ตะลุยดินแดนเสาหลักยุทธภพ ไหว้พระวัดเส้าหลิน (Shaolin Temple: 少林寺) ตอน 3

            วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีน ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ตามที่เราได้ชมการแสดงวิทยายุทธกันในบล็อกที่ผ่านมา
 
 
           เมื่อเราออกจากอาคารที่แสดงวิทยายุทธ แล้วเราจะผ่านรูปปั้นปรมาจารย์ตั๊กม้อ คำว่า "ตั๊กม้อ" คือภาษาจีนเมื่อใช้ออกเสียงแทนคำว่า "ธรรมะ" ปรมาจารย์ตั๊กม้อในหนังจีน ก็คือท่านโพธิธรรมะ ท่านเป็นพระภิกษุจากอินเดียใต้ที่จาริกไปเผยแผ่พุทธศาสนาถึงประเทศจีนในสมัยพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่ (ประมาณ พ.ศ.1067) ถือว่าท่านโพธิธรรมะเป็นพระสังฆปรินายกองค์แรกในจีน
 

               เดินผ่านส่วนหย่อมที่ร่มรื่น สองฝั่งเรียงรายไปด้วยรูปป้้นหลวงจีนในท่าทางการแสดงวิทยายุทธต่าง ๆ เป็นจุดพักผ่อนระหว่างทาง ก่อนที่จะเดินทางไปยังประตูวัดเส้าหลินชั้นใน
 
 
 
 
 
           ที่ประตูวัดเส้าหลินชั้นในแห่งนี้ เป็นประตูวัดเส้าหลินเดิม ที่เราคุ้นเคยกันในภาพยนต์จีนกำลังภายใน จากจุดนี้ที่เคยเป็นที่ชุมนุมจอมยุทธทั้งหลาย กาลเวลาได้เปลี่ยนมาเป็นแหล่งชุมนุมของนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ที่หลั่งไหลมาชมกลิ่นอายบรรยากาศในยุคบู้ลิ้ม
 
 
            ซึ่งเมื่อผ่านซุ้มประตูวัดเข้ามา จะสัมผัสได้กับบรรยากาศแห่งเสี้ยวลิ้มยี่อันขรึมขลังโดยทางเดินที่ทอดยาวเบื้องหน้านั้น เรียงรายไปด้วยต้นแปะก๊วยโบราณที่ขึ้นขนาบอยู่ 2 ข้างทางมีบรรพบุรษต้นแปะก๊วย อายุกว่า 1,200 ปีขึ้นโดดเด่นอยู่ที่ปลายทางด้านขวามือ โดยทางเดินได้ทอดตัวสู่ วิหารเทวราช” ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณส่วนด้านซ้ายมือเป็นหอกลอง ด้านขวามือเป็นหอระฆัง
 
 
 
 
            ภายในวัดจะมีรูปปั้นสัตว์มงคลตามตำนานเทพเจ้าจีนมีร่างกายเป็นเต่าแต่มีส่วนหัวเป็นมังกรเรียกว่า "ปี่ซี" ตามตำนานปีซีนั้น มีความแข็งแรงซุกซนและดื้อดึง จึงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฏรเป็นอย่างมากจนเรื่องทราบถึงเจ้าแม่กวนอิม จึงเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อปราบปรามความซุกซนของปี่ซีด้วยการใช้แผ่นหินขนาดใหญ่ทับไว้บนหลังเพื่อให้ฟังพระสวดมนต์และคำสอนของพุทธศาสนารูปสลักปี่ซีในบริเวณวัดเส้าหลินจึงมักปรากฏอยู่ใกล้ๆกับกระถางธูปสำริดตามความเชื่อแต่โบราณเพื่อให้ปีซีได้กลิ่นธูปและฟังเสียงพระสวดมนต์
 

 ชาวจีนนิยมเดินทางมาวัดเส้าหลินและขอพรจากปีซีด้วยการใช้มือลูบคลำไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่นถ้าลูบบริเวณส่วนหัวของปีซีเชื่อว่าจะโชคดีถ้าลูบบริเวณลำคอเชื่อว่าจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และอายุยืนยาว ถ้าลูบไปตามซี่ฟันแหลมคมเชื่อว่าจะมีโชคลาภ อำนาจวาสนาและทรัพย์สินแต่สำหรับผู้ที่มีบุตรยากหรือต้องการจะมีบุตร ให้ลูบบริเวณทางด้านส่วนหลังของปีซีซึ่งเชื่อกันว่าจะได้บุตรสมตามความปรารถนา ด้วยเหตุนี้ตัวปี้ซีส่วนใหญ่จึงถูกลูบคลำกันจนมันแผล็บ

 แต่ปัจจุบันสำหรับรุ่นใหม่นั้น ตัวปี้ซีคือแบบถ่ายรูปชั้นเยี่ยมที่นิยมไปยืนถ่ายรูปคู่กับปี้ซี และที่เห็นประจำคือตัวปี้ซีกลายเป็นเก้าอี้ชั้นดี ใช้นั่งใช้ขี่กันอย่างสนุกสนาน

 
             สู่ไฮไลท์แห่งวัดเส้าหลิน ที่ วิหารตั๊กม้อหรือวิหารเจ้าอาวาส” จะเป็นฉากที่เราคุ้นตาในหนังกำลังภายในและในยุทธจักรนิยายมากมายภายในวิหารนอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปตามแบบมหายานแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีก 2 จุดในวิหารตั๊กม๊อ ก็คือทางด้านซ้ายมือสุดจะมีรูปปั้นหลวงจีนกั๊กเอี้ยง” ยืนโดดเด่นท่านผู้นี้เป็นยอดหลวงจีนที่งำประกายตัวเองด้วยการเป็นพระพ่อครัวและเป็นผู้คิดค้นกระบวนท่า 18 อรหันต์ ก่อนที่จะพาเตียซำฮง” อดีตศิษย์ตัวน้อยแห่งเส้าหลินออกไปฝึกปรือวิทยายุทธ์ จนท่านเตียซำฮง กลายเป็นยอดจอมยุทธ์และไปเปิด สำนักบู๊ตึ้ง” อันลือลั่น
 
 
        ส่วนทางขวามือสุดยังมีรูปปั้นของท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อที่หน้าตาขึงขัง หนวดเคราครึ้มยืนสะพายง้าว และม้วนคัมภีร์โดดเด่นอยู่ ภายในวิหารยังมีรูปปั้นของ 18 อรหันต์อยู่ด้วย หากสังเกตดีๆ ที่พื้นในวิหารจะดูเป็นหลุมเป็นบ่อซึ่งหากใครไม่รู้อาจจะนึกว่าพื้นทรุดแต่จริงๆ แล้วที่นี่ในอดีตคือสถานที่ฝึกเพลงยุทธ์ของ 18 อรหันต์ทองคำวัดเส้าหลิน
 
 
 
           กระถางธูปหน้า วิหารตั๊กม้อหรือ วิหารเจ้าอาวาส”  นี้ จะมีควันธูปพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแรงศรัทธาของเหล่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนวัดเส้าหลินแห่งนี้ 
 
 
            ที่เรามาหยุดยืนดูวัตถุสิ่งนี้ด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร เราได้คำตอบว่าที่แท้มันคือหม้อหุงข้าวหรือกระทะสำหรับหุงข้าวสำหรับเลี้ยงพระและเณรในวัดเส้าหลินนี้เอง คิดดูเถิดว่าหม้อใบใหญ่ขนาดนี้จะสามารถเลี้ยงดูคนภายในวัดได้เท่าไหร่กัน
 
 
 
 
 
             จากพื้นที่บริเวณวัดเราเดินทางต่อไปชมเจดีย์ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 200 องค์ ที่เรียกว่าป่าเจดีย์ (The Pagoda Forrest) ซึ่งใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพของอดีตเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินภายหลังมรณะภาพ  ป่าเจดีย์จำนวนมากนั้นมีรูปแบบและลักษณะที่งดงามแตกต่างลดหลั่นกันไปตามแต่ตำแหน่งและฐานะของผู้ที่เสียชีวิตจัดเป็นแหล่งโบราณสถานที่มีวัตถุก่อสร้างทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมอันมีคุณค่า ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้า
 
 
 
        นี่หละครับ ความยิ่งใหญ่อลังการของวัดเส้าหลิน ควรค่าเเห่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบ หากมีโอกาสมายังเมืองเจ้ิ้งโจว หรือมลฑลเหอหนาน อย่าพลาดโอกาสมาเยี่ยมชมนะครับ




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 23 เมษายน 2563 19:56:25 น.   
Counter : 9285 Pageviews.  


