" ความฝันไม่เคยหายไปจากเรา เรานั้นแหละที่หายไปจากความฝัน "
 
 

รัฐบาลกำลังเล่นเกมส์ เสี่ยง หรือเปล่า?

พื้นที่สื่อ ณ ตอนนี้ เกินกว่าครึ่งเป็นเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษฯ เพราะทั้งเป็นกระแสที่มาแรง และมีคนสนใจอยู่มากเพราะมันถูกทำให้บริโภคง่าย ๆ ด้วย ตัวละครเอกเดิม ที่คุณก็รู้ว่าใคร พ.ร.บ. นิรโทษฯ นี้จึงจุดกระแสอย่างรวดเร็วจนความสนใจของทุกคนพุ่งมาที่ พ.ร.บ. นิรโทษฯ นี้ ลืมเรื่องอื่น ๆ ไปชั่วขณะ 
เช่น การแก้ไข รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศให้ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา, ปัญหายางพารา, ปัญหาจำนำข้าว หรือ การตัดสินคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลกซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งตรงกับวันที่ วิปวุฒิสภา จะหารือกันในเรื่อง พ.ร.บ. พอดี

นอกจากนี้ ยังสามารถวันกระแสความเคลื่อนไหวของประชาชน และของกลุ่มต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะการแยกแยะว่า กลุ่มไหนที่มุ่งเรื่อง พ.ร.บ. กลุ่มไหนที่ มุ่งล้มรัฐบาล  ท้ายสุด เมื่อ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ถูกให้กลับไปพิจารณา 180 วัน แล้วกลับไปใช้ร่างเริ่มต้นของ ส.ส.วรชัย พ.ร.บ. นี้ก็จะมีโอกาสที่ผ่านสภาได้ง่ายขึ้น และเมื่อประกาศใช้ ก็จะได้ประโยชน์ ในห้วงที่ต้องเริ่มเตรียมการเลือกตั้งใหม่พอดี แถมด้วยวาระซ่อนเร้นไว้หลายประการทั้งในตอนนี้ และในอนาคตอีกหลายอย่างที่สามารถทำได้  

งานนี้ถึงจะเสี่ยง แต่รัฐบาลคิดว่า เอาอยู่ เพราะสิ่งที่จะได้กลับมาในอนาคต มันคุ้มที่จะเสี่ยง นั่นเอง




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 0:21:09 น.   
Counter : 284 Pageviews.  


พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ฉบับ พ.ศ..... (2556)

แล้วประเด็นเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ก็เป็นประเด็นที่พูดกันสนุกปากไ
คัดค้านกันไปตามกระแสที่ นักการเมืองสุดซอย และนักวิชาการสุดซอยทั้งหลาย มาพูดกรอกหู
จะมีคนที่คัดค้าน ซักกี่คนที่รู้ว่า พ.ร.บ.นี้มีกี่ มาตรา เขียนไว้ว่าอย่างไร และมีที่มาอย่างไร

ถ้าคิดจะคัดค้านแล้ว เราควรคัดค้านให้ถูกประเด็น ไม่ใช่คัดค้าน พ.ร.บ. นี้เพราะเรื่อง
ล้างผิดคนโกง หรือ เอาทักษิณ กลับบ้าน
เพราะ พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ในอดีตที่ผ่านมา ก็มุ่งเน้นให้ล้างผิดยกเข่ง ไม่แตกต่างกัน
แล้วก็พบว่า ความขัดแย้ง ก็ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย แต่ถ้าพิจารณากันแล้ว
มันกลับเป็น การละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างที่สุด ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงกับประชาชน กลับไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ แล้วเหตุเหล่านั้น ก็เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า และกำลังจะเกิดอีกครัั้ง
ในร่างที่แก้ไขโดยกรรมมาธิการนี

ดังนั้น ถ้าจะต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ฉบับ พ.ศ.... นี้แล้ว ควรต้านที่ ประเด็น ละเมิดสิทธิมนุษยชนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น แล้ว คนที่ออกมาต้าน ออกมาชุมนุม ก็จะกลายเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือ
ของนักการเมืองสุดซอย และนักวิชาการสุดซอย ที่ปลุกเอาความโกรธ ความเกลียด จากประเด็นนี้
มาเป็นเหตุในการเคลื่อนไหว จนอาจเป็นการชุมนุม ที่ส่งผลให้เกิดความรุนแรง เหมือนในอดีต แล้วก็ต้องร่าง พ.ร.บ. นิรโทษฯ เพื่อ นิรโทษกรรม ผู้ชุมนุมต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ขึ้นอีกฉบับ เป็นวังวนไปไม่รู้จบสิ้น ตราบใดที่ คนไทย ส่วนใหญ่ ยังไม่ตาสว่าง กันเสียที

แถลงการณ์ เรื่อง ความเห็นทางกฎหมายต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ของ
กลุ่ม สิทธมนุษยชน
//www.naksit.org/2012-02-03-08-40-11/2012-02-03-09-22-49/42-2012-02-23-09-13-43/457-2013-10-30-08-51-47.html

พ.ร.บ. นิรโทษกรรม มีใช้มาแล้ว 23 ฉบับ
//hilight.kapook.com/view/89598 ใช้ทำอะไรบ้าง kapook รวมไว้ให้

ฉบับจริง ทั้ง 23 ฉบับ อ่านได้ที่นี่
//www.lawreform.go.th/lawreform/index.php?option=com_lawreform&task=showlaw&hidemainmenu=1&lid=316&gid=6&Itemid=18

ส่วนนี่เป็นร่างแรกของ วรชัย เหมะ
//hilight.kapook.com/view/89551

และนี้เป็นร่างที่แก้ไขโดยกรรมาธิการ
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383125512&grpid&catid=12&subcatid=1200

ซึ่ง เมื่อถูกแก้ในมาตรา 3 แล้ว ทำให้ พ.ร.บ. นิรโทรกรรมฯ ฉบับ พ.ศ... ที่เป็นประเด็นกันอยู่นี้
ละเมิดสิทธิมนุษย์ชน ตามเอกสารของสมาคมนักกฏหมายมนุษย์ชน นั่นเอง




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 0:21:29 น.   
Counter : 124 Pageviews.  


คนสังคมไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปในทางที่ .....เห็นแต่ตัว

ถ้าใครสังเกตุเหตุการณ์ในช่วงหลายปีที่่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่พัฒนาจนเห็นได้ชัดเจนในสังคมไทยปัจจุบันนี้ก็คือ ความเห็นแต่ตัวเอง ซึ่งเจ้า ความเห็นแต่ตัวเอง นี่แหละที่กำลังกัดแทะสังคมไทยให้ค่อย ๆ สลายลงที่ละเล็กละน้อย ด้วยการทำให้เรา มองดูคนที่คิดไม่เหมือนตัวเราเป็นคนที่เลวร้าย เป็นคนที่ผิด และไม่สามารถอยู่ร่วมสังคมกันได้ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ เช่น

คนที่ทำผิดกฏหมาย ผิดระเบียบ กลับบอกว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะประท้วงด้วยวิธีที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้อง

คนที่ไร้จรรยาบรรณในอาชีพ กลับเป็นคนด่าคนที่มีจรรยาบรรณในอาชีพ ว่าไร้จรรยาบรรณ

คนที่ประพฤติไม่ถูกต้อง กลับบอกว่าคนที่ทำถูกต้อง ประพฤติไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม

คนที่ด่าคนอื่นแบบสาดเสียเทเสีย กลับบอกว่าคนอื่นละเมิดสิทธิตัวเอง และตนเองเป็นฝ่ายเสียหาย

คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ และความเกลียด กลับบอกว่าคนที่ไม่โกรธ ไม่เกลียด ตามตนเอง เป็นคนเลวของสังคม

คนที่ตัวสำคัญของความวุ่นวายในสังคม กลับบอกว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองนั้นแหละที่สร้างความวุ่นวายในสังคม

