• General
• Digital Marketing
• Health & Beauty
• Horoscope
• Entertainment
• Living House Garden
• Tech
• Travel + Leisure
• Business

'สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว' โปรดเกล้าฯ อัญเชิญพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ ๙ 'ส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ' เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเตือนสติ น้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่

ประกาศสำนักพระราชวัง

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เลขาธิการธิการพระราชวังอัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ ความตอนหนึ่งว่า

"ขอให้ทราบถึงสิ่งสำคัญในการปกครองไว้ว่า ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

ทั้งนี้ ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนในชาติ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศชาติและบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ได้ทบทวนและตระหนักถึงพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานไว้ ด้วยทรงมีความห่วงใยในความมั่นคงของประเทศชาติ ความรู้สึกและความสุขของประชาชน จึงได้พระราชทานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และเป็นการเตือนสติ ให้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และความสุขของประชาชน เป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงรักและห่วงใยในชาติบ้านเมืองและประชาชนมาโดยตลอด

จึงประกาศมาให้ทราบ

สำนักพระราชวัง

๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

Create Date : 24 มีนาคม 2562
Last Update : 24 มีนาคม 2562 6:23:49 น.
Counter : 2307 Pageviews.
Share Tweet

ผลการจัดอันดับค่าครองชีพของอิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit) ประจำปี 2019 เมืองที่ขึ้นคว้าแชมป์ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และปารีส และถือนับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่มี 3 เมืองใหญ่ของโลกครองแชมป์ค่าครองชีพที่แพงที่สุดในโลกร่วมกัน

การสำรวจของ Economist Intelligence Unit (EIU) ในหัวข้อ "เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก" ประจำปี 2019 โดยเปรียบเทียบจากราคาสิ่งของทั่วไปใน 133 เมืองทั่วโลก EIU ระบุว่าปารีส เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดตั้งแต่ปี 2003 และเมืองต่างๆ ในยุโรปมีแนวโน้มที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ

Most expensive cities in the world

Source: The Economist Intelligence Unit

ทั้งนี้ 10 อันดับประเทศที่ค่าครองชีพแพงที่สุดคือ สิงคโปร์, ปารีส และ ฮ่องกง ครองอันดับ 1 ร่วมกัน ส่วนซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครองอันดับ 4 เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ครองอันดับ 5 ร่วมกับโอซากา ของประเทศญี่ปุ่น

อันดับ 7 ร่วม 3 เมืองคือ โซล ประเทศเกาหลีใต้ โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และอันดับ 10 คือ เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล

สำหรับ กรุงเทพฯ ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 41 ร่วมกับนครบริสเบนของประเทศออสเตรเลีย และกรุงเวลลิงตันของประเทศนิวซีแลนด์ EIU ชี้ว่า ค่าครองชีพในหลายเมืองเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็กำลังพุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อปีที่แล้ว โดยกรุงฮานอยของเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 60 ตามด้วยกรุงพนมเปญของกัมพูชา ซึ่งอยู่อันดับที่ 76 นครโฮจิมินห์ของเวียดนามอยู่อันดับที่ 80 และกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียมีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 88 ของโลก ขณะที่อันดับที่ 90 เป็นของกรุงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน ประเทศบรูไน ส่วนกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย และกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ครองอันดับที่ 92 เท่ากัน

Cheapest cities in the world

Source: The Economist Intelligence Unit

ส่วนเมืองที่มีค่าครองชีพถูกเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ เมืองคาราคัส ของประเทศเวเนซูเอลา อันดับ 2 คือ ดามัสกัส ประเทศซีเรีย และอันดับ 3 คือเมืองทาชเคนท์ แห่งอุซเบกิสถาน, อันดับ 4 เมืองอัลมาที ประเทศคาซัคสถาน โดยเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย อันดับ 6 ร่วมคือเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน กับเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย อันดับ 7 ร่วมคือเมืองบูเอโนส แอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า กับเมืองเชนไน ประเทศอินเดีย และปิดท้าย 10 อันดับแรก "เมืองที่มีค่าครองชีพถูกที่สุดในของโลก" เป็น กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียเช่นกัน.