ตะลุยดินแดนเสาหลักยุทธภพ ไหว้พระวัดเส้าหลิน (Shaolin Temple: 少林寺) ตอน 2

               วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple: 少林寺) ตั้งอยู่บนยอดเขาเส้าซื่อ (少室) ทางด้านทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน (松山) ในอำเภอเติงเฟิง (Dengfeng) เมืองชานซี มณฑลเหอหนาน รอบคลุมอาณาเขตพื้นที่เกือบทั้งหมดด้วยป่าหรือ "หลิน" (林) ในภาษาจีนกลาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ วัดเส้าหลิน  

 
 
 
              สถานที่ตั้งของวัดเส้าหลินตั้งอยู่กลางระหว่างเมืองเจิ้งโจว (ห่างประมาณ 70 กม.) และเมืองลั่วหยาง (ห่างประมาณ 80 กม.) ซึ่งจากเมืองทั้ง 2 มีรถโดยสารประจำทางสายวัดเส้าหลินวิ่งถึง ในราคา 20 หยวน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.เศษ
 
 
 
 
             สำหรับที่จอดรถไม่ต้องห่วง เพราะว่าทางวัดได้เตรียมที่จอดรถไว้อำนวยความสะดวกอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นข้อดีของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองจีน ที่มีความพร้อมในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก
 
 
 
 
 
              จากบริเวณลานจอดรถที่ใหญ่โต เราเดินชมมาตามทางเดินเท้าที่สองฝั่งมีวิวทิวทัศน์ของยอดเขาอันสวยงาม เพื่อเข้ามาที่ซุ้มประตูใหญ่วัดที่เส้าหลิน ซึ่งน่าจะเป็นซุ้มประตูที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมากๆ และบริเวณลานกว้างนี้เป็นจุดนัดพบ และจุดพักผ่อนถ่ายรูปไปในตัวด้วย
 
 
 
 
 
              อาคารฝั่งขวาและซ้ายของทางเดิน เป็นอาคารทรงโบราณเป็นสถานที่สำหรับขายของที่ระลึก รวมทั้งอาหาร ขนม เพื่อให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ  ทั่วสารทิศ    
 
 
 
            สำหรับราคาค่าบัตรเข้าชมวัดเส้าหลิน ราคา 40 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง คิดเป็นเงินไทยประมาณ 200 บาท (1 หยวน ประมาณ 5 บาท) ในราคานี้รวมถึงการชมการแสดงวิทยายุทธของหลวงจีนวัดเส้าหลินด้วย ซึ่งการแสดงจะมีการแสดงให้ชมเพียงวันละ 2 รอบเท่านั้น คือรอบเช้าเวลา 10.00 น. และรอบบ่ายเวลา 14.00 น. 
 
 
 
 
 
             จากประตูทางเข้าจะมีทางเดินที่สะดวก ได้ชมทิวทัศน์ของ 2 ฝั่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ  น่ารื่นรมย์ อากาศกำลังเย็นสบายเนื่องจากเป็นบริเวณพื้นที่สูงบนยอดเขา
 
 
 
 
 
 
              อาคารที่ใช้ทำการแสดงวิทยายุทธเป็นอาคารขนาดใหญ่โดดเด่น มีบันไดหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงตัวอาคาร ด้านหน้ายังมีรูปปั้น หลวงจีนประลองวิทยายุทธ์ ภายในอาคารสามารถจุผู้เข้าชมได้ประมาณ 1,000 คนต่อรอบการแสดงเลยทีเดียว
 
 
 
 
 
