Group Blog
 
All blogs
 

When a gay turns her on at Oktoberfest,Munich

When a gay turns her on at
Oktoberfest,Munich
(ติดเรท)

เดือนนี้เป็นเดือนแห่งเทศกาลOktoberfest,Munich, Germanyที่บรรดาลูกเรือรู้จักกันดี เจ้านายเองก็หวังอยากจะไปเที่ยวกับเขาสักครั้ง แล้วก็โชคดีที่ได้ไฟล์ทไปมิวนิคในช่วงเทศกาลนี้พอดี

สำหรับท่านผู้อ่านบางท่านที่ไม่รู้จักเทศกาลนี้ กระเป๋าสู้ชีวิตขอเล่าพอสังเขปก็คือ เป็นเทศกาลที่จะมีการจัดสวนสนุกขึ้นใจกลางพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ได้เล่นกัน เปรียบเหมือนพวกCarnival Festivalต่างๆที่มาเปิดในไทยเราน่านละ แต่ทีเด็ดมันอยู่ที่เบียร์สดที่จะมาตั้งลานเบียร์กันทั่วงานในรูปแบบกระโจมใหญ่มหึมาแบบนี้

นอกจากเบียร์และอาหารแล้ว ที่หนีไม่พ้นก็คือคนเมาจนหัวทิ่มทั้งหญิงชาย แต่ก็เอาน่า พูดถึงเยอรมันนอกจากขาหมูแล้วก็ต้องเบียร์สดนี่ละ

เจ้านายของเราแต่งตัวไปขึ้นเครื่องด้วยอารมณ์เหงาๆเซงๆอย่าไรบอกไม่ถูก เพื่อนๆลูกเรือทักว่าเธอไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า เธอได้แต่บอกว่าเปล่า แค่เบื่อๆชีวิต

เจ้านายจ๋า ถึงเธอจะเบื่อ แต่มันเป็นหน้าที่ของเธอนะที่จะต้องยิ้ม เธอต้องฝืนใจหน่อยนะ ฉันเข้าใจว่าคนเรามันมีอารมณ์ต่างๆกัน แต่เมื่อเธอสวมเครื่องแบบ นั่นหมายถึงเธอต้องทำงานนะจ้ะคนดี สู้เขาหน่อยนะ

เพื่อนๆลูกเรือต่างนัดหมายจะไปเที่ยวกินเบียร์กัน เธอเองก็จะไปกับเขาด้วย มีพี่แอร์คนไทยสองคนในไฟล์ทนี้ เธอมั่นใจละว่าจะปักหลักปักฐานกับพี่ๆ แต่กลายเป็นว่าเมื่อเครื่องลงทุกคนกลับขอตัวไปนอนก่อนเพื่อเตรียมคอไปดื่มค่ำนี้

เจ้านายไม่เคยปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ เธอยอมอดนอนเพื่อแลกกับการได้ไปดูแคมป์นาซีที่คราวที่แล้วเธอไปไม่ทัน เธอมั่นใจว่าไปเองได้ เมื่อถึงห้องพัก เธอรีบดึงเสื้อผ้าจากตัวฉันไปเปลี่ยนแล้วรีบออกทันที

ทริปนี้เธอตั้งใจชวนเพื่อนๆไปด้วยแต่ไม่มีใครสน นอกจาก ลูกเรือชายกล้ามล่ำหน้าโหดท่านหนึ่ง
“โอ้ว ช้านก็ตั้งใจจะไปฮะ” เทเมอร์รีบตอบ
แต่ด้วยเวลาที่เริ่มเย็นแล้ว พนักงานโรงแรมบอกว่าเจ้านายอาจไปไม่ทัน เพราะแคมป์ปิดเร็ว แต่ทั้งเจ้านายและเทเมอร์อยากลองดูสักตั้ง

(ก่อนไป เจ้านายและพี่ๆลูกเรือคนไทยนัดเวลาไปเจอกันต่อที่งานOktoberfestเป็นอย่างดี แลกเบอร์กันไว้ เจ้านายอุ่นใจละ ยังไงเดี๋ยวก็ไปสมทบกับพี่ๆคนไทยได้ตอนค่ำๆ)

สุดท้ายกว่าจะวิ่งไปถึงรถไฟ ก็เสียเวลาไปมากแล้ว เจ้านายจึงตัดสินใจเข้าตัวเมืองไปงานOktoberfestเลยดีกว่า เธอบอกเทเมอร์ตามตรงว่าคงจะต้องแยกทางกัน แต่ที่ไหนได้ เทเมอร์กลับจะตามเธอไปด้วย กอดแขนเธอแจราวกับสาวๆที่ต้องการการปกป้องจากชายหนุ่มอย่าง...เจ้านาย?

