Group Blog |
Chapter 3 ถึงเวลาตัดสินใจและก้าวไปข้างหน้า Keep going, don't ever look back!
I want to be an Au Pair Chapter 3 และแล้วก็มาถึง วันที่ 18 สิงหาคม วันที่ได้ตัดสินใจโทรไปที่สำนักงาน CC ตามเบอร์ที่ให้ไว้ในเว็บ เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว การฝึกสอนจะสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วหลังจากที่ศึกษาข้อมูลมาเกือบปี จริงๆ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเอเจนซี่เราหาข้อมูลเกี่ยวกับเอเจนซี่อื่นเหมือนกัน เรียกได้ว่าดูทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาการแมตช์ โฮสแฟมีลี่ที่เค้าโครงการแต่ละปี อัตราความน่าจะเป็นในการแมตช์ และอื่นๆ และต้องออกตัวก่อนว่า เราไม่ได้เขียนเพื่อโฆษณาให้เอเจนซี่ใดทั้งนั้น ดีก็ว่าไปตามดี ไม่ดีก็ว่าไปตามจริง และตอนนี้เท่าที่เราได้คุยก็ยังไม่เจอเรื่องที่ไม่ดี หรือทำให้เสียความรู้สึก แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ และเรายินดีจะเขียนและถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อเป็นประโยชน์ในการประกอบการตัดสินใจของทุกคนที่สนใจ เอาละมาเข้าเรื่องกันต่อเนอะ ถึงตอนที่โทรไปที่สำนักงานใช่ไหม ยอมรับว่าตอนที่โทรไปตื่นเต้นมาก สักครู่พี่ทีมงานเสียงเพราะและดูท่าทางจะใจดี (ฟังจากน้ำเสียง) รับสาย (ไม่ขอเอ่ยชื่อละกันเนอะ) เราก็บอกไปว่าเรากำลังสนใจโครงการ พี่เค้าถามรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนแรก คือการสัมนาและสัมภาษณ์วัดระดับภาษา (ซึ่งเรายังไม่ได้ทำในขั้นตอนนี้ เนื่องจากเราติดสอนทุกวันจ-ศ จึงยังไม่สามารถหาเวลาไปได้ ซึ่งขั้นตอนนี้ถ้าใครไม่สะดวกสามารถไปสัมนาและวัดระดับภาษาได้ ก็สามารถทำในวันที่ไปส่งเอกสารได้) ซึ่งขั้นตอนนี้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมโครงการ ขั้นตอนที่สอง เก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก แม้เราจะมีชั่วโมงกับนักเรียนแล้ว แต่ของเราเป็นเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องเก็บชั่วโมงเด็กเล็กตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะได้แมตช์กับครอบครัวแบบไหน เราจึงไปเก็บชั่วโมงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในโครงการของสมเด็จพระเทพรัตน์ ระหว่างเก็บชั่วโมง ก็กรอกใบสมัครใบไปแบบไม่มีรีบร้อน เพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือนสำหรับเรา (ขั้นตอนนี้เรายังไม่สะดวกจะขึ้นสัมนาวัดระดับภาษาและซื้อใบสมัคร พี่ที่ดูแลก็เลยส่งเป็นไฟล์มาให้) และในช่วงที่ปิดเทอมภาคเรียนแรกเพียงสองสัปดาห์ เราเลยถือโอกาสไปเรียนขับรถซะเลย ตอนนี้ก็ได้ใบขับขี่มาแล้วด้วยค่ะ ซึ่งตอนนี้เราพึ่งทำมาได้แค่ขั้นตอนที่สอง เพราะเราไม่รีบร้อน เราถือว่าช้าๆ แต่ชัวร์ ระหว่างนี้ก็ได้ร่างจดหมายถึงโฮส รวมถึงเตรียมคำตอบสำหรับที่จะวัดระดับ และเตรียมสัมภาษณ์กับโฮส เวลาโปรไฟล์เราออนไลน์ ซึ่งในส่วนนี้เรามีอะไรไม่เข้าใจหรือข้อสงสัยเราก็จะเมลล์ไปถามพี่ทีมงาน พี่ๆ ทีมงานที่คอยตอบทุกคำ ยกตัวอย่างคำถามที่เราถาม ก็มีดังนี้ -โอกาสที่จะได้แมตช์กับโฮสซีแอตเทิลมีสูงไหม (พอดีเราอยากไปซีแอตเทิลมาก) พี่เค้าก็จะตอบคำตอบที่ทำให้เราคิด มองมุมกว้าง เช่น มีโฮสจาก 40 รัฐทั่วอเมริกาที่เข้าร่วมโครงการ แต่เราไปโฟกัสแค่ รัฐเดียว แน่นอนว่าโอกาสก็มีแค่ 1% เท่านั้น แต่ถึงเปอร์เซนต์มันน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ก็คงต้องขึ้นกับดวงและโชค ฮ่า -คำถามเกี่ยวกับใบขับขี่สากล -คำถามเกี่ยวกับการเซนต์รับรองการเก็บชั่วโมงในกรณีที่คนรับรองไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ เป็นต้น ซึ่งคำถามทั้งหมดนี้ได้รับคำตอบที่กระจ่างและชัดเจนมันทำให้เรารู้สึกว่าเรามาถูกทางวางใจถูกคน......ส่วนขั้นตอนต่อไปจะเป็นอะไรนั้น จะคอยทยอยอัพเดตเรื่อยๆ นะคะ Chapter 2 Au Pair ที่ฉันตามหามันเป็นยังไงกันนะ??
I want to be an Au Pair Chapter 2 ดราม่าคร่ำครวญไปแล้วกับ chapter แรก มาถึงตอนนี้จะมาเล่าว่า Au Pair ที่เราพยายามตามหานั้นคืออะไร ใยเธอถึงมาจุดประกายความฝันของเรา และทำไมเธอคือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเคยได้ยิน หรือคุ้นหูมาบ้างละ บ้างคนก็อาจจะรู้จักแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลเกี่ยวกับออแพร์แพร่หลายมากขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรกและกำลังมืดบอดคลำหาทางอยู่เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนละก็ เรายินดีจะดึงคุณไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์ เพราะเราเองก็เคยผ่านจุดที่คลำทางเพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนมาแล้ว แรกเริ่มเดิมทีเราก็เหมือนทุกคนคือเริ่มจาก 0 ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า Au Pair คืออะไร กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว (สามารถย้อนอ่านตอนที่1 ได้นะคะ) นับแต่นั้นมาเราก็ใช้เวลาที่มีอยู่ค้นหาข้อมูล อ่าน และอ่าน เว็บแรกที่เข้าคือ CC และเว็บต่อมาที่เราเข้าสิงอยู่เกือบทุกวัน อ่านเกือบจะทุกระทู้ก็เว็บพี่ธัญญ่า นี่แหละค่ะ ครบเครื่องเรื่องที่คุณต้องรู้ ต่อมาก็กระทู้พี่พันได้อ่านประสบการณ์ของหลายๆ คนที่ไปเป็นออแพร์ ที่มีทั้งดีและไม่ดี ยอมรับว่าตอนนั้นได้ลองอ่านของหลายคนที่เจอโฮสที่ไม่ดี ก็ทำเอาท้อเหมือนกัน คิดไปต่างๆ นาๆ เพราะกลัวว่าจะเกิดกับตัวเอง แต่ด้วยความเป็นคนที่ลองก้าวไปข้างหน้าแล้วจะไม่หันหลังกลับเด็ดขาด เป็นประเภทยอมตายเอาดาบหน้า ก็เลยฮึดหาข้อมูล เก็บข้อมูลเรื่อยๆ ทั้งใน bloggang บ้าง เว็บนอกบ้าง อ่านมาสารพัด ซึ่งเราจะสรุปเท่าที่เราศึกษามาให้พอเป็นพิธี ว่า Au Pair เนี้ยมันคืออะไรหนอ?? What's an Au Pair? ออแพร์ที่เราเรียกกันเป็นโครงการที่ทำให้เราได้ทำงานและเรียนภาษา รวมถึงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี พูดง่ายๆ ก็คือ โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมโดยใช้วีซ่า J1 ภายใต้กฎหมายสหรัฐอเมริกา วีซ่าประเภท J-1 ( Cultural Exchange Visitor) ที่เปิดโอกาสให้คนที่สนใจ (ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง แต่หลังๆ มานี่เริ่มมีบางประเทศรับผช. แล้วเหมือนกัน) จากนานาประเทศ ที่สนใจเรียนรู้ วัฒนธรรมเพื่อหาประสบการณ์ ในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่มีใจรักเด็กและเข้ากับเด็กได้ นอกจากนั้นยังได้เรียน มีที่พัก มีข้าวให้กิน และยังได้ท่องเที่ยว โดยที่พักจะพักอาศัยอยู่กับครอบครัวอเมริกันหรือประเทศที่เราสนใจเข้าร่วม ในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทน เป็นรายสัปดาห์ ใครบ้างที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการ -ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องจบปริญญาตรี หรือมีอายุระหว่าง 18-27 ปี -สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง -มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กไม่น้อย 200 ชั่วโมง (บางคนมีเป็นพันชั่วโมง) ยิ่งมีเยอะยิ่งได้เปรียบเวลาโฮสมารีวิว *ถ้าใครไม่มีก็สามารถไปขอเก็บชั่วโมงตามโรงเรียน nursery ต่างๆ รวมถึงตามโรงพยาบาลต่างๆ ได้ -ขับรถได้ (ในกรณีที่โฮสต้องการให้ขับรถ) และต้องมีใบขับขี่เพราะต้องทำใบขับขี่สากล -ว่ายน้ำเป็น -ไม่มีประวัติอาชญากรรม How's life as Au pair? แล้วชีวิตของออแพร์ในแต่ละวันทำอะไรบ้างละ ออแพร์ต้องไปอยู่กับครอบครัวอุปถัม หรือที่เราเรียกว่า Host family ที่เราตกลงปลงใจจะไปอยู่ด้วยเรียกว่า match หรือการจับคู่นั่นละคะ เลือกที่ใช่ทั้งเขาและเรา คือคนที่ใช่ของกันและกัน เพื่อไปดูแลลูกของเขา โดยเราจะได้รับสิทธิ์ดังนี้ -ห้องพักส่วนตัว -อาหารทุกมื้อ -ออแพร์จะได้รับค่าตอบแทนสัปดาห์ละ 197 เหรียญ *ในหนึ่งอาทิตย์ออแพร์ห้ามทำงานเกิน 45 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนี้ให้คุยและทำข้อตกลงกับโฮส -ออแพร์จะได้เรียนภาษาและวิชาที่เราอยากเรียน *เพราะนอกจากเลี้ยงเด็กแล้วออแพร์ต้องไปเรียนค่ะ โดยตามกฏหมายออแพร์จะต้องไปเรียนในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น และออแพร์ต้องเรียนให้ได้ 6 หน่วยกิตก่อนจบโครงการ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โฮสจะออกให้ 500 เหรียญ (แต่ถ้าเกินจากนี้ออแพร์เป็นคนออกเองทั้งหมดค่ะ) ส่วนเราจะสะดวกไปเรียนตอนไหนนั้นก็ต้องตกลงคุยกับโฮส คุยเรื่องตารางงานให้ชัดเจน -นอกจากทำงานและเรียนแล้ว ออแพร์จะมีโอกาสได้ลาพักร้อน หรือที่เรียกว่า take vacation ได้ 2 อาทิตย์ และเมื่อโครงการไปแล้วออแพร์สามารถอยู่เที่ยวต่อในอเมริกาต่อได้อีก 30 โดยไม่ผิดกฏหมาย สิทธิประโยชน์มากขนาดนี้ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ละเนี้ย? กำลังคิดว่ามันต้องแพงใช่ไหมละ แต่เปล่าเลย ค่าโครงการส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 35,00-55,000 ขึ้นอยู่กับแต่ละเอเจนซี่ และบางเอเจนซี่ก็จะมีโปรมาให้เป็นช่วง ซึ่งตามความคิดเราแล้ว เราว่ามันถูกมากนะกับการได้ไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกา 1 ปี บางทีสิ่งที่ได้รับกลับมาเงินอาจหาซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ่งสุดท้ายที่สำคัญสำหรับโครงการคือ เตรียมตัว เตรียมใจ มาเริ่มก้าวเดินตามฝันไปกับเรา อย่ามัวรอแสงไฟ จงกล้าที่จะก้าวเดินออกจากที่มืด คลำทางไปหาแสงสว่าง.......แล้วคุณจะพบกับแสงที่ปลายอุโมงค์ เพื่อสัมผัสแสงตะวัน แสงดาว และแสงจันทร์ Cahapter 1 จุดเริ่มต้นของความฝัน... (It's time to follow your dream and your heart)
