Hotel Sun White Osaka Japan




    โรงแรมแรกที่เราจะพักเป็นที่แรกคือ   Hotel Sun White   ตอนเลือกโรงแรมนี้เหตุผลคือตอนนั้นลดราคา  แต่ !!  ข้อดีคือใกล้กับปราสาทโอซาก้า  และ  ใกล้กับสถานี  Tanimachi Yonchome





เนื่องจากไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ  เลยจะขอรีวิวเล็กๆน้อยๆ 



ประตูด้านหน้าโรงแรม



บรรยากาศในโรงแรม  บริเวณ Lobby  ( รูปประกอบจาก website ของโรงแรม ) 




เราได้ห้องพักที่ชั้น  7  เลขที่ออก คือ  710









ภายในห้อง
สองรูปนี้เป็นห้องที่น้องเราพัก 
   (  มารู้ตัวว่าไม่ใช่ห้องตัวเองก็ตอนถ่ายรูปไปแล้ว ) 






ส่วนห้องของเรานั้น ถ่ายรูปมา 1 รูปถ้วน




รูปนี้ขอยืมจากโรงแรม   หน้าตาห้องพักเราประมาณนี้เลย 



มีไดร์เป่าผม  หวี  แปรงสีฟัน  มีดโกนหนวด  และ  กาน้ำร้อน




แก้วน้ำ และ ชาเขียว



ในส่วนของห้องน้ำนั้น   ก็ลืมถ่ายรูปมาอีก  มีแต่รูปขวดชมพู 



สำหรับใครที่อยู่นานๆ แล้วอยากซักผ้า  ก็มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญให้บริการ



มีตู้กดน้ำ และ เครื่องทำน้ำแข็งอยู่ในห้องนี้ด้วย 






จัดมาชิมสักขวด 




ในห้องพักของเรา เมื่อเปิดตู้เย็นจะเจอถังเล็กๆ และ ที่คีบน้ำแข็ง  ถ้าใครต้องการก็ถือถังมา แล้วก็กดเอาที่ตู้ทำน้ำแข็งได้




มีเตาไมโครเวฟสำหรับอุ่นอาหารด้วย   เสร็จสรรพรวมอยู่ในห้องแห่งนี้  :) 




ลองมาดูบริเวณรอบๆโรงแรมกันบ้าง   เพื่อใครหิว ก็ออกมาหาของกินได้
จะมีร้าน family mart  อยู่ใกล้ๆทางลงไปรถไฟใต้ดิน    


และมีร้าน MINI STOP



  ออกจาก โรงแรมเดินไปทาซ้าย จะเจอ  7-11



ร้าน Mos Burger



รูปนี้ไม่แน่ใจว่าร้านอะไร




บรรยากาศยามค่ำคืน










เดินเลยไปอีกหน่อยเจอตู้กดน้ำอีกสองตู้ 





ส่งท้ายด้วยรูปพระจันทร์เต็มดวง  ก่อนที่เราจะกลับห้องไปพักผ่อน เตรียมพร้อมสำหรับวันต่อไป








Create Date : 28 ตุลาคม 2561
Last Update : 29 ตุลาคม 2561 0:11:42 น.
Counter : 1130 Pageviews.

0 comment
ไปเล่นกับกวางที่ Nara


3 ธันวาคม 2560 

หลังจากฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมเดินทางกัน  สมาชิกครบแล้ว  ลุยเลย !!

    เราต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Kintetsunara  โดยต้องไปเปลี่ยนรถไฟที่ สถานี Ikoma




ไปถึงสถานี Ikoma  เราก็พบกับความงง  ว่ามันต้องไปทางไหนกันแน่  เพราะ มันมีหลายฝั่งเหลือเกิ๊น  เลยไปถามเจ้าหน้าที่  ซึ่งในการถามนั้นง่ายมาก  ถามแค่ชื่อสถานี  เจ้าหน้าที่ก็ยกมือบอกเลย ว่าชานชลาไหน  ไม่ต้องพูดให้ยาว ให้งง 

