All Blog
สัมผัสดินแดน ท้องทะเล ตรัง... ปลูกหญ้าให้ปลาพยูน



เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง
หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา
เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล
เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา


คราวนี้ได้มีโอกาสลงใต้กันบ้างละ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูการมรสุม ก็หวั่นอยู่ว่า
ไปเที่ยวคราวนี้จะสนุกหรือเปล่า เริ่มกันเลย โดยสายการบินนกแอร์ ชอบจริงๆ ขึ้นแถวดอนเมือง เดินทางไม่ไกลจากบ้านมากนัก ออกเดินทางแต่เช้ามืด เหินฟ้าสู่ จ.ตรัง วันนี้เป็นวันที่ฟ้าแจ่มใส หลังจากกลางคืนมีฝนตกต้อนรับ
ล่วงหน้าแล้ว



ถึงตรังแต่เช้า กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง เช้านี้เราไป ร้าน พงษ์โอชา ตามคำแนะนำ กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า ชิมอาหารเช้าเมืองตรัง ติ่มซำ ชา แกแฟ หมูย่าง โจ๊ก ปลาท่องโก๋ ขนมจีนปักใต้ โรตี ก่อนตะลุยเมืองตรังกัน



ขอบอก อิ่มจริงๆ แต่รสชาดร้านนี้ ก็ไม่ถึงกับประทับใจนัก เป็นแบบพื้นๆมากกว่า คงแล้วแต่คนชอบ ปากใครปากมัน

ลำดับต่อไป เดินทางสู่ "สวนพฤษศาสตร์ทุ่งค่าย" เป็นป่าผืนใหญ่ รวบรวมพันธ์ไม้ท้องถิ่นจำนวนมากไว้ให้ชม เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ มีเวลาเดินดูพันธ์ไม้แปลกๆที่ไม่เคยเห็น และสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด คือ การเดินบนสะพานชมเรือนยอดของต้นไม้ โดยมีระดับความสูงหลายระดับ เชื่อมต่อกันเป็นหอคอย ต่อเนื่อง ทั้งสนุก ทั้งเสียว



หอคอยจะมีประมาณ 6 หอเดินต่อเนื่อง ไล่ระดับบนยอดไม้



กว่าจะเดินเสร็จ ก็บ่ายเข้าไปแล้ว หิวอีกแล้ว คราวนี้ เป็นร้านอาหาร สวนสุดาพร เพราะเราหิว หรือเปล่าไม่รู้ อร่อยจริงๆ ยิ่ง เมี่ยง... ชอบมาก แถมทางร้านมีการจัดสวน อยู่กับธรรมชาติดี เสียดาย ฝนตกพร่ำๆ เลยได้มาเท่านี



คราวนี้ถึงกิจกรรมที่แสนสนุก ทรมาน นึกในใจทำไมเราต้องทำทุลักกทุเลอย่างนี้ โดยเดินทางสู่หาดปากเมงชายฝั่งทะเล เพื่อทำกิจกรรม การปลูกหญ้าชะเงาเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลาพยูน ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธ์แล้ว โดยพบมากบริเวณ ท้องทะเล จ.ตรัง ประจวบกับว่าฝนเจ้ากรรมไม่ยอมเลิกตก พรำๆ ตลอดทาง

ในใจก็นึกว่าเหมือนการปลูกป่าชายเลน พวกต้นโกงกาง ลุยไปถึงก็ปักๆ กันได้เลย แต่ความสนุกคือ เดินทางผ่านชายหาด ด้วยเท้าเปล่า มีทั้งเปลีอกหอยมากมาย ผ่านเนินดิน ต้องปีนข้ามต้นไม้ เข้าผ่านป่าโกงกาง เพื่อไปโผล่ออกมาอีกอ่าวหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปลูกหญ่านั่นเอง

เสียดายเนื่องจากฝนตกมาก และ สมบุกสมบัน เลยไม่ได้มีโอกาสเอากล้องไปด้วย มีเพียงแค่รูปต้นหญ้าทะเลที่พี่วิทยากรมาแนะนำการปลูกเท่านั้น

หญ้าทะเลเป็นพืชที่สังเคราะห์แสงได้เอง องค์ประกอบของต้นมีทั้งใบ ต้นและราก เหมาะที่จะเป็นแหล่งอนุบาล แหล่งหลบภัย และแหล่งอาหารสำหรับสัตว์น้ำหลายชนิดไม่แพ้ระบบนิเวศปะการัง หรือระบบนิเวศป่าชายเลนเลย รวมถึงแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการพังทลายของหน้าดินได้อีกด้วย



หาดนี้เป็นหาดเดียวกับที่จัดงาน วิวาห์ใต้สมุทร ตอนวันวาเลนไทน์ นั่นละ

กว่าจะเสร็จกิจกรรมก็เย็นมากแล้ว เข้าโรงแรมเลยดีกว่า ที่พักของเรา 2 คืน
คือ อนันตรา สิเกา รีสอร์ท แอนด์ สปา บริเวณหาดปากเมง อาบน้ำ นอนหลับให้สบาย ส่วนอาหารมื้อค่ำที่ ร้าน เลตรัง อร่อยกับอาหารพื้นเมือง เช่น ผัดเมียง ผัดกุ้งเสียบ น้ำพริกกุ้งเสียบ ... เสียดายรีบจนลืมเอากล้องไปด้วย

