Welcome to My World :) You're Welcome.

"Agora (มหาศึกศรัทธากุมชะตาโลก) : เมื่อเราต้องการเป็นจุดศูนย์กลาง"

แอบสปอยล์มั้ย?

อื้ม สปอยล์ อย่าอ่านเยอะ

หลังจากวันนี้ ตารางเวลาป่วงไปหมด 5555
เลยไปดู Agora มา หนังดูฟอร์มยักษ์นะ...
หรือเปล่า??

-------------------------------------------------------------------

Agora เป็นหนังพีเรียดที่เกิดขึ้นในยุคสุดท้ายของอียิปต์ที่ปกครองโดยจักรวรรดิโรมัน
โดยใช้ อเล็กซานเดรีย เป็นจุดศูนย์กลาง
เป็นช่วงระยะเวลาที่ ความขัดแย้งทางศาสนาต่างๆ ถึงจุดพีคสุดๆ

เรื่องย่อ ไม่เอา ไปหาอ่านเอง

แต่ว่า.... เรื่องนี้ ไม่รู้นะ
รู้สึกว่า เล่นเรื่อง "จุดศูนย์กลาง"


ตั้งแต่เรื่อง "จุดศูนย์กลาง" ของระบบสุริยจักรวาล
"จุดศูนย์กลาง" ของการปกครอง
"จุดศูนย์กลาง" ความรัก
"จุดศูนย์กลาง" ความเชื่อ

เมือไหร่ที่เรารู้สึกว่าเราได้เป็น จุดศูนย์กลาง
นั่นอาจหมายถึงการได้รับการบอมรับ ได้เป็นที่สนใจ
และได้รับการเคารพนับถือ นำมาซึ่งอำนาจ

"จุดศูนย์กลาง" ของจักรวาล
ในยุคนั้น เห็นว่า จุดศูนย์กลางของจักรวาล คือ โลก...
และ ดวงดาวที่เหลือ รวมทั้งดวงอาทิตย์...
โคจรรอบโลก เป็นวงกลม...
แต่แล้ว เฮพาเทีย กลับค้นคว้า และขัดแย้้งว่า...
มันไม่ใช่... จริงๆแล้ว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์และเป็นวงรี...
การเปลี่ยนแปลงความเชื่อเรื่องจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่
แม้แต่ เดวัส ทาสของเธอเอง ยังไม่เชื่อเลย...

"จุดศูนย์กลาง" ของการปกครอง
โอเรสเตส... ชายผู้เปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เพราะพระเจ้า
แต่เพราะ ต้องการซึ่งอำนาจ เพื่อให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของการปกครอง
เพื่อที่จะครองบัลลังก์ความเป็นเจ้าเมือง และให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ
ถึงแม้ว่า ศูนย์กลางหัวใจของเค้าจะอยุ่ที่ เฮพาเทีย
แต่สุดท้ายแล้ว... ความต้องการที่จะเป็นจุดศูนย์กลางของการปกครอง
ก็ชนะ....

"จุดศูนย์กลาง" ความรัก
ทั้งโอเรสเตส และเดวัส หากเปรียบแล้วต่างก็เป็นเหมือนกับดาวที่โครจรรอบดวงอาทิตย์อย่าง เฮพาเทีย
บางครั้งก็ใกล้ บางครั้งก็ไกล
แต่ก็ไม่เคยหลุดจากวงโคจรไปไหน....
เพียงแต่บางครั้งก็มีความเชื่อที่ว่า ดวงอาทิตย์ก็ยังโครจรรอบโลกอย่าง โอเรสเตส
ถึงแม้จริงๆแล้ว เค้านั่นเองที่เป็นคนโคจรอยู่รอบๆเฮพาเทีย
รวมไปถึง โลกอีกใบ เดวัส ที่ก็ยังหมุนรอบตัวเองด้วย

"จุดศูนย์กลาง" ความเชื่อ
เรื่องนี้มีความเชื่อที่จับได้หลักๆ 3 ความเชื่อ
เทพเจ้าต่าง ยิว และคริสเตียน
แปลกที่คนในยุคนี้ ต่างมีความเชื่อที่เข้มแข็ง
ต่างก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของความเชื่อ...
และใครที่เห็นต่างไป ก็ถือว่า ผิด... ออกนอกศูนย์
So... destroy and curse them
เีรื่องนี้ ทั้งเรื่อง ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ข่มเหงกันไป ข่มเหงกันมา
เพราะถือว่า ตัวเองเป็นศูนย์กลางกันทั้งนั้น...
ซีบิล ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อ ภายใต้นามของ JESUS
เพื่อต้องการอำนาจ.... จาก โอเรสเตส

เรื่องนี้ ภาพสวย ฉากอลังการมาก เค้าบอกว่า ถ่าสยที่อังกฤษ
ชุดก็สวย แต่ดูกรี๊กกก กรีกกก ตอนแรกยังงงเลยว่า อียิปต์ยังไงวะ????
ไม่ค่อยได้ทำให้รู้ซักเท่าไหร่่ว่าเป็นอียิปต์ นอกจากคำว่า อเล็กซานเดรีย
แต่ไม่รู้อ่ะ อาจจะเป็นช่วงที่โรมันปกครองมั้ง แต่ทำไมเสือ้ผ้าดูกรีกๆ ปนๆ กันดีนะ
ส่วนชุดทหาร ก็พยายามจะมองจะศึกษา เพื่อจะทำความเข้าใจมากขึ้นกับ "ยุทธภัณฑ์"ทั้งชุด
มันยังไม่เ่หมือนซะทีเดียวนะ เลยว่าจะต้องไปดู Clash of Titan อีกรอบ

เรื่องนี้ รู้สึกว่า ไม่อืนกับตัวละครเท่าไหร่ ตัวละครไม่คิดให้เรารู้ แสดงออกอย่างห่างๆ
ต้องเข้าใจเอง ซึ่ง กูไม่เข้าใจ.... ตัวละครหลักๆ 2 ตัว เฮพาเทีย และเดวัส
โอเรสเตส... หยีเข้าใจมากสุด... คนๆนี้ แรงผลักดันในการใช้ชีวิตมีสองอย่าง
ความรัก และอำนาจ
เป็นคนที่ต้องการความรักนะ และก็แสดงออกสุดฤทธิ์ ไม่สนใจอะไรเลย
การเล่นดนตรีกลางโรงละคร... เพื่อแสดงความรักที่มีต่อเฮพาเทีย...
รักมาก และยอมจริงๆ