เป็นอันว่าวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่หลายรอบ  จนได้ขึ้นรถไฟ  แต่ !!! ไม่ได้ชะล่าใจใดๆทั้งสิ้น
ขึ้นรถได้น้องเราหลับ  ส่วนเรากับแฟนนั่งคุยกันเรื่องใบไม้ ว่าสวยเนอะ  รู้ตัวอีกทีนั่งรถไฟผิดจ้า  พอดูแผนที่ โหหห เรามาคนละทางเลย  ฮือๆ นี่แหละ ไม่ช่วยกันดูทาง จึงเป็นเยี่ยงนี้แล   ตอนนั้นหลงไปสถานีไหนก็ไม่รู้  จำไม่ได้ รูปอะไรก็ไม่ได้ถ่ายไว้   แล้วความซื้อบื้อ ตอนนั้นเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ก็ไม่ได้เปิดโหมด gps ไว้ตอนถ่ายรูป


แต่ในที่สุดเราก็หาหนทางมาถึงนารากันจนได้ 

ออกมาก็จะเจอ Tourist Information 



อยากแวะกด  แต่โดนคนข้างๆเบรคไว้ 



เดินมาอีกหน่อยก็จะเจอสิ่งนี้  ซึ่งถ่ายมาแบบเอียงๆ --" 




พวกเราเลือกที่จะเดินไปที่วัด Todaiji  เดินตามๆเค้าไป 




ทางเดินก็จะเป็นเนินเล็กน้อย พอเมื่อย   แต่คนเดินเยอะๆ ก็เพลินดี  





เดินไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นกวางบ้างแล้ว  แวะถ่ายรูปสักหน่อย




เอาตุ๊กตามาด้วยกะว่าจะมาถ่ายรูปกับกวางตัวจริง Smiley





เดินลอดอุโมงค์นี้ไปค่ะ   อีกไม่ไกลแล้ว 





เดินไปแวะถ่ายรูปไป ตลอดทาง








ตู้ไปรษณีย์ก็ไม่เว้น 




ในที่สุดเราก็เดินมาจนถึงด้านหน้าทางเข้าวัด
  ทั้งคน ทั้งกวาง ยืนกันเต็มไปหมดเลย




แทนที่จะเข้าไปไหว้พระก่อน  แต่ไม่ค่ะ  พวกเราขอแวะให้อาหารกวางก่อน





กวางที่นี่ก็จะโหดๆประมาณนึง  เห็นขนมนี่รีบกรูกันเลย  
แต่บางตัวอิ่มๆ ก็จะอึนๆหน่อย



เอาล่ะ ได้เวลาแล้วเดินเข้าไปข้างในกันเถอะ 
เจอคุณพี่เค้ายืนขวางทาง





ขังตัวเองไว้ทำไมคะ คุณ ? 





จากตรงนี้ เลี้ยวซ้ายไปก็จะเจอกับที่ขายตั๋ว และ ทางเข้า 



เจอกวางตัวนี้ตรงหน้าที่ขายตั๋ว   สงสัยจะหิว  กินโซ่ซะเลย  Smiley






หลังจากได้ตั๋วเข้าแล้ว  ก็เดินเข้าไปด้านในกันเลย
  ( เราทำตั๋วหาย เลยไม่มีมาลงบล็อก )



ต้องบอกว่าใหญ่โตมากๆ เลย 





ด้านในอาคาร









ด้านในจะมีตรงส่วนที่เค้าลอดเสากัน  ซึ่งตรงนั้นคนเยอะมาก
 และเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกเช่นเคย

 เราใช้เวลาอยู่ที่วัดกันน่าจะประมาณ1ชั่วโมงได้  ทีแรกวางแผนว่าจะไปกินข้าว และ กินไอติมที่มีรูปกวาง  แต่ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง  เลยคิดว่าไปหาของกินแถวๆโรงแรมก็แล้วกัน


ตอนเดินออกมา เจอรถขายมันเผา
 ( จริงๆแล้วขายมัน หรือ ขายอะไรไม่รู้ แต่มโนว่ามันเผา )