ที่มา: Economist Intelligence Unit
Photo: Pixabay

source: Vacation Rentals | Housing for Remote Workers | Event Venues Marketplace | Cheap Hotel Booking

สุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชีย (Top Asia City Destinations 2018) สรุปจากรายงานเรื่อง Top 100 City Destinations 2018 ของ Euromonitor International ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดสัญชาติอังกฤษ และเป็นหน่วยงานจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำที่ได้รับการเชื่อถือระดับโลก โดยรายงานล่าสุด ผลการจัดอันดับ 100 เมืองปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลกปี 2018 ในส่วนของประเทศไทยเรานั้น กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ และกระบี่ เป็น 5 เมืองของไทยที่ติด 100 อันดับ จุดหมายปลายทางยอดนิยม โดยกรุงเทพฯ ติดอันดับ 2 ของโลก ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดรองจากฮ่องกง

Euromonitor International สรุปว่า เมืองกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งการสร้างนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ๆ แม้ในปีที่ผ่านมาจะเกิดปัจจัยที่เป็นตัวขัดขวางการเดินทางระหว่างประเทศ เช่น การห้ามเข้าประเทศ การก่อการร้าย หรือการปิดพรมแดน แต่คนทั่วโลกก็ยังคงเดินทาง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บรรดาเมืองในเอเชียแปซิฟิกเป็นตัวขับเคลื่อนโฉมหน้าของการท่องเที่ยว และจะยังมีบทบาทดังกล่าวในอนาคต เมื่อ Euromonitor จัดอันดับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลกในปี 2010 มี 34 เมืองในเอเชียที่ติดอันดับ ในปี 2018 จำนวนเมืองในเอเชียเพิ่มมากกว่าครึ่ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองในเอเชียเป็นปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำมากขึ้นคือการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน

จากรายงาน Top 100 City Destinations 2018 ของ Euromonitor จะเห็นว่าา 10 เมืองในเอเชีย ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดได้ในปี 2018 ได้แก่ ฮ่องกง, กรุงเทพฯ, สิงคโปร์, มาเก้า, ดูไบ, กัวลาลัมเปอร์, เซินเจิ้น, ภูเก็ต, เดลี และโตเกียว

จังหวัดกระบี่ของประเทศไทย ก้าวขึ้นสู่อันดับเมืองยอดนิยมของโลกเป็นปีแรก โดยได้อันดับ 100 พอดี

ที่มา : TOP 100 CITY DESTINATIONS 2018 BY EUROMONITOR VACATION RENTALS

source: Vacation Rentals | Housing for Remote Workers | Event Venues Marketplace | Cheap Hotel Booking

สร้าง "เครื่องฟอกอากาศ" ธรรมชาติ รับมือกับปัญหา "ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5" ที่กำลังวิกฤตในกรุงเทพและหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศไทย ด้วยการปลูก 5 ต้นไม้ประดับบ้าน ออฟฟิส หรืออาคาร คอนโดฯ ต่างๆ นอกจากจะสวยงาม สบายตา ช่วยจัดการกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ดูดสารพิษ ฟอกอากาศให้สดชื่น หายใจกันคล่องๆ

สิ่งที่ช่วยจัดการกับมลภาวะทางอากาศได้ดีที่สุด คือ พืช ซึ่งจะมีโครงสร้างของผิวใบที่จะดูดซับหรือจับตัวฝุ่นได้ถึง 10 ไมครอน PM2.5 ก็สามารถดักจับได้ระดับหนึ่ง โดยพืชแต่ละชนิดก็จะมีคุณลักษณะที่จะมาบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง หรือสารพิษในอากาศ ที่จะเข้ามาสู่ร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ได้แตกต่างกันไป แต่ปัจจุบันเราทำลายป่า ตัดต้นไม้ กันจนเหลือน้อย พื้นที่สีเขียวลดน้อยลงจนไม่เพียงพอกับการรับมือกับสภาพมลภาวะทางอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งพื้นที่สีเขียวที่เราต้องการจะอยู่ที่ 1.5 ไร่สำหรับคน 1 พันคน ระยะยาวเราจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียว การสร้างพื้นที่สีเขียวส่วนบุคคล ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละกระถางสองกระถางก็ช่วยได้ บางคนมีพื้นทีน้อย อาจต้องสร้างพืชพันธุ์สีเขียวในแนวตั้งหรือแนวดิ่งมากขึ้น เช่น หลังคาสีเขียว ตึกสีเขียว ใครที่อยู่คอนโดก็อาจใช้ไม้เลื้อย ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม ไม้กระถาง หรือไม้ต้นที่มีผิวใบที่มีขนในการช่วยดักจับฝุ่นละออง และสารพิษได้

