ปมร้าย..หัวใจเสน่หา


หากเข็มสั้นหยุดเดิน เข็มยาวก็หยุดเช่นกัน

การที่แบ่งปันความเจ็บปวดด้วยกัน สักวันหนึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุข

ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ผ่านเวลาที่ไม่สามารถย้อนคืนได้

เพียงคนเดียว หนึ่งเดียว ชั่วขณะเดียว วินาทีเดียว แม้แต่ครั้งเดียว โดยไม่หวั่นไหว


เมื่อได้พบคนที่ตามหาการพบพานเช่นนั้น

เพียงคนเดียว หนึ่งเดียว ชั่วขณะเดียว วินาทีเดียว เพียงแค่ครั้งเดียว .......ก็เพียงพอแล้ว



 “ตอนที่ 1 ฆาตกรรม”


 “ลาออก!!” เสียงตะโกนด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องทำงานของผู้จัดการทำให้พนักงานอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ด้านนอกต่างหันมามองเป็นจุดเดียว เงี่ยหูฟังเรื่องกันอย่างตั้งใจ  บ้างก็วิ่งเข้าไปเอาหูแนบกับประตูห้องเสียอย่างนั้นเพราะทุกคนรู้ว่าในห้องของผู้จัดการมีวิศวกรหนุ่มรูปหล่อฝีมือดีอยู่ในนั้นด้วย


                “ครับ”เสียงรับคำนั้นหนักแน่นไม่มีวี่แววของการลังเลเลยแม้แต่น้อย  ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้แต่หมุนปากกาไปมาพลางคิดเรื่องของหนุ่มรุ่นน้องไปด้วย  หลังจากที่รัชต์ลาพักไปเกือบหนึ่งเดือน เมื่อกลับมาทำงานเช้าวันนี้ กลายเป็นว่ารัชต์ยื่นใบลาออกแทน  ปราโมทย์เข้าใจดีว่าหนุ่มรุ่นน้องคนนี้กำลังเสียใจเรื่องของน้องสาวที่เพิ่งเสียชีวิตไปแต่ก็ควรไม่มากมายจนถึงขั้นลาออกจากงานได้ นอกเสียจากรัชต์จะไม่เชื่อผลการสันนิษฐานของตำรวจและตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่าง


 “พี่รู้ว่ามันทำใจยาก..แต่ลาออกไปแล้วแกจะไปทำอะไร..พี่เองก็เสียดายฝีมือของแกนะรัชต์..เอาเป็นว่าพี่ให้แกลาพักร้อนอีกสามเดือนเลยเอ้า!...สบายใจค่อยกลับมายังไงพี่ก็ไม่ยอมให้แกลาออก..แกทำงานกับพี่มาตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทใหม่ ๆเป็นเหมือนพี่น้องกันตอนนี้เรากำลังไปได้ดีแกจะลาออกเพราะเรื่องนี้ไม่ได้นะเว้ย..เห็นแก่พี่นะรัชต์..อยู่ต่อ..”วิศวกรหนุ่มถอนใจเมื่อสบสายตารุ่นพี่ เขาเองก็เสียดายงานนี้เช่นกันแต่ว่าถ้ายังทำงานอยู่เขาก็ไม่สะดวกที่จะตามหาความจริงอย่างที่ตั้งใจไว้


 “ก็ได้ครับ..งั้นผมขอลาพักร้อนละกันครับ”


 “แกจะไปพักร้อนก็พักจริง ๆ นะเว้ย...อย่าคิดที่จะทำอะไรแปลกๆ...บางอย่างถ้ามันเห็นทางตันก็อย่าฝืนมันนัก..ตำรวจเขาสรุปว่าดาวฆ่าตัวตายก็น่าจะเป็นอย่างนั้น..พี่เข้าใจแกดีนะรัชต์ว่าแกรักน้องแต่มันสายเกินไปแล้วที่จะทำอะไรอีก” รัชต์พยักหน้ารับ..ใช่..มันสายไปแล้วจริง ๆที่จะกลับมาดูแลน้องสาว..


