Group Blog
 
All blogs
 

กฎหมายใหม่ กระทรวงยุติธรรม บอกต่อค่ะ


กฎหมายใหม่ กระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็น ประโยชน์ค่ะ อยากให้รู้กันมากๆ...

กฎหมายใหม่ของกระทรวงยุติธรรม คุ้มครองประชาชน
1. ผู้หญิงโดนข่มขืน แจ้งความ ใบรับรองแพทย์ แจ้งว่าโดนข่มขืน รับเงิน 30,000 บาท
2. ถูกทำร้ายร่างกาย แจ้งรับเงิน 30,000-70,000 บาท
3. เป็นพลเมืองดี แต่ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ แจ้งรับเงิน 100,000 บาท

อายุการแจ้งความไม่เกิน 1 ปี ดำเนินการอย่างช้า 4 เดือน

โทร. สอบถามได้ที่ กระทรวงยุติธรรม หรือ โทร. 1133
หาดู หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 11 - 12 มกราคม 2550




 

Create Date : 07 มีนาคม 2552    
Last Update : 7 มีนาคม 2552 21:06:02 น.
Counter : 429 Pageviews.  

ใครเสียวฟันบ่อยอ่านทางนี้


ได้รับเมลล์มาอีกทีเลยบอกต่อจ้า......
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาฉันได้ไปหาหมอฟันเนื่องจากรู้สึกว่าฟันจะผุเพราะเสียวฟันบ่อยๆ แต่พอไปทำให้ได้รู้ว่า ไม่มีฟันซี่ไหนผุเลยแต่รากฟันและเส้นประสาทฟันได้ทุกทำลาย รวม 8 ซี่ ทีแรกหมอก็ถามว่าแปรงฟันถูกวิธีหรือไม่ แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนนึงที่รักษาสุขภาพฟันมากๆ คนนึงเพราะจะแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้งรวมทั้ง พกน้ำยาบ้วนปากติดกระเป๋าทุกวัน แต่สาเหตุที่ทำให้ฉันมีปัญหาสุขภาพฟันกลับเป็นสิ่งที่ไม่ได้คิดมาก่อนนั่นคือ
การทานผลไม้จำนวนมากๆ ..........
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะผลไม้มีวิตามินซีสูง การที่เราทานจำนวนมากทำให้กรดวิตามินซี เข้ากัดทำลายสารเคลือบฟันและรากฟัน...(งงละสิ)เพราะฉะนั้นคนที่ทานผลไม้บ่อยๆ อาจจะเป็นมื้อว่างหรือ มื้อหลักต้องระวัง>วิธีทานผลไม้ที่ถูกต้อง คือ หลังจากทานผลไม้เสร็จให้ดื่มน้ำ หรือบ้วนปากทันที
แต่!!! ห้ามแปรงฟันเด็ดขาก เพราะในขณะที่กรดวิตามินกำลังกัดฟันเราอยู่ฟันเราจะมีสภาพอ่อนตัว ถ้าเราแปรงฟันทันที จะทำให้เราทำลายสารเคลือบฟันไปโดยไม่รู้ตัว เราจะสามารถ แปรงฟันได้หลังจากบ้วนปากแล้ว 30 นาทีทีนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าฟันเราจะมีปัญหาอีกต่อไป

(เป็นคำแนะนำจากแพทย์ที่นำมาบอกต่อ อยากให้ทุกคนมีสุขภาพฟันที่ดี)




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2551    
Last Update : 8 ธันวาคม 2551 21:23:40 น.
Counter : 240 Pageviews.  

ภัยเงียบที่อยู่กับคุณตลอดเวลา


+ + + ภัยเงียบ ที่อยู่กับคุณตลอดเวลา + + + ไปอ่านเจอที่คุณ fituba โพสไว้ อ่านแล้วเห็นมีประโยชน์ เลยขอก็อปมาให้พวกเราได้อ่านกัน เพราะหลายๆหนเราก็มักมองข้าม หรือมักง่ายกันเสมอ เชิญอ่านได้เลยครับ...............


