสานกัน ดิฉันจึงแบ่งแผนการรบที่เห็นข้างล่างนี่ ออกเป็น 3 ตอน โดยทำตามกันได้ step-by-step เลยนะคะ ตอนแรกเป็นไกด์ไลน์ทั่วๆไปของผิวผสม ตอนที่สอง คือการดูแลผิวส่วนที่มัน และ ตอนที่สาม เป็นการดูแลส่วนที่เป็นผิวธรรมดา – แห้งค่ะ (และในบางเคส แห้งมากๆ) ทั้งนี้การดูแลที่ถูกวิธี ทำให้คุณยังสามารถรับมือกับสิว และ สิวเสี้ยน (ทั้งหัวดำ และหัวขาว) ที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของใบหน้าด้วย

ไกด์ไลน์ทั่วๆไปของผิวผสม

• ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ ที่อ่อนโยนมากๆ และส่วนผสมเป็นชนิดที่ละลายในน้ำได้ (Water-soluble cleanser) จะไม่ทำให้ผิวรู้สึกแห้ง หรือตึง ซึ่งโฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบาง หรือ คลีนเซอร์แบบเจล จะเหมาะกับผิวผสมที่สุด

• หลีกเลี่ยงสุดๆ เลยคือ สบู่ล้างหน้าแบบก้อน ไม่ว่าสบู่เหล่านั้นจะเคลมว่าแสนจะอ่อนโยนแค่ไหน หรือไม่มีสารตกค้างก็ตาม แต่ส่วนผสมที่ทำให้สบู่คงสภาพได้ในรูปก้อนนั่นแหละ ที่ไปอุดตันรูขุมขน และส่วนผสมนี้ยังทำให้ผิวแห้งกว่าการใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนอีกด้วย

• ถ้าคุณเลือกที่จะใช้โทนเนอร์ (Toner) ก็สามารถใช้ขวดเดียวกันทั้งหน้าได้ ถ้าโทนเนอร์นั้นมีส่วนประกอบพื้นฐานจากน้ำ และ กลีเซอรีน แต่ต้องให้แน่ใจว่าโทนเนอร์นั้นอัดแน่นไปด้วยคุณค่าของ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant ได้แก่ vitamins A, C, และ E, amino acids เช่น methionine, L-cysteine, L-carnitine และ coenzymes เช่น alpha lipoic acid และ coenzyme Q10 ) ตัวนำความชุ่มชื้น (water-binding agent ซึ่งได้แก่ ceramide, lecithin, glycerin, polysaccharides, hyaluronic acid, sodium hyaluronate, mucopolysaccharides, sodium PCA, collagen, elastin, proteins, amino acids, cholesterol, glucose, sucrose, fructose, glycogen, phospholipids, glycosphingolipids, และ glycosaminoglycans) สารติดต่อกับเซลล์ผิว (Cell-communicating ingredients ได้แก่ niacinamide, adenosine triphosphate, retinol, tretinoin, Renova, และ Retin-A)

• ควรใช้ครีมกันแดดทุกวัน และทั้งปีไม่ว่าหน้าฝน หรือหนาว หรือไม่ว่าคุณจะอยู่แต่ในออฟฟิศก็ตาม และควรแน่ใจว่ามีสารป้องกัน UVA อยู่ในสินค้าด้วย ให้สังเกตว่ามีส่วนผสมเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ คือ titanium dioxide, zinc oxide, หรือ avobenzone จะดีมากๆ ถ้าคุณเลือกใช้รองพื้นหรือแป้งที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพราะเหมาะกับคนที่มีผิวผสมซึ่งทำให้คุณไม่ต้องทามอยส์เจอร์กันแดดอีกชั้น แต่ควรจะเมคชัวร์นะคะว่าต้องทารองพื้นหรือแป้งให้ทั่วหน้า เพราะคุณจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่จริงๆ

• ขจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขนด้วยการขัดผิว (Exfoliate) เพื่อให้ผิวใหม่ผลัดตัวเร็วขึ้นโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม beta hydroxyl acid (BHA/salicylic acid) นอกจาก BHA จะขัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกโดยง่ายแล้ว ยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขนเพื่อทำให้รูขุมขนเล็กลงและผิวเนียนเรียบขึ้นทันตา

• ควรดูแลผิวส่วนที่แห้ง (รวมทั้งรอบดวงตา) ด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และ ตัวนำความชุ่มชื้น การใช้ครีมที่มีส่วนผสมเหล่านี้ยิ่งมาก ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในส่วนที่แห้งได้ และต้องแน่ใจว่า ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอางค์เหล่านี้ ถูกเก็บอยู่ในภาชนะทึบ (หรือขวดสีชาก็ได้) และปิดไม่ให้อากาศเข้ามาได้ อาจเป็นขวดปั๊ม หรือ ภาชนะหลอด (แบบพวกกระปุกเนี่ยลืมได้เลย ไม่เอาคะ) เพื่อคงรักษาคุณประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระไว้นานๆ

• ถ้าเกิดว่าคุณกังวลเกี่ยวกับริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยดำที่เกิดจากแสงแดด แนะให้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Renova, Avita และ Retin-A เพิ่มเข้าไปก่อนนอน ซึ่งคุณสามารถเลือกได้หลายแบบที่เหมาะกับคุณๆที่สุด เพราะที่มีวางขายอยู่ก็มีทั้งแบบ เจล ครีม โลชั่น




 

Create Date : 30 เมษายน 2550   
Last Update : 6 พฤษภาคม 2550 1:07:18 น.   
Counter : 3295 Pageviews.  


LyS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add LyS's blog to your web]