เช้าวันใหม่ ตื่นมาแต่เช้าด้วยความพร้อมของสภาพร่างกายเตรียมลุยวันต่อไปเย้... วันนี้ได้ลงทะเลแล้ว นั่งเรือประมงดัดแปลง ก็เสียวอยู่เหมือนกัน เวลาโดนคลื่นจากลำอื่นซัดเข้ากระแทกตัวเรือ วันนี้ดำไปดำน้ำชมปะการังและฝูงปลาหลากสี ที่เกาะเชือก และ เกาะม้ากัน

สังเกตุท้องฟ้าวันนี้มีเค้าของฝน แต่โชคดี ไม่มีฝนตกสักนิด แดดออกเป็นพักๆ



ใครว่ายน้ำไม่เป็น แต่ใจรัก ก็เกาะห่วงยาง โดยมีไกท์ลากพาไปดูปะการังและปลาชนิดต่างๆ ลงไปดำดูปลากันอย่างสนุกสนาน แต่เราว่ามาไกลขนาดนี้มันน่าจะสวยกว่านี้ สภาพปะกาลังมีตายเสียส่วนมาก ปลาการ์ตูนก็มีน้อย
ถ้าเทียบกับความคาดหวังที่คาดไว้



อาหารกลางวันก็ทานกันบนเรือนั่นละ เป็นมื้อที่อร่อยมากที่สุด ทั้งๆที่เป็นอาหารพื้นบ้าน แต่ด้วยความหิว มีอะไรก็ต้องกินไว้ก่อน เพราะสถานที่ต่อไป
คือ ถ้ำมรกต ซึ่งเป็น Unseen in Thailand ด้วยโดยเป็นถ้ำที่อยู่บนเกาะมุกต์ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล จะเข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น ปากถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำอันมืดมิด ผ่านเส้นทางคดโค้ง น่าตื่นเต้น confirm ว่าตื่นเต้นมาก เพราะตอนเข้าจะมีคลื่นซัดเข้าถ้ำตลอด แต่ผนังถ้ำจะเต็มไปด้วยเปลือกหอยนางรม ซึ่งคมมาก ระยะทางความยาวก็อยู่ที่ประมาณ 80 เมตร เข้าแถวเรียง 1 ตามคนนำทางที่ช่ำชอง เมื่อพ้นปากถ้ำจะเจอหาดทรายเล็กๆ สีขาว เม็ดทรายละเอียดยิบ เงยหน้ามองดูด้านบนของถ้ำ จะเห็นท้องฟ้าสีครามเป็นหลังคา รู้สึกคล้ายว่าเราได้ยืนอยู่ในบ้าน เพราะเราจะเห็นภูผาสูงลับฟ้าล้อมรอบทิศทาง คล้ายกับฟ้าเป็นเสมือนหลังคาบ้าน ต้นไม้ที่เกาะอยู่ตามหน้าผาสูงชัน บางต้นมีขนาดใหญ่มาก เกาะตามหน้าผาชัน ดอกไม้ป่าก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ โพรงที่ลอดเข้าถ้ำมรกตจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเกาะ เมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะทั้งเกาะ เวิ้งของถ้ำก็จกลายเป็นสีเขียวมรกตงดงามมาก



กว่าจะรอดชีวิตมาได้ ก็บ่ายแก่ๆแล้ว เดินทางกลับที่พัก อาบน้ำ นอนหลับให้สบาย ตื่นมามื้อค่ำนี้ เราไปที่ร้านยกยอ ชิมเมนูซีฟู๊ด ปูม้านึ่ง หอยชักตีน และ อื่นๆ



เช้าวันใหม่ วันนี้คงต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้วสินะ มีเวลาซื้อของฝาก แล เดินสำรวจโรงแรม ซึ่งเมื่อวานก็สำรวจมา 1 รอบแล้ว แต่วันนี้มีเวลามากขึ้น เริ่มด้วยบรรยากาศภายในห้องกันก่อนเลย



บริเวณด้านนอก มองออกจากห้อง และ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่



ด้านนอกของห้องพัก มีสระขนาดเล็กอยู่กับที่พักด้วย



อีกมุมหนึ่งภายในบริเวณ ซึ่งกว้างขวางมาก



มุมสปา กับ ฟิตเนส ก็มี



บรรยากาศภายในโรงแรมก็มี



คราวนี้มาดูบริเวณชายหาดกันบ้าง



น่านอนพักผ่อนจริงๆ



คราวนี้ก็เตรียมของฝากเมืองตรัง กลับบ้าน ของขึ้นชื่อก็จะเป็นพวกหมูย่าง ขนมเค๊ก ... แต่เจ้าอร่อยต้องซื้อกันตอนเช้า เพราะของจะหมดเร็วมาก คนตรังท่าทางจะชอบกินหวาน หมูย่างเลยหวานขนาด

และแล้วก็ได้เวลาเหินฟ้า กลับบ้านเราเสียที ใช้เวลาบินจากตรังกลับกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมง ทริปการเดินทางครั้งนี้ 3 วัน 2 คืน อันแสนสนุก ตื่นเต้น ทรหด เปียกปอน และ เปียกโชก ทั้งน้ำทะเล และ น้ำฝน




Create Date : 17 สิงหาคม 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 22:08:57 น.
Counter : 2959 Pageviews.

