น้ำใจเล็ก ๆ จากเพื่อนร่วมงาน
เราเป็นคนมีเพื่อนไม่เยอะ แต่โชคดี ที่คุณภาพของเพื่อนแต่ละคนล้นเหลือจริง ๆ เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่มี ก็เป็นคนมีน้ำใจในระดับที่เป็นเพื่อนแท้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนชาติไหน ๆ ไว้จะค่อย ๆ ทะยอย ๆ เล่าให้ฟังไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ขี้เกียจเขียนซะก่อน

วันนี้ ขอเล่าถึงเพื่อนร่วมงานสองคน จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นลูกค้านะคะ ถึงจะทำงานกับเขามาได้แค่หกเจ็ดเดือน แต่ก็สนิทสนมกลมเกลียวกันดีทีเดียว

ออฟฟิศที่เราไปทำงานประจำเป็น management center แต่มีคนอยู่ไม่มาก ห้องที่เราทำงานอยู่ก็มีแค่ลูกค้าสองคนนี้กับเรา นาน ๆ จะมีคนอื่นมานั่งในห้องนี้สักครั้ง ก่อนที่เราจะมา เขาก็อยู่กันสองคน ลูกค้าเราก็เลยติดนิสัย เปิดเพลงทั้งวัน เปิดออกลำโพงด้วยค่ะ ไม่ใช่ใส่หูฟัง เพื่อนร่วมทีมเราหลายคนแล้ว ที่เคยมานั่งประจำอย่างเราเนี่ย แต่ก็อยู่กันได้ไม่นาน เพราะนอกจากจะเปิดเพลงทั้งวันแล้ว พี่แกทั้งสองจะช่างคุยเป็นที่สุด ทั้งคุยเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว ครอบครัว การเมือง ดิน ฟ้า อากาศ จักรวาล แกคุยได้หมด ขอแค่ให้มีสล๊อดว่างจากงานเพียงแว๊บเดียว

เราเองก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายวัน กว่าจะคุ้นเคย โชคดีว่าเราเป็นคนปรับตัวเข้ากับอะไรได้เร็ว ก็เลยรอดตัวไป ปัญหาเรื่องการโดนรบกวนขณะทำงานก็มีอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็พอรับไหว

ทั้งสองคนเคยเป็นทหารอเมริกันเก่ามาเมื่อหลายปีก่อน สไตล์การทำงานจึงค่อนข้างออกไปในรูปแบบทหารหน่อย ๆ อย่างเช่นเวลาจะให้เขาช่วยทำอะไร เราก็ต้องบอกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่นั่นก็ไม่ใช่นิสัยเรา เราชอบบังคับให้เพื่อนร่วมงานอ่านคู่มือมากกว่าจะรอรับข้อมูลที่ประมวลผลมาแล้ว เพราะนั่นจะเป็นการฝึกให้เขาคุ้นเคยกับการหาข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เขาทำงานได้ดีขึ้นในอนาคต ช่วงแรก ๆ เราก็จะให้ข้อมูลกับเขาเป็นขั้น เป็นตอน แล้วก็แนบคู่มือให้ พร้อมกับบอก Chapter บอก item ให้เรียบร้อย พอเขาเริ่มคุ้นเคยกับสไตล์เรา เราก็เริ่มบอกรายละเอียดน้อยลง ๆ ซึ่งตอนนี้ เขาก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง สำหรับการหาข้อมูลใหม่ ๆ ในคู่มือ แต่ก็ถือได้ว่าพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ช่วงหลัง ๆ ที่สนิทกันมากแล้วนี่ เขามักจะพูดเสมอว่า เขาเกลียดเรามาก ๆ เลยเวลาที่เราบอกให้เขาอ่านคู่มือ แล้วก็หัวเราะเสียงดัง

