คนเราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ แล้วทำยังไง?? ให้รู้..ในสิ่งที่ควรรู้...
 
เรื่องของเรื่อง

ที่มาที่ไป หรือเรื่องของเรื่อง ของ Group Blog หมวดนี้ ก็เป็นไปตามชื่อกรุ๊ปนั่นแหล่ะ คือ ต้องการบันทึกเรื่องราวการปฏิบัติธรรมในชีวิตของตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์อยู่ 2 ข้อ ก็คือ

1. เพื่อไว้เตือนตัวเอง โดยอาศัยเทคโนโลยีของอินเตอร์เนต เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวดีๆ ที่ตัวเองได้เคยทำมา เพื่อไม่ให้มันลบเลือนหายไปกับกาลเวลา และสัญญาที่ไม่เที่ยงของตัวเอง ถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรตั้งอยู่ถาวร มีแต่เกิดและดับ แต่ก็คงยังมีความต้องการให้มันดับไปอย่างช้าๆ หรือเลือนลางไปอย่างช้าๆ

วัตถุประสงค์ย่อยๆ ในข้อนี้ก็คือ เพื่อให้ตัวเองได้หมั่นระลึกถึงบุญกุศลที่ตัวเองได้ทำมาด้วย ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง มีความรู้สึกอย่างไรบ้างในช่วงเวลานั้นๆ มีความสุขแค่ไหน มีปิติแค่ไหน เพราะ เมื่อเราหมั่นระลึกถึงบุญกุศลที่เราเคยทำมาดีแล้ว จะยิ่งไปช่วยให้กำลังของบุญนั้นสว่างไสวมากยิ่งขึ้น ผลบุญ อานิสงส์ของบุญก็จะไม่มีวันจางลง

2. เพื่อแบ่งปันบุญกุศลที่พึงมีจากเรื่องราวของตัวเอง ให้แผ่ไปในวงกว้างโดยไม่จำกัด เป็นการให้โดยไม่มีประมาณ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใครอยากร่วมบุญ อยากร่วมยินดี อยากร่วมอนุโมทนากับเราก็ได้ทั้งนั้น

ข้อนี้จัดว่าเป็น ปัตติทานมัย คือการให้ส่วนบุญเป็นทาน ที่นี้คนที่หลงเข้ามาอ่าน หรือวิบากกรรมใดๆ เหวี่ยงให้มาเจอ มาอ่านบล็อคนี้ แล้วอยากอนุโมทนา ก็จะเข้าหลักการ ปัตตานุโมทนามัย คือการอนุโมทนาในบุญกุศลที่คนอื่นทำ สองอันนี้ อยู่ใน บุญกิริยา 10 ที่เคยเขียนรายละเอียดไว้ เพราะการทำบุญทำได้หลายอย่าง และอานิสงส์ของการทำบุญแต่ละอย่างก็ไม่เหมือนกัน

แต่....หากว่าท่านใดหลงมาอ่านแล้วเกิดจิตเศร้าหมอง หมั่นไส้ หรือขัดเคืองหูขัดเคืองตา ไปคิดว่าผมมาอวดตัว หรืออวดความดี ผมก็ขออภัย ณ ตรงนี้เลย เพราะไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ หากมันจะเป็นเวรต่อกัน แม้แต่ทางความคิด ผมก็ขออโหสิกรรมตรงนี้เลยนะครับ ขอให้มองข้ามๆ ไปก็แล้วกัน ไม่ต้องอ่านก็ได้ ส่วนผมก็อโหสิกรรมให้กับทุกท่านเลยเช่นกันครับ เพราะไม่ได้ต้องการผูกเวรกับใคร

**************

ตัวผมเอง เป็นคนธรรมดาคนนึง ที่เป็นคนนับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้านเหมือนคนส่วนใหญ่ในเมืองไทย ใช้ชีวิตปกติ ราบเรียบ สุขบ้างทุกข์บ้างมาตามลำดับของชีวิตตั้งแต่เกิด โดยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างแท้จริงของความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้น

ได้แต่แก้ไขไปตามเหตุการณ์ สถานการณ์เฉพาะหน้า เวลาสุขก็มีความสุข เวลาเจอความทุกข์ก็มีความทุกข์เหมือนคนทั่วๆ ไป และก็คิดเหมือนคนทั่วไปอีก ที่อยากมีแต่ความสุข ไม่อยากเจอความทุกข์ คืออยากสุข และอยากหนีทุกข์ นั่นเอง

สนใจธรรมะบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้ง (ก็บอกแล้วว่า พุทธตามทะเบียนบ้าน) ทำบุญ ทำทาน ใส่บาตรไปตามปกติ มีโอกาสก็ไปทำบุญที่วัดบ้าง บริจาคเงินทองให้ขอทานบ้าง ให้หน่วยงานต่างๆ บ้าง ตามแต่โอกาสจะอำนวย แต่ที่ทำๆ ไป ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งถึงความหมายของการทำบุญ หรือเรื่องราวปลีกย่อย ที่มาที่ไปของ กรรม วิบากกรรม หรือผลบุญ อานิสงส์ของบุญ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ที่ทำๆ มาเนี่ยทำถูกต้องไหม

คิดได้แค่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" คิดได้แค่นั้นก็คิดว่าพอแล้ว คิดว่าเป็นคนดี ไม่เป็นคนชั่วก็น่าจะเพียงพอ คิดว่าพอใจกับการเป็นคนดีก็พอแล้ว (ซึ่งมาทราบที่หลังว่า ทางพระก็เรียกว่า ยังประมาทอยู่) ซึ่งก็เพราะว่า คนดีคนชั่วก็มีทั้งสุขทั้งทุกข์ คนดีก็ทุกข์อย่างคนดี คนชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว นึกว่าทำความดีแล้วจะไม่ทุกข์ จริงๆ ก็ไม่ใช่ บางครั้งก็สามารถทุกข์ใจได้แบบคนดีๆ นั่นเอง

ความจริงก็คือ ทั้งคนดีคนชั่วต่างอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลส 3 ตัวใหญ่ๆ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ตราบใดที่ยังไม่รู้ตัวว่าตกเป็นทาสของกิเลส 3 ตัวนี้ ไม่รู้ตัวว่าโดนกิเลส 3 ตัวนี้หลอกล่อ และปู้ยี่ปู้ย่ำจิตใจตนเอง ไม่ว่าคนดีหรือคนชั่ว ไม่ได้มีความต่างกันเลย

จุดเปลี่ยน....

คงถึงเวลาที่วิบากด้านดีให้ผลมั้งครับ ทำให้มีโอกาสได้เจอเวบไซด์ ลานธรรมเสวนา เมื่อประมาณปี 2548 และได้เข้าไปอ่านเรื่องราวหลากหลาย ได้ข้อคิดมากมาก ได้เรียนรู้มากมาย และก็ได้เจอ เวบไซต์ คุณดังตฤณ เลยได้อ่านหนังสือของคุณดังตฤณเกือบทั้งหมด ทั้งนวนิยาย และธรรมะต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น สองเล่มที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น เข้าใจในกรรมวิบากมากขึ้น เข้าใจการทำบุญทำกุศลให้ถูกมากขึ้น ก็คือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน และ มีชีวิตที่คิดไม่ถึง

ก็คงถือได้ว่าหนังสือ 2 เล่มนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตผม พลิกมุมมองการมองชีวิต การใช้ชีวิตผมให้เปลี่ยนไป มีหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรให้ยึดถือ และเป็นเพราะว่า

ได้รู้ ได้อ่านในสิ่งที่ควรรู้ควรอ่าน ก่อนที่จะตาย จึงทำให้....อยาก มีชีวิตที่คิดไม่ถึง

จึงทำให้เป็น ที่มาที่ไป หรือ เรื่องของเรื่องของ Group Blog อันนี้นั่นเองครับ

หากตั้งต้นว่า กรรมดีเปรียบเหมือนน้ำ กรรมไม่ดีเปรียบเหมือนเกลือ วิบากกรรมคือการรับผลของกรรม ซึ่งก็เป็นได้ทั้งวิบากกรรมดี และวิบากกรรมร้าย

การมีน้ำ 1 แก้ว -->> กรรมดี
เกลือ 1 กำมือ -->> กรรมไม่ดี
เมื่อรวมกันแล้วดื่ม ก็จะได้ความเค็มระดับนึง -->> วิบากกรรม

ตามหลักแล้ว กรรมดีและกรรมไม่ดี แยกกันให้ผล ทำกรรมดีก็รับผลดี ทำกรรมไม่ดีก็รับผลไม่ดี ไม่สามารถหักล้าง ลบล้างกันได้ หรือทำอีกอันลบล้างกันได้

แต่ เจือจางได้ หากขยันหมั่นเติมน้ำลงไป วันล่ะแก้วสองแก้ว หรือแม้แต่วันล่ะหยดสองหยด โดยที่ไม่เติมเกลือเพิ่ม ความเค็มย่อมจางลง เกลือ 1 กำมือ ที่มีอยู่นั้น ไม่ได้หายไปไหน แต่เจือจางลง ยิ่งหากเติมน้ำลงไปเป็นลิตรๆ หรือปริมาณเป็นตุ่มน้ำ เป็นโอ่งน้ำ ไม่ใช่แค่แก้วเดียว ก็เชื่อได้เลยว่า ความเค็มของเกลือนั้นคงลดลง เจือจางลงจนแทบไม่รับรู้รสชาดความเค็ม ซึ่งไม่ได้แปลว่าเกลือนั้นหายไป เพียงแต่เจือจางไปจนแทบไม่เหลือ