เฮพาเทีย เป็นผู้หญิงที่ดื้อมาก และค่อนข้างฉลาด
ดำเนินชีวิตตามหลักที่เธอเชื่อด้วยเหตุผล
เชื่อ เรื่อง เหตุผล มากกว่าเรื่องใด
และหลงรักความรู้ มากกว่า ผู้ชาย
....
....
อืม แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคิืดอะไรอยู่

เดวัส... ตัวละครที่ไม่เข้าใจที่สุด เพราะไม่พูดอะไรเลย
รัก และเืทิดทูน นายหญิงของตนมากกว่าสิ่งอื่นใด
ระหว่างความรัก กับ อิสรภาพ สิ่งที่เค้าต้องเลือก?
แต่เป็นตัวละครที่ดูสับสนๆดี ไม่รู้ดิ ต้องไปดูเอง

..............................................
..............................................


ชอบนะหนังเรื่องนี้ ดูต้องคิดอะไรเยอะดี...

แต่เรอื่งนี้ ถ้าใครไม่ได้เป็นคริสเตียนไปดู ต้องเกลียดคนคริสต์แน่ๆเลย
โหดร้ายมากกกกกก 5555 แต่ว่าเค้าเป็นคาธอลิกนะ :P
หยีเป็นโปรแตสแตนท์ >< 555

อืมมมม ความเชื่อหลายอย่างผิดๆนะ อย่าไปอะไรกับหนังมาก เอาจริงๆ ><~

พระคัมภีร์ ทิโทธี ที่เค้ายกมา ก็เคยเป็นเรื่องอยู่ในประวัติศาสตร์คริสเตียนเหมือนกันนะ
อย่างว่าแหละ มันขึ้นอยู่กับว่าใครตีความ.... และถูกตีไปทางไหน ><~

..............................................

บทสรุปที่ได้จากหนังเรื่องนี้....

หนังเรื่องนี้ จะไม่เกิดอะไรเลย... ถ้าทุกคนเชื่อทฤษฎีที่ยูคลิลิสพูดไว้ (ป่าววะ? จำไม่ได้)
แล้ว เฮพาเทีย ได้ยกมาพูด จำเนื้อหาไม่ได้นะ

"ถ้าสองสิ่ง หนัก เท่ากับ สิ่งนั้นชิ้นเดียว นั่นหมายถึง สิ่งเดียวกัน...
เราเหมือนเค้าไหม? เค้าเหมือนเราไหม? เจ้าทั้งสอง ก็เหมือนเรา?
เราต่างกันตรงไหน...

เรามีสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่ต่างกัน แล้วเราจะทะเลาะกันไปทำไม "

นั่นสิ... ถ้าเรามีสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่ต่างกัน แล้วเราจะทะเลาะกันทำไม?
แล้ว... สิ่งที่ต่างกันมันสำคัญมากเท่ากับสิ่งที่เราเหมือนกัน จนถึงขั้นทะเลาะกันเลยหรือ??

จะว่าไป เรื่องจุดศูนย์กลางนี้ ก็กลายเป็นหัวข้อที่สำคัญของสถานการณ์การเมืองกลางเมืองนี้พอดี?
มีคนหนึ่งคน ที่ต้องการจะเป็นจุดศูนย์กลางทางการเมือง
โดยไม่สนใจวิธีการ แต่ต้องการเพียงแค่จะได้มาซึ่งอำนาจ และไม่สนใจซึ่งความจริืง
บิดเบือน ปกปิด และยังให้ทุกคนเชื่อในความไม่จริง
(เหมือนที่คนโบราณเชื่อว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์....
ไม่แน่หรอก คนบางกลุ่ม... ก็ยังพยายามเชื่อให้่ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกอยู่ดี...
ซึ่งมันไม่มีทางเป็นความจริงได้ ความจริงที่ว่า "โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์")

ถ้าหากยังคนๆนั้น ยังไม่เลิืกคิดที่จะเป็น "จุดศูนย์กลางทางการเมือง"
เหตุการณ์ของสถานการณ์การเมืองกลางเมืองนี้...
อาจจะเป็น circle แบบ "จุดศูนย์กลางความเชื่อ" ก็ได้
ใครไม่เชื่อของตนก็ถูกตัดสินว่า"ผิด" เพียงเพราะไม่ได้มี"จุดศูนย์กลาง"เดียวกัน
นำไปสู่การทำลายล้าง เพราะสิ่งที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ทุกคนเชื่อเเหมือนกัน
คนที่ไม่เชื่อที่เหลือ ต้องการแก้แค้น รวบรวมพลพรรค กลับมาทำลาย
เป็น Vicious Cycle ต่อไป อย่างไม่มีหยุด
เหมือนที่ พวกคริสเตียน ดูหมิ่น พวกเคารพเทพเจ้า
พวกเคารพเทพเจ้า ไม่ยอมที่ดูหมิ่น นำไปสู่การทำลายล้าง พวกคริสเตียน
พวกคริสตียนลุกขึ้นสู้ แล้วต่อต้าน พวกเคารพเทพเจ้า
พวกเคารพเทพเจ้าหนี... คริสเตียนชนะ
...
...
ต่อมา
...
...
พวกยิว ดูถูก คริสเตียน คริสเตียน ลอบทำร้ายพวกยิว แล้วก็พวกยิวแก้แค้นฆ่าคริสเตียน
แล้วคริสเตียนก็มาฆ่าชาวยิว...

นี่หรือ? สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศเรา ทำลายกันไปกันมา จนสุดท้าย

คำพูดของเฮพาเทีย
"ถ้าท่านจะไม่ทำอะไรกับพวกนั้น ท่านอาจจะไม่เหลือใครให้ท่านปกครอง"

ก็เพียงเพราะ ความต้องการที่อยากจะเป็นจุดศูนย์กลาวนั้นเอง.....