ความน่าสงสารของอเมริกันชนคือ พวกเขาทำงานหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายที่เพียงพอ ระดับความเครียดของอเมริกันชน น่าจะใกล้เคียงกับชาวญี่ปุ่น ลูกค้าสองคนนี้ก็เช่น ต้องทำงานหนักตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ทั้งคู่ยังต้องส่งเสียลูก ๆ ให้เรียนหนังสืออยู่ ฉะนั้น เขาก็จะอยู่กันอย่างประหยัด นาน ๆ ครั้ง เค้าจะออกไปกินข้าวข้างนอก เราตัวคนเดียว แถมมาอยู่นี่ด้วยเบี้ยเลี้ยงที่พอเพียง เราก็เลยไม่ค่อยได้คิดมากเรื่องเงิน เกือบทุกวัน เราจะซื้อผลไม้ หรือไม่ก็โยเกิตไปที่ออฟฟิศ แล้วก็ซื้อไปเผื่อทั้งสองคนด้วย ช่วงก่อนปีใหม่ องุ่นจะเป็นอาหารหลักของพวกเราสามคน หลายครั้งที่โดนแซว ว่าซื้อองุ่นมาทำไวน์หรือไง ถึงได้เยอะ กินไม่หมดซะที ถ้าเรางง ๆ เบลอ ๆ ก็จะเจอแซวว่าเมาไวน์ ฮ่าๆๆ

ปกติเราจึงออกไปกินข้าวข้างนอกคนเดียว แต่ถ้าวันไหนที่เรางานยุ่ง ไม่มีเวลาออกไปข้างนอก ลูกค้าเรานี่แหละ จะต้มมาม่ามาเสริฟ

สมัยอยู่เมืองไทย เรากินมาม่านับครั้งได้เลยต่อปี ไม่ใช่ว่ารวยหรืออะไร แต่ถ้าไม่มีอะไรกินจริง ๆ เราจะทอดไข่กินกับข้าว โรยพริกป่นกับเหยาะซอสนิดหน่อย แค่นี้ก็รอดไปอีกวันแล้ว เราเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไปประเทศไหน ๆ เราก็พยายามกินอาหารของเขาให้ได้ เพราะขี้เกียจหอบของกินไปด้วย กระเป๋าเดินทางเราจึงเล็กกว่าสาว ๆ ทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่ติดว่าต้องหิ้ว laptop ขึ้นเครื่อง เราคงจะแพคทุกอย่างลงกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง แล้วเดินขึ้นเครื่องตัวเปล่าอ่ะ

การเสริฟมาม่าให้เรา จึงเป็นเรื่องค่อนข้างลำบากใจพอสมควรในช่วงแรก ๆ จะไม่กินก็ไม่ดี แต่ก็อย่างที่บอกแหละ เราเป็นคนปรับตัวได้ไว ไม่ช้าไม่นาน เราก็เริ่มรู้สึกว่า มาม่ามันก็อร่อยดีเหมือนกัน



Create Date : 21 มีนาคม 2554
Last Update : 21 มีนาคม 2554 10:48:34 น.
Counter : 1404 Pageviews.

4 comment
วันสบาย ๆ
วันนี้ว่างจากงาน จากภาระหน้าที่ที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยและตรากตรำมาตลอดทั้งห้าวัน ก็ได้มีโอกาสเข้ามานั่งอ่านกระทู้ในเวบพันทิบในหลาย ๆ ห้อง อ่าน ๆ ไปแล้วก็รู้สึกหดหู่ หลัง ๆ มาเนี่ย เวบพันทิบกลายเป็นที่ระบายความเครียดและด่าทอคนอื่นมากขึ้น บางกระทู้อาการหนักขนาดด่าแอดมินของพันทิบ บางความเห็นล้ำเส้นและเกินเลยเข้าขั้นดูหมิ่นเลยก็ว่าได้

การบอกกล่าวตักเตือนกันของสมาชิกด้วยคำพูดสุภาพและตรงไปตรงมา เป็นสิ่งที่หาได้ยาก และถึงจะมี ก็กลับกลายเป็นว่า ผู้ถูกเตือนเกิดอาการ "รับไม่ได้" ไปซะเยอะ

เวบพันทิพปัจจุบัน เปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่มีอยู่สิ่งนึง ซึ่งเราจะเห็นได้เรื่อย ๆ ในกระทู้คือความพยายามใช้กฎหมู่ทำลายกฎระเบียบที่เจ้าของบ้านอย่าง pantip.com เป็นคนตั้ง