เรื่องนี้อาจช่วยรักษาชีวิตของคุณ หรือ ชีวิตของใครสักคนที่คุณรัก หลังจากหลายปีที่ใครๆ ก็บอกว่า การบำบัดเคมี เป็นหนทางเดียวที่จะลองทำได้ ในการกำจัดมะเร็ง (ลอง เป็น คีย์เวิร์ด) ในที่สุด จอห์น ฮอปคินส์ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงทางเลือกอื่น

1. ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะปรากฏให้เห็น เมื่อตรวจดูด้วยวิธีตรวจขั้นพื้นฐาน ก็ต่อเมื่อมันได้เจริญเป็นพันล้านเซลล์ เมื่อหมอบอกผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังการรักษาว่า ไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ นั่นแค่หมายความว่า การตรวจไม่สามารถตรวจเจอเซลล์มะเร็ง เพราะว่าจำนวนเซลล์มะเร็งยังไม่มากถึงระดับที่จะตรวจเจอได้
2. ในร่างกายคนในช่วงชีวิตหนึ่ง เซลล์มะเร็งก่อตัวได้มากถึง 6 ถึง 10 ครั้ง
3. ถ้าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เซลล์มะเร็งจะถูกทำลาย หรือไม่สามารถแบ่งตัว และทำให้ไม่เกิดเป็นเนื้องอก
4. คนที่เป็นมะเร็ง แสดงให้เห็นว่าคนนั้นขาดสารอาหาร ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหาร และวิถีดำเนินชีวิต
5. การแก้ปัญหาการขาดสารอาหาร ทำได้โดยการเปลี่ยนอาหารการกิน และทานอาหารเสริม เพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
6. การบำบัดเคมีนั้นไม่เพียงแต่ทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ยังทำลายเซลล์ดีที่เติบโตเร็วในไขกระดูกอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งทำให้อวัยวะ เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ถูกทำลาย
7. ในขณะที่รังสีทำลายเซลล์มะเร็ง ก็ยังก่อให้เกิดผลเสีย ทำให้เกิดรอย หรือทำลายเซลล์ดี เนื้อเยื่อหรือแม้แต่อวัยวะ
8. การรักษาด้วยรังสี และบำบัดเคมีในระยะแรกจะลดขนาดเนื้องอก แต่เมื่อรักษาติดต่อเป็นเวลานาน การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่สามารถทำลายเนื้องอกได้มากขึ้นไปกว่าเดิม
9. เมื่อร่างกายสะสมพิษที่เกิดจากการบำบัดเคมี และรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ หรืออาจถูกทำลาย ทำให้ผู้ป่วยนั้นๆ อาจได้รับการติดเชื้อ หรือเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา
10. การบำบัดเคมี หรือรังสี สามารถทำให้เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์ และทำให้ดื้อยา หรือทำลายยากขึ้น การผ่าตัดก็อาจทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปยังที่อื่นได้
11. วิธีต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพคือการทำให้เซลล์มะเร็งขาดอาหาร ด้วยการไม่กินอาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งนั้นขยายตัว
12. เซลล์มะเร็งได้รับอาหารจาก
• น้ำตาลทำให้เซลล์มะเร็งโต การลดปริมาณน้ำตาล จะช่วยลดแหล่งอาหารสำคัญของเซลล์มะเร็ง สารแทนน้ำตาล เช่น นิวทราสวีท อีควล สปูนฟูล ฯลฯ ทำมาจาก อสปาร์เทม ซึ่งมีอันตราย จึงควรใช้ผลิตธรรมชาติที่มีความหวาน แทนน้ำตาล เช่น น้ำผึ้ง หรือ กากน้ำตาล แต่ในปริมาณที่น้อย เกลือที่ใช้ บางชนิดก็มีการใส่สารเคมีเพื่อขัดให้สีขาว จึงควรใช้เกลือทะเล หรือ แบรกส อมินโนส์ (เดาว่าเป็นยี่ห้ออะไรสักอย่าง) แทน
• นมทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะภายในอวัยวะช่องท้อง มะเร็งอยู่ได้ด้วยเมือกนี้ การลดปริมาณ นม และหันมาดื่มนมถั่วเหลือง(ไม่ใส่น้ำตาล)แทน จะช่วยทำให้เซลล์มะเร็งขาดอาหาร
• เซลล์มะเร็งชอบอยู่ในสภาพเป็นกรด อาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลักจะมีสภาพเป็นกรด ดังนั้นจึงดีกว่าที่หันมาทานปลา และเนื้อไก่บ้างนิดหน่อยแทนเนื้อวัว และหมู เนื้อยังเป็นแหล่งสารปฎิชีวนะ ฮอร์โมนเร่งโตและพยาธิ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
• อาหารที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยผักสด น้ำผักผลไม้ โฮลเกรน เมล็ดพืช ถั่ว และผลไม้บ้างเล็กน้อย จะทำให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง อีก 20 เปอร์เซนต์ อาจมาจากอาหารที่ถูกประกอบให้สุกแล้ว รวมถึงถั่ว น้ำที่มาจากผักสดจะให้เอนไซม์ที่ดูดซึมได้ง่าย และไปถึงระดับเซลล์ภายใน 15 นาที ซึ่งจะไปช่วยเสริม บำรุงการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ดี จึงควรดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่ รวมถึงถั่วงอก) เพื่อให้ได้เอนไซม์ที่ช่วยสร้างเซลล์ที่แข็งแรง และรับประทานผักดิบ วันละ 2-3 ครั้ง เพราะว่าเอนไซม์จะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 104 องศาฟาเรนไฮต์ (40 องศาเซลเซียส)
• หลีกเลี่ยงกาแฟ ชา และชอคโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และมีสมบัติที่ต่อต้านมะเร็ง น้ำดื่ม ควรผ่านการฆ่าเชื้อโรค หรือกรองเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษ และโลหะหนักที่ปนเปื้อนในน้ำประปา หลีกเลี่ยงน้ำกลั่นเพราะมีความเป็นกรด
• โปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้นย่อยยาก และต้องใช้เอนไซม์ช่วยย่อยหลายชนิด เนื้อที่ไม่ได้รับการย่อยจะคงอยู่ในลำไส้และเน่า ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษ
• ผนังเซลล์ของเซลล์มะเร็งถูกปกป้องด้วยโปรตีนที่เหนียว การหลีกเลี่ยง หรือทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงทำให้เอนไซม์สามารถทำลายผนังเซลล์ของเซลล์โปรตีน และทำให้เซลล์ที่ร่างกายมีไว้ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมไปทำลายเซลล์มะเร็งได้
• อาหารเสริมบางอย่าง(ไอพี6 ฟลอเซนส์ เอสเสียค แอนตี้ออกซิแดนต์ส์ วิตามิน เกลือแร่ อีเอฟเออื่นๆ) ช่วยเสริมสร้างระบบที่ช่วยให้สิ่งทำลายสิ่งแปลกปลอมของร่างกายเราสามารถทำลายเซลล์มะเร็ง อาหารเสริมอื่นเช่น วิตามินอี เป็นที่รู้กันว่าช่วยทำลายเซลล์ หรือตั้งโปรแกรมฆ่าเซลล์ ซึ่งเป็นระบบที่ร่างกายเราใช้ในการทิ้ง หรือทำลาย เซลล์ที่เราไม่ต้องการ ไม่จำเป็น
• โรคมะเร็งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ คนที่กระตือรือร้นและคิดในแง่ดีจะรอดพ้นจากโรคมะเร็ง ความโกรธ การไม่ให้อภัย ความขื่นขมจะทำให้ร่างกายเครียด และเกิดภาวะเป็นกรด เราจึงควรที่จะพยายามที่จะรัก และรู้จักให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และมีความสุขกับชีวิต
• เซลล์มะเร็งอยู่ไม่ได้ในภาวะที่มีออกซิเจน การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจลึกๆ จะช่วยให้เราได้รับออกซิเจนมากขึ้นในระดับเซลล์ การบำบัดโดยใช้ออกซิเจนจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็ง