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ มักจะถูกใจคนที่คิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน จนทำให้ "เรื่องที่ถูกใจ กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้" แล้วผลักให้คนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับตนเองว่า เป็นคนที่ "เห็นแก่ตัวเองและพวกพ้อง"

เมื่อสังคมไทย มีคนที่มองเห็นแต่ตัวเอง เพราะหลงคิดว่าตัวเองศิวิไล ลืมกำพืดในอดีต พลัดหลงอยู่ในกิเลส มีจินตนาการอันเลวร้าย ตื่นตระหนกตลอดเวลา และทำตัวเองเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีพัฒนาการที่ซับซ้อนมากขึ้น จนเป็นสังคมของ คนเห็นแต่ตัว บ้านเมืองจึงต้องวุ่นวายเหมือนเช่นที่ผ่านมา และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน

นาน...จนกว่าผู้คนเหล่านี้ จะได้รับตาที่เห็นธรรม เห็นความจริงนั้นแหละ สังคมก็จะสงบร่มเย็นได้อีกครา




 

Create Date : 27 มกราคม 2555   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 0:21:43 น.   
Counter : 219 Pageviews.  


ตาบอดยังไม่ทันคลำช้าง กับคนไทยในโลกการเมือง และเรื่องการปรองดอง

ถ้าใครที่เคยได้ยินเรื่องตาบอดคลำช้าง คงจะเห็นภาพของคนไทยมายมาย รวมไปทั้งคนในสื่อหลัก และสื่อใหม่
ที่ตกอยู่ในสภาพ ตาบอดคลำช้าง มานานหลายปี จนสั่งสมความเชื่อและอารมณ์มากพอที่ "ตาบอดยังไม่ทันคลำช้าง"
ก็สรุปว่ามันคือ "ความจริง" ไปเสียแล้ว

ถ้าใครไม่เคยได้ยินเรื่องตาบอดคำช้าง ก็ขอสรุปให้ฟังสั้น ๆ ว่า ได้มีเรื่องเล่า ถึงเจ้าเมืองที่ให้คนตาบอด
ห้าคนที่ไม่เคยรู้จักช้างมาก่อนมาคลำช้าง โดยให้แต่ละคนไปอยู่แต่ละส่วนของตัวช้าง
คนที่อยู่ตรงหัวพอคลำไปก็บอกว่า อ๋อ ช้างก็คืออะไรที่กลม ๆ แข็ง ๆ แล้วก็มีขนาดใหญ่
คนที่คลำตรงใบหูก็บอกว่าช้างนี่มันแบน ๆ เป็นแผ่นต่างหาก
คนที่คลำตรงขา ก็บอกว่าช้างเป็นแท่งกลมสูง
คนที่คลำตรงหาง ก็บอกว่าช้างเป็นเส้นเล็ก ๆ มีขน ๆ ตรงปลาย
คนที่คลำตรงงวง ก็บอกว่าช้างเป็นท่อนกลมงอ ๆ

แล้วแต่ละคนก็เถียงกันว่าของตัวเองถูกต้องและเป็นความจริงอย่างที่สุด

มาถึงเวลานี้ แค่ตาบอดคลำช้างคงยังไม่ใช่นิยามของคนไทยหลายคนในยุคนี้
เพราะ ตาบอดยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปคลำช้าง พอมีคนตะโกนบอกว่า ช้างมันเป็นสี่เหลี่ยม ก็เชื่อและพร้อมจะเถียง
คอเป็นเอ็นแล้วว่าช้างมันเป็นสี่เหลี่ยม โดยยังไม่ทันยื่นมือไปคลำด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าตาบอดนั้นเป็นสื่อสารมวลชน หรือคนที่สามารถพูดในวงกว้าง ก็จะยิ่งแล้วกันไปใหญ่

แต่สิ่งที่หน้ากลัวที่สุด ก็คือ คนที่ตาไม่บอดแต่เสี้ยมคนตาบอดให้รับรู้และเชื่อไปตามที่ตนเองอยากจะให้เชื่อนี่แหละ