เดินมาเจอน้องกวางอีก




เราเดินไปถึงหน้าสถานีรถไฟ  เจอตู้สติ๊กเกอร์  ก็เลยแวะถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกซะหน่อย งมกันอยู่นานนึกว่าจะเสียเงินฟรีซะแล้ว  เล่นเอาตกอก ตกใจ กว่ารูปจะออกมา 



เรานั่งรถกลับมาถึงสถานีใกล้ๆโรงแรม  ตกลงปรึกษากันแล้วว่า ซื้อข้าวไปกินบนห้องดีกว่า   แล้วก็อาบน้ำ พักผ่อน  จากนั้นค่อยว่ากันว่าจะไปไหน   โดยเราแวะร้านอาหารก่อนถึงโรงแรม  เราเรียกสั้นๆว่าร้านคุณป้า 








 เมนูอาหาร



และนี่คือหน้าตาอาหารของเรา 



หลังจากได้อาหารมา  เราก็เดินไปโรงแรมเพื่อที่จะเช็คอิน  
พร้อมกับขนสมบัติขึ้นไปที่ห้อง  

ขอตัวไปพักผ่อนก่อน แล้ว ค่อยว่ากันใหม่ 





Create Date : 03 กันยายน 2561
Last Update : 3 กันยายน 2561 22:04:30 น.
Counter : 392 Pageviews.

0 comment
จากสนามบินเข้าสู่กลางเมืองโอซาก้า


 3 ธันวาคม 2560  

          ขณะนี้เราอยู่ที่สนามบินคันไซ   ประเทศญี่ปุ่น   วันนี้เรามีแพลนเดินทางไปเที่ยวหาน้องกวางที่  Nara  แต่ก่อนอื่นเราต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อน  ซึ่งโรงแรมของเราจะอยู่ใกล้ๆกับปราสาทโอซาก้า  โดยต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Tanimachi Yonchōme

 ดังนั้น  เราจะนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน โดยใช้เส้นทางดังนี้ 



วันนี้เราจะใช้บัตร Kansai Thru  Pass  ในการเดินทาง  ดูแลดีๆอย่าให้บัตรหาย เพราะใช้ได้ถึงสามวันเลย 



บรรยากาศในรถไฟ ของเช้าวันเสาร์  จากสนามบินมุ่งหน้าเข้าสู่ในเมือง  




บรรยากาศระหว่างทาง   นั่งรถไฟข้ามทะเล เห็นแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ 




เริ่มเจอหมู่บ้าน



จากที่นั่งกันชิวๆ  บนรถแทบไม่มีคน  พอเข้าสู่เขตที่พักอาศัย 
 มวลมหาประชาชนชาวญี่ปุ่นก็ทยอยขึ้นรถกันมาจนแน่น  ใช้คำว่าแน่น แน่นจริงๆ

ระหว่างทางนอกจากจะต้องตามดูแผนที่ ว่าถึงไหนแล้ว
 เพราะเรากลัวฟังไม่ออก  และ ฟังไม่ทัน 

      ก็ยังจะต้องหาวิธีด้วยว่าจะออกจากรถไฟยังไงดี   นึกสภาพรถไฟฟ้าบ้านเราตอนเช้าๆ แน่นๆ แบบนั้น  และเราซึ่งไปพร้อมกันกระเป๋าไซส์ 28  หนึ่งใบ  และ กระเป๋าของน้องอีกใบนึง   ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วถามว่า มึ๊งงง !! เราจะออกกันได้มั้ยวะ ???    ซึ่งสถานีต่อไปคือสถานี  Tengachaya   เราต้องลงสถานีนั้น  ตอนนั้นคิดแค่ว่า  ถ้าลงไม่ได้ก็ไปลงสถานีหน้า  แต่คิดไปคิดมา คงไม่สนุกถ้าต้องยกกระเป๋า ข้ามฝั่งไปมาเพื่อขึ้นรถไฟ  