I want to be an Au Pair เคยไหมที่เดินอยู่ดีๆ กลับมีบางอย่างในใจสะกิดว่ามันไม่ใช่...... เคยไหมที่ทั้งๆ ที่รู้ว่าทางที่กำลังเดินมันไม่ใช่ แต่ยังฝืนเดิน...... ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วค่ะที่ควรจะมองทางใหม่ที่คุณอยากจะเดินอย่างใจคุณเรียกร้อง เชื่อว่าทุกคนมีความฝัน และทุกความฝันเราควรจะเดินตามมันไม่ใช่เดินสวนทางกัน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทำอะไรที่กำลังฝืนใจตัวเองอยู่ตอนนี้ละก็ หรือคนที่กำลังจะตัดสินใจทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความฝันเพียงเพื่อใครบางคนวางกรอบให้คุณไว้ อยากให้คุณยืนหยัดเพื่อความฝันของตัวเอง เพราะเราเป็นคนหนึ่งที่ทิ้งความฝันของตัวเองและเดินตามทางที่ใครบางคนไว้......ผลก็คือ เราทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ไม่ใช่ และใจไม่ชอบมาตลอด 4 ปี แต่เราโชคดีที่ตอนนี้เรากล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความฝันของตัวเอง และโชคดีที่มันยังไม่สายเกินไป จริงๆ แล้วไม่มีอะไรสายเกินกว่าที่จะทำความฝันของตนเองหรอก ความฝันที่ฝังใจมาตั้งแต่มัธยมคืออยากเก่งภาษาอังกฤษ อยากเรียนภาษาโดยเฉพาะ อยากพูดได้ พูดเป็น อยากไปเมืองนอก และอยากท่องเที่ยว ครั้งหนึ่งเราสามารถทำความฝันเป็นจริงด้วยการสอบติดคณะที่อยากเรียน แต่บุพเพอาลาวาด คุณแม่ประกาศกร้าวว่า "ต้องเรียนครูเท่านั้น" ด้วยความเชื่อแบบเดิมๆ เพราะเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ รอบกายมีแต่ครู เราตอนนั้นที่ยังไม่สามารถหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนได้ ด้วยความรักแม่จำต้องยอมตามใจ "ฉันมีสิทธิ์เลือกด้วยหรอ" แต่ถึงไม่มีสิทธิ์เลือกในตอนนั้นก็ใช้ว่าจะยอมให้ตลอดไปหรอกนะ เลยคุยกับแม่ "คนละครึ่งทางนะคะ หนูเรียนครูให้แม่ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันคือของหนู" แม่เงียบสักพักตอบตกลง เจรจาต่อรองเสร็จในใจก็คิด "เอาว่ะ แค่ 5 ปีเอง เดี๋ยวก็จบ" แต่มันไม่จบเมื่อคุณทำในสิ่งที่มันฝืน ความรู้สึกในแต่ละวันที่ผ่านไป ราวกับ 4000 ปี ช่วงเวลาระหว่างนั้นเอาแต่บอกตัวเองว่า "ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อที่จะได้เริ่มเส้นทางใหม่ที่ฉันเป็นคนออกแบบเอง" ด้วยความที่อยากไปเมืองนอกมาก และฉันต้องไปให้ได้ ก็ได้แต่บอกตัวเองแบบนั้นทุกวัน จนมาถึงวันนั้นเมื่อปีที่แล้ว เราตอนนั้นอยู่ปีที่ 4 เหลือฝึกสอนอีก 1 ปีก็จะจบแล้ว ความรู้สึกแวบแรกที่เข้ามาในหัว 'Oh no! ยังไม่พร้อมจะออกไปเป็นคุณครูภาษาอังกฤษที่ใครๆ ต่างคาดหวัง No! no! I gotta to find a way for my dream เพราะฉันคนนี้จะไม่ยอมให้ใครมาวางกรอบทางเดินให้อีกแล้ว