|
นกกระจิบหญ้าอกเทา
นกกระจิบหญ้าอกเทา Prinia hodgsonii ( Grey-breasted Prinia ) เป็นนกตัวเล็กหางยาวที่พบอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 12 เซนติเมตร
ในชุดขนปรกติ นกจะมีคิ้วขาวสี ขนคลุมลำตัวด้านบนมีสีออกน้ำตาล ขนคลุมลำตัวด้านล่างสีอ่อน ในชุดขนฤดูผสมพันธุ์(ดังภาพ) หัวของนกจะมีสีน้ำตาลอมเทา ไม่มีคิ้ว อกมีแถบกว้างสีเทา และมีวงรอบตาสีส้ม นกวัยอ่อนมีชุดขนคล้ายนกผู้ใหญ่นอกฤดูผสมพันธุ์แต่หัวมีสีออกส้มแดง นกตัวผู้และตัวเมียมีชุดขนเหมือนกัน
นกชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยตามป่าละเมาะ ทุ่งหญ้า ป่าโปร่ง ทำรังในกอหญ้าเป็นรูปถ้วยหรือกระเป๋า วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง อาหารของนกชนิดนี้คือแมลงเช่นเดียวกับนกในเหล่านกกระจิบหญ้าอื่นๆ
สำหรับประเทศไทยมักพบตามทุ่งหญ้า ข้างทางที่เป็นป่าละเมาะ ป่าชั้นรอง จากที่ราบจนถึงความสูง 1500เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ง่ายมากของประเทศไทย โดยพบทุกภาคเว้นภาคใต้และภาคกลางในบางพื้นที่ นกในบล็อกนี้ถ่ายภาพมาจากอ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี
ข้อมูลจาก :
//en.wikipedia.org/wiki/Prinia_hodgsonii
หนังสือ A Guide to the Birds of Thailand โดย นายแพทย์ บุญส่ง เลขะกุล และ ฟิลิป ดี. ราวนด์
Create Date : 01 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 1 สิงหาคม 2550 19:43:53 น. |
Counter : 4276 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกแอ่นทุ่งใหญ่
นกแอ่นทุ่งใหญ่ Glareola maldivarum (Oriental Pratincole) มีจุดเด่นที่โคนปากสีแดงสดใส ปลายปากดำ และมีเส้นสีดำลากจากใต้ตาทั้งสองข้างลงมาบรรจบกันที่คอ มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 23-24เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกันแต่ตัวผู้จะตัวโตกว่าเล็กน้อย สีสันโดยรวมของนกชนิดนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำตัวด้านล่างสีอ่อนกว่าลำตัวด้านบน ขาสั้น ปีกยาวปลายแหลมและหางเป็นแฉกเหมือนหางปลา
นกเด็กลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยแต่ปากไม่มีสีแดง ไม่มีสร้อยคอสีดำและขนบริเวณลำตัวด้านบนเป็นลายพร้อยไปทั้งตัว แม้ว่านกชนิดนี้เป็นนกท่องน้ำ(wader) ชนิดหนึ่ง แต่กลับบินหาอาหารเหมือนพวกนกนางแอ่น อย่างไรก็ตามนกแอ่นทุ่งใหญ่สามารถเดินหาอาหารบนพื้นดินอย่างคล่องแคล่วด้วยเช่นกัน
เรามักพบนกชนิดนี้ตามท้องนา หรือทุ่งโล่ง โดยมักพบเป็นฝูง ออกหากินในเวลาโพล้เพล้ เวลากลางวันนกจะยืนพักผ่อนอยู่ตามพื้นดิน แต่อาจหาตัวได้ยากเพราะนกมีสีกลมกลืนกับพื้นดินที่ยืนอยู่ อาหารของนกชนิดนี้คือแมลงต่างๆที่บินอยู่กลางอากาศ นกสามารถโฉบจับอาหารได้รวดเร็วมากเพราะมีปีกที่กว้างและปลายปีกแหลม ทำให้บินได้เร็ว ปากที่อ้าได้กว้างก็ทำให้งับแมลงได้อย่างรวดเร็วด้วย แมลงที่มักเป็นอาหารของนกชนิดนี้ได้แก่ตั๊กแตน ผีเสื้อกลางคืน แมลงเม่า แมลงปอ เป็นต้น
นกแอ่นทุ่งใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกีนี ออสเตรเลียและหมู่เกาะทางมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ในช่วงฤดูหนาว นกจะบินอพยพมายังประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อทำรังวางไข่ เลี้ยงดูลูกอ่อนจนโตพอที่จะเดินทางได้ก็จะเดินทางลงใต้ในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นกที่อพยพมาจากประเทศทางเหนือเริ่มทยอยเดินทางมาถึงเมืองไทย