ขอแนะนำ 5 ไม้ประดับบ้านสวยงาม ช่วยจัดการฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ฟอกอากาศ ดูดสารพิษ หาซื้อได้ง่ายๆ กัน

1. ต้นลิ้นมังกร (Sansevieria - Snake Plant)

ต้นลิ้นมังกร เป็นต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพในการปรับคาร์บอนไดออกไซด์เป็นออกซิเจน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน จึงมักปลูกในห้องนอน เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์หลับสบาย และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอากาศที่ดีควรปลูกต้นลิ้นมังกร (สูงประมาณ 1 เมตร) 6-8 ต้น/คน ต้นลิ้นมังกร เป็นไม้ล้มลุก ทั้งยังเป็นพืชที่แข็งแรง ทนทาน สามารถเติบโตได้เกือบทุกสภาพแวดล้อม มีอายุได้หลายปี ใบสวยงามมีหลายแบบทั้งรูปใบหอก แถบกว้าง รูปไข่ รูปรี และเป็นแท่งกลมยาว ขนาดแตกต่างกัน แตกหน่อได้จำนวนมากทอดเลื้อยไปตามผิวดิน ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ปักชำใบก็ได้

2. ต้นว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)

ต้นว่านหางจระเข้ นอกจากสร้างก๊าซออกซิเจนแล้ว ยังช่วยกำจัดแบคทีเรียจากกลไกดูดซับคาร์บอนไดร์ออกไซด์กลับคืน และยังมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษจำพวกฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา ปวดศีรษะ ไปจนถึงโรคหอบหืด ต้นว่านหางจระเข้ เป็นพืชสมุนไพรที่ให้ประโยชน์กับมนุษย์อย่างมาก โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาที่ใช้รักษาแผล บำรุงผิวพรรณและเส้นผม ต้นว่านหางจระเข้จึงเป็นพรรณไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

3. ต้นพลูด่าง (Devil Ivy)

ต้นพลูด่าง เป็นพืชที่สามารถฟอกอากาศได้ แล้วยังช่วยลดปริมาณเบนซินและสารละลายไครคลิโรเอทิลีที่ปนในอากาศ และยังมีคุณสมบัติสามารถดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนีย มักมีมากในห้องน้ำ หรือสำนักงานที่มีเครื่องถ่ายเอกสารหรือเครื่องพิมพ์เขียว และมีคุณสมบัติในการปล่อยความชื้นออกมาให้อากาศไม่แห้งจนเกินไป ต้นพลูด่างเป็นไม้เลื้อย ที่ลำต้นมีรากงอกออกมาตามข้อ ใบกลมป้อมคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบโค้งมนเล็กน้อย ใบมีสีเขียวและมีรอยด่างสีเหลืองอยู่ที่ใบทำให้ดูสวยงาม ต้นพูลด่างเพียงแค่นำมาปักในน้ำก็เจริญงอกงามได้โดยไม่ต้องปลูกลงดินก็ได้

4. ต้นวาสนา (Dracaena)

ต้นวาสนา เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถดูดสารพิษภายในอาคาร สำนักงาน หรือคอนโดมิเนียมได้ดี โดยสามารถจัดการกับสารพิษในอากาศหลายชนิด จำพวกฟอร์มาดีไฮด์ ไตรคลอโรเอทธีลีน ไซลีน โทลูอีน เบนซิน และไทรคลอโรเอทิลีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นวาสนาเป็นพรรณไม้ยืนต้น ลำต้นกลมตรงมีข้อถี่ไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นมีสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นส่วนยอดเรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลมลักษณะใบเรียวยาว นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อกันว่า ต้นวาสนา เป็นไม้มงคลปลูกแล้วจะทำให้มีวาสนาดี มีโชคลาภ ตลอดจนมีเสน่ห์ คนรักใคร่