ไม่รู้ว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ "เผอิญ" เข้าช่วงนี้
ถ้าเรารู้จักดูหนังแล้วคิด แล้วเอามาใช้กับชีวิตจริงๆได้
บางทีโลกอาจสงบสุขมากกว่านี้...

"แตกต่างได้ แต่อย่าแตกแยก"


May God be with you
AMEN!

**แก้ไข**
ขอแก้ "ยูคลิด" นะครับ เป็นนักคณิตศาสตร์ กฏข้อแรกของยูคลิด เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนเรียนตอน ม.ต้น (หรือ ป.ปลาย เนี่ยแหละ) นั่นคือ ถ้า A=B และ B=C แล้ว ดังนั้น A=B=C (เป็นพื้นฐานการแก้สมการทางคณิตศาสตร์)

"ถ้าสิ่งหนึ่งเท่ากับอีกสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็เท่ากับอีกสิ่งหนึ่งด้วย ดังนั้นทั้งสามสิ่งก็เท่ากันหมด"

สำหรับเรื่องจุดศูนย์กลาง น่าสนใจมากที่สุดท้ายแล้ว การหาคำตอบของวงโคจรทำได้โดยการตั้งจุดศูนย์กลางสองจุด (ถ้าใครจำได้ สมการวงรีมีจุดศูนย์กลางสองจุด เส้นรอบวงคือจุดที่เท่าให้ผลบวกระยะห่างจากจุดศูนย์กลางเท่ากัน)

บางครั้งเราอาจมัวแต่พยายามหาคำตอบที่มีจุดเดียว ทั้งๆ ที่คำตอบอาจจะมีสองจุดก็ได้ ใครเป็นคนบอกว่า เสื้อเหลืองต้องไม่ใช่เสื้อแดง และเสื้อแดงต้องไม่ใช่เสื้อเหลือง ถ้าเรายอมรับข้อดีข้อเสียของทั้งสองฝ่าย เราอาจพบคำตอบที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ ก็เป็นได้
By P'Gift
**




 

Create Date : 09 เมษายน 2553    
Last Update : 9 เมษายน 2553 1:37:13 น.
Counter : 3812 Pageviews.  

My Memorable Quote from "Vicky Cristina Barcelona"

Saturday, September 19, 2009 at 7:42pm

"Life is short. Life is dull. And life is full of pain.... And this is a chance for something special"

"Only unfulfilled love can be romantic"

"C : No meaning? You don't think that authentic love gives life meaning?
J : Yes, but love is so transient. Isn't it?"

"Because after thousands of years of civilazation,they still haven't learnt to love"

"I'm an idiot, I don't wanna expect what gonna happen"

"I love him but i not in love with him and I can't leave him!!"

"We are meant for each other and not meant for each other. It's a contradiction."

"....Cristina continued searching... certain only, of what she didn't want. "




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 10:57:40 น.
Counter : 291 Pageviews.  

The Box : กล่องเศรษฐี!! เปิดรวยเปิดตาย

Note นี้ มีสปอยล์หนังเรื่องนี้แน่นอน ถ้าไม่คิดจะดูเชิญอ่าน
แต่ถ้าคิดจะดู (และแนะนำให้ดูนะ) ก็ค่อยกลับมาอ่าน

เนื้อเรื่องย่อ



นอร์มา (คาเมร่อน ดิแอซ) และ อาเธอร์ ลูอิส (เจมส์ มาร์สเดน) 2 สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน และแล้ววันหนึ่งเมื่อพวกเขาได้รับกล่องไม้ปริศนามาเป็นของขวัญ ทั้งคู่ก็เริ่มเห็นสัญญาณอันตราย พร้อมกับการปรากฏของชายลึกลับผู้ให้สัญญาว่าจะมอบเงิน 1 ล้านที่อยู่ในกล่องใบนั้นให้พวกเขาเป็นของขวัญ หากพวกเขาเพียงแค่กดปุ่มเปิดมัน

แต่ทว่าในการกดปุ่มแต่ละครั้งของพวกเขา จะทำให้คนคนหนึ่งบนโลกใบนี้เสียชีวิตลง และพวกเขามีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นในการครอบครองกล่องไม้ปริศนาใบนั้น

ทั้งนอร์มา และ อาเธอร์ ต้องต่อสู้กับศีลธรรมภายในจิตใจว่าจะกดปุ่มเพื่อรับเงิน หรือเลือกที่จะช่วยชีวิตผู้อื่น.



ส่วนต่อไปนี้ คา่ดว่าสปอยล์ทั้งสิ้น
===========================================================
===========================================================
===========================================================
===========================================================
===========================================================
โปรดอย่าอ่าน ถ้า้คิดจะดู และแนะนำให้ไปดู





หนังเรื่องนี้ไม่ได้สยองขวัญขนาดที่คุณทั้งหลายคิดไว้
ขนาดว่า หยีเข้าไปนั่งดูคนเดียวได้ โดยไม่จิกเบาะละกัน
(เป็ฯครั้งแรกที่เลือกเข้าไปดูโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร)

เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ถ้าจู่ๆ มีกล่องหนึ่งวางไว้ในบ้าน เป็นกล่องที่มีปุ่มกดธรรมดา ๆ
แล้วก็มีผู้ชายมายื่นเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ให้คุณ แต่มีข้อแม้ว่า คุณต้องกดปุ่มนั้น เพียงแต่ว่า
ถ้าคุณกดปุ่มนั้น แน่นอน คุณได้รับหนึ่งล้านดอลลาร์นั้นไปเลยฟรีๆ
แต่ก็จะส่งผลให้"คนที่ไม่รู้จัก" ตายไปหนึ่งคน

แน่นอน มันคือคนที่คุณไม่รู้จักแน่ๆ ล่ะ

หนังเรื่องนี้ต้องการล้อเล่นกับศีลธรรมในใจมนุษย์เราเองเนี่ยแหละ
เล่นกับศีลธรรมของพื้นฐาน ง่ายที่สุด แต่ทำยากที่สุด
"ความเห็นแก่ตัว"