0 comment
พาครอบครัวพัก "บ้านเพวิลล์" เล่นนำทะเล แสนสนุก ระยอง
ผลไม้รสล้ำ อุตสาหกรรมก้าวหน้า
น้ำปลารสเด็ด เกาะเสม็ดสวยหรู สุนทรภู่กวีเอก


ปีนี้อากาศประเทศไทย มีความผิดปกติเป็นอย่างมาก ช่วงหน้าร้อน ก็มีอากาศหนาว ฝนตก อะไรกันนี่ ประเทศไทย หรือว่าโลกจะแตกแล้ว รีบเที่ยวดีกว่า
ได้มีโอกาสพาครอบครัว หาที่พักแถวระยอง เด็กๆจะได้เล่นน้ำทะเล หาข้อมูล
อยู่นาน เนื่องจากไปครั้งนี้ 12 คน เงื่อนไขคือ พักบ้านเป็นหลัง ใกล้ทะเลงบประมาณประหยัด แต่ต้องดูดี สะอาด หาอยู่นาน ก็ได้บ้านที่นี่ละ
"บ้านเพวิลล์" สถานที่มีบ้านเป็นหลังๆ ให้เช่า โดยเขามีหลายหลัง อยู่ที่จำนวนคนเข้าพัก คนติดต่อก็นิสัยดี ของเราติดต่อผ่าน "พีแหวว" เป็นคนดูแลบ้านหลายหลัง และมีอีกหลายคนที่เป็นคนดูแลเหมือนกัน

เริ่มการเดินทางด้วยสาย Motor Way แวะไหว้หลวงพ่อโสธร เป็นสิริมงคล ก่อนถึงทางเข้า จะมีร้านก๊วยจั๊บ อร่อยมาก หมูกรอบก็กรอบจริงๆ เลยแวะเที่ยวบริเวณนั้นอีกเช่นไหว้พระพิฆเนศ หลังจากใช้เวลาพอสมควรต้องรีบตีรถเข้าระยองเลย เนื่องจากพี่แหววโทรมาถามแล้วว่าถึงไหน และใช้เวลาอยู่แถวนี้นานเกินไป การเดินทางใช้เวลาพอสมควร กว่าจะถึงที่พัก เลยสวนสนไปนิด ก็ถึงทางเข้า แต่ต้องโทรถามพี่เขาเพื่อความมั่นใจ เนื่องจากทางเข้าเราไม่คุ้นเคย ก่อนทางเข้าเลยร้านผัดไท คุณไกร มานิด
นึกว่าทางเข้าไปในป่า เห็นมีแต่ต้นไม้ ต้องขับมาอีกสักนิด พอถึงตัวหมู่บ้านค่อยมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว ทางเข้าบริเวณหมู่บ้านเป็นทางลาดด้วยหิน ดังนี้



อันนี้เป็นบ้านหลังที่เราพัก หลัง B1 มีทั้งหมด 3 ห้องนอนติดแอร์ 1 ห้องโถงไม่มีแอร์ แต่มีพัดลมให้ เป็นหลังที่ใกล้ทะเลที่สุด ราคาที่ได้คือ 5,500 บาท แต่ต้องจองล่วงหน้าพอสมควร



ถ่ายกันมาให้เห็นทุกมุมจากภายนอก มีที่ปิ้งย่างเรียบร้อย เตรียมแต่ของสดมาก็พอ แถวนี้หาได้ไม่ยาก ซื้อแถวบ้านเพก็ได้ สดเสมอ



สภาพภายในบ้านก็สะอาด มีชุดครัวให้เรียบร้อย จาน ชาม ตู้เย็นพร้อม อันนี้เป็นห้องโถง พร้อมห้องครัว



ส่วนห้องนอน ก็เลือกเอาตามความชอบ แถมมีที่นอนเสริมให้อีกต่างหาก
อันนี้รูปที่ถ่าย ผ่านการนอนมาเมื่อคืนเรียบร้อย สภาพเลยออกยุ่งเหยิงเล็กน้อย



เด็กๆ ก็ได้เล่นทราย เล่นน้ำทะเลกันสนุกสนาน ทั้ง เช้า เย็น ไม่ต้องไปไหนกันละ สภาพหาดทรายที่นี่เป็นทรายแดง ไม่ละเอียดมากนัก แต่ไม่มีเปลือกหอย และ สภาพหาดดูสะอาด ไม่มีขยะลอยมาติด เข้าใจว่าคงมีการเก็บทุกวัน