            เราสามารถชมการแสดงวิทยายุทธได้โดยสามารถเลือกที่นั่งชมรอบเวทีการแสดง เพื่อความใกล้ชิด หรือสามารถขึ้นไปชมที่บริเวณชั้นที่ 2 ได้ ซึ่งจะเป็นการชมจากมุมสูงได้ความตื่นเต้นและมองได้ครอบคลุม 360 องศา 
 
 
 
 
             กังฟูเส้าหลินเป็นวิชาที่ว่าด้วยการใช้เทคนิคในการเข้าปะทะต่อสู้เป็นสำคัญมีรูปแบบการร่ายรำ กระบวนยุทธและชั้นเชิงในการต่อสู้เป็นหลักในการฝึกกังฟูจะมีหลักศิลปะกายบริหารที่สืบทอดกันมาแต่โบราณโดยมุ่งเน้นการประสานพลังภายในและภายนอกซึ่งเป็นจุดเด่นโดยเฉพาะของกังฟูกังฟูเส้าหลินเป็นการถ่ายทอดวิชากังฟูแบบโบราณจากรุ่นสู่รุ่นมานานกว่าพันปีการฝึกกังฟูควบคู่กับการศึกษาพระธรรมของหลวงจีนวัดเส้าหลิน
 
 
 
 
 
 
            หลังจากชมการแสดงวิทยายุทธวัดเส้าหลินหรือกังฟูเส้าหลินแล้ว ผมจะพาเข้าไหว้พระและบรรยากาศภายในวัดเส้าหลินต่อไป




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2557   
Last Update : 23 เมษายน 2563 19:56:47 น.   
Counter : 3185 Pageviews.  


ตะลุยดินแดนเสาหลักยุทธภพ ไหว้พระวัดเส้าหลิน (Shaolin Temple: 少林寺) ตอน 1

             วัดเส้าหลินหรือสำนักเส้าหลิน ( Shaolin Temple: 少林寺) หรือ เสี้ยวลิ้มยี่ ชื่อที่คนไทยคุ้นเคยเป็นวัดทางพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีความเก่าแก่อายุมากกว่า 1,500 ปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน หนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน เป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งในด้านของประวัติศาสตร์และในแวดวงยุทธภพ ประกอบด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวน 72 ยอด อยู่ในอำเภอเติงเฟิง เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน

 
 
 
 
 
              วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple: 少林寺) อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง บริเวณรอบ ๆ วัดเส้าหลินเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใช้สำหรับฝึกวิทยายุทธของหลวงจีน รายล้อมด้วยป่าเจดีย์หรือถ่าหลิน ซึ่งเป็นสุสานของอดีตเจ้าอาวาสและหลวงจีน ซึ่งมีมาตั้งแต่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง
 
 
 
 
              วัดเส้าหลิน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1038 ในสมัยของไท่เหอเจ้าผู้ครองรัฐวุ่ยเหนือ ในปี พ.ศ. 929 - พ.ศ. 1077 เนื่องจากตั้งอยู่บนยอดเขาเส้าซื่อ (少室) ทางด้านทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน (松山) ครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่เกือบทั้งหมดด้วยป่าหรือ "หลิน" (林) ในภาษาจีนกลาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ วัดเส้าหลิน  
 
 
 
 
 
             ในยุคสมัยบุกเบิกยังไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ภายหลังจากสร้างขึ้นมาได้ประมาณ 32 ปี ในปี พ.ศ. 1070 พระโพธิธรรมเถระหรือตั๊กม้อ พระภิกษุจากประเทศอินเดีย ได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนานิกายเซนที่วัดเส้าหลินเป็นครั้งแรก อีกทั้งแลเห็นว่าวัดเส้าหลินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสงบร่มรื่น เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมตามนัยของพุทธศาสนานิกายเซน  ปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงเข้าพำนักและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์แรก ทำให้ชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน อยู่ในฐานะเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธนิกายเซนในประเทศจีน กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น
 
 
 