"เจ้าของกล่องนั้น" "ผู้จ้างวาน" ได้เสนอทางเลือกให้เราสองทาง
"ทำ" เพื่อประโยชน์ส่วนตน ได้ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อปรนเปรอเรา เพื่อสิ่งที่จับต้องได้
"ไม่ทำ" เพื่อชีวิตของคนที่เราไม่รู้ แต่ไม่ได้อะไรที่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้



นอร์มา ภรรยา อาจารย์สาว ผู้พิการจากความผิดพลาดเลินเล่อของหมอ
อาเธอร์ สามี ผู้หลงใหลในดาวอังคารทำงานที่ NASA
วอลเธอร์ ลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวน หน้าตาหล่อม๊ากกกกกกกกก

ครอบครัวที่อบอุ่น และดูธรรมดา (แค่สามีใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ) ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ยอมรับในความจริง
จู่ๆ ก็ต้องมาประสบปัญหาทางด้านการเงิน นอร์มา ถูกอาจารย์ใหญ่ให้ลดอะไรซักอย่าง ตรงนี้จับความไม่ได้เหมือนกัน
อาเธอร์ สอบตกไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ แต่สิ่งที่ร้ายไปว่านั้นคือ เค้าเหมือนโดนลงโทษ ตกในส่วนที่ไม่ควรจะตก
เป็นครอบครัวประเภทคนดีใช้ได้เลยนะ เพราะว่าต่างก็ปลอบใจซึ่งกันและกัน
นอร์มาที่พิการเพราะความสะเพร่าของหมอ ก็ไม่ได้โืทษอะไรมากมาย
อาเธอร์ที่สอบตกนักบิน เพราะข้อสอบจิตวิทยา ก็ไม่ได้ตีอกชกหัว แค่เสียใจและยอมรับความจริง
ขอบคุณพระเจ้าที่อาเธอร์มีนอร์มา ภรรยาผู้ที่เข้าใจเค้าอยู่

แต่สิ่งที่ยึดมั่นครอบครัวนี้ไว้ได้ คือ ความรักที่ทั้งสองมีให้แก่กัน
อาเธอร์รักนอร์มามาก ถึงแม้ว่าเธอจะพิการ (ไม่ได้แต่กำเนิด แต่เกิดจากควาามเลินเล่อของหมอ)
แต่นอร์มาไม่ได้พิการใจไปด้วย เธอรักครอบครัวเธอ และสู้กับชีวิตเธอ
มีฉากที่บอกว่า "นอร์มาคงอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณ"
อาเธอร์ตอบว่า "ผมอยู่ไม่ได้ถ้าขาดนอร์มาเหมือนกัน"
เฮ้ยย มันเห็นเลยว่าเค้ารักกันมากแ่ค่ไหน

ในฉากที่นอร์มาถามนักเรียนใ นคลาสว่า "นรก คืออะไร" (จำไม่ได้หมด)
นักเรียนบางคนตอบว่า "อยู่ในใจ" หรืออะไรไม่รู้ไม่แน่ใจ
แต่มีเด้กคนหนึ่ง ที่ถามจี้ปมด้อยเธอ ถามเธอว่า "ขาเธอเป็นอะไร"
นรกของเธอที่เธอเจอนั้น คือ การเปิดเผยปมด้อยของเธอต่อหน้าคนอื่น
นั่นเป็นนรกสำหรับเธอ แต่เธอก็ผ่านจุดนั้นมาได้ โดยการให้นักเรียนคนนั้นได้เห็นปมด้อยของเธอ

เมื่อเธอกลับมาบ้าน เธอได้เจอกับเจ้าของกล่องนั้น และได้พบกับข้อเสนอข้างต้น
เธอมีเวลาตัดสินใจ 24 ชั่วโมง ในการกดปุ่มนั้น จนกว่าเจ้าของกล่องจะมารับไป แล้วตั้งโปรแกรมใหม่



นอร์มาได้ปรึกษาเรื่องนี้กับอาเธอร์ หนังยังคงไว้ซึ่งความเป็นยุคเก่า ครอบครัวที่ทำอะไรก็มีการตัดสินใจร่วมกัน
ไม่ปล่อยให้ใครตัดสินใจคนเดียว มีการปรึกษากันก่อนหน้า
นอร์มา ลังเล อยากได้เงิน แต่อาเธอร์คืิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระ และไม่เชื่อว่าเบื้องหลังเงื่อนไขง่ายๆที่ล้่อเล่นความเป็นความตายของคนนั้นจะมีไม่มีอะไร
ถึงแม้่อาเธอร์จะพยายามลากการตัดสินใจใสห้นอร์มาไม่กดปุ่ม แต่นอร์มาก็พยายามโน้มน้าวอาเธอร์เช่นกัน
ครอบครัวนี้น่ารักนะ ไม่เถียงกันเอาเป็นเอาตาย ต่าก้เคารพการตัดสินใจของกันและกัน
อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราจะไม่เห็นจากครอบครัวสมัยนี้ ที่มักจะเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายกับการตัดสินใจครั้งหนึ่ง
ที่ต้องการให้เป็นไปตามใจตัวเอง

แต่ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปเชื่อว่ากล่องไม้เปล่าๆ ที่ไม่มีกลไกอะไรเลย
จะสามารถสร้างความหายนะให้เค้าและคนอื่นๆได้

สุดท้ายเมื่อเวลามันกระชั้น ชิดเข้ามาแล้ว นอร์มาและอาเธอร์ไดุ้มานั่งคุยกัน
เพื่อตัดสินใจ เป็นบทสนทนาที่น่ารักมาก
อาเธอร์ถามว่า "จะเอายังไง จะกดหรือไม่กด" ถามประมาณนี้สักพัก แต่ยิ้มๆ ไม่ได้กดดันอะไร
แต่เราก็รู้ได้ว่า มันมีความตึงเครียดแฝงอยู่ ฉับพลัน นอร์มาก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบ
อาเธอร์ยังถามไม่จบประโยคดี นอร์มาก็กดปุ่มนั้น!!!
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มดำเนินไปตามกลไกของมัน....