อัพเดทเรื่องมะเร็งจากโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา
• อย่าใช้ภาชนะพลาสติกในไมโครเวฟ
• อย่าใช้ขวดน้ำในช่องแช่แข็ง
• อย่าใช้ที่ห่ออาหารจากพลาสติกในไมโครเวฟ


รพ.จอห์น ฮอปคินส์ได้ส่งข้อมูลนี้ และได้ส่งผ่านกระจายภายใน ศูนย์พยาบาล วอลเตอร์ รีด อาร์มี่ อีกด้วย
• สารไดออกซินทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
• ไดออกซินมีพิษต่อเซลล์ของร่างกายเรา
• อย่าแช่แข็งขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำในช่องแข็ง เพราะนั่นจะเป็นการปลดปล่อยสารไดออกซินออกมาจากพลาสติก
• เมื่อไม่นานมานี้ ดร. เอ๊ดเวิร์ด ฟูจิโมโต้ ผู้จัดการโปรแกรมเวลล์เนส (อยู่ดีกินดี) แห่งรพ.คาสเซิล ได้ออกรายการทีวี เพื่ออธิบายถึงภัยต่อสุขภาพนี้ เขาได้พูดถึงสารไดออกซิน และอธิบายว่ามันไม่ดีอย่างไร เขาบอกว่าเราไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติก อุ่นอาหารในไมโครเวฟโดยเฉพาะอาหารที่มีไข
มันเป็นส่วนประกอบ ส่วนผสมระหว่างไขมัน ความร้อนสูง และพลาสติกจะทำให้สารไดออกซินเข้าไปตกค้างในอาหาร และในที่สุดก็เข้าสู่เซลล์เรา
• จึงควรใช้แก้ว เช่น ภาชนะคอร์นนิ่ง ไพเรกซ์ หรือเซรามิคในการอุ่นอาหาร เพราะจะได้อาหารที่อุ่นอร่อยเหมือนกัน ต่างตรงทีไม่มีสารไดออกซินตกค้าง เพราะฉะนั้นอาหารสำเร็จรูปที่มาในภาชนะพร้อมใช้อุ่น ควรนำมาใส่ภาชนะอื่นก่อนอุ่นกระดาษไม่แย่ แต่คุณก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระดาษนั้นบ้าง เพราะฉะนั้นมันเลยปลอดภัยกว่าที่จะใช้ภาชนะแก้ว คอร์นิ่ง เป็นต้น ดร.เอ๊ดเวิร์ดยังบอกต่ออีกว่า

• เมื่อไม่นานมานี้ ร้านอาหารได้เปลี่ยนจากการใช้ภาชนะ โฟม มาเป็นกระดาษ และสาเหตุหนึ่งก็เป็นเรื่องของไดออกซิน เขายังได้ชี้อีกว่าในพลาสติกห่ออาหาร เช่น ซุราน ก็ไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้ห่ออาหารในไมโครเวฟ ในขณะที่อาหารกำลังถูกทำให้สุก ความร้อนจะทำให้สารพิษซึ่งละลายออกมาจากพลาสติก ซึมเข้าสู่อาหาร ให้คลุมอาหารด้วยกระดาษแทน นี่เป็นบทความที่คุณควรส่งให้ทุกคนที่เป็นคนสำคัญสำหรับคุณ




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2551    
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 23:16:40 น.
Counter : 212 Pageviews.  

บอกต่อผลประโยชน์จากประกันสังคม


เพื่อเป็นข้อมูลค่ะ

ทุกคนที่มีประกันสังคม จะมีเงินออมโดยไม่ไม่รู้ตัว เดือนละ 450 (รวมเงินสมทบจากนายจ้างเป็น 900) สามารถเข้าไปเช็คข้อมูลได้จากเวบไซด์


เรียน ทุกท่านที่ทำประกันสังคม

ท่านสามารถเข้าไปเช็คเงินของท่านได้ที่

//www.sso.go.th/enquiry
ต้องเข้าไปลงทะเบียนก่อนถึงจะเช็คได้

วิธีการ
เพียงใส่เลขที่บัตรประชาชน วัน( วรรค)เดือนภาษาไทย(วรรค)พศ.เกิด เช่น 20 เมษายน 2518
กด Submit ก็สามารถตรวจสอบได้แล้ว ผลประโยชน์ของเราอย่ามองข้าม เงินออม เล็ก ๆ น้อย ๆจากประกันสังคมที่ท่านไม่ควรลืม