      ทันใดนั้นเองเสียงประกาศดังขึ้น เลยบอกน้อง  " เห้ย ลงก็ลง " เบียดๆขอทางไป เรารอจนรถใกล้ๆจะจอดแล้วลุกขึ้นขอทางเบียดออกไป  ซึ่งมันไม่ง่ายเลย --"  แต่สุดท้ายเราก็ออกมาได้ นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว



รอรถขบวนต่อไป  






เดินทางต่อไปยังสถานี  Sakaisuji Hommachi 


ยังไม่จบแค่นั้น  เราต้องต่อรถไฟใต้ดินอีก 1  ต่อ 

ฝั่งโรงแรมที่เราพักนั้น  ก็จะมีทางเดินขึ้นไป  แต่จะเป็นบันได  
   ถ้าใครมีกระเป๋าเดินทางหนักๆ เราคิดว่าใช้ทางออกฝั่งตรงข้าม ( 1A )
 แล้วค่อยเดินมาข้ามทางม้าลายจะดีกว่า



พอออกมาแล้ว  ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นโรงแรมเลย



จากนั้นก็เดินไปทางซ้าย   แล้วจะเจอทางม้าลายอยู่ทางขวามือ  
ให้ข้ามตรงนั้น  แล้วเลี้ยวขวา เดินอีกนิดเดียวก็ถึงโรงแรมแล้ว  


เราจัดการฝากของไว้ที่โรงแรม   และ ล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวเดินทางไปเที่ยว
แล้วค่อยกลับมาเช็คอินอีกทีตอนเย็นๆ 





Create Date : 03 กันยายน 2561
Last Update : 3 กันยายน 2561 20:20:58 น.
Counter : 234 Pageviews.

0 comment
เดินทางไป Japan กับ Vietnam airlines




 2 ธันวาคม  2560

      และแล้วก็ถึงวันเดินทางของเรา  สมาชิกมีทั้งหมดสามคน  คือเรา  น้องสาวเรา และ แฟนเราผู้บินไปรออยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว    วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อเตรียมตัว   เช้าตื่นมายังมานั่งจัดกระเป๋าอยู่เลย   สมบัติเยอะ เพราะเสื้อผ้านี่แหละ  หนาเหลือเกิ๊น  

       เราให้พ่อไปส่งที่สนามบิน ไปถึงประมาณ บ่ายสองโมงครึ่ง  ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน ก็รอกันต่อไป  วันนี้เราจะเดินทางกันด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์  โดยไปต่อเครื่องที่ฮานอย    ที่เลือกสายการบินนี้ เพราะมีโปร 555  นอกจากนั้นได้น้ำหนักกระเป๋า ถึง 30  กิโล  และ เป็น Full Service  อาหารการกินไม่ต้องห่วง และ ไม่ต้องมาจ่ายยิบย่อย อื่นๆ อีก 


รอเวลาเช็คอิน 



เช็คอินเสร็จเรียบร้อย  ได้ Boarding pass  มาสองใบ    ผ่านจุดตรวจความปลอดภัย  เดินมาผ่านมุมบังคับ  แต่ใครบังคับก็ไม่รู้ 




เกทของเราในวันนี้คือ   E1





เราเดินเลยเกทไป เพื่อหาที่นั่ง ชาร์จแบตโทรศัพท์  และ นี่ก็คือหน้าตา  Boarding pass  ของเรา




Boarding Time  เวลา  18.10 น.   และ เครื่องจะออกตอน 18.35  น.
ระหว่างรอ ก็เดินถ่ายรูปเล่นไป พลางๆ 





จนใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องก็เลยเดินไปรอ หน้าเกท  แต่เกทก็ยังไม่เปิดจ้า



เหมือนว่าเครื่องมาจากเวียดนามช้า  กว่ากำหนด  กว่าจะได้ขึ้นเครืองก็ปาเข้าไปหนึ่งทุ่ม  สำหรับไฟล์ท Bangkok - Hanoi  จะใช้เครื่องเล็ก  จัดที่นั่งเป็นสองแถว    แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร  เพราะระยะเวลาบินก็สั้น ๆ 