หนังเรื่องนี้เล่นกับเรื่อง "ชีวืิตที่เป็นของคนอื่น" และ "เงินทองของเรา" อย่างง่ายๆ ซื่อๆ ค่อนข้างทื่อๆเลยทีเดียว
หนังเรื่องนี้ มีคำว่า "Hell" และ "Salvation" เริ่มเอะใจอะไรแล้วใช่มั้ยค่ะ
แรกๆ เราเข้าใจว่า Nasa มันน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว แต่ด้วย Context อย่างเราแล้ว
เรากลับมามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถพูดถึงเรื่องพระเจ้าได้ด้วย
เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้ สามารถมองได้ว่า "นี่เป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์"

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะดูเป็น การทดสอบจากพระเจ้า (เราขอเน้นไปเรื่องนี้นะ เพราะเป็นคริสเตียน)
แต่สุดท้ายผลที่ตามมา นั่นก็คือ การเลือกของมนุษย์นั่นเอง
เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงให้เราได้รู้จัก และเรียนรู้จากตัวอย่างในอดีตมากมาย
มนุษย์เราก็แค่เลือกเท่านั้น ว่าจะำทำ หรือไม่ทำ...
เราจะเลือกอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง (เงินทอง) หรือ ฝ่ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ชีวิตของคนอื่น)
แน่นอน ที่หลา่ยครั้งเราเลือกที่จะรับสิ่งของที่เป็นรูปธรรมมากกว่า
เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะ ใช้ชีวิตต่อไป
แต่บางครั้ง เมื่อมันมาวางตรงหน้าก็ยากที่จะปฏิเสธ
จึงมีหลายๆครั้งที่เราไม่ได้ถวายสิบลด หลายๆครั้งที่เราบอกกับพระเจ้าว่า พระเจ้าขา... เงินไม่พอใช้่

"กล่อง" ในที่นี้ก็เป็นการทดสอบตัวเราเอง เหมือนเป็นบททดสอบของจิตใจเราว่า จะเข้มแข็งอดทนต่อสิ่งยั่วยุได้แค่ไหน
การทดสอบเกิดได้กับทุกคนแม้ว่าคุณจะเป็นคนดีสักแค่ไหน
ครอบครัวนี้ก็เป็นคนดี ส่วนครอบครัวก่อนหน้าที่กดปุ่มไป ก็เป็็นคนดีเหมือนกัน
แต่ทั้งสองครอบครัวต่างพ่ายต่อจิตใจของตัวเอง ความละโมภโดยไม่ได้คิืดถึงผลต่อไป
แต่อย่างว่าแหละ เงื่อนไขต่อมาหลังจากการกดปุ่ม ไม่มีการเตือนไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครรู้ถึงผลการกระทำนั้น
แต่เมื่อเกิดผลนัน้ขึ้นมา ทุกคนก็ต้องยอมรับผลนั้นอย่างไม่น่าสงสัย

เช่ืนเดียวกันหันกลับมามอง เมื่อครอบครัวนี้เลือกที่จะ กด"ปุ่ม" ซึ่งเป็นเหมือนปุ่มที่เริ่มเรื่อง
Switch on ความละโมภในตัวเรา.... แน่นอน ผลที่เกิดขึ้นคือ มีคนตาย...
แต่สิ่งที่คุณได้ แลกกับชีวิตคนอื่น แน่นอน ชีวิตเราไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะทำให้ใครตายได้
ใครที่กดปุ่มก็ต้องตายเพราะว่าคนๆนั้นได้ให้กิเลสมาครอบงำจิตใจ
และได้เลือกที่จะกดเพื่อทำลายชีวิตของคนอื่นไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องชดใช้ชีวิตของคนอื่นด้วยชีวิตของตนเอง
เป็นเพราะว่าเราไม่สามารถห้ามความต้องการของตัวเราเองได้ ปุ่มนั้นจึงเป็นการ Switch on กลไกนี้
ให้หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีจบสิ้น

หากเราต้องการที่จะหยุดกลไก บ้าๆนี้ ก็แค่ไม่ต้องกดปุ่ม ไม่ต้องเริ่ม
ให้มันจบ หยุดความต้องการของตัวเองนี้ให้่ได้
สิ่งที่ฆ่ามนุษย์ได้มากที่สุด นั่นก็คือ กิเลสตัณหาความอยากต่างๆที่อยู่ในใจเรา
เราเห็นแก่ตัว เราอยากได้ เราอยากให้ตัวเราเองสบาย
นั่นเป็นจุดที่เราเรืิิ่มวัฏจักรบ้าๆนี้ ถ้าเราไม่รู้จัก "หายอยาก" ซะที ปัญหาบ้าๆอย่างนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น
"กล่อง" นั้นมีมากเหลือเกิน และก็ชวนให้กดเหลือเกิน
เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะสอนเรานี่เอง



มีอ้า้งอิงมาจากบล็อก //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=noon0072&month=11-2009&date=07&group=1&gblog=18 บางส่วน

จาก Q&A ใน BLOG ของเขา เขาจะมองเรื่องนี้ในด้านมนุ ษย์ต่างดาว แต่เรามองอีกอย่าง จะขอยกๆมาตอบบ้างนะ :):)

1. การที่มีคนชูเลขสอง และมีคนที่ดูเหมือนไร้สติมาพูดกับเราเรื่อยๆ หมายถึงอะไร

-- (ในความคิดเรานะ) --
เป็นการบอกให้เราเชื่อ การที่อาเธอร์เลือกประตูที่ 2 เพราะว่าเชื่อนี่ ก็หมายถึงว่า การเชื่อพระเจ้าของเราก็จะพาไปสู่หนทางของความรอดได้
ตอนที่อาเธอร์ยืนอยู่หน้าประตูสามอย่าง ตัวเมีย Stewart บอกว่า (ชื่อไรจำไม่ได้) ทางรอดมีทางเดียวเท่านั้น!!!
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา" ยอห์น 14:6
พระคำข้อนี้เด้งขึ้นมาทันที เมื่อถึงฉากนี้ เราเลยเข้าใจว่า การเชื่อพระเจ้านี่หมายถึงการรอด
โดยหลายๆครั้่ง พระเจ้าได้ตรัสผ่านเราผ่านคนอื่นๆ หรือแม้แต่เสียงที่เกิดขึ้นในใจเราเอง
เพื่อให้เราตัดสินใจว่า จะ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ",,,, "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" เท่านั้นเอง
ถ้าเราเชื่อ เราก็รอด ใครจะไปเชื่อว่าโอกาสที่จะเลืือกประตูถูกมีแค่ 1 ใน 3
แต่เพราะว่าเขาเชื่อ นั่นแล ก็เลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด


2. ตอนท้ายก็ต้องรอด มาเล่นเกมตัดสินสุดท้ายเกมที่เลือก ระหว่างพิการกับ ความตายของคนกด

-- (ในความคิดเรานะ) --
สำหรับเราว่านะ ที่ต้องเลือกเพราะว่า
ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเวลาแห่งการตัดสินมาถึงแ ล้ว ไม่มีทางที่เราจะย้อนไปได้อีก
เราต้องยอมรับของสิ่งที่เราได้ทำไป ไม่ว่าอย่างไร ผลที่ตามมาม้ันอาจจะแย่ก็ได

แต่ถ้ามองเรื่องให้ลูกพิการ ้ ก็เพราะว่า ต้องการให้เรามองว่า ไม่อย่างไร
พ่อแม่ก็ไม่สามารถเห็นลูกทรมานได้...
พระเจ้าก็เช่นกัน เราเปํนคนบาปที่ยังหูหนวก ตาบอดอยู่ พระเ้จ้าไม่สามารถทนเห็นเราในสภาพนัน้ได้อย่างแน่นอน
พระองค์ฺจึงได้ส่งพระเยซูมาเพื่อช่วยให้เรามองเห็น และฟังได้
พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมา พระองค์ยังทรงยอมส่งให้พระเยซูมาตายแทนเรา
พระองค์เป็นบิดาที่เสียสละแค่ไหน
สำหรับเราแล้ว... พระเจ้ืาของเรา ไม่ต่างอะไรกับอาเธอร์ที่้ต้องลั่นไกเพื่อปลืิดชีวิตของคนที่เค้ืารักมากกก เพื่อแลกกับลูกชายให้หายเป็นปกติ...
เราเป็นดั่งวอลเธอร์ ซึ่งเป็นลูกชายสุดรักสุดหวงของ "อาเธอร์ (พระเจ้า)" และ "นอร์มา (พระเยซู)"
ืทั้งคู่รักเรามาก ขนาดยอมตายอ่ะ เข้าใจป่ะ? เพื่อแค่ให้เราเป็นปกติให้หลุดพ้นจากบาป!!!
แค่ภาวะตอนนั้นนะ ไม่ใช่ว่าพระเยซูเป็นคนกดปุ่มนะ >.<


ลูกชายน่ารักขนาดนี้ ยอมหรอ?

3. จงตามแสงสว่างไป

อ่ะะ อันนี้ไม่มีอะไรเลย ดั่งพระคัมภีร์เลย พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างนำทา งชีวิตเรา
ให้เราตามแสงสว่างนั้น เราก็จะรอด ไม่มีอะไรที่เข้าใจยาก ใช่มัยคะ??? :):)


อีกเรื่องสำหรับเราคือ เราคิดว่าการที่เค้าเอาเรื่ อง NASA มาเล่น
เพราะเราว่าเค้าต้องการที่จะเอาเรื่องสองเีรื่อง ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ ทีเ่ป็นปรปักษ์กันมารวมไว้ในเรื่องเดียวกัน
เพราะเรารู้ได้เลยว่า เรืองนี้สามารถมองได้สองแง่เลย ไม่วิทย์ ก็ศาสนาสุดๆ
อย่างที่บอก ก็แล้วแต่บริืบทของคนนั่นเอง...

โว้ววววววววววววว ยาวม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กกกกกกก


ถ้าอยากไปดูก็ไปดูกันนะ เข้าใจง่าย ตรงๆดี ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ได้น่ากลัวจัดๆขนาดนั้น




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 10:26:16 น.
Counter : 351 Pageviews.  

Moment In June

Inspired by Moment in June

อย่าให้หัวใจเกิดคำถามกับเรื่องความรัก

"โอกาสไม่ได้เดินเข้ามาหาใครหรอก มีแต่เีราเนี่ยหแหละที่ตอ้งเดินไปหามัน"

"มีบางสิ่งบางอย่างที่เวลาไม่สามารถทำลายได้"



ความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่เรื่งอของสมอง

แต่จะทำอย่างไร เมื่อในโลกของความเป็นจริง

ความรักต้องใช้ทั้งสมอง และหัวใจควบคู่กันไป

เมื่อคุณรัก อย่าได้ให้เกิดคำถามในวันข้างหน้าว่า

"ถ้า......... เราจะ......ไหม?"

โปรดอย่าทำให้หัวใจเกิดความลังเล



ไม่มีใครได้เจอโอกาสครั้งที่ 2 บ่อยๆหรอกนะ

คุณจะรอมั้ย จนถึง 30 ปี

เราจะรอมั้ยถึง 30 ปี

มันจะเป็นไปได้ไหม?

แต่ Deep down inside my mind กลับรู้สึกว่า

30 ปี อะไรๆก็คงเปลี่ยนไปแล้ว

แม้จะรักอย่างไร ก็คงไม่มีทาง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่

นั่นแหละ สิ่งเดียวที่ขัดใจ



กล้ามั้ย? ปล่อยตัวเองให้รอ

กล้าม้ั้ย? จะรับโอกาสครั้งที่สอง

กล้ามั้ย? กับ ณ ขณะรัก



เธอจะนึกความรู้สึกนัั้นออกไหม ณ ขณะ(ที่เราเคย)รักกัน

Moment in June

PS* ชอบเรื่องนี้มาก
ภาพสวย แสงสวย
ทำใ้ห้เรา Deep down ดี
ชอบๆๆๆๆๆ




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 10:26:38 น.
Counter : 305 Pageviews.  