รัชต์เดินออกมาจากห้องเจ้านาย เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองพร้อมกับควักเอารูปครอบครัวจากกระเป๋าเงินออกมาดู   เด็กหญิงผิวขาวผมดำยาวสยายเต็มบ่าใบหน้าสดใส ดวงตาเป็นประกายยิ้มหวานแขนบางโอบกอดผู้เป็นแม่ส่วนเขาเป็นหนุ่มน้อยวัยรุ่นผมเกรียนสั้นยืนอยู่ข้างพ่อเป็นรูปครอบครัวใบเดียวที่สดใสที่สุดที่เขามี...รัชต์กับดาวโตมาในครอบครัวเดียวกันก็จริงแต่หลังจากที่พ่อแม่หย่าร้างกัน ดาวไปอยู่กับพ่อซึ่งก็คงไม่ค่อยมีเวลาดูแลทำให้ติดเที่ยวมากกว่าจะเรียนหนังสือ  ส่วนรัชต์หลังจากพ่อกับแม่หย่ากันก็ไม่ได้ติดต่อกับน้องสาวอีกเลย..ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขา...เสียงล่าสุดที่ได้ยินจากปากของดาวก็คือ..เธอโทรศัพท์มายืมเงินเขาเกือบสองหมื่นซึ่งเขาเองก็ไม่เห็นความจำเป็นที่เด็กเรียนมหาวิทยาลัยจะต้องใช้..ยิ่งเขารู้ข่าวจากเพื่อนเสมอว่าเห็นน้องสาวเขาตามสถานบันเทิงต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่ให้เงินจำนวนนั้น..หลังจากนั้นสามวัน..เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจว่าพบศพน้องสาวกระโดดตึกห้องพักฆ่าตัวตาย...ตำรวจลงความเห็นว่าเธอฆ่าตัวตายหนีหนี้จากการยืมเงินนอกระบบ...เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ..เขาเห็นร่างน้องสาวห้อยตัวอยู่นอกหน้าต่างตัวผูกติดกับเชือกที่ผูกกับลูกกรงอีกทอดหนึ่ง...ร่างกายมีเพียงยกทรงกับกางเกงขาสั้น...มันผิดปกติวิสัยสำหรับคนที่จะฆ่าตัวตาย..เขาไม่เชื่อมาตั้งแต่ต้นว่าดาวจะฆ่าตัวตาย..ดังนั้นจึงคัดค้านการเผาศพน้องสาว...จะมีเพียงการทำพิธีโดยเผารูปและเสื้อผ้าของดาวแทนร่างกายของเธอตามพิธีทางศาสนา..รัชต์ติดต่อให้หมอที่เชี่ยวชาญช่วยชันสูตรศพของดาวอีกครั้งเพื่อให้ได้หลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าเธอไม่ได้ฆ่าตัวตาย..คำร้องของเขาได้ผล...หวังว่ามันจะทำให้เขาได้ความกระจ่างอะไรบ้าง


ช่วงเย็นของวันหนึ่งรัชต์ขับรถมาถึงร้านอาหารที่เป็นร้านประจำของเขาแลเพื่อนสนิท หลังจากโทรศัพท์นัดหมายกันไว้  เมื่อมาถึงเขาก็นั่งลงที่โต๊ะตัวเดิมในร้าน  เพื่อนสนิทที่ว่านี้ก็คือ นัทธี เพื่อนสมัยเด็กเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลายแต่พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยก็แยกกันเรียนตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน นัทเป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาสนิทที่สุดและเป็นที่พึ่งของเขามาตลอด  ไม่ว่าจะร้ายจะดีแค่ไหน นัทธีก็อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา


“เฮ้ย..ไงวะ..รอนานไหม”เสียงทุ้มนั้นเป็นของนัทธี  นัทธีเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงได้สัดส่วนรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวละเอียดแต่ติดที่ชอบทำหน้า’เฉย’ เลยทำให้เขากลายเป็นหนุ่มผู้เงียบขรึมและไม่น่าหลงใหล นั่นเป็นฉายาของ นัทธีสมัยเรียนมัธยมปลาย