บ่นมาซะยาว ยังไม่เห็นว่ามันจะเข้ากับหัวข้อเรื่องตรงไหน วันนี้ควรจะเป็นวันสบาย ๆ ของเรานี่นา ฮ่าๆๆๆ เข้าเรื่องดีกว่า

เมื่อวานนี้ เป็นวันศุกร์ที่แสนหฤโหดอีกศุกร์นึงของเรา จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาอยู่อเมริกาได้เจ็ดเดือนนี่ ยังไม่มีอาทิตย์ไหน ที่เราจะได้ทำงานสบาย ๆ ชิว ๆ สักครั้ง เพื่อน ๆ ที่เมลเบิร์นต่างก็บอกว่า การที่เรามาทำงานที่อเมริกา คงทำให้ต่อมขี้เบื่อของเราจางลงได้บ้าง เพราะเราทำงานที่ออสเตรเลียแค่อาทิตย์ละ 38 ชั่วโมง ไม่เครียดมาก ไม่ลำบากตรากตรำเท่าไหร่ อยู่ออฟฟิศไม่กี่วัน เราก็บ่นเบื่อๆๆๆ มันก็คงจะจริงนะ เจ็ดเดือนที่อยูที่อเมริกา ไม่มีวันไหนที่เราทำงานต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ด้วยปริมาณงานที่เยอะ และเราก็ซีเนียร์สุดในทีม (ไม่ใช่แก่สุดน่อ)

ช่วงแรก ๆ เราก็ทำทุกอย่าง ไม่มีบ่น ไม่มีโวย แต่พอนาน ๆ เข้า มันก็เหมือนกับว่าเพื่อนร่วมงานเราก็ยิ่งจะได้ใจ อะไร ๆ ก็มาลงนี่หมด หลัง ๆ มานี่ เราก็เลยต้องออกกฎเหล็ก ถ้าใครขอให้เราช่วยนอกเวลาทำงาน ( เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น) ต้องจ่ายครั้ง 100$ (ที่ทำแบบนี้เพราะเราเป็นคนเดียวในทีมที่ไม่ได้โอที) ตั้งแต่เรามีกฎนี้ ชีวิตเรามีความสุขขึ้นเยอะ

เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา ก็ลงไปซื้อกาแฟที่สตาร์บัคข้างล่าง โรงแรมนี้ดีอย่าง มีสตาร์บัคอยู่ข้างใน จะซื้อหาอะไรก็ไม่ต้องออกไปไกล ข้างนอกอากาศดีมาก ๆ ไม่บ่อยนักที่ท้องฟ้าที่ Seattle นี้จะเป็นสีคราม ว่าแล้วก็ออกไปขับรถเล่นก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยกลับมาเขียนต่อ


กลับมาเขียนต่ออีกนิด ก่อนที่จะเข้านอน พรุ่งนี้ต้องบินตอนเจ็ดโมงเช้า อิอิ

อยากจะพูดถึงมาของเรื่องเงิน 100$ นี่สักนิดหน่อย พอดีว่างานที่เราทำนี่ก็ทำกันเป็นทีม เป็นงานที่ทำให้กับลูกค้ารายใหญ่เจ้านึงของอเมริกา ระบบที่เราทำก็เป็นพวก network management ซอฟแวร์ที่ลงนี่เป็น Pre-GA (Pre-general availability) ซึ่งหลัง ๆ มานี่ ลูกค้ารายใหญ่ ๆ ที่ต้องการจะเป็นผู้นำในตลาดต่างก็ต้องการซอฟแวร์นี้มาลงเพื่อทดสอบก่อนใครอื่น การทำแบบนี้ถือได้ว่า win-win ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ลูกค้าได้ใช้และทดสอบระบบก่อนใครเพื่อน แถมบางครั้ง ยังสามารถแจ้งแก้ไขและปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการของตัวเองมากขึ้น ส่วน supplier ก็ได้ทดสอบระบบกับของจริง ได้เห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะส่งสินค้าไปวางขาย