ราวเดือนมีนาคม นกแอ่นทุ่งใหญ่ที่เดินทางมาถึงแล้วก็จะจับคู่ผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ นกตัวผู้จะร้องเกี้ยวพาราสีนำตัวเมียกันเซ็งแซ่ เพราะจะจับคู่ทำรังในบริเวณเดียวกัน นกเลือกแอ่งดินแห้งๆเส้นผ่านศูนย์กลางราว 10 เซนติเมตร ซึ่งแอ่งนั้นมักเกิดจากรอยเท้าควายนั่นเอง นกบางตัวจะคาบเอาหญ้าแห้งมารองรัง แต่ส่วนใหญ่จะวางไข่บนแอ่งดินไปเลย นกวางไข่ครอกละ 2-3 ฟอง ไข่ขนาด 30.8-23.9 มม. เปลือกไข่สีเหลืองแกมเทาหรือสีเนื้อมีจุดกระสีดำหรือเทาทั่วทั้งฟอง นกทั้งสองเพศช่วยกันกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ใช้เวลากกไข่ราว 18 วัน ลูกนกเกิดมามีขนอุยปกคลุมตัว เมื่อขนแห้งก็เดินหรือวิ่งได้เลย พ่อแม่จะขยอกอาหารออกมาให้ลูกกินจนกว่าจะโตพอพร้อมหัดบิน เมื่อลูกนกโตเกือบเต็มวัยก็จะไปรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่
อย่างไรก็ตาม นอกจากประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านแล้ว นกชนิดนี้ยังทำรังวางไข่ในเอเชียตะวันออกตั้งแต่ไซบีเรียตอนกลาง ตอนใต้ของมองโกเลีย จีนตอนกลาง ตะวันตก เกาะไหหลำ บังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน หมู่เกาะมัลดีฟส์ หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ มลายูและหมู่เกาะลูซอนของฟิลิปปินส์ด้วย
สำหรับประเทศไทย นกชนิดนี้เป็นนกที่อพยพเข้ามาทำรังวางไข่ในช่วงหน้าแล้ง และอพยพกลับไปในช่วงต้นฤดูหนาวเมื่อลูกโตพอที่จะบินได้แล้ว พบได้ทั่วทุกภาคที่มีสภาพที่เหมาะสมคือเป็นทุ่งนา ทุ่งโล่ง เขตเกษตรกรรมสำหรับนกที่ถ่ายภาพมานี้หากินอยู่บริเวณท้องนาอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ข้อมูลจาก :
//www.bird-home.com //en.wikipedia.org/wiki/Oriental_Pratincole
Create Date : 26 กรกฎาคม 2550 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2550 13:46:01 น. |
Counter : 5368 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกจาบฝนปีกแดง
นกจาบฝนปีกแดง Mirafra marionae ( Indochinese Bushlark ) เป็นนกจาบฝนหนึ่งในสามชนิดที่พบในประเทศไทย และเป็นชนิดที่หาพบได้ง่ายที่สุด
นกชนิดนี้มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 14-15 เซนติเมตร รูปร่างค่อนข้างจะอวบกว่านกจาบฝนชนิดอื่นๆ ปากไม่หนามากอย่างนกจาบฝนเสียงใส(Australasian Bushlark) ขอบหางไม่ขาวอย่างอีกสองชนิด ขีดสีเข้มบริเวณหน้าอกหนาและเข้มกว่านกจาบฝนชนิดอื่นๆ คอและลำตัวด้านล่างสีอ่อน ลำตัวด้านบนสีออกน้ำตาล นกทั้งสองเพศคล้ายคลึงกัน
ช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคมเป็นช่วงทำรังวางไข่ของนกชนิดนี้ นกทำรังบนพื้นดินหรือโคนกอหญ้า ใช้วัสดุจำพวกหญ้าแห้งทำเป็นรูปโดมกว้างราว7-8 เซนติเมตร วางไข่ครอกละ2-3ฟอง ขนาดไข่14 x 19มม. นกทั้งสองเพศช่วยกันทำรัง กกไข่ เลี้ยงลูกอ่อนโดยใช้เวลาฟักไข่ราว 12 วัน และลูกนกอยู่ในรังต่อไปอีกราว13-14 วัน
นกจาบฝนปีกแดงกินอาหารจำพวกหนอน แมลง เมล็ดพืช เมล็ดหญ้า จึงมักพบอาศัยตาม ทุ่งหญ้า ที่โล่งๆแห้งแล้ง พื้นที่เกษตรกรรม นกมักเกาะร้องตามสายไฟฟ้า ตอไม้ เสา และมักบินขึ้นสูง กางปีกออก แล้วทิ้งตัวลงมาเพื่อประกาศอาณาเขต และเกี้ยวพาราสีตัวเมีย เราจะพบนกชนิดนี้ได้ในประเทศแถบอินโดจีน ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคเว้นภาคใต้ เป็นนกประจำถิ่นที่พบบ่อย
นกจาบฝนปีกแดงในภาพนี้ถ่ายมาจากอ่างเก็บน้ำบางพระเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พ่อแม่นกกำลังหาอาหารมาป้อนลูกนก และภาพข้างล่างนี้คือนกที่ยังโตไม่เต็มวัย
ข้อมูลจาก : //www.bird-home.com
Create Date : 11 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2550 20:09:30 น. |
Counter : 4442 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|