กองทัพ ก็ต้องเดินด้วยท้อง เนื่องจากตอนเย็น เราไม่ได้คาดหวังจะเอาอะไรมาปิ้งย่าง ก็น่าเสียดายอุปกรณ์ที่มีให้ แต่คิดว่ามาเที่ยวแบบสบายๆ หากินเอาตามร้าน จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก แนะนำ ร้านอาหารทะเล โจโจ้ อยู่แถวหาดแม่พิมพ์ ชอบอาหารสด รสชาดน้ำจิ้มถึงใจ จัดจ้าน มื้อนี้ลืมเอากล้องไป เลยอดถ่ายรูปมาฝาก สภาพร้านติดหาด แต่ไปกลางคืน เลยมองไม่เห็นอะไร
เสียอย่างเดียว ห้องน้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม แถมตอนแรกไม่รู้ต้องเสียตังค่าเข้าอีก

ส่วนตอนเช้า พี่แหวว มีบริการอาหารตามสั่ง ดีสิ กินง่ายๆ ได้ไม่ต้องไปไหน เล่นน้ำกันให้หนำใจ มีทั้งอาหารตามสั่งเป็นจาน หรือ เป็นกับข้าวก็มี รสชาดถือว่าอร่อยใช้ได้



หลังจากอิ่มแล้ว เดินสำรวจบ้านพักกัน เขามีบ้านหลายหลัง ตามลักษณะของการใช้สอย หรือ จำนวนคน ถ้าสนใจก็ลองถามพี่แหววดู เห็นมีคนอื่นอีกที่ดูแลอยู่ แต่จำชื่อไม่ได้



นี่ก็เป็นอีกหลายหลังที่น่าเข้าอยู่เหมือนกัน



หลังจากออกจากบ้านพัก ก็เที่ยงเข้าไปแล้ว พาเด็กๆไปดูสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง อยู่แถวบ้านเพ โดยเสียค่าเข้าชม และเข้าไปดูครั้งนี้มีความรู้สึกว่าปลาทำไมเหลือน้อยลง หรือว่าเราคิดไปเอง



ดูปลาเสร็จ ก็แวะซื้อของฝาก และ วิ่งยาวเข้ากรุงเทพฯ ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ



Create Date : 07 พฤษภาคม 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 19:57:50 น.
Counter : 93042 Pageviews.

47 comment
เวียงจันทร์-อุดรธานี สัมผัสกลิ่นวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน


น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ
อารยธรรม 5,000 ปี ธานีผ้าหมี่ขิด
แดนเนรมิตหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรชันไฌน์


ครั้งนี้ มีเวลาหยุดติตต่อกันหลายวัน ประจวบเหมาะกับทางบ้านไปทัวร์
เวียงจันทร์ - อุดรธานี - หนองคาย เลยได้มีโอกาสติดตามไปด้วย

การเดินทางต้องออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยรถทัวร์ปรับอากาศ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง เพื่อจะให้ถึงเช้าที่หนองคายพอดี เป็นการนั่งรถที่ใช้เวลานานพอสมควร ปวดเมื่อยไปตามๆกัน แต่ก็สนุกไปอีกแบบ

ความคาดหวังตามการพยากรณ์อากาศ บอกไว้ว่า อุณหภูมิเช้านี้จะหนาวประมาณ 17 องศา เราก็ขนเสื้อกันหนาวไปซะเต็มที่ หนาวได้เพียงวันเดียว ที่เหลือ เปลี่ยนเป็นฤดูร้อนเรียบร้อย เริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการข้ามฝั่งไปยังประเทศลาว เพื่อมุ่งหน้าไปยังนครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด่านผ่านเข้าเมืองจังหวัดหนองคายมากนัก

เนื่องจากไปกับทัวร์ ดังนั้นการดำเนินการด้านเอกสารการผ่านเข้าเมือง เราไม่ต้องดำเนินการอะไร ทางทัวร์จัดการให้เรียบร้อย แต่การข้ามไปฝั่งลาวด้วยกรุปทัวร์ จะต้องจ้างคนลาวเป็นไกท์ในการนำเที่ยว และ เปลี่ยนรถปรับอากาศจากฝั่งไทย เป็นรถของลาว สภาพรถก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด



แต่ถึงยังนั้นก็พาเราไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย การซื้อรถของคนลาว รัฐบาลเขามีแนวคิดไม่ให้ชาวบ้านเป็นหนี้เป็นสิน ดังนั้นการซื้อรถ จึงต้องซื้อเป็นเงินสดเท่านั้น การซื้อผ่อนอย่างคนไทยแทบจะไม่มีให้เห็น ดังนั้นคนที่ซื้อได้ก็แสดงว่ามีเงินจริง รถยนต์ส่วนใหญ่เป็นของ ฮุนได หรือ รถจากจีนเนื่องจากราคาถูก ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น จากไทย ยิ่งโดนภาษีกันอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ภาษาลาว ก็เป็นภาษาที่ฟังแล้วสบายหู น่ารัก อดอมยิ้มไม่ได้
เช่น ไฟแดง เรียก ไฟอำนาจ , ไฟเขียว เรียก ไฟอิสระ , ห้อง ไอ ซี ยู เรียก ห้องมรสุม , ห้องคลอด เรียก ห้องประสูตร เป็นต้น

สถานที่ไปเยี่ยมชมที่แรก เพื่อนมัสการพระธาตุหลวง ศาสนสถานที่สำคัญของลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวทุกคน



ศิลปะก็มีความสวยงามตามแบบฉบับของลาว แต่ความอ่อนช้อย ของไทยเรางดงามกว่า



หลังจากไหว้เรียบร้อย ก็เดินดูของที่ชาวบ้านนำมาขาย ส่วนมากจะเป็นของที่มาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้เงินไทยซื้อหาได้ หรือจะใช้เงินกีบลาวก็ไม่ว่ากัน ใครไปกินน้ำมะพร้าวลาว แล้วจะรู้ว่าของไทยอร่อยกว่าแยะเลย หรือจะลองชิมพุทรา แก้ง่วงก็ดี เปรี้ยวได้ใจจริงๆ ว่าแล้วทำไมให้พริกกับเกลือมาด้วย



ใช้เวลาดูของสักระยะ มารู้ตัวอีกทีว่าแดดร้อนมาก แต่เนื่องจากอากาศเย็นกำลังสบาย ปรากฎว่ากลับมากรุงเทพฯ มีแต่คนทักว่าไปทำอะไรมาหน้าดำไปเลย

หลังจากนั้น สถานที่ต่อไปคือ พิพิธภัณท์หอพระแก้ว ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดสีสะเกด บนถนน เชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ แต่เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเชษฐาธิราชมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปีพ.ศ.2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย

สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปีพ.ศ.2480-2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย แม้หอพระแก้วปัจจุบันจะไม่ใช่วัดอีกต่อไป
แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ก็ยังเดินทางมาสักการะบูชากันเป็นจำนวนมาก สำหรับส่วนในของพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดง พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏก ภาษาขอมและกลองสำริดประจำราชวงศ์ลาว สำหรับประตูใหญ่ทั้งสองเป็นของเก่าที่หลงเหลือมาแต่เดิม บานประตูจำหลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วเงียบสงบ ร่มเย็นมีไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในเชียงขวางวางตั้งอยู่ 1 ใบ อาณาบริเวณรอบๆ วัดสีสะเกดและหอพระแก้วเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานปกครองของฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมมาก่อน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งจองสถานฑูตฝรั่งเศส บ้านพักฑูต อาคารหน่วยงานด้านการปกครอง อาคารที่พักอาศัยและโบสถ์โรมันคาทอลิกที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี 1928 และยังเปิดประกอบศาสนพิธีอยู่เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ แม้อาณานิคมลาวจะทำเงินให้กับฝรั่งเศสได้ไม่คุ้มค่า แต่ผลกำไรที่ได้จากกัมพูชา และเวียดนามก็มีมากพอที่จะแบ่งมาสร้างตึกรามต่างๆ ขึ้นในนครเวียงจันทน์ได้ไม่น้อย
ภายในหอพระแก้ว ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ



ใกล้ๆกันนั้น จะมีอีก 1 สถานที่เยี่ยมชมคือ ประตูชัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์บนถนนล้านช้างไปสิ้นสุดที่บริเวณประตูชัย สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวันให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัยอีกด้วย ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก
แต่ขอบอก ร้อนมาก บริเวณติดกัน เป็นสำนักงาน นายกรัฐมนตรี

อาหารการกินของฝั่งลาว ไม่ตรงกับที่คาดหวัง ตอนแรกคาดคิดว่าน่าจะเป็นอาหารรสจัดจ้าน เพราะคิดว่าคนแถบอีสาน ชอบกินรสชาดประมาณนี้ แต่ตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะเขาทำให้สำหรับนักท่องเที่ยว รสชาดไม่ถูกปากเหมือนคนไทย



อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ไหว้พระกันต่อ เนื่องจากเที่ยวภายตัวเมืองเวียงจันทร์ ส่วนมากจึงมีแต่วัดให้สักการะ ซึ่งต่อไปเป็นวัดศรีเมือง ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ทางทิศตะวันออกของสถานทูตฝรั่งเศส เป็นวัดแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ที่มีประชาชนลาวเดินทางไปสักการะบูชาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ภายในวัดศรีเมืองเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ วัดศรีเมืองสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2106 โดยเหล่าเสนาอำมาตย์ของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ลงความเห็นให้สร้างวัดศรีเมือง ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาถูกกองทัพสยามทำลายลงในปีพ.ศ.2371 และสร้างวัดศรีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458 ภายในวัดศรีเมืองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชำรุดไปบางส่วน ซึ่งชาวลาวเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก

สิ่งที่จะนำไปกราบไหว้พระที่อยู่ภายในพระอุโบสถของวัดสีเมือง เรียกว่า ต้นเทียน ลักษณะเป็นแผ่นขี้ผึ้งบาง ๆ ทำเป็นดอกเหมือนดอกไม้ แต่ใช้เทียนไขปั้มใส่แบบ แกะออกมาเป็นดอก ๆ จากนั้นนำใส่ด้ามไม้ นำไปประดับที่ต้นกล้วยขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป ที่โคนต้นใส่ลงในกระป๋อง เพื่อเป็นฐานสำหรับวางตั้งไว้
หลังจากเลือกต้นดอกไม้เทียนเรียบร้อยแล้ว ให้เดินเข้าไปภายในพระอุโบสถ เพื่อนำดอกเทียนไปไหว้พระ ต้นดอกเทียนจะต้องวางบนถาดที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ ธูป 3 ดอก และเทียน 2 เล่ม จุดและนำปักที่ถาด จากนั้นก็นำถาดที่มีต้นดอกเทียน วางไว้ด้านหน้าพระพุทธรูป กราบพระ 3 ครั้ง ตั้งนะโม 3 จบ ไหว้พระและอธิฐานตามแต่ใจปรารถนา



ก่อนกลับออกจากลาว เพื่อข้ามมาฝั่งไทยต่อไป ได้แวะตลาดเช้า ร้านขายผ้าไหมลาว เครื่องเงิน และ ร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งขอบอก มีตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ เสื้อผ้า หนัง กระเป๋า และสินค้า Brand Name มากมาก อยู่ที่ปากแล้วละ ต่อได้เป็นต่อ ราคาที่บอกลดกันได้ถึง 50 % ทีเดียว



คราวนี้ได้เวลาเที่ยวฝั่งไทยกันบ้าง เป็นอุทยานประวัติศาตร์ ภูพระบาท ไปดูหินแต่ละแบบกันว่าธรรมชาติ เรียบเรียบแต่ละลักษณะที่แตกต่างกัน สภาพป่าออกจะแห้งแล้งพอสมควร แต่ทางเดินเข้าชม สะดวกสบาย



หินแต่ละก้อน ก็มีรูปร่างที่แตกต่างกัน



มีเวลาอีกนิด แวะไหว้พระวัดโพธ์ชัย ซึ่งเป็นวัดที่นับถือของชาวหนองคาย



ก่อนกลับ ได้ต้องไปดุตลาดท่าเสด็จหน่อย ว่าจะเหมือนกับฝั่งลาวหรือเปล่า
เดินดูแล้ว ก็ไม่เห็นต่างกับจตุจักร เลย



สุดท้ายแล้ว ไม่ได้ซื้อของฝากจากฝั่งไทยเลย หิ้วมาจากฝั่งลาวทั้งนั้น



Create Date : 14 ธันวาคม 2553
Last Update : 6 กันยายน 2554 19:58:33 น.
Counter : 1422 Pageviews.

7 comment
เขาค้อ สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ในวันที่ไร้ทะเลหมอก จ.เพชรบูรณ์


เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว
ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์
นครพ่อขุนผาเมือง


และแล้วเวลาก็ช่างหมุนผ่านอย่างรวดเร็ว ปลายฝน ต้นหนาว เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวค้นหา ทริปนี้เดือนตุลาคม ความคาดหวังของเรา ได้สัมผัสทะเลหมอกยามเช้า ในวันที่แสนสบาย กับบรรยากาศเขาค้อ เพชรบูรณ์ เมืองแห่งมะขามหวานนี่เอง

การเดินทางครั้งนี้ ต้องจองที่พักล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานพอสมควร ด้วยเป้าหมายปลายทางคือ เขาค้อทะเลหมอก รีสอร์ท แต่เนื่องจากความผิดปกติของธรรมชาติ ทำให้การเดินทางครั้งนี้ ผ่านอุปสรรคพอสมควร ด้วยความชุ่มฉ่ำแห่งฝนปลายฤดู

มีเวลาเพียงเสาร์-อาทิตย์ ต้องออกเดินทางแต่เช้า ด้วยเส้นทางจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านสระบุรี ไปถึงสวนพฤษศาสตร์พุแค ตรงทางแยกเข้าถนนหมายเลข 21 จะผ่าน อ. ชัยบาดาล /อ.ศรีเทพ /อ.วิเชียรบุรี จนถึงเพชรบูรณ์ รวมระยะทางประมาณ 346 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง

วันนี้การเดินทางฝนตกตลอดทาง มีบางจุดที่ฝนตกหนัก ก่อนถึง อ.วิเชียรบุรี จะมีน้ำท่วมถนน ทำให้รถเล็กไม่สามารถผ่านไปได้ จะต้องไปอ้อมอีกด้าน ใช้เวลามากพอสมควร จึงมาโผล่บริเวณแยกวิเชียรบุรี ร้านบัวตอง พอดี

อันนี้เป็นสภาพบรรยากาศตอนน้ำท่วม และเลี่ยงเส้นทาง น่าสงสารชาวบ้าน และชาวนา ไร่นาต่างๆ หมดไปพร้อมกับน้ำ



ขับรถอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน ฝนตกถนนลื่น แต่ก็หิวแล้วละ พ้นทางแยกก็ร้านนี้พอดีเลย ไก่ย่างวิเชียรบุรี ร้านบัวตอง ตรงสามแยกวิเชียรบุรี ด้วยความหิว หรือ อร่อยจริง ก็สั่งอาหารหลายอย่าง ฝนก็ตก กินไปเรื่อยๆแล้วกัน



หลังจากอิ่มหนำสำราญ ก็เดินทางต่อ มุ่งสู่เขาค้อ ผ่านทางเลี่ยงเมืองเพชรบูรณ์ ไปโผล่ใกล้ๆ กับแยกนางั่ว ทางขึ้นเขาค้อ ใกล้ๆ กัน มีปั๊มน้ำมันบางจาก เติมให้เต็มถังก่อน เพื่อความมั่นใจ แต่เราขับเลยไป เพื่อเข้าเส้นหมายเลข 12 เข้า เขาค้อทางแยกแคมป์สน ระยะทางจะไกลกว่าทางแยกนางั่วแต่วิวตามไหล่เขา และ ข้างทาง สวยงาม เกินบรรยาย สมคำเล่าลือที่เรียกว่าสวิสแลนด์เมืองไทย

หลังจากเข้าทางแคมป์สน ขับไปสักพักใหญ่ มุ่งตรงสู่เขาค้อทะเลหมอกรีสอร์ท โดยจองที่พักเป็น Top View ไว้ สังเกตุเห็นว่าจะมีฝนตกปรอยๆตลอดทาง ต้นไม้เขียวชอุ่ม ได้รับน้ำอย่างพอเพียง ปลายฝนต้นหนาวนี่ละ เสน่ห์ของธรรมชาติ ที่สวยงามที่สุด



ดูบรรยากาศโดยรอบและดอกไม้สวยๆก่อน



มีบ้านพักหลายหลังให้เลือก ชอบแบบไหน เลือกได้เลย



มาดูบรรยากาศบริเวณรีสอร์ทโดยรวมกันก่อน จะเห็นว่าดอกทานตะวันก็เพิ่งจะปลูกเหมือนกัน ตอนแรกตั้งใจจะลงไปข้างล่าง แต่ด้วยสภาพของทางลง และสภาพร่างกาย ขออยู่ข้างบนดีกว่า ชีวิตเรายังจะต้องทำอีกหลายอย่างเก็บชีวิตเอาไว้ก่อน เดี๋ยวไม่ได้ไปที่ต่อไป



เสียดาย ธรรมชาติไม่เป็นใจ ให้เรามาถึงที่แล้วทำไมไม่มีทะเลหมอกให้ดู เนื่องจากลมแรง พัดหมอกไปหมด ทำให้ตื่นเช้ามา หมดโอกาสดูทะเลหมอก มีแต่สายลมหนาว ซึ่งอากาศก็ค่อนข้างเย็นจับใจ เด็กๆ ชอบมากได้สัมผัสอากาศหนาว แต่จริงๆแล้วชอบทุกที่ละ ขอให้ได้ออกจากบ้านเถอะ เป็นความสุขแห่งครอบครัวสุขสันต์จริงๆ



อาหารเช้ากินกันแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน กินไป ดูบรรยากาศไป หลังจากอิ่มแล้วเขามีที่ให้ออกกำลัง ทดสอบความแข็งแรงของร่างกาย ด้วยการปีนหน้าผาด้วย แต่เราขอสละสิทธิ ให้คนอื่นเขาเล่นกัน



หลังจากพักผ่อน สุดอากาศบริสุทธิจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง สถานที่จะไปคือ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนได้สักการะบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่ หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย

ภายในจะมีพระพุทธรูปมากมายให้สักการะ และตรงกลางเป็นองค์พระบรมธาตุ การบูชาใช้จุดเทียนในจานสังกะสีสีขาว ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้


แล้วก็ตามด้วย วัดผาซ่อนแก้ว ซึ่งเป็นทริปที่เราอยากไปมากที่สุด การเดินทางหลังออกจากพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ถึงแยกแคมป์สน ให้เลี้ยวขวา แล้วเข้าถนนเส้นใน ขับช้าๆ สังเกตุร้านยางรถยนต์ ติดกันจะมีทางลง เป็นเส้นทางราดปูน จากปากทางค่อนข้างชันพอสมควร ต้องระวังรถสวนขึ้นมา แต่หลังจากนั้นก็ลัดเลาะตามหมูบ้านชาวเขา ไปสักระยะจะเห็นวัดอยู่บนเขาเป็นที่สังเกตุโดยง่าย



วัดพระธาตุผาแก้ว ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในนาม"พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว" ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัดในมงคลนามว่า"วัดพระธาตุผาแก้ว"เมืีอวันที่ 1 ก.ค. 2553

วัดพระธาตุผาแก้ว ตั้งอยู่ในชัยภูมิธรรม ณ. บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน 25 ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม 91 ไร่

สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตามๆ กันว่า "ผาซ่อนแก้ว" และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า "พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว" เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป

ภาพต่างๆ เหนือคำบรรยาย ดอกไม้ ธรรมชาติ บรรยากาศอันเงียบสงบ
เหมาะสำหรับการบำเพ็ญตน ถือศีลภาวนาเป็นที่สุด



สถาปัตยกรรม ก็งดงามด้วยกระเบื้องหลากสี และอื่นๆ รวมรูปร่างขององค์เจดีย์เน้นเลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกันไปมาหลายชั้น เพื่อถวายแด่องค์พระพุทธเจ้า สีสันขององค์เจดีย์ก็สดใสมาก สีแดง สีเหลือง สีฟ้า สีเขียว ประกอบกัน เป็นลวดลายสวยงาม



การไปเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ พึงละรึกไว้เสมอว่า
"เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
และพุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้วเป็นที่ปฏิบัติภาวนาของพุทธบริษัท
โปรดเยี่ยมชมและถวายสักการะด้วยความเคารพและสงบนอบน้อม
ขอขอบพระคุณในความร่วมมือ และ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง"




กว่าจะหมดภารกิจเยี่ยมชมสถานที่ ก็ใช้เวลาพอสมควร โชคดีอากาศกำลังเย็นสบาย ไม่มีแดด และก้อนเมฆเหนือภูเขาลอยมาตามกระแสลม สวยงามเป็นอย่างมาก

สถานที่ต่อไป คอกาแฟไม่ควรพลาด แต่สถานที่นี้เรามีจุดหมายคือพาเด็กๆ ไปให้นมแกะ เด็กๆและผู้ใหญ่ก็ชอบกันเป็นอย่างมาก แต่ยังสงสัย นมที่เอามาให้แกะ มันนมอะไรหว่า



ใช้เวลากับตรงนี้ไม่มาก เพราะมีจุดมุ่งหมายต้องไปสถานที่ต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ลัดเลาะตามชายเขา ผ่านป่าไม้ น้ำตกต่างๆ แต่เสียดายไม่มีโอกาสได้แวะเข้าไป เนื่องจากเวลาไม่คอยท่า เส้นทางนี้ขับรถสนุกแต่ต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร นั่นคือเส้นทางจากเขาค้อ ไปพิษณุโลก เส้นหมายเลข 12 นั่นเอง

จุดหมายปลายทางคือวัด วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหญ่" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก



ได้มีโอกาสสักการะ พระพุทธชินราช เป็นครั้งแรก งดงามสมคำเล่าลือจริงๆ
เสียได้ไม่ค่อยได้มีเวลาเดินชมสถานที่อื่นๆมากนัก เพราะต้องใช้เวลาเดินทางกลับ กรุงเทพฯแล้ว กลัวว่าจะถึงบ้านมืดจนเกินไป เลยไม่มีโอกาสได้ชิมอาหารขึ้นชื่อของคนพิษณูโลกเลย โอกาสหน้า คงต้องค้างคืนสักวันแล้วละ

การเดินทางกลับ โดยใช้เส้น 117 ซึ่งจะกลับรถมาฝั่งตรงข้ามวัด แล้ววิ่งมาถึงแยกบ้านคลอง เป็นแยกไฟแดง เลี้ยวซ้าย แล้ววิ่งตรงยาวเลย จนถึงนครสวรรค์ ทางดี มีบางจุดที่ด้านซ้ายเสียหายบ้าง ระยะทางประมาณ 100 กิโล จึงถึงนครสวรรค์ และต่อด้วยนครสวรรค์เข้ากรุงเทพฯ ประมาณ 300 กิโล รวมการเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง และถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ



Create Date : 20 ตุลาคม 2553
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 23:16:36 น.
Counter : 6854 Pageviews.

5 comment
Review โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์มิราจบีชรีสอร์ท พัทยา


ทะเลงาม ข้าวหลามอร่อย
อ้อยหวาน จักสานดี
ประเพณีวิ่งควาย


ทริปนี้ไม่มีอะไรมากมาก เปลี่ยนที่พักไปที่พัทยา เลยเอาบรรยากาศบริเวณ
โรงแรมมาให้ดูกัน เผื่อใครๆชอบจะได้ไปพักกันได้

ด้านหน้าทางเข้า


ประกอบด้วยตึกแฝด 2 หลัง



ห้องโถง



ภายในห้องพัก เหมาะสำหรับคู่รักนิ ไม่มีประตูห้องน้ำด้วย



มองจากที่พักลงมาด้านล่าง


ความอลังการของที่นี่ อยู่ที่สวนน้ำครับ
เริ่มจากสะพานอันนี้ก่อน


แต่ขอบอก น้ำเค็มนะครับ ไม่ใช่น้ำจืด


อีกมุมหนึ่ง



ถ้าจะให้คุ้มจริงๆ ต้องพาเด็กๆไปด้วย



ส่วนอาหารการกิน ก็ในโรงแรมนั่นละ


หมดแล้วครับ ไว้โอกาสหน้าจะมา Review สถานที่อื่นต่อไป



Create Date : 12 สิงหาคม 2553
Last Update : 12 สิงหาคม 2553 23:22:20 น.
Counter : 3276 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  

pd
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]