สำหรับปีนี้ ผมได้วางแผนใหม่กับการเที่ยวสวิสรูปแบบที่แหวกแนวออกไป คือ การเที่ยวด้วยการขับรถ ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์เคยท่องเกาะใต้ นิวซีแลนด์ กับอีกส่วนหนึ่งกับการที่ทริปนี้มีลูกชายสุด love ตัวน้อยไปด้วย

  ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งเพราะครอบครัวมีเจ้าตัวแสบอายุ 5 ขวบ ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กอายุแค่นี้จะไม่เสียค่า swiss pass ก็ตาม 

  จากประสบการณ์ส่วนตัว การเที่ยวด้วย Swiss Pass มันเป็นการเที่ยวที่มีรูปแบบของมัน เช่น

    a. การเที่ยวแบบดาวกระจาย คือ ปักหลักพักสักแห่งสักครึ่งทริป แล้วย้ายถ่ายเทกระเป๋าไปหักหลักที่พักจุดใหม่อีกสักครึ่งทริป ซึ่งคงไม่ค่อยเหมาะกับการมีเด็กตัวน้อยไปด้วยแน่นอน

    b. การเดินทางด้วยตั๋วระบบขนส่งสาธารณะ หากผิดพลาดไปแค่วินาที ก็อาจทำให้ต้องรอกันใหม่อีกรอบ อาจรอเป็นชั่วโมงได้เลยทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวน้อยอาจมี moment อิดออด ง่วงนอน ยากในการรักษาเวลา

    c. การเดินทางไปที่ต่างๆ ต้องมีสัมภาระติดตัวตั้งแต่เช้าที่ออกจากที่พัก ยาวไปจนค่ำที่กลับที่พัก

  ซึ่งจากตัวอย่างประสบการณ์ข้างต้น ทำให้ผมตัดสินใจเมิน Swiss Pass แหกกฎท่องแดน Swiss ซะหน่อย

    d. ค่าเช่ารถ และน้ำมัน ของผมขนาดรถใหญ่มว๊ากก็แพงกว่า swiss pass ที่รวมของผู้ใหญ่ทุกคนประมาณ 7-8 พันเองครับ แลกกับความ flexible ของทริป

  ยอมรับเลยว่า พอแหกกฎที่เค้าเที่ยวกันทั่วๆ ไป คือ การใช้ Swiss Pass ด้วยการขับรถ แหล่งข้อมูลที่แนะนำของไทย หาไม่ค่อยพบ ต้องพึ่งแหล่งเหล่านี้

a. กระทู้ของต่างประเทศ

b. www.myswitzerland.com ปีนี้เป็นปีแรกที่มีการออก campaign แนะนำเส้นทางช่วงหลังสงกราต์ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งผมต้องทำแผนเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะต้องไปขอวีซ่า (ออกแนวเศร้า T_T) แต่พอมีผมก็มาปรับรายละเอียดเพิ่มขึ้นก่อนวันไปได้อีกเล็กน้อย แถมมีช่องทาง chat ไว้ช่วยเหลือด้วย

c. Google Map ประเมินเวลาขับในแต่ละจุด

d. www.sbb.ch หาข้อมูล Swiss Half Fare Card ไว้ไปลดค่ารถไฟขึ้นเขา หรือ หากมีโอกาสล่องเรือ

a. เตรียมใจสลับสมอง ขับรถ ซ้าย-ขวา ให้ดีๆ ไม่นั้นอาจพลาดเผลอ วิ่งผิดช่องทางเอาง่ายๆ

b. ไปทำใบขับขี่สากลง่ายๆ ที่กรมขนส่งทางบก แล้วที่สำคัญอย่าลืมพกใบขับขี่ประเทศไทยไปใช้แสดงต่อที่เช่ารถ เพื่อแสดงว่าท่านมีสิทธิขับรถร่วมด้วย

c. เข้าวงเวียนต้องเน้นให้รถวงเวียนผ่านหน้าเราไปก่อน สวิสเป็นแดนที่ใช้วงเวียนเป็นหลักในแยกต่างๆ

d. คนข้ามถนนที่ไหน ต้องหยุดให้ข้ามทันที

e. ความเร็วจำกัดตามป้ายเลย อย่าเลยให้มาเสียดายค่าปรับภายหลัง เพราะจะหักบัตรที่คุณการันตีตอนเช่ารถเลย แล้วใบเสร็จค่อยตามมาที่บ้านนะครับ

f. หากมีเด็กเล็ก ให้เตรียมซื้อที่นั่งเด็กไปเลยนะครับ Load ลงใต้เครื่องได้เลย แพ็คใส่กล่องที่ซื้อมานั่นแหล่ะครับ แพ็คให้ดี จะได้ไม่ต้องไปเสียค่า wrap ด้วยพลาสติกใส เพราะว่าถ้าไปเสียค่าเช่าตอนเช่ารถ จะบอกว่า แพงม๊ากกกกก

g. ออกจากจุดเช่ารถ หาทางออกไม่เจอ อย่าตกใจ เพราะเค้าไม่ใช้ภาษาอังกฤษกัน เค้าเน้นป้ายจราจรเป็นเยอรมัน ดังนั้นทางออก คือ ศัพท์ Ausfahrt

h. GPS แบบ Offline และ Navigator ช่วยได้เยอะครับ App ลองหาตามที่ตัวเองถนัด ผมลองซื้อ Sygic มา อยากจะบ่นว่ามันทำ support คน local ไปนิด ทำให้หาชื่อแบบบ้านๆ ที่เราใช้หาบน Google ไม่เจอ T_T แต่ถ้าคุณใช้รถหรูพอ ก็จะมี GPS ในตัว แต่อันนั้นให้ดีก็ทำการบ้าน ชื่อถนน กะบ้านเลขที่ ไปด้วย เพราะบนรถมันให้ระบุ แล้วมันจะพาไปที่หมาย ในส่วนของ Navigator ผู้นำทางที่นั่งอ่านแผนที่จะมีส่วนสำคัญมากในการอ่านแผนที่พาไปที่ต่างๆ

หมายเหตุ: ผมใช้ Volkswagen Touran ครบเลยครับ GPS (แรกๆ ไม่กะใช้รถใหญ่ขนาดนี้หรอก แต่กระเป๋าใบใหญ่ของคนในทริปรวม 4 ใบ ไม่พอรถเล็กกว่านี้ ทำให้ได้เบาะหลังนั่งสบายๆ 3 seats

i. ตรวจสอบว่ามีป้ายสีฟ้าสำหรับวางไว้หน้ารถในตอนจอดในที่จอดสาธารณะที่เค้าให้จอดฟรีตามเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า อย่างตอนผมไปรถค่อนข้างใหม่ เค้าลืมให้มา เลยต้องแวะไปเอาตาม agency ในเมืองต่างๆ ดังรูปตัวอย่าง

ในส่วนการเตรียมตัวผมว่าน่าจะพอแล้วนะครับ เด๋วมีอะไรมาเสริมให้วันหลัง ^_^