โลง/ต่อ/ตาย : The Coffin

ตั้งแต่ได้เห็นอนันดาในรายการ"เรื่องของเรื่อง"
ก็รู้สึกหลงรักผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แล้วพอได้รู้ว่าเขาเล่นหนังเรื่อง The Coffin
ก็ตัดสินใจไปดูทันที ยอมรับอย่างเต็มปากได้เลยว่า
ดูหนัง เพราะอนันดา
เอาความกลัวทิ้งไว้ซะ แล้วจะไปดูอนันดา!!!
ยิ่งได้ดู Club7 ก็เริ่มรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าดู

---น่าจะเป็นสปอยล์นะ แต่อารมณ์สปอยล์ห่วยๆของเรา
ตีความมั่วๆของเรา อย่าอ่านเลย 5555---






























ตอนที่เข้าไปนั่งดู คิดไว้เต็มที่เลยว่านี่เป็น"หนังไทย"
ที่เป็นหนังไทยแน่ๆ ผีๆๆๆๆ แบบสี่แพร่งมั้ง คงไม่มีอะไร
นอกจากหลอกๆ แล้วก็ไป.. ไม่มีอะไรสำคัญ
แล้วไงล่ะ พอดูจบก็อึ้งๆไป เราไม่ได้ดูหนังละเอียดมาก
ต้องดูอีกรอบ แต่รอหนังเป็นดีวีดีละกัน เปลืองไป!!

เอาเรื่องทั่วๆไปก่อนละกัน
หนังเรื่องนี้ ย้อมฟ้าทั้งเรื่อง ไม่รู้ด้วยเหตุใด
แต่รู้ว่ามันฟ้า แต่ก็ไม่ได้บลูแบบเศร้านะ
เราว่ามันดูฟ้าสว่างๆยังไงไม่รู้
เหมือนดูหนังพากย์เลย 555
ปากไม่ตรง ลืมไปว่าเป็นหนังร่วมทุนสร้าง :))

ภาพสวยมาก หลายๆฉาก
อย่างฉากในทุ่ง หรืือแม้แต่ฉากเรียงกระดูก สวยมากกกกก
แสงเสิงอะไร ดูแล้วได้อารมณ์ดี
แต่ก็มีบางฉากเหมือนกันที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม เอาให้งงๆ ยังไงไม่รู้

บทบางทีก็งงๆ อย่าง คริส (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม สามีเดี๊ยนเอง)
เดินตามเมย์ (มะหมี่ นภคปภา) ไปที่ห้องเก็บโลงศพของวัดแถวนนทบุรี
ดูผิดๆไปเหมือนกัน ที่ตอนแรก พระเอกพูดกับเพื่อนพระเอกสุดหล่อว่า
"มาริโกะเห็นผู้หญิงคนเดียวกัยที่ฉันเห็น" เหมือนไม่รู้จัก
แต่จู่ๆก็เรียกชื่อเมย์ ก็เลยงงๆ ว่าสรุปรู้จักหรือไม่รู้จักกันแน่

อย่างตอนแรกที่คริสอยู่ในโลงที่ผีโผล่ออกมาตอนแรก
เรานึกว่าเป็นมาริโกะเสียอีก พอดูๆไปก็โอ้ ชั้นเข้าใจผิดเอง
หรือไงล่ะ? แต่เพื่อนๆที่ไปดูก็รู้สึกเหมือนกันนะ


แต่รู้สึกว่าสัญญะเยอะมาก
อย่างทุกๆฉากที่ แจ็ค (คู่หมั้นคาเรน ม็อก หรือ ซู ในเรื่อง) จะโผล่มา
ก็ต้องมีกระจกเกือบทุกฉาก (อันนี้ไม่แน่ใจนะ แต่เห็นกับกระจกเยอะอยู่)
ไม่แน่ใจว่า ต้องการสื่อว่า มันสะท้อนมาถึงตัวเค้าเองหรือเปล่า?
อย่างดอกบัวนี้ดูชัดมากๆ ว่าต้องการสื่ออะไร :)

ส่วนคำพูดบางคำพูด
ก็ดูงงๆ เหมือนไม่รู้ว่่า พระเอกรู้สึกยังไงกับใครแน่
แต่เราเข้าใจว่า ตลอดมาคริสรักเมย์มากที่สุด
ถ้าเรียงลำดับเหตุการณ์ก็คงประมาณว่า
คริสกะเมย์รักกัน
แต่เมย์ท้องลูกกับคนอื่น(โดยไม่รู้ว่า ตอนนั้นเมย์รักคริสหรือเปล่า)
เมย์บอกเลิกคริส
คริสเสียใจ แต่ก็ยังรักเมย์
คริสรักกับมาริโกะ
คริสทำพิธีนอนในโลง ---- > ให้มาริโกะ
<======> เป็นเวลาเดียวกับที่ ไฟไหม้อพาร์ตเม้นต์ของเมย์ ลูกเมย์ตาย
(แต่ไม่รู้ว่าเมย์ตายหรือป่าว)
หรือว่า จริงๆแล้ว คริสรักเด็กคนนั้นมากที่สุด
ดูงงๆ เนาะ ว่าทำไมถึงเป็นคนนี้ตายแทน
บทก็ยังดูอ่อนๆอยู่ ดูแ้ล้วงงๆเหมือนกัน

แล้วทำไม อีมาริโกะต้องตามไปถึงวัด จุดนี้ดู nonsense มากๆ
ตลกที่ปีนเข้าไปนอนในเมรุได้? ต่อให้เรารักขนาดไหน
คงไม่กล้าไปเปิดเมรุ และไปอยู่ในเมรุหรอก
คุณยายที่จับอีมาริโกะก็เหมือนกัน น่าจะถูกเผาไปตั้งแต่ตอนที่คุณอาสัปเหร่อกดไฟเผาแระ
แล้วไง โลงดูไม่ใช่โลงไม้ เพราะไฟออกจะแรง แต่... โลงไม่ไหม้
และที่สุดยอดกว่าคือ... คุณอาสัปเหร่อของเรา และคริส
ที่ดึงโลงที่เพิ่งถูกไฟเผาออกมาได้อย่างไม่ร้อนเลยสักนิด
ผิดจุดไปหน่อยอ่ะ? ยังไงไม่รู้
ดูแบบ แปลกๆ แล้วก็ตัดหนังไม่ค่อยดีด้วย
กระตุกเป็นบางฉาก
แต่ถ้าเรียงลำดับเราชอบนะ แต่มันดีที่ตรงเรามารู้ทีหลังว่า เรื่องของคริสเกิดก่อนซู 5 ปี