จากกรุงเทพ ไปถึง ฮานอย จะใช้เวลาบินประมาณ ชั่วโมงครึ่ง   เครื่องขึ้นได้สักพัก คุณแอร์ก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ  มีให้เลือก หมู กับ ปลา  เรากับน้องเลือกกันคนละอย่าง   จะได้มีรูปทั้งสองแบบ   น้องเลือกปลา  เราเลือกหมู




แต่พออาหารมาถึง  เปิดดูแล้ว  ก็เลยแลกกัน เพราะน้องอยากกินเส้นมากกว่า  

และนี่คื๊ออออ  เมนูปลา   เป็นปลากับมันฝรั่ง  ทีแรกดูเผินๆ  นึกว่าไก่  




  ส่วนถ้วยเล็กๆนั่นคือไก่  อารมณ์เหมือนยำวุ้นเส้นกับไก่อบ




ส่วนอันนี้เป็น บะหมี่ กับ หมู





ขนมหวาน  เป็นวุ้นมะพร้าว  ที่มีฝอยทอง โรยอยู่เล็กน้อย 




ตัดภาพมาที่ฮานอยเลยละกัน  ตอนนี้เครื่องลงจอดแล้ว  ก่อนออกจากเครื่อง  ก็ขอถ่ายรูปที่นั่งสักหน่อย




พอออกจากเครื่องเดินไปถึงตัวอาคารก็เจอคนเยอะมาก  เราก็จะยืนงงๆ ประมาณนึง  แต่เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปจ้า  ไม่ต้องไปต่อแถวกับพวกคนข้างล่างเค้า 

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วก็จะเจอจุดสแกนกระเป๋าอีกทีนึง  จากนั้นก็จะเป็นโซนสำหรับรอต่อเครื่อง  จริงๆแล้วเรามีเวลารอต่อเครื่อง 4  ชั่วโมง    แต่ด้วยความที่เครื่องดีเลย์  เวลาที่รอก็เลยลดลงไปหน่อย



ภายในสนามบิน   ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ   แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก 





เวลารอนานๆ มันก็จะเบื่อประมาณนึง  มีจัดแสดงรูปภาพให้ดูแก้เบื่อ 




และแล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่นกันแล้ว  เย้ๆๆๆ  
ไฟล์ทนี้ใช้เครื่องบินดรีมไลน์เนอร์   



ขึ้นเครื่องมาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว  กะว่าจะนอน  หมอน ผ้าห่ม พร้อม 









 แต่  !!!   เห็นแอร์เดินเอาเมนูอาหารมาแจก  เป็นเมนูอาหารเช้า  ไอ้เราก็คิดว่า สงสัยจะเสิร์ฟ ตอนใกล้ๆเครื่องลงมั้ง 


สักพักได้กลิ่นๆ   
 กะว่าจะไม่กินเพราะ มันดึกแล้ว และ ง่วงด้วย    ถามน้องน้องก็บอกไม่กิน   แต่ด้วยความที่ว่า  เค้าเสิร์ฟแค่มื้อนี้ไง  ไม่ได้เสิร์ฟก่อนเครื่องลงอีก
  เลยบอกน้องว่า กินเห๊อะ เช้าจะได้ไม่ต้องกิน



มีให้เลือกระหว่างปลา และ เนื้อวัว    เราสองคนเลือกปลาโดยไม่ต้องคิดเลย 




อาหารเช้า  มาเสิร์ฟ ตอนตีหนึ่งสิบห้านาที  




เครื่องดื่มเราเลือกเป็นโค้ก 



อิ่มมมมม  






ก่อนจะนอนขอดูจอสักนิดนึง









      หลังจากแอร์มาเก็บถาดอาหารไปแล้ว  ต่อไปนี้ก็คือการนอนค่ะ   โดยจะใช้เวลาบินประมาณ 4  ชั่วโมง  สำหรับไฟล์ทนี้   ลืมตาตื่นมาด้วยความงัวเงีย  เพราะไฟในเคบินเปิด แล้ว นั่นแสดงว่าใกล้ถึงแล้ว สินะ   