สุดท้ายก็นั่งไปด้วยกัน เจ้านายแอบขำเทเมอร์ ทั้งที่ทำงานมานานกว่า แถมเป็นผู้ชายหน้าตาโหดราวกับโจร(อันนี้เพื่อนๆทุกคนลงความเห็น) แต่กลับกลัวหลง ตามเจ้านายแจราวกับเด็ก

เจ้านายพาเทเมอร์ไปเดินในตัวเมืองก่อน เพราะเจ้านายเองก็ไม่รู้เช่นกันว่างานจัดที่ไหน เธอจึงพาเพื่อนสาว เอ้ย เพื่อนหุ่นล่ำบึ๊กของเธอไปตรงที่ๆเธอชอบ


ระหว่างทางเดินไปซื้อวิชชี่(ไปปารีสก็ซื้อ มามิวนิคก็ซื้ออีก) เทเมอร์บอกตลอดว่า มีหนุ่มแอบมองหล่อนและส่งสายตาให้ เจ้านายได้แต่ขำนายคนนี้

รูปลักษณ์กับความเป็นจริงนี่ช่างต่างกันเหลือเกิน

เดินๆอยู่ เทเมอร์ก็เบ่งกล้ามโชว์ลอยสักให้เจ้านายดู แถมยังเชิญชวนให้เจ้านายจับด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เจ้านายได้มีโอกาสสัมผัสกล้ามเนื้อเป็นมัดๆของ “เพศชาย” (หมายถึงกล้ามเนื้อแขนนะจ้ะ อย่าคิดลึกเป็นอันขาด แล้วที่บอกเพศชาย ก็เพราะไม่กล้าบิดเบือนความจริงที่ว่า....)

ว่าแต่กล้ามคุณเธอเขาแน่นจริงๆคะท่านผู้อ่าน กระเป๋ายืนยัน

จากนั้นเมื่อเริ่มเย็น เดินหาอยู่ตั้งนานว่าOktoberfestมันอยู่ตรงไหน ที่ไหนได้พอถามชาวบ้านเขาถึงรู้ว่ามันต้องนั่งรถไฟไปอีกสถานีหนึ่ง ทั้งสองจึงรีบไปขึ้นรถไฟทันที

และที่มั่นใจได้ว่ามาถูกทางแล้วก็เพราะเจอแต่คนใส่ชุดแบบนี้ละ


คิดแล้วก็คงไม่ต่างจากชุดไทยบ้างเราเท่าไร ชุดประจำชาติแต่ละชาติน่ารักต่างกันไป

เมื่อถึงสถานที่จัดงานOktoberfest ทั้งเจ้านายและเทเมอร์เปลี่ยนเป็นคนละคน โดยเฉพาะเจ้านาย สีหน้าสดใสต่างกับตอนทำงานทันที ฉันดูออกว่าเจ้านายสนุกและดีใจมาก ลองไปดูภาพบรรยากาศจากกล้องเจ้านายกันดีกว่า


ของฝากที่ขาดไม่ได้ แผ่นขนมปังที่ระลึกงานOktoberfest


ทั้งเจ้านายและเทเมอร์เดินเล่นอยู่สักพักจนฟ้าเริ่มสลัว จึงเริ่มพยายามส่งข้อความหาพี่ๆลูกเรือไทยที่จะมาพร้อมกับลูกเรือคนอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะส่งไปสักกี่ข้อความก็ไม่มีการตอบกลับ จนเจ้านายเริ่มท้อและหมดหวังในที่สุด ท่าทางจะต้องอยