สัพเพ ธัมมา ลานัง อภินิเว สายะ : ใดใดในโลก อันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น
 
ชีวิตคือการลงทุน

ชีวิตคือการลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ความสำเร็จในชีวิตของคนส่วนใหญ่นั้นผมคิดว่าหนีไม่พ้น
จะต้องเกิดจากการลงทุน ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ถ้าไม่ได้ลงทุนเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตคงลดลงไปมหาศาล Key Success Factor หรือหัวใจที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในช่วงที่เป็นเด็กนั้นค่อนข้างชัดเจนก็คือ คุณต้องทุ่มเทให้กับการเรียนทคะแนนให้ดี เรียนในสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการและโอกาสในการที่จะประกอบอาชีพในอนาคตเปิดกว้าง

ช่วงประมาณ 10 ปีแรกของการทำงาน เราต้องลงทุนในการทำงาน เรียนรู้งานให้ลึกซึ้ง อย่าเพิ่งหวังที่จะทำเงินมาก ๆ จากชั่วโมงทำงาน เรากำลังลงทุนเพื่อที่จะสร้างความสามารถในการเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นผู้บริหาร ซึ่งจะทำให้เราสามารถทำเงินได้เป็นทวีคูณในอนาคต หลาย ๆ คนทุ่มเทเวลาให้กับงานมากเสียจนลืมเรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะยังมีความสำคัญน้อยกว่าแต่จะค่อย ๆ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปและเขามีอายุมากขึ้น

ชีวิตคนโดยทั่วไปมีเรื่องสำคัญที่เราต้องใช้เวลา ผมคิดว่าประกอบไปด้วยเรื่องหลัก ๆ 4 -5เรื่อง เรื่องหนึ่งนั้นแน่นอนก็คือการทำงาน เรื่องที่ 2 คือ การลงทุนทางการเงินเพื่อให้เกิดความมั่นคง และ/หรือ ความมั่งคั่งในชีวิต เรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องของสุขภาพเพื่อรักษาคุณภาพของชีวิตให้ดำเนินไปได้อย่างมีความสุขสมตามอัตภาพ เรื่องที่ 4 ก็คือเรื่องของความบันเทิง เริงรมย์ที่จะช่วยให้ชีวิตมี – ความบันเทิง และสุดท้ายก็คือเรื่องของครอบครัวที่มักจะเป็นเรื่องที่น่าจะเรียกว่าเป็น Mother of All Success หรือเป็นพื้นฐานแรกของความสำเร็จทั้งมวล

ถ้าเราทำแต่งานและไม่ลงทุนในเรื่องอื่น ๆ ดังกล่าวเลยในช่วง 10 ปีแรก เราก็คงจะประสบความสำเร็จได้แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่อันตรายและไม่ดี เพราะมันอาจจะทำให้ชีวิตของเราเสียหาย และอย่างน้อยที่สุด มันทำให้ชีวิตในช่วงต่อไปของเราดำเนินไปได้ยากขึ้น ความสำเร็จต่อไปอาจจะพบกับอุปสรรค เพราะ Key Success Factor ในอนาคตข้างหน้าไม่เหมือนเดิมเมื่ออายุเรามากขึ้น คำแนะนำของผมก็คือ เราควรจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนบ้างแม้ว่าเราจะยังมีเงินเก็บสะสมน้อย เราควรจะต้องรักษาสุขภาพให้ร่างกายฟิตอยู่เสมอแม้ว่าเราจะไม่ได้ออกกำลังมากนัก ส่วนเรื่องบันเทิงนั้น ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไร

ช่วงหลังจาก 10 ปีของการทำงานไปจนถึงวัยกลางคนซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 50 ปี นั้น ผมเห็นว่าเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลของการลงทุนใน “แรงงาน” นั่นคือเป็นช่วงที่การทำงานจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงอันเป็นผลจากการลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ หลาย ๆ คนที่มีความสามารถ กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่สามารถทำเงินได้มหาศาลจนร่ำรวยได้ ในเวลาเดียวกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนมักจะมีเงินเหลือ และดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุน และนี่ก็มาถึงประเด็นที่ว่าเราจะต้องรู้จักใช้เวลา หรือลงทุนเวลาในการที่จะศึกษาศาสตร์ของการลงทุนเพื่อช่วยบริหารเงินของเราให้งอกเงยตามที่มันควรจะเป็น และก็เช่นเดียวกัน สุขภาพของเรานั้น แม้ว่าโดยทั่วไปร่างกายของเรายังแข็งแรงพอสมควร แต่การรักษาสุขภาพจะเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผมคงไม่ต้องพูดว่า ช่วงนี้ เราจะต้องให้เวลาโดยเฉพาะกับลูก ๆ ที่กำลังเติบโต การจ้างคนอื่นทำหน้าที่นี้เพราะเรามีเงินที่จะจ้างนั้น ผมไม่คิดว่าจะให้ผลเหมือนกับการทำเอง เช่นเดียวกับการที่เราอาจจะคิดว่า การลงทุนนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเราสามารถจ้างคนอื่นทำได้ก็อาจจะได้ผลออกมาเหมือนกัน หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องรู้และเข้าใจพอสมควรการจ้างคนอื่นทำนั้น เพียงแต่มาช่วยแบ่งเบางานที่ไม่สำคัญหรือไม่จำเป็นที่เราต้องทำเองเท่านั้น ทั้งเรื่องของการเลี้ยงลูกและการลงทุน

ช่วงสุดท้าย คือตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปหรือมากกว่านั้น Key Success Factor สำหรับหลาย ๆ คน ผมคิดว่าไม่ใช่การทำงานหนักด้วยตนเอง การบริหารคนหรือใช้ให้คนอื่นทำงาน แต่อาจจะเป็นเรื่องของการใช้เงินทำงานแทนหรือก็คือ การลงทุนในเรื่องของการเงิน ทั้งนี้เพราะเรามีอายุมากขึ้นกำลังวังชาของเราถดถอยลง ซึ่งทำให้เราต้องพึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นค่าใช้จ่าย เราต้องพึ่งการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพมากขึ้นเพื่อให้เรามีชีวิตที่มีคุณภาพดีต่อไปอีกนานเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น การลงทุนและสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้อง “ลงทุน” มากขึ้น และถ้าเราลงทุนกับเรื่องทั้งสองนี้มาก่อนหน้าแล้วอย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่เราจะทำได้ดีในช่วงชีวิตช่วงนี้ก็จะมีมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำมาก่อน

ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ เรียนให้หนักในตอนเด็ก ทำงานทุ่มเทในช่วงหนุ่ม รู้จักการใช้คนทำงานในช่วงกลางคน ลงทุนอย่างชาญฉลาดในยามชรา แต่ในทุกขั้นตอนของชีวิต อย่าลืมลงทุนในสิ่งที่สำคัญดังกล่าวในช่วงชีวิตต่อไป ความสำเร็จในชีวิตคนนั้น ก็คือการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทองหรือเรื่องอื่น ๆ


*********************************************

บทความข้างต้น
เป็นบทความสำคัญมากอย่างหนึ่่งที่ชี้ทาง(สว่าง) สร้างแรงบันดาลใจให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น (เพราะกังวลน้อยลง) ฯลฯ และเป็นต้นแบบอย่างหนึ่งที่เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่ดี(จนถึง)ทุกวันนี้

วันที่ได้อ่านบทความคือวันที่ผมบอกตนเองว่า นี่คือคำตอบอย่างหนึ่งของชีวิต ที่ในตอนแรกยังไม่รู้ว่า
(มัน)คืออะไร ?
ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ?
ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร ?

ในตอนนั้น มีหลักการดำเนินชีวิตที่กำหนดไว้ไม่กี่อย่าง เช่น
- ซื้อหนังสือที่ชอบมาอ่านอยู่เป็นประจำ เพื่อหาความรู้ด้านศาสนาและปรัชญา สุขภาพ บ้านและต้นไม้ คอมพิวเตอร์ ใช้ในงานที่รับผิดชอบ ฯลฯ ที่ยังไม่รู้อีกมากมาย เป็นเรื่องแปลกที่ตอนแรกที่ทำงานใหม่ๆ แม้ว่าจะชอบอ่านหนังสือแต่สมัยนั้นไม่มีหนังสือแนวการออม การลงทุน การบริหารเงินส่วนบุคคล ฯลฯ วางขายเลยทำให้ช่วงแรกไม่สนใจเรื่องแบบนี้เลย