5. ต้นเศรษฐีเรือนใน (Spider Plant)

ต้นเศรษฐีเรือนใน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั้งภายในและภายนอกอาคาร มีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์ในอากาศได้ถึง 90% ซึ่งสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารที่มาจากวัสดุก่อสร้างภายในบ้าน สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งโรคไม่ติดต่อร้ายแรงเบอร์ 1 ของมนุษย์นั่นเอง พร้อมกับผลิตออกซิเจนออกสู่บรรยากาศ ยังช่วยลดความเครียด และสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ด้วย ต้นเศรษฐีเรือนในเป็นไม้ล้มลุก เป็นพืชที่ไม่ค่อยคายน้ำ ลักษณะใบแหลมแผ่เป็นกาบ ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมันสีเขียวเข้ม มีแถบด่างสีขาวครีมกลางใบ ออกดอกย่อยเล็กๆ สีขาวสวยงาม

นอกจากนี้ กรมอนามัยยังแนะนำ 40 ไม้ประดับ ปลูกเพื่อช่วยฟอกอากาศ ดูดสารพิษ เป็นมาตรการเสริมร่วมป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5

1. หมากเหลือง
2. จั๋ง
3. ออมทอง
4. กล้วยแคระ
5. คริสต์มาส
6. กุหลาบหิน
7. ลิ้นมังกร
8. หางจระเข้
9. สนฉัตร
10. เยอบีร่า
11. เบญจมาศ
12. ไทรย้อยใบแหลม
13. ซุ้มกระต่าย
14. ปาล์มใบไผ่
15. เดหลี
16. ปาล์มไผ่
17. พลูด่าง
18. บอสตันเฟิร์น
19. เขียวหมื่นปี
20. สโนว์ดรอบ
21. มรกตแดง
22. หนวดปลาหมึก
23. สาวน้อยประแป้ง
24. โกสน
25. ยางอินเดีย
26. สับปะรดสี
27. ไทรใบเล็ก
28. วาสนาอธิษฐาน
29. ประกายเงิน
30. เศรษฐีเรือนใน
31. ไอวี
32. แววมยุรา
33. เข็มริมแดง
34. ฟิโลหูช้าง
35. ฟิโลเซลลอม
36. ฟิโลใบหัวใจ
37. หน้าวัว
38. เสน่ห์จันทร์แดง
39. กล้วยไม้พันธุ์หวาย
40. สิบสองปัน

ไม้ประดับที่ช่วยดูดสารพิษที่แนะนำ 40 ชนิดนี้ และเป็นพืชที่สามารถซื้อหาได้ง่ายในประเทศไทย ปลูกประดับบ้าน สำนักงาน หรืออาคาร นอกจากจะสวยงาม สีเขียวสดชื่น ใช้พักสายตา ช่วยให้ผ่อนคลาย การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเหล่านี้ จะผลิตก๊าซออกซิเจนเข้าสู่บรรยากาศ และขณะเดียวกันก็ดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศรอบๆ ด้วย คุณสมบัติที่สำคัญ คือ ไม้ประดับหลายๆ ชนิดเหล่านี้ สามารถดูดซับสารพิษในสิ่งแวดล้อมได้ด้วย โดยเฉพาะการช่วยจัลดค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ไมครอน ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในประเทศไทยและรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราขณะนี้นั่นเอง.

Source: Vacation Rentals
Photos credit: homeguides.sfgate.com, costafarms.com, laidbackgardener.blog, miraclegro.com, Sanook.com, Bakker.com

source: Vacation Rentals | Housing for Remote Workers | Event Venues Marketplace | Cheap Hotel Booking

ถ้าใครเดินทางผ่านทางด่วน คงผ่านตาป้ายโฆษณา 33 เสา รวม 66 ภาพ แต่คงอ่านกันไม่ทัน วันนี้ขอรวบรวมมาไว้เป็นความทรงจำ เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระองค์ท่าน ขอขอบภาพจากคณะผู้จัดทำทุกท่าน

• Webmaster - BlogGang