      และแล้วเราก็มาถึงสนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่นโดยสวัสดิภาพ 





      รอคิวตรง ตม.  แปปเดียว ระบบจัดการเค้าดีมาก   ผ่าน ตม. แล้ว
 ก็จะไปเจออีกจุดนึงที่เราต้องยื่นใบศุลกากร  ตรงนี้เค้าอาจจะสุ่มตรวจกระเป๋า 
ทีแรกเราก็คิดว่าเค้าจะเปิดกระเป๋า  เตรียมการเต็มที แต่เค้าไม่เปิดดูเลย 

(  แฟนเราเดินทางคนเดียว  แฟนบอกว่า เค้าขอให้เปิดกระเป๋าด้วย  ซึ่งแฟนเราซื้อคุกกี้มาฝาก  ก็ต้องเปิดกล่องคุกกี้ให้เค้าดูด้วย  )


หลังจากผ่านอะไรต่างๆมาเรียบร้อยแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็คือการไปซื้อพาสนั่นเอง  โดยเราซื้อที่สนามบินนั่นแหละ   ซึ่งคนรอคิวเยอะมาก  และใช้เวลานานมาก  เนื่องจากบางคนอาจจะยังไม่ได้ทำการบ้านมา ก็จะใช้เวลาเยอะมากกกกกกก  แล้วตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่สองคนเอง   พอถึงคิวเราเรายื่นกระดาษให้ดูเลยว่าจะเอาแบบไหนบ้าง  ก็เลยใช้เวลาแค่แปปเดียว


ตอนนั้นจำได้ว่าใส่แค่เสื้อแขนยาวตัวเดียว ตอนอยู่ในสนามบินมันก็ชิวอยู่  พอจะเดินไปขึ้นรถไฟเท่านั้นแหละ  เปิดกระเป๋าหาเสื้อกันหนาวอย่างไว  

คืออุณหภูมิมันก็ไม่ได้หนาวมากนะ  แต่ถ้าเปรียบเทียบกับไทย  มันก็หนาววววแหละ 







Create Date : 03 กันยายน 2561
Last Update : 28 ตุลาคม 2561 17:24:05 น.
Counter : 397 Pageviews.

0 comment
กว่าจะได้เดินทาง ก็ตกงานอีกแล้ว


    หลังจากมึนๆ งง  ๆ  วางแผนอยู่หลายเดือน     ใกล้ถึงวันเดินทางแล้ว  ตื่นเต้นมากๆ เพราะนี่คือการไปญีปุ่น ครั้งแรกของเรา   แต่ก่อนถึงวันเดินทางขอเล่าเรื่องอื่นก่อนสักนิดนึง 

     ตอนนั้นเราทำงานมาได้สามเดือนแล้ว  ทุกๆวันท่ี่เงินเดือนออก  เราก็แบ่งเอาเงินส่วนนึงไปแลกไว้    ตอนแรกเรากังวลมาก  เนื่องจากจะมีปัญหามั้ย เรื่องวันลา  เพราะต้องลา ตั้ง 4  วัน  แต่ตอนสัมภาษณ์งานก็บอกเจ้านายไว้แล้ว  เจ้านายก็โอเคไม่มีปัญหาอะไร  เค้าบอกว่าใกล้ๆ ค่อยบอกเค้าอีกทีนะ ( เป็นบริษัทเล็กๆ )

     เดือนพฤศจิกายน  ยิ่งทวีความตื่นเต้น 55 จะได้ไปเที่ยวแล้วเว้ยยยย   แต่เงินเดือนของเดือน พ.ย. มันจะไปออกช่วงวันที่ 2-3  ไม่ก็ 4  ธ.ค. เลย  ก็คิดไว้ว่าสงสัยต้องรูดจากบัตรเอา เพราะแลกไม่ทัน  เงินมันคงไปออก ตอนเราอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว   