- ดูหนังที่ชอบในช่วงวันหยุด (ถ้าว่าง)

- เล่นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เพราะชอบมาก เคยเล่นเกมจบหลายเกม มีเกมหนึ่งที่ชอบ คือ เกม Prince of Percia 2 เล่นตั้งแต่ประมาณ 5 โมงเย็นจนสว่างคาตา ปัจจุบันแทบไม่ได้เล่นเลย

- ต้องไม่สร้างหนี้สินในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับการดำรงชีวิต กว่าจะซื้อรถยนต์ได้สักคันต้องทำงานเกือบ 10 ปี เพื่อให้มีเงินเดือนพอดาวน์และผ่อนได้โดยไม่ต้องขอยืมเงินทางบ้าน (เป็นอุปนิสัยของคนราศี "กรกฎ" ที่ภาคภูมิใจมาก)

- ต้องมัธยัทถ์ ไม่ฟุ่มฟือยในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต พอประมาณ ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ประมาทในความเสี่ยงต่างๆที่เกิดในปัจจุบัน และที่คาดการณ์ว่าจะเกิดอนาคต (จากข้อมูลที่มีอยู่) ฯลฯ

- ต้องไม่เล่นการพนันที่เสียเงินมาก เช่น ไพ่ ไฮโลว์ ม้าแข่ง อย่างเด็ดขาดยกเว้น (ในสิ่งที่ชอบ) เล่นสนุ๊กเกอร์เดิมพันเล็ก ๆ น้อยๆไม่เกินหลักร้อย หลักพัน หรือเดิมพันตีปิงปอง เพื่อกินเองและเลี้ยงคนเชียร์ ฯลฯ ปัจจุบันเลิกเล่นสนุ๊กเกอร์และตีปิงปองเดิมพันมาหลายปีแล้ว

- ต้องไม่ติดยาเสพติดร้ายแรงทุกชนิดอย่างเด็ดขาด เช่น เฮโรอีน ฝิ่น (สมัยนั้นไม่มียาอี ยาบ้า ฯลฯ) ยกเว้น บุหรี่ ซึ่งมาเลิกได้ภายหลังโดยการ "หักดิบ" ภายใน "สี่วัน" ส่วนกัญชามีลองสูบนิดหน่อย แต่เพราะแค่ลองไม่กี่ครั้งจึงไม่ติด

- ต้องไม่ดื่มสุรา (เพราะไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน) ยกเว้นต้องเข้าสังคมแต่ต้องมีกลยุทธ์ที่จะ"ออกตัว" ให้ทุกคนรู้ความจริงว่า "ไม่ชอบ"จะได้ไม่มีใครนึกถึงเมื่อต้องการ "เพื่อนกินเหล้า" ในยามเย็น-ยามดึก ฯลฯ

- ต้องไม่ขับรถเร็ว ปกติขับประมาณ 90-110 กม./ชม เพราะอุปนิสัยไม่ชอบความเร็ว ไม่ชอบเสี่ยง เพราะความเร็วแค่ 100 กม/ชม ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็น่าจะไม่รอดแล้ว
ฯลฯ
แค่นั้นเองจริงๆ ชีวิตในตอนนั้น

ในตอนนั้น...
ไม่มี...ความรู้เรื่องการออม การลงทุน การบริหารเงินส่วนบุคล ฯลฯ แม้แต่นิดเดียว (ช่างน่าเสียดายเวลาและโอกาสในตอนนั้นเสียจริงๆ)
ไม่มี...ความรู้ความเข้าใจการบริหารเงินส่วนบุคคล
ไม่เคย...คิดวางแผนเก็บเงิน(ออม)
ไม่รู้จัก...ดอกเบี้ย ที่ตอนนั้นสูงถึง 2 หลัก
ไม่รู้จัก...เงินเฟ้อ เงินฝืด
ไม่รู้จัก...การลงทุน(อะไรเลย)
ไม่รู้จัก...ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
ไม่รู้จัก...คำว่าอิสรภาพทางการเงิน
ฯลฯ