 
             ตามตำนานจีนโบราณ ศิลปะการต่อสู้และกังฟูเส้าหลิน มีต้นกำเนิดจากการที่หลวงจีนใช้วิชากังฟู ฝึกฝนร่างกายและออกกำลังกาย เพื่อเป็นการขจัดความเมื่อยล้าจากการนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานเป็นเวลานาน ต่อมาได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดเส้าหลิน ชาวจีนเชื่อกันว่าผู้ที่คิดค้นสุดยอดวิชากังฟูคือตั๊กม้อ 
 
 
 
 
 
            ในปี พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1822 วิชากังฟูเส้าหลินได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด จนถึงสมัยราชวงศ์ชิง ในปี พ.ศ. 2159 -พ.ศ. 2454 และในปี พ.ศ. 2270 หลังการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิหย่งเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิงได้ประมาณ 5 ปี จากเหตุผลทางด้านการเมือง ราชสำนักได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการลดบทบาทของวัดเส้าหลินลง แม้ว่าหลวงจีนจะถูกห้ามไม่ให้ฝึกกังฟู แต่ยังคงมีการลักลอบแอบฝึกกังฟูกันอย่างลับ ๆ ทั้งในบริเวณวัดและตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้วิชากังฟูเส้าหลินไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
 
 
 
 
 
 
              ปัจจุบันในประเทศจีนมีวัดเส้าหลินทั้งหมดสามแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน มณฑลเหอนาน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดพุทธศาสนานิกายเซนและกังฟูเส้าหลิน แห่งที่สองตั้งอยู่ที่เทือกเขาผานซาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หงวน และแห่งที่สามตั้งอยู่ที่เทือกเขาจิ่วเหลียนซาน มณฑลฮกเกี้ยน เรียก "สำนักเสี้ยวลิ้มใต้ คู่กับ "สำนักเสี้ยวลิ้มเหนือ" ที่เทือกเขาซงซาน สำนักใหญ่ของวัดเส้าหลิน แบ่งออกเป็น 2 สายหลัก ๆ คือสายพระบู๊ซึ่งเป็นสายของการการสืบทอดศิลปะการต่อสู้และกังฟูเส้าหลินของตั๊กม้อ และสายพระวินัยซึ่งเป็นสายที่เน้นการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพุทธศาสนาเป็นสำคัญ 
 
 
 
 
 
           ในบล็อกต่อไปผมจะพาเยี่ยมชมวัดเส้าหลิน ( Shaolin Temple: 少林寺) ซึ่งเป็นวัดมีความเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมเลยครับ
 
ที่มาข้อมูล
https://www.tnews.co.th
https://www.matichon.co.th
https://www.th.wikipedia.org/wiki/




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2557   
Last Update : 23 เมษายน 2563 19:57:05 น.   
Counter : 4806 Pageviews.  


จตุรัส 27 (Erqi Square) แหล่งช็อปปิ้งกลางเมืองเจิ้งโจว (郑州:Zhengzhou)

  จตุรัส 27 (Erqi Square) แหล่งช็อปปิ้งกลางเมืองเจิ้งโจว (郑州:Zhengzhou) เป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองของมณฑลเหอหนาน ประกอบไปด้วยศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุด ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านหนังสือขนาดใหญ่และร้านอาหาร ปัจจุบันจตุรัส 27 หรือ Erqi สแควร์ได้กลายเป็นสถานที่ที่ต้องไปช้อปปิ้งเมื่อมาเยี่ยมเมืองเจิ้งโจว

ที่มาของชื่อจตุรัส 27 หรือ Erqi สแควร์ มาจากชื่ออาคารหอนาฬิกาทรงห้าเหลี่ยม ที่ถูกสร้างขึ้นในใจกลางของจัตุรัสเพื่อรำลึกถึงการนัดหยุดงานของคนงานรถไฟ สาย Jinghan (ปักกิ่ง-หวู่ฮั่น)  ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2466  คำว่า 27 หรือ Erqi คือ วันที่ 7 เดือน 2 นั่นเอง 
หอถูกสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างคอนกรีตมีความสูง 63 เมตร มี 14 ชั้น โดยที่ 3 ชั้นด้านล่างเป็นฐาน ชายคาในแต่ละชั้นออกแบบเป็นกระเบื้องเคลือบสีเขียวทั้งหมดในสไตล์จีนแบบดั้งเดิมมีนาฬิกาจำนวน 6 เรือนรอบหอระฆัง แต่ละเรือนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.7 เมตร แต่ละชั่วโมงมีเสียงเพลงไพเราะซึ่งสามารถได้ยินไปได้ไกล
 