เช่น ทุกเดือนบริษัทจะหักเงิน 5% ของ 15,000.- ( เงินเดือนขั้นสูงสุด)= 750บาท จากเงินเดือนของท่าน
1.5% = 225 บาทจะประกันเจ็บป่วย ตาย
0.5% = 75บาท จะประกันการว่างงาน
3% = 450 บาท จะประกันชราภาพ

สรุปว่าท่านจะถูกหักเป็นเงินออมชราภาพทุกเดือน@ละ 450.- บาท = ปีละ5,400.-บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการออมเงิน 1 ปี 5,400 บาท คือท่านจะได้เงินสบทบอีก 100% จากนายจ้างคือปีละ 5,400.- + ดอกเ บี ้ยจากประกันสังคม

ปี 45 = 4.2%, ปี 46= 6.5%
(สรุปท่านได้ผลประโยชน์ 106.5% เชียวละ คือฝาก ! 5,400 เงินของท่านจะได้รับประมาณ 11,502 บาท เห็นมั๊ยละว่าสูงมากๆ

จึงอยากจะเตือนท่านว่าอย่าเห็นเป็นเงิน เล็ก น้อย ท่านจะได้คืนเงินจำนวนนี้เมื่ออายุครบ55 ปี หรือถ้า 55 ปี
แล้วยังทำงานก็จนกว่าจะเลิกทำคือเลิกส่งเงินประกันสังคม

***** ที่สำคัญ **** คือ ต้องขอคืนภายใน 1 ปีหลังจากเกษียณเท่านั้น ห้ามเกินแม้แต่ 1 วันมิฉะนั้นจะ
ถูกยกเข้าเงินกองกลางไปเลย
**** ไม่สามารถฟ้องอุทธรณ์ ได้เลย

การขอคืน

1. ถ้าท่านส่งเงินสมทบน้อยกว่า 15 ปี ท่านจะได้เป็นเงินบำเหน็จ คือได้ไปเป็นก้อนไปเลย เยอะอยู่นา อย่าลืมละ
2. แต่ถ้าท่านส่งเงินมากกว่า 15 ปีท่านจะได้เป็นบำนาณ (ถามแล้วไม่สามารถเลือกเป็นบำเหน็จได้)
15% บวกอีกร้อยละหนึ่งต่อระยะเวลาจ่ายเพิ่ม 1 ปี เช่น ส่งเงินสมทบ 20 ปีได้ 20%ของ 15000.-บาท เท่ากับ 3,000 บาท ต่อเดือน

ย้ำ
***ท่านสามารถเข้าไปเช็คเงินของท่านได้ที่
//www.sso. go.th/info/ info_fundmid_ logon.asp
!
//www.bgh. co.th

สำหรับผู้ที่ไม่มี internet ให้ โทรสอบถามที่ 1506 แล้วกด 1 จากนั้นให้ทำรายการตามที่เครื่องบอก ก็จะได้ข้อมูลเหมือนกัน

งานการพนักงาน




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2551    
Last Update : 4 ธันวาคม 2551 14:10:58 น.
Counter : 249 Pageviews.  

ประโยชน์ของข้าวโพดสุก


ลองอ่านกันดูนะเผื่อมีประโยชน์ เราได้เมลล์มาอีกต่อหน่ะ
ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไป
เหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์
กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะ
ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพด
หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป
สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซี
ไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25
และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53
เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับ
เซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อ
กระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับ
ร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับ
อย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

หากท่านอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ กรุณาส่งต่อให้กับคนที่ท่านรักต่อไป...




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2551    
Last Update : 4 ธันวาคม 2551 14:06:34 น.
Counter : 216 Pageviews.  

1  2  

yingpuka
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add yingpuka's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.