Google อะไร ยังไง


หลังจากที่เริ่มทำงานไปได้สักพัก (อันที่จริงก็ยังไม่ได้ทำงานนะ แค่เทรนนิ่ง) ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว วันนี้ฤกษ์งามยามดี มาเล่าต่อเลยละกันค่ะ

ก่อนอื่น วันนี้ก็จะมาพูดรวมๆในเรื่องของ 

- ทำไงถึงได้มา
- ก่อนจะรู้ว่าคือกุเกิ้ล
- ขั้นตอนการสัมภาษณ์ แบบละเอียดดด ยิบ

เอาละคะ จะว่าไปถ้าจะเอาให้ได้อรรถรสจริงๆต้องขอย้อนกลับไปเมื่อปี 2499
 มะช่ายยย !! นานไปร๊

ขอย้อนไปเมื่อปี 2558  ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเปลี่ยนงานค่ะ หลังจากเรียนจบก็ ทำงานโรงงาน เป็นสาวโรงงานญี่ปุ่นจ้ะ  พูดกันตามตรงคือ ไม่ชอบงานหรอก แค่รู้สึกว่าทำได้ แล้วตอนนั้นเราเป็นNewbie จบใหม่ เค้าให้เงินเดือนหมื่นกว่าก็ดีใจแล้ว อะโห  เอาค่ะเอา  เยอะจุงงงง (เหรออออ!!)  ก็อดทนทำค่ะ  อ้อ ลืมบอกไปตอนนั้นทำตำแหน่งเซลล์โค ค่ะ ทำไปได้สองปี จะออกละนะ บ่นทุกวัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ลาออกซะที จนเวลาผ่านไปสี่ปี ถึงได้ออก

ออกมาก็มาทำบริษัทฝรั่งค่ะ ตอนนั้นเรารู้สึกโอโห้!!!!
งานในฝัน !! ชอบมากทั้ง work style และงานที่ทำ 
หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน เงิน ดีหมดเลย fin~~ อ่าห์~~

แต่ก็ดีใจไม่นานหรอกค่ะ บริษัทขาดทุนอย่างหนักจนสุดท้าย เราเป็นคนที่โดนเลย์ออฟใช่ค่ะ คุณฟังไม่ผิด โดนจ้างออกค่ะ (แต่ก่อนนั้นเพื่อนร่วมงานหลายๆคนก็ทยอยออก) ตอนนั้นช๊อคมาก  ตอนเค้ามาบอก ฟังไปร้องไห้ไป ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าชีงิตจะมาเจออะไรแบบนี้ เพราะเรามั่นใจว่าเราทำงานดี เราไม่มีทางเจอแบบนี้หรอก

ผลิกผันค่ะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่บริษัทแฟร์กับเรามากทั้งเรื่องค่าชดเชยและให้โอกาสเราไปหางานใหม่ คือแค่เข้ามาตอกบัตรแล้วก็ออกไปหางานค่ะ ไม่ถึงเดือนเราก็ได้งานใหม่  
นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง

งานใหม่ที่ได้ เป็นบริษัทญี่ปุ่นอีกแล้วค่ะ แต่ด้วยชื่อเสียงประกอบกับเงินที่เค้าOffer มาตรงกับที่เราอยากได้ เลยไม่รีรอที่จะ Say Yes! 

ช่วงเวลาที่ทำงานที่นี่ เป็นช่วงเวลาดีๆไหม เราอธิบายไม่ได้จริงๆ งานเราทำได้ แต่ามว่ารู้สึกสนุกกับมันมั้ย ก็ต้องบอกว่าไม่เลย โดนกดดันทางอ้อม หรือเพราะเค้าคาดหวังกับเราเยอะหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ หลายๆเรื่องเก็บมาเรื่อย  จากที่เราเคยเจอเพื่อนร่วมงานที่เหมือนเป็นพี่ น้อง เรา มีอะไรเราปรึกษาได้ แต่มาครั้งนี้เรารุ้สึกเหมือน ทำอะไรก็ผิด  

จนสุดท้ายไม่ไหวตัดสินใจทิ้งใบลาออกโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ แล้วมาอยุ่บ้านเฉยๆ  ไม่ใช่ว่าไม่คิดนะ คิด คิดมาตลอดว่าที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดคือแบบไหน แต่มันคงถึงจุดที่"หมด" แล้วจริงๆเลยขอเดินออกมา
ขอบอกตอนนั้น เงินเก็บมีไม่ึงหมื่น มีหนี้ มีภาระที่ต้องส่งแม่  แล้วถึงมาค้นพบว่า ที่เราทำมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ อันนี้เดี๋ยวจะเล่าในตอนต่อไป...

ณ เวลานั้น วันแรกเลยรู้สึกดี ฉันจะตื่นตอนไหนก็ได้ ฉันไม่ต้องรู้สึกแย่ตอนเข้าไปอยุ่ที่นั่น ฉันมีเวลาปลูกต้นไม้ เลี้ยงแมว ทำกับข้าว ช่วยแฟนขายของตลอดนัด ดีจังเลย.... รู้สึกแบบนั้นสองสัปดาห์ (แต่ระหว่างนี้ก็หางาน ส่งใบสมัครไปเรื่อยนะคะ)   มีเรียกสัมภาษณ์เรียกได้ว่า แทบจะทุกวันค่ะ  วีคนึงมี3-4 ที่ ไปสัมภาษณ์ เค้าก็โอเคกับเรา แต่ไม่เคยได้งานเลย เหตุผลหลักๆ คิดว่าน่าจะมาจากช่วงเงินเดือนที่ขอ ค่อนข้างจะเยอะไปสำหรับตำแหน่งที่เขาต้องการ เริ่มเสียเซลฟ์ค่ะ ทำไงดี เงินที่มีก็จะหมดแล้ว  หรือจะยอมขอเงินเดือนน้่อยๆ อดทนทำไปก่อน ยังไงก็ต้องใช้เงินนะ บลาๆๆๆ หมกมุ่น คิดไปเรื่อย.....ช่วงที่ไม่มีใช้ ละอายใจที่จะโทรไปขอเงินพ่อแม่ ไม่ขอค่ะ ไม่พูดไร โกหกเขาไปว่ามีใช้  แต่บางวันต้องซื้อปลาทูเข่งยี่สิบมากินให้ได้ทุกมื้อ ประหยัดค่ะ หุงข้าวกินเอง จากที่เคยกินกาแฟสดแก้วละ80 ก็ไปกินชาพะยอมค่ะ  ทนๆๆๆๆๆ ท้อบ้าง นอยด์ืบ้าง จิตตกไปหมด
จนเริ่มมานั่งทบทวนว่า ถ้างานในไทยมันไม่ตอบโจทย์ ไปต่างประเทศก็ได้(วะ)










Create Date : 25 กันยายน 2559
Last Update : 25 กันยายน 2559 13:32:56 น.
Counter : 816 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กาแฟหนึ่งแก้วกับแมวหนึ่งตัว
Location :
KL  Malawi

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



หญิงไทย ใจห้าว ที่อยากผจญภัยในโลกบิดๆเบี้ยวๆ ใบนี้