     แต่แล้วสิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น !!!!!    วันนั้นเจ้านายเข้ามาที่ออฟฟิศ และ เรียกเรากับ พี่อีกคนไปคุย  เราก็ได้รับข่าวร้ายว่า "  ที่บริษัทมีปัญหานิดหน่อย  เจ้านายไม่สามารถจ้างเราต่อไปได้  เพราะมีปัญหาทางด้านการเงิน  ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป  เราไม่ต้องไปทำงานแล้ว  "   ช็อค  ช็อค และ ช็อค สิคะ 


     ตอนนั้น  ทุกอย่างเหมือนดับวูบ  แต่เราก็พอรู้สถานการณ์อยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้  โถ่ เพิ่งทำงานได้สามเดือนแท้ ๆ  ตกงานอีกแล้วหรอวะเนี่ย   และสิ่งที่ช็อคไปกว่านั้นคือ  เจ้านายบอกว่าเงินเดือนของเดือนตุลาที่ผ่านมาเนี่ย ขอจ่ายส่วนหนึ่งก่อน  อีกส่วนจะจ่ายให้ ตอนวันที่ 28  พฤศจิกา  ไม่ต้องกลัวเค้าโกงนะ 

 จริงๆก็มีลางก่อนเจ้านายจะมาแล้วแหละ  วันนี้เร่งงานทุกอย่างให้เสร็จ   ว่าแล้วเชียว มันแปลกๆ  เพราะเค้าโทรมาบอกให้รอก่อน  มีเรื่องจะคุย  

   ส่วนเราคุยเสร็จจะร้องไห้ แต่ ร้องไม่ออก  รู้สึกว่าทำไมชีวิตมันซวยอะไรขนาดนี้วะ   ตกงาน และ ต้องออกมาแบบยังไม่ได้เงิน  และไม่ได้ชดเชยอะไร   กลับมาบ้านบอกแม่  แม่ก็บอกเออ หาใหม่ๆ  ( จริงๆเราควรจะต้องดีใจนะ  เพราะหลายๆอย่างที่เราเจอ และ เราคิดว่าที่อื่น ไม่น่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ ๆ  ) 

   เราเชื่อในตัวเจ้านายแหละ ว่าเค้าจะไม่โกง แต่อีกใจก็ลังเล  ว่าจะโกงมั้ยวะ  เราจะไม่ทวงจนกว่า จะถึงวันนัด   ซึ่งมันก็ใกล้กับวันเดินทางแล้วด้วย  

      และ เมื่อถึงวันนัดรับเงิน  เรารอตั้งแต่เช้า  จน เย็น  ไม่มีเงินเข้ามาเลย  เราเลยถามเจ้านายไปว่าลืม รึเปล่า คำตอบคือ ไม่ได้ลืม แต่โอนไม่ได้เพราะเกินโควต้าโอนเงินของวันนี้ ..... แมร่งงงงง !!!  เริ่มใจไม่ดีละ    นัดไม่เป็นนัดแบบนี้ไม่โอเค    เราเลยบอกเค้าไปว่าต้องใช้เงิน  รบกวนขอพรุ่งนี้ตอนเช้าด้วย    

     เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เราคิดสารพัด  จำนวนเงินก็ไม่เยอะนะ  แต่มันก็ไม่น้อยแหละ    ถ้าไม่จ่ายชั้นจะฟ้องศาลแรงงาน  นู่น นี่ นั่น   คิดไปไกลมาก  


     จนเช้าก็ยังไม่โอนมา  เริ่มใจเสียหนักเข้าไปใหญ่  เลยต้องทวงไปอีกที  และ ในที่สุดเราก็ได้เงินเดือนของเรามา  


      เห้อ!!! ไม่รู้ว่าจะเป็นการไปเที่ยวแบบมีความสุข หรือ มีความทุกข์กันแน่  







Create Date : 03 กันยายน 2561
Last Update : 3 กันยายน 2561 16:15:45 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comment
1  2  

cochonelle
Location :
Île-de-France  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]



New Comments