|
น้ำมะพร้าวมีประโยชน์สุด ๆ
น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วยค่ะ
- น้ำมะพร้าวช่วยชะลอ อาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วยค่ะ
- น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกค่ะ..
- น้ำมะพร้าว สปอร์ตดริ๊งค์ จากธรรมชาติ
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้อง ร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ ( Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ด้วยค่ะ
- น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์
และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้
- น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวันทุกเพศทุกวัย
เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือทัอกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าวค่ะ
- น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลยไม่ควรทิ้งไว้นาน
ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้ อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ ควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตหรือคุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บค่ะ..
อย่าลืมดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองค่ะ
Create Date : 23 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2553 10:54:47 น. |
Counter : 467 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไข้หวัด 2009 (สรุปคำถามและคำตอบ)
Q: ใครมีโอกาสติดเชื้อบ้าง และเสี่ยงต่อชีวิตบ้าง A: ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้หมด มากน้อยแตกต่างกันไป ถ้าคนมีโรคประจำตัวก็เสี่ยงมากหน่อย หมอ พยาบาล ก็มีความเสี่ยง ส่วนคนที่แข็งแรงดี ก็ไม่ควรประมาท เพราะ เคสนักมวยที่ตายไป เพราะคิดว่าร่างกายแข็งแรง จึงไม่ยอมไปหาหมอ ซึ่งถือว่าประมาทมาก Q: จะติดเชื้อได้อย่างไร A: 1. โดยติดทางการหายใจทางอาการ หากคนที่เป็นแค่พูดออกมา เชื้อก็จะแพร่ในอากาศ ระยะ 1 เมตรแล้ว 2. สัมผัสเชื้อแล้วไปขยี้ตา แคะจมูก เข้าปาก ก็ติดเชื้อได้เลย รวมถึง การกินโดยใช้ช้อน หลอดดูด แก้ว ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ร่วมกัน มีโอกาสติดได้หมด Q: ระยะที่เชื้อมีชีวิตอยู่ได้ในอากาส A: ในอากาศ 2-8 ชั่วโมง ขึ้นกับความชื้นในอากาศด้วย ยิ่งชื้นยิ่งอยู่ได้นาน Q: ระยะฟักตัวและ อาการของหวัด 2009 A: ระยะฟักตัว 2-3 วันแรก อาจจะไม่มีอาการ (บางราย) แต่สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว ในคนที่มีอาการแล้ว จะมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเด๊ะ (หลักๆ คือมีไข้สูงเกิน 37.5 องศา หายใจลำบาก เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว) แยกไม่ออก ต้องเพาะเชื้อเอาถึงจะรู้ Q: แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเป็น check point ว่าอาจจะเป็นหวัด 2009 A: แยกเป็นสองกลุ่ม คือ 1. กลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรการแพทย์ / คนที่มีโรคประจำตัว พวกนี้อาการมีไข้เกิน 1 วัน ก็ไปหาหมอได้แล้ว 2. คนธรรมดาอย่างพวกเรา มีอาการไข้เกิน 2 วัน ก็ไปหาหมอได้แล้ว Note : ถ้ามีอาการใน 2 วันแรก แล้วได้ยาต้านทามิฟลู ยาจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมาก โอกาสหายสูงมาก Q: สถานที่เสี่ยงติดเชื้อ A: 1. โรงพยาบาล คนที่ไม่เป็นดีไม่ดีเข้าไปอาจจะติดเชื้อก็ได้ 2. โรงแรมทุกแห่ง (โดยเฉพาะที่ชาวต่างประเทศอยู่) 3. โรงภาพยนตร์ 4. ห้างสรรพสินค้า 5. รถไฟฟ้า หรือ รถตู้ที่มีแอร์ 6. เครื่องบิน Q: จุดที่พบเชื้อเยอะที่สุด A: 1. ราวรถเข็นใน supermarket เชื้อเยอะอันดับ 1 2. ราวรถเมล์ 3. ปุ่มลิฟท์ 4. เมาส์และคีย์บอรด์ (กรณีไปใช้ของคนอื่น) 5. ลูกบิดประตูห้องน้ำ Q: โอกาสการกลายพันธ์ A: ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างดังนี้ 1. เชื้อโรคแข็งแรงขึ้น 2. เราอ่อนแอมากไป 3. สิ่งแวดล้อมเอื้อให้เจริญเติบโต เช่นความชื้น เชื้อจะอยู่ได้นาน Q: ไปว่ายน้ำเสี่ยงติดเชื้อไหม A: คลอรีนฆ่าเชื้อได้เพราะงั้น ว่ายน้ำไม่เป็นไร แต่อาจจะติดเพราะคุยกับคนที่เป็น หรือ สัมผัส แล้วเอาไปขยี้ตา (ก็ติดเหมือนสถานที่ทั่วๆไป) Q: ถ้า floor นึงมีคนติด จะกระจายมาทางแอร์ไหม A: มีข้อมูลว่ามีการแพร่กระจายได้ o_O!! ต้องไปตรวจสอบระบบแอร์ว่า เป็นระบบปิดแต่ละ floor หรือเปล่า Q: การกินยาทามิฟลู (ยาต้าน) มีผลข้างเคียงแค่ไหน A: มีผลข้างเคียง ทำให้ตัวชาและจิตหลอนได้ แต่ไม่ได้เป็นทุกคน เป็นส่วนน้อย ในประเทศไทยมีทั้งแบบผลิตโดยขององค์การฯ และของนอก (คุณภาพเหมือนกัน) Q: การป้องกันตัว A: ใส่หน้าการอนามัย ป้องกันได้แค่ไหน