“เออ..ไม่นานแล้วยังไงวะมาสายกว่าปกติ..ไหนแกบอกว่าอยู่แถวนี้ไง”รัชต์ทักเพราะตอนที่คุยกันทางโทรศัพท์นัทธีบอกว่าเขาอยู่แถวร้านอาหารพอดิบพอดี


“อืม..ติดไปเจอคน ๆ หนึ่งเข้า..นี่แกจำยัยแว่นเพื่อนห้องเราได้ไหมวะ..”นัทธีรู้ว่าการเอ่ยถึงผู้หญิงคนนี้จะทำให้เพื่อนชายตื่นเต้นมากแต่ก็อดใจไว้ไม่อยู่จริง ๆ


“แว่นไหนวะ”ฉายาที่ไม่ได้พูดถึงมานานถึงเจ็ดปีทำให้ต้องมีการรื้อฟื้นความทรงจำกันอีกครั้ง


“ก็..กีรติ...สมัยนั้นเราล้อว่า..ยัยแว่น...”รัชต์พยายามนึกถึงหน้าของเพื่อน ๆ สมัยเรียนมัธยมจนนึกถึงยัยหน้าหมวยใส่แว่น ผมยาว ท่าทางโก๊ะๆที่มักจะกวนประสาทเขาเสมอ  แถมยังชอบทำอะไรตัดหน้าเขาประจำ  ยิ่งเรื่องการเรียนด้วยแล้วเธอคือคู่แข่งอันดับหนึ่งของเขาเลยละ..จนเมื่อเรียนจบ...มันก็เปลี่ยนไป..พอคิดได้หัวใจเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้น


“อ้อ...ยัยแว่น..บ้าพลังน่ะเหรอ..แกไปเจออยู่ไหนวะ”รัชต์สีหน้าตื่นเต้น


 “แถวนี้แหละ..พอดีเห็นที่ร้านถ่ายรูปด้านหน้านี่แหละ..เขาไม่ได้ใส่แว่นแล้วนะเว้ย..หน้าตาน่ารักใช่ย่อย..แต่ยังแต่งตัวประหลาดเหมือนเดิม...ถามว่าทำอะไรอยู่ก็บอกว่าว่างงาน..ทั้ง ๆที่จริงตอนจบมัธยมฉันได้ยินว่ายัยนี่เอนท์ติดหมอนี่หว่า..แต่ทำไมถึงได้บอกว่าว่างงาน..”นัทธีแม้จะรู้ว่าเพื่อนรอคอยเวลานี้มานานแค่ไหนก็ตาม..แต่เขาก็พยายามที่จะไม่ตื่นเต้น  ไม่ส่งเสริมให้เพื่อนออกไปตามหาผู้หญิงคนนี้อีก..ในเมื่อเธอจากไปแล้ว..กลับมาทำไมตอนนี้...


“ถ้าไม่ประหลาดก็คงไม่ใช่หล่อนหรอก..”รัชต์พูดตาลอย   มือจับแก้วในมือแกว่งไปมาเหมือนกับคิดอะไรอยู่..


 “เออวะ..ใช่อย่างที่แกพูดนั่นแหละ..”นัทหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง


 “แล้วเรื่องดวงดาวเป็นไงบ้าง”


 “พรุ่งนี้ฉันนัดหมอที่ช่วยชันสูตรไว้..จริง ๆ เขาก็ไม่อยากช่วยฉันนักหรอกแต่พอดีพี่หนุ่มเจ้านายฉันช่วยติดต่อให้..”นัทพยักหน้ารับพลางคิดถึงเรื่องที่เพื่อนหนุ่มมีปัญหาอยู่  ไม่มีใครเชื่อรัชต์นอกจากเขา..






Free TextEditor



Create Date : 14 กรกฎาคม 2552
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2554 11:27:38 น.
Counter : 658 Pageviews.

1 comments
  
:)
--------------------------------------------------
//sites.google.com/site/acupofidea/
โดย: what dream may come วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:44:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดนตรีในสายลม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ฟังดนตรีไม่มีเสียงร้อง..บ่นเป็นตัวหนังสือมากกว่าพูด..