แต่เมื่อเจอบทความนี้และอ่านจบแล้ว
บอกตนเองว่า "นี่แหละ ! ใช่เลย !!"
นี่คือสิ่งที่ผมควรรู้มานานแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ นี่คือสิ่งที่จะทำให้ผมมีความสุขอย่างหนึ่ง เพราะมีความมั่นคงทางการเงิน มีอิสรภาพทางการเงิน ฯลฯ ซึ่งกว่าจะพบเจอะเจอก็เกือบสายเกินไป (เสียแล้ว)

---------------------------------------------------------------------------

สิ่งหนึ่งที่ผมลงทุนมาตลอดชีวิตตั้งแต่อ่านออกเขียนได้จนถึงทุกวันนี้และตลอดไป ตราบจนถึงวันที่จากโลกนี้ไป
คือ "การลงทุนความรู้" (พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี) ใน

สิ่งที่ชอบ เช่น
สวนและต้นไม้ สัตว์เลี้ยง ศิลปะ(วาดรูป ของเก่า) การถ่ายภาพ (วางแผนจะมีความรู้ในอนาคตอันใกล้นี้ ยังไม่มีกล้องแต่ซื้อหนังสือมาอ่านตั้งหลายเล่มแล้ว) ฯลฯ

สิ่งที่จำเป็นในการทำงาน เช่น
ด้านวางแผนและซ่อมบำรุงรักษา ระบบงานด้านคุณภาพ การบริหารจัดการสมัยใหม่ การบริหารความเสี่ยง ฯลฯ

สิ่งที่จำเป็นด้านสุขภาพ เช่น
แมคโครไบโอติก ชีวจิต เภสัชโภชนา หมอชาวบ้าน ฯลฯ

สิ่งที่จำเป็นในปัจจุบันและอนาคต เช่น
การออม การลงทุน การบริหารเงินส่วนบุคคล สุขภาพ ศาสนาและปรัชญา ฯลฯ

ผมถือว่าโชคดีมาก(คนหนึ่ง)ที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เกิด
ชอบอ่านโดยไม่มีใครบังคับ เคี่ยวเข็ญ
เข้าใจว่าชาติก่อนๆคงทำบุญด้วยหนังสือมามากกว่าอย่างอื่นๆ
ทำให้ชาตินี้เมื่อได้เกิดเป็นคนอีกครั้ง จึงได้บุญติดตัวมาให้ชอบอ่านโดยอัตโนมัติ และมีเงินพอซื้อมาอ่านได้ตามที่ต้องการ ฯลฯ

การลงทุนในชาตินี้ ในทางโลก
ไม่ว่าในสิ่งที่ชอบ เพื่อการทำงาน เพื่อสุขภาพ เพื่ออิสรภาพทางการเงิน ฯลฯ
โดยความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรซับซ้อนสักเท่าไหร่ ?
ถ้าอ่านมากพอ อ่านอยู่เสมอ(ตลอดชีวิต) มีความเข้าใจดีในสิ่งที่อ่าน และนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง
ด้วยความอดทน มีวิริยะอุสาหะ ก็น่าจะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยากนัก
เพราะถ้าทฤษฎี ความรู้ที่อ่านถูกต้อง เมื่อนำไปใช้ก็จะเกิดประสบการณ์ทั้งดี/ไม่ดีเพิ่มขึ้นๆ
เมื่อเติมความรู้อยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยให้รู้จักวางยุทธศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น
และสามารถนำไปปรับปรุงยุทธศาสตร์ได้เหมาะสมกับอุปสรรค ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต

สำหรับการลงทุนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน
ถ้าลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น พันธบัตร หุ้น ทอง กองทุนต่างๆ ฯลฯ
ด้วยเงินเย็น(เจี๊ยบ) มีสติ ไม่โลภมาก ควบคุมอารมณ์ (ดีใจ/เสียใจ)ได้ดี(พอสมควร) นำความรู้ที่มีอยู่และเพิ่มขึ้นมาใช้บริหารความเสี่ยงให้มีน้อยลงเรื่อยๆ ฯลฯ

ก็น่าประสบความสำเร็จในการลงทุนได้อย่างยั่งยืน ?
และมีอิสรภาพทางการเงิน โดยไม่ยากนัก มิใช่หรือ ?