บวกกับมีความหลงไหลได้ปลื้มดาราอเมริกันอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความรู้สึกอยากจะไปอเมริกายิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคืออยากจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และพัฒนาภาษาอังกฤษให้แข็งแรงมากกว่าเดิม เหนือสิ่งอื่นได้อยากไปเที่ยวพักใจที่บอบช้ำให้แข็งแรงดังเดิม แม้ว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นแล้วหลังจากผ่านสมรภูมิสนามเรียนที่ทำเอาแทบกระอักเลือด แต่พอได้มาฝึกสอน กลับทำให้เรารู้อย่างหนึ่งคือ เราชอบใช้เวลากับเด็กนักเรียน แม้ความอยากเป็นครูของเราไม่สามารถเต็มร้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจเต็มร้อยคือ เราชอบใช้เวลอยู่กับเด็ก และนั่นคือจุดเริ่มต้นการเปิดประตูท่องโลกกว้างครั้งนี้.......... นับจากวันนั้นเราก็เริ่มวางแผนให้กับชีวิตตัวเองว่าหลังฝึกสอนเสร็จเราจะทำอะไร ตอนแรกเราอยากจะเรียนต่อโท ก็เลยเริ่มกูเกิ้ลเกี่ยวกับทุนต่างๆ ครั้นจะให้ออกเงินส่งตัวเองเรียนปริญญาโทเองก็กระไรอยู่เพราะอยากเรียนต่อทันทีที่จบ แต่ก็คิดได้ยังไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนเรียน จะให้ครอบครัวส่งเสียอีกก็ละอายใจเหลือคณาเพราะตัวเท่าควายแล้ว แถมเรียนจบแล้ว สมองน้อยๆ ก็คิดหาวิธีต่างๆ นาๆ เพื่อจะพาตัวเองไปถึงฝั่งฝัน เราใช้เวลาครึ่งเทอมในการหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนเรียนต่อและแพลนว่าจบปุ๊บจะลองยื่นไปสมัคร จนเหลือเวลาอีกสามเดือนที่กำลังจะจบปี 4 และกำลังจะก้าวเป็นนักศึกษาฝึกสอน จบแล้วชีวิตในรั้วมหาลัย แต่ชีวิตต่อจากนี้คือสอนและสอน จนกว่าจะจบและจะได้เริ่มเส้นทางใหม่ของตัวเอง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัว "ฉันเรียนมาเยอะละ ฉันอยากจะพักสมองบ้าง ฉันอยากลองทำอย่างอื่นที่ไม่เคยทำบ้าง" หลังจากนั้นเป้าหมายก็เปลี่ยนไปโดยปริยาย นับจากวันนั้นก็เลยเบนเข็มทิศทางของตัวเองมาที่ Work & Travel เพราะเพื่อนเคยไปมาเมื่อตอนปี 3 ก็เลยลองค้นหาข้อมูลดู แต่ค้นไปค้นมา "ไม่ใช่ว่ะ แค่ 3 เดือน ภาษาฉันไม่พัฒนาหรอก ฉันอยากลองไปใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าของภาษาสักปี 2ปี" ก็เลยล้มเลิกไป หลังจากนั้นก็กลับมาตั้งหลักคิดหาวิธีใหม่ จนผ่านไปสองวัน เลื่อน fb อยู่ดีๆ เพจออแพร์ของ CC ก็เข้ามาอยู่ในฟีดเป็นเพจแนะนำ เพราะปกติเราชอบกดไลค์เพจพวกเรียนต่างประเทศ คนไทยในอเมริกา รวมถึงเพจเรียนภาษาอังกฤษต่างๆ ทันใดนั้นเองเหมือนแสงสว่างฉุดนำชีวิตให้เจอแสงปลายอุโมงค์ หลังจากเดินคลำหาทางออกจากอุโมงค์อยู่นาน เรากดเข้าอ่านแทบจะทันที Oh My God! นี่แหละที่ฉันตามหามานานแสนนาน มันอาจจะไม่ใช่ปลายทาง แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของทางเส้นใหม่ที่อาจจะพาไปพบกับปลายทางที่ตามหา |
millionshadesofdream
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Love is equal and beautiful. ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว ไปในสถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป ได้ถ่ายรูป กินอิ่ม หลับสบาย ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปผ่านมา บ้างอาจจะส่งรอยยิ้มมาให้ได้ถ่ายเก็บไว้ Link |