ตอนที่มีทั้งหมด 5 ศูนย์สำหรับลูกค้ารายนี้ แต่ละศูนย์ก็มีเครื่องเซอร์เวอร์อยู่มากน้อยต่างกัน น้อยสุดก็ 12 ตัว มากสุดก็ 22 ตัว เรากับเพื่อนร่วมทีมก็ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ เนื่องจากต้องมีซอฟแวร์ที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาจากการทดสอบในแต่ละขั้นตอนออกมาเรื่อย ๆ โดยปกติแล้ว จะมีซอฟแวร์ใหม่ออกมาให้อัพเดทกันทุก ๆ สองอาทิตย์ ก็เฉลี่ยว่าต้องลงซอฟแวร์กันทุก ๆ สองวันเลยทีเดียว

เนื่องจากเราเป็นคนเดียวที่ถูกออเดอร์ (เหมือนพิซซ่า ดิลีบเวอรี่ เลยเนอะ อิอิอิ) มาจากฝั่งเอเชียแปซิฟิกในฐานะซีเนี่ยร์เอ็นฯ ก็เลยต้องรับหน้าที่ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่าง

มีอยู่วันนึง เรากำลังอัพเกรดระบบให้ลูกค้าอยู่ที่ Dallas เพื่อนอีกสองคนที่ทำอยู่ที่ Seattle ทำพลาด (อาจจะโชคไม่ดีด้วย) PM ก็เลยบอกให้เราแก้ปัญหาและก็อัพเกรดไซด์นั้นใหม่เลย สรุปว่าวันนั้นเราทำงานมือเป็นระวิง เพราะต้องทำสองที่พร้อม ๆ กัน

หลายคนอาจจะงงว่าทำได้อย่างไร Dallas กับ Seattle อยู่กันคนละฟากของอเมริกา ก็โชคดีว่า สมัยนี้แล้ว อะไร ๆ ก็เชื่อมโยงกันได้ทั่วถึงหละค่ะ เราก็นั่งทำงานที่ออฟฟิศที่ Dallas ไปด้วย แล้วก็เปิดอีกหน้าจอ รีโมทมาทำที่ Seattle

จบจากงานวันนั้น เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว ยิ่งเราทำงานมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีวี่แววว่าเพื่อนร่วมงานและ PM จะเห็นใจเราและช่วยให้เราเบาแรงขึ้น มีแต่จะเพิ่มงานให้เรื่อย ๆ

หลังจากนั้นมา เพื่อนคนเดิมนี่แหละ ที่ทำพลาดอีก เราก็เลยพูดทีเล่นทีจริง ว่าถ้าจะให้เราช่วยอีกนี่ เราจะได้อะไรตอบแทน เค้าคงจะมั่นใจมากอ่ะ ว่าเราคงช่วยเค้าไม่ได้ เลยพูดส่ง ๆ ไปว่า ถ้าช่วยได้ เค้ายินดีจ่ายให้ร้อยเหรียญ เราก็คิดในใจว่าหวานหมูแหละ เพราะเราเคยเจอปัญหานี้มาก่อน ยังไงก็แก้ได้อยู่แล้ว ก็เลยทำข้อตกลงกันก่อนที่เราจะเริ่มแก้ปัญหาให้

จริง ๆ เราไม่ได้อยากได้เงินนั่นหรอก นี่กะว่า เค้าจ่ายมาเมื่อไหร่ เราก็จะคืนให้ก่อนที่เราจะกลับออสเตรเลีย แต่เราต้องยึดเงินและตัวเลขนี้ไว้ก่อน เค้าจะได้คิดกันสักนิดก่อนที่จะโยนงานมาให้เราทำอีก



Create Date : 20 มีนาคม 2554
Last Update : 20 มีนาคม 2554 12:18:43 น.
Counter : 337 Pageviews.

5 comment

NameNottobeNoted
Location :
Melbourne Victoria  Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ทุกวันนี้ สังคมออนไลน์ของคนไทย มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งดี และไม่ดี บล็อกเล็ก ๆ อันนี้ ขอเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนสังคมออนไลน์ของคนไทยให้เข้มแข็งและน่าอยู่ยิ่งขึ้น