---------------------------------------------------------------------------

แต่การลงทุนที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตมนุษย์
ที่มนุษย์มักหลงลืม หรือไม่เข้าใจ หรือช้าไป ฯลฯ คือ
การลงทุนเพื่อไป"ภพหน้า"ที่ดี ไปสว่าง "ไปเกิดเป็นคน"อีกครั้ง ฯลฯ
ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ เช่น
เคารพ เทิดทูน จงรักภักดี ในชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ บิดามารดาและผู้มีพระคุณที่เป็นคนดี ด้วยสติปัญญา สัมมาทิฐิ ฯลฯ
ปฏิบัติศีลห้าให้ได้ครบทุกวัน พยายามมีสติเพื่อรู้เท่าทันจิตที่ปรุงแต่งตลอดเวลา ทำบุญทำทานตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ ฯลฯ
เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย กฎจราจรอย่างเคร่งครัด ฯลฯ

การลงทุนแบบนี้...
ต้องอาศัยคำสอนของ"พระพุทธเจ้า" ผู้ทรงค้นพบ"ความจริง"ในโลก
และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อมนุษย์ชาติทุกคนในโลก
ที่ทรงออกเดินทางเผยแผ่ความจริง (สัจธรรม) ให้มนุษย์ที่ยังมีกิเลส (โลภ โกรธ หลง) ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมานานนับเวลาไม่ได้
ได้ใช้สติปัญญา สัมมาทิฐิ ฯลฯ ที่มีพิจารณาให้รู้ว่าอะไรควรเชื่อ/ไม่เชื่อ อะไรควรทำ/ไม่ควรทำ ฯลฯ
ใช้ความเพียรพยายามอย่างมากเพื่อลดกิเลส ตัณหา ฯลฯ ให้น้อยลงทุกวันๆ
ฯลฯ


ใครทำสิ่งนี้ได้
ก็น่าจะโชคดีที่สุดอย่างแน่นอนเพราะ"การได้เกิดมาเป็นคน"อีกครั้ง ในชาตินี้
คือโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปเปล่าๆในชาตินี้

จะมากจะน้อยก็ควรมี"บุญ"ติดตัวไว้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ
มี"บาป"ติดตัวให้น้อยลงเรื่อยๆ จนถึงบั้นปลายของชีวิต

เพื่อจะได้มี"ความสุข สงบ" จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต แม้ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม แต่ก็จะไม่กลัวความตาย ไม่กลัวภพหน้า ฯลฯ

เพราะรู้ดีว่าเมื่อได้ตายไป จากโลกนี้ไป
จากบุญกุศล ที่สั่งสมไว้มากพอในชาตินี้
จะช่วยให้พบแต่สิ่งดีงามที่ รอคอยอยู่แล้วในชาติหน้า ภพหน้า มิใช่หรือ ?


Create Date : 01 กันยายน 2552
Last Update : 1 ตุลาคม 2552 22:15:32 น. 0 comments
Counter : 285 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Learn and Live
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"อย่าประมาท" เพราะความประมาทคือหนทางแห่งความตาย (ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า)

"สติ" คือ ธรรมะที่มีอุปการะมาก

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ : คนล่วงทุกข์ได้เพราะ"ความเพียร"

นตฺถิ ปณฺญาสมา อาภา : แสงสว่างเสมอด้วย"ปัญญา"ไม่มี

มรสุมบนพื้นมหาสมุทร มิได้
ทำความกระทบกระเทือนส่วนลึกของมหาสมุทร ฉันใด
บุคคลที่"รู้แจ้ง"เห็นจริงในชีวิต
ย่อมไม่สะดุ้งสะเทือนต่อชะตาชีวิตของตน ฉันนั้น
(วิลเลียม เจมส์ บิดาจิตแพทย์ของอเมริกา)

ไม่สำคัญว่าเรามี"มาก"เท่าไหร่
แต่สำคัญว่าเรามี"ความสุข"มากแค่ไหน
(ชาร์ลส สเปอร์เจียน)

เมื่อ"ความคิด"เปลี่ยน "ชีวิต"จะเปลี่ยน (อย่างแน่นอน)
(นิรนาม)

"เธอจงระวัง"ความคิด"ของเธอ
เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
เธอจงระวัง"ความประพฤติ"ของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
เธอจงระวัง"ความเคยชิน"ของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
เธอจงระวัง"อุปนิสัย"ของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนด"ชะตากรรม"ของเธอชั่วชีวิต"
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
[Add Learn and Live's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com