ดังนั้น เรื่องการปรองดองและความสงบในประเทศไทย คงไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย หากเราคนไทยยังทำตัวเป็น
ตาบอดไม่คลำช้างอยู่แบบนี้ ทั้งที่ การคลำช้างทั้งตัวในยุคนี้ช่างง่ายกว่าแต่ก่อนมากมายนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเข้าทางการแบกแย่งแล้วปกครองของนักการเมือง และนักปกครองโดยสมบูรณ์

"การทำให้ ประชาชน หลงเชื่อในสิ่งที่อยากให้เชื่อ ว่ามันเป็นความจริงแท้ได้
ย่อมเป็นเครื่องรับประกันความมั่นคงในการปกครองของเหล่าทรราชย์"




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 0:22:00 น.   
Counter : 205 Pageviews.  


จากอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ..... กลายเป็นอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ให้ พ ต ท ทักษิณ ชินวัตร

ถ้าผมถือ พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ.๒๕๕๓ ไม่ผิดฉบับซึ่งน่าจะเป็นฉบับนี้

//www.correct.go.th/correct2009/upload/files/information/53/150553-1.pdf

กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มามอบตัวให้คุมขังหรือกักขัง ก่อนวันประกาศ พ.ร.ฎ. ก็จะไม่เข้าข่ายอภัยโทษ
ไม่เช่นนั้น จำเป็นต้องแก้ มาตรา ๔ ใหม่ ในร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ........

ผมยังสงสัยที่สื่อ และนักการเมืองพยายามปั่นกระแสทำให้เป็นเรื่องลับแล้วก็กลายเป็น ลับ ลับ ล่อ ล่อ
โดยเฉพาะข้อความต่าง ๆ ที่เห็นอยู่ในสื่อว่าตัดอย่างโนน่อย่างนี้ โดยเฉพาะประโยค"ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่น” หรืออะไรต่อมิอะไร กลายเป็นการพูดไปตามคนแรก ๆ ที่พูดมา
ซึ่งมีอยู่ใน พ.ร.ฎ. หรือไม่ ไม่ชัดเจน

ทำให้ ร่างพระราชกฤษฏีกาอภัยโทษ พ.ศ...... ซึ่งมีหลายคน หลายครอบครัว รอความหวังอยู่นั้น ถูกจูงให้เป็น
ร่างพระราชกฤษฏีกาอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปซะภายในเวลาไม่เกิน ๒๔ ช.ม.

ปลุกกระแสให้คนต้องการจะคัดค้าน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าหากไม่ออก พ.ร.ฎ. นี้จะมีคนเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน
โดยหารู้ไม่ว่ามันเป็นเกมส์การเมืองอย่างหนึ่งในยุคที่สื่อหลัก ไม่แข็งแรง ประชาชนไม่เข้มแข็ง และเชื่อถือในสื่อใหม่มากขึ้น
ทำให้การปล่อยข่าว เพื่อสร้างกระแสเพียงเล็กน้อย กระตุ้นอารมณ์ และปลุกระดม ก็สามารถนำคน ออกมายึด ราชประสงค์ ยึดสนามบินได้ โดยไม่สนใจว่า ใครจะเดือดร้อน หรือประเทศจะเสียหายขนาดไหน เพราะหลงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องและดีต่อประเทศ

ถ้าการเมืองยังสามารถเดินเกมส์ครอบงำ ผู้คนได้เช่นนี้ทั้งในรูปแบบ และนอกรูปแบบ ประชาชนก็กลายเป็นแค่เบี้ย
ที่ทำทุกอย่างตามสิ่งที่ฝ่ายการเมืองต้องการ โดยหลงคิดว่าเป็นความถูกต้องและเป็นความต้องการของตัวเอง

น่าสงสารประเทศไทย

"เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันไหวหรือไม่นะ"




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 27 มกราคม 2555 5:06:42 น.   
Counter : 288 Pageviews.  


1  2  3  4  5  

ชิวหา
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้"
[Add ชิวหา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com