จำเป็นต้องใส่ตลอดเวลาหรือไม่ - หน้ากากผ่าตัด (สีเขียวขายตามท้องตลาด ที่มี) มีอายุ 3 วัน แต่แนะนำให้ใช้ วันต่อวัน ใช้เสร็จทิ้งเลย ป้องกันเชื้อขนาด 5 ไมครอนได้ - หน้ากากผ้า ป้องกันได้เหมือนหน้ากากผ่าตัด 80% (ดีกว่าตรงซักได้ด้วย ทำให้ประหยัด) - N95 ป้องกันได้ 95% ขนาด .3 ไมครอนด้วย แต่หายใจยากหน่อย แพง คนไม่นิยม สรุป : ล้างมือบ่อยๆ นอนให้เยอะ ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยง หรือถ้าเข้าให้ใส่หน้ากาก ถ้าเข้าไปออกมาต้องรีบล้างมือ กลับบ้านให้รีบอาบน้ำ เพราะเชื้ออาจจะอยู่ตามร่างกาย แล้วมีโอกาสมาติดต่อได้ด้วย (เช่นกรณีมีคนไอใส่หัว แล้วหัวมีเหงื่อ ผ่านไป 8 ชม เชื้อก็อาจจะยังอยู่ ก็อาจจะทำให้เราเอามือไปสัมผัส แล้วก็เอาไปขยี้ตา ก็ติดเชื้อได้ด้วย) Q: การกินหอมหรือฟ้าทลายโจร ช่วยป้องกันหวัดไหม A: หมอไม่มีความเห็นแต่คิดว่าน่าจะช่วยได้ เพราะเป็นสมุนไพร ที่เคยวิจัยแล้วว่าช่วยป้องกันหวัดได้ Q: ควรฉีดวัคซีนป้องกัน หวัด 2009 หรือไม่ (กรณีที่วัคซีนส่งมาถึงแล้ว) A: คนเสี่ยงควรฉีดวัคซีน เช่นพวกบุคลากรทางการแพทย์ เพราะวัคซีนกันได้ไม่กี่ปี (เพราะอนาคตจะมีการกลายพันธ์อยู่แล้ว) คนไม่เสี่ยงถ้าติดเชื้อไปรักษาได้ทันก็จะดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วหวัด 2009 ก็จะกลายเป็นหวัดตัวนึงที่เป็นหวัดตามฤดูกาล Q: ห้ามกินแอสไพริน จริงหรือ ? A การเป็นไข้ทุกชนิด หรือติดเชื้อ ห้ามกินแอสไพริน จริงๆแอสไพรินใช้รักษาในผู้สูงอายุ กรณีเป็นเลือดหนึด ถ้าเป็น 2009 แนะนำให้ทานไทลินอลดีกว่า Q: ข้อควรปฏิบัติถ้าสงสัยว่าจะติดหวัด 2009 A: แล้วถ้าใครเป็นหวัด 2009 เกิน 37.5 ให้กลับบ้านได้เลย ถ้าเกิน 1-2 วันแล้วไข้ไม่ลงไปหาหมอเลย จนกว่าจะหายดีจริงๆ ค่อยมาทำงานดีกว่า Q: ประกันอยุธยา cover หวัด 2009 หรือไม่ ? A: ประกัน อยุธยา ของบริษัท cover หวัด 2009 ดังนี้ - ถ้าสงสัยแล้วจะไปตรวจ แบบนี้ไม่คุ้มครอง - ถ้ามีอาการแล้วหมอวินิจฉัยว่าอาจจะเป็น (หมอสั่งตรวจ) แบบนี้คุ้มครอง ค่ารักษาเอกชนประมาณ 3500- (รัฐบาลไม่ได้บอก) และประกันสังคมก็คุ้มครองตามปกติเหมือนหวัดทั่วไป
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 17:39:07 น. |
Counter : 1282 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วิธีสังเกตุอาการเบื้องต้นของมะเร็ง
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นการตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2. มดลูกมะเร็งใน อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อยน้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียวหรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่างๆทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการมักมีอาการไอบ่อยๆมีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบเจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้องเบื่ออาหารน้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการปวดศีรษะนานๆและมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็นตาพร่าและเห็นแสงเขียวๆแดงๆลอยไปมาเวลาปวดศีรษะอ่อนเพลียไม่มีแรงหรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการมีก้อนบวมอยู่ในปากหรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันทีมีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อยรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนังอาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาดนอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่เช่นกระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ถึงท่านผู้โชคดีขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทานท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน
ด้วยความปรารถนาดีจาก
Sukanya I. Tel : (๖๖) ๐๘๙-๑๒๐-๖๙๒๙
E-mail : iam_sukanya@hotmail.com
ไทยประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตของคนไทย เพื่อคนไทย
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 17:33:05 น. |
Counter : 295 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เหตุผลว่าทำไม เราต้องออกกำลังกาย
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น 2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน
b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะ สร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 17:24:27 น. |
Counter : 355 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Macadamias
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 15:52:44 น. |
Counter : 246 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|