 
อาคารออกแบบเป็นสองอาคารรูปห้าเหลี่ยมเชื่อมต่อกันจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก เมื่อมองในทิศตะวันตกหรือทิศตะวันออกจะเห็นเป็นหอเดียว แต่ถ้าเรามองจากทางทิศใต้หรือทิศเหนือเป็นเห็นเป็นหอคู่  ผู้เข้าชมจะเพลิดเพลินไปกับภาพรวมของเมือง หอนาฬิกาคู่จะยิ่งงดงามมากขึ้นในตอนกลางคืนมีไฟส่องแสงที่มีสีสันทั้งจากภายในและภายนอก
 
 
 
เราเดินข้ามสะพานลอยเข้ามายังบริเวณหอนาฬิกา ถนนคนเดินจะเห็นลานจตุรัสกว้างซึ่งออกแบบไว้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ หรือเพื่อการพักผ่อน
 
 
เมื่อเรามาถึงบริเวณถนนคนเดินจะมีป้ายหินกำกับว่า Chinese Famous Commercial Street ซึ่งสามารถรับประกันได้ว่าถนนสายนี้เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้





 
จะเห็นว่ามีสินค้าแบรนด์เนมมากมายในถนนสายนี้ ทั้งแบรนด์ดังของจีนและแบรนด์ต่างประเทศ ให้ช็อปกันอย่างจุใจ สามารถเดินยาวไปทั้งถนน ชมบรรยากาศกันเลยนะครับ

























สำหรับยานพาหนะที่เห็นขาดไม่ได้คือรถสามล้อเหมือนที่เคยชมที่นครฉงชิ่งมาแล้ว รวมถึงการบรรทุกของใส่รถด้วยความสามารถพิเศษ





หากมาเยือนมณฑลเหอหนาน อย่าลืมมาช็อปที่จตุรัส 27 (Erqi Square) แหล่งช็อปปิ้งกลางเมืองเจิ้งโจวแห่งนี้นะครับ




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2557   
Last Update : 12 มีนาคม 2563 13:23:33 น.   
Counter : 6361 Pageviews.  


ตลุยตลาดเมืองเจิ้งโจว (郑州:Zhengzhou)

หลังจากที่เราชมบรรยากาศตัวเมืองเจิ้งโจวแล้ว วันนี้ผมขอพาท่านเดินซ๊อกแซกไปชมตลาดเมืองเจิ้งโจว (郑州:Zhengzhou) กันครับ

หลังจากที่ชมตัวเมืองแล้ว เราเเวะเข้าซอยเล็กๆ ดูว่าข้างในซอยมีอะไรให้เราชมบ้างครับ บรรยากาศเหมือนเดินแถวๆ สำเพ็ง พาหรุรัด บ้านเรา ใตตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยแผงลอยขายสินค้านาๆ ชนิด





 
แม้แต่อาหารการกินก็มีขาย เราชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ นะครับ 











 
ที่นี่คนใช้จักรยานเยอะมากครับ แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้จะเป็นจักรยานไฟฟ้ากันหมดแล้ว ไม่เหมือนสมัยเมื่ิอ 20 ปีที่แล้ว จะเห็นแต่จักยานปั่นกันเต็มท้องถนน รถยนต์หายากมากครับ

 
ร้านนี้คู่แข่งสำคัญของ KFC สังเกตจากโลโกเปลี่ยนไปจาก ผู้พันแซนเดอร์ส  (ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส : Colonel Harland David Sanders) มาเป็นเอกลักษณ์เหล่ากงที่เป็นตาแป๊ะแก่ๆ หัวล้าน
 
 




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2557   
Last Update : 12 มีนาคม 2563 13:26:59 น.   
Counter : 2641 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

camel_27
 
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




[Add camel_27's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com