สำหรับเรื่องความคิดของหนังต้องการบอกว่า
การที่เราไปสะเดาะเคราะห์ มันไม่ใช่การลบกรรมออกไป
แต่เป็นการโยนไปให้คนที่เรารักที่สุดมากกว่า
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ความตายของคนที่เรารัก คนที่เราใกล้ชิด
ไม่ใช่ความตายของเราเอง
ซึ่งจริงๆมันเป็นสิ่งที่คนเรากลัวมากที่สุด
ถามว่าเราเคยคิดมั้ย.. เราเคย
เราเคยขอว่า เราขอตายก่อน เพราะเรากลัวที่จะเห็น
นั่นแหละ มันก็ดูรักตัวเองนะ เห็นแก่ตัว
เพราะเหมือนไม่ได้สนใจถึงความรู้สึกของคนที่เรารักเลย

ถามว่ามาริโกะ จะอยากให้คริสอายุสั้นขึ้นไหมเพื่อช่วยตัวเอง ก็คงไม่
ส่วนแจ็ค เราว่าเคายินดีที่จะตายเพื่อคนที่เค้ารัก
เค้าไม่ได้โกรธซูเลย เขายังรักและต้องการอยู่ใกล้ๆมากกว่า
ต้องการกอดคนที่เค้ารักที่สุด เค้าไม่ได้ต้องการมาหลอกเลยนะ
อย่างฉากที่ซูเข้าไปแต่งตัว เค้าต้องการให้เห็นนะ เรารู้สึก
ไม่งั้นเค้าจะทำให้เห็นเยอะๆ ในกระจกเงาทำไม (ชอบฉากนี้ สวย)
เหมือนแบบ (รู้สึกเองนะ) แจ็คต้องการให้เมย์รู้มากกว่าว่า เค้าอยู่ตรงนี้
รู้สึกถึงเค้าได้ไหม? รักเค้าไหม? เหมือนต้องการให้ซูสนใจเค้า
เพราะที่แฟลชแบ็คไป ดูซูไม่ค่อยสนใจเค้า ไม่เคยบอกรักแจ๊คเลย (ป่าววะ)
เค้าต้องการสิ่งที่แสดงถึงความรักของซูมากๆ ก่อนที่เค้าจะไป (รึป่าว)

เราว่า แต่เราก็ยังงงๆ เรื่องของกระจกเงานะ อันนี้ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
หรือว่าคิดไปเองก็ไม่รู้

ชอบความคิดเรื่องนี้นะ เรื่องความรัก แล้วก็ความตาย เค้าดึงมาให้สวยได้
ดึงความตายให้ดูสวยงาม และเกี่ยวข้องกับความรัก
ฉากที่ทั้งคริส และซู กลับเข้าไปนอนโลงครั้งที่สองนี่ เราก็ชอบนะ
คริส จากมือที่ค่อยๆกำ อยู่แล้วแบออก (ถึงจะดูตั้งใจมากมายก็เถอะ)
เราว่ามันหมายถึงการปล่อยวาง ยอมรับแล้วว่าสุดท้าย
ไม่มีใครหนีกรรมพ้น ต้องปล่อยให้เป็นไป ไ่ม่มีใครเข้าไปขัดมันได้
ซู แจ็คมากอด เราไม่ได้มองว่าแจ็คเป็นผี แต่แจ็คต้องการความรักจากซู
อย่างที่บอกไปตอนต้น เหมือนจะบอกว่า เค้าไม่ได้โกรธซูเลย
ที่เป็นสาเหตุให้เค้าต้องตาย เค้ืายังรัก และรอเธอเหมือนเดิม

เราว่าหนังใช้ตัวละครเอก สองเรื่อง ที่คนนึงสื่อถึง ความตายและกรรม (คริส)
ส่วนซู ให้เป็นเรื่องของความรัก แต่ทั้งสองเรื่องถูกนำมาผูกด้วยเรื่องของพิธีนอนโลงนั่นเอง

หนังเรื่องนี้สยองไม่เท่าไหร่นะ
เราดูแล้วแอบซึ่งเถอะนะ
แต่แบบ ถ้าในแง่ของหนังผีขอให้คะแนนแค่ 4/10
แต่ถ้ามองเป็นหนังอารมณ์ให้ 8/10
มันดูเป็นหนังให้แง่คิดมากกว่า
ตามความคิดของเรานะ
นั่นแหละ จบ

ส่วนคำถามคาใจคือ
1. ทำไมเมย์ตายน่าจะไฟคลอก แต่... เพราะเข้าไปช่วยลูกหรืืออะไร?
2. ที่แจ็คตาย เพราะว่า ซูไปนอนโลงแล้วรอดจากอุบัติเหตุรถชน เลยย้อนกลับไปที่แจ็คหรอ?
3. เรื่องกระจกนั่นแหละ :)

ใครรู้ช่วยมาตอบทีนะคร้าบบบบบบบบบบบบบบ


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม :)

ชอบอยู่ๆ คิดไม่ออกเเละ เดี๋ยวคิดออกค่อยมาแก้เอาละกัน
ดีนะ ถ้าคนชอบหนังแบบตีความหน่อยๆ
แต่ก็ตีความไม่ยากเท่าไหร่นะ เราว่า




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 10:26:51 น.
Counter : 491 Pageviews.  

1  2  

My Lullaby
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Blog ^^
Nice To meet You all na ka :):)

This is my URL: http://lady-lullaby.bloggang.com
This is my Christian Blog :http://loukyie.blogspot.com/
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add My Lullaby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.