การทำกรรมก็เช่นเดียวกัน เราทุกคนเป็นเจ้าของกรรมของตัวเราเอง เราเลือกเส้นทางเดินของเราเองว่าอยากจะดื่มน้ำเค็มน้อย หรือเค็มมาก คืออยากเลือกรับวิบากไหนมากกว่ากัน ก็เลือกเอาเองตามสบาย ของใครของมัน

โดยปกติ กรรมเก่า คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งรูปร่างหน้าตา ความคิด นิสัยใจคอ แต่เราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด เราสามารถทำกรรมใหม่ได้มากมาย ศักยภาพของความเป็นมนุษย์นั้น ทำอะไรได้มากกว่าที่คนทั่วไปคิดกันนัก

เมื่อไหร่ ก็ตามที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกได้ว่า ต้องตัดสินใจแบบใดแบบหนึ่งเช่น ซ้าย-ขวา ทำ-ไม่ทำ เลือก-ไม่เลือก อันนั้นแหล่ะ เรากำลังทำกรรมใหม่อยู่ ซึ่งจะไปทางเติมน้ำ หรือเติมเกลือ ก็เลือกกันเอาเอง....

ความเปลี่ยนแปลง....

ชอบคำพูดอยู่ตอนนึงในหนังสือของคุณดังตฤณ กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ ในตอนที่ 43 คนใหม่ คือ
"การเป็นคนใหม่อย่างแท้จริงคือการหลุดจากเส้นทางกรรมเก่า เลือกขึ้นเดินบนเส้นทางแห่งกรรมใหม่ที่ต่างไป ทุกครั้งที่เราให้อภัยจากใจ จะเป็นทุกครั้งที่ความผูกอยู่กับภพเดิมเคลื่อนไปเสมอ ความเบาโล่งในหัวอกและมุมมองที่แตกต่างคือเครื่องยืนยันชั้นแรก เหตุร้ายที่เข้ามากระทบตัวเบาลงคือเครื่องยืนยันชั้นต่อมา เรื่องดีๆ ที่มีแต่ผลเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะคือเครื่องยืนยันชั้นสุดท้าย"

เพราะว่าตลอดเวลาในช่วง สองสามปีหลังนี้ สามารถกล่าวได้ว่า ได้ทำบุญทำกุศล ปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง มากกว่าตั้งแต่เกิดมาจนก่อนจะมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง

ตั้งแต่ได้พยายามไม่เติมเกลือ และพยายามเติมน้ำเข้าไปในเส้นทางชีวิตของตัวเอง จะมากจะน้อยก็พยายามเติมน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ซึ่งได้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายกับตัวเอง พบเจอแต่สิ่งดีๆ มากขึ้น มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตมากขึ้น สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น บางครั้งยังต้องเจอวิบากไม่ดีอยู่บ้าง ก็เหมือนจะมีวิบากดีๆ มาต้าน มาทอนกำลังของวิบากไม่ดี ทำให้ไม่โดนวิบากไม่ดีเล่นงานแรงนัก ถ้ามานึกๆ ไตร่ตรองด้วยสติอย่างดี ก็จะพบเครื่องยืนยันให้กับตัวเองหลายๆ อย่าง ว่าการเติมน้ำที่ทำไปนั้น ไม่สูญเปล่า ซึ่งก็จะยังคงทำต่อไป คือ....

**เพิ่มการเติมน้ำ ลดการเติมเกลือ ให้กับชีวิตตัวเอง**

และนี่คือ เรื่องของเรื่องที่ค่อนข้างยาวไปหน่อย แต่ก็เพื่อความชัดเจนของเรื่องราวที่จะมีตามมาใน Group Blog นี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องการเติมน้ำ หรือการทำบุญกุศล สร้างบุญกุศลที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่ได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง

....ซึ่งก็จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ 2 ข้อข้างต้น


Create Date : 20 เมษายน 2551
Last Update : 21 เมษายน 2551 0:04:26 น. 1 comments
Counter : 475 Pageviews.  
 
 
 
 


ทำดีก็ต้องให้กำลังใจ
ขอให้ได้เจอแต่เรื่องดีๆ ที่มีแต่ผลเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นรางวัลสำหรับการทำดีนะคะ
 
 

โดย: ซาลาเปาแก้มป่อง IP: 202.44.8.100 วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:13:19:30 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Bluefriday
 
Location :
Umea Sweden

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ปี 2522 ผมยังเด็กอยู่เลย ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วหว่า!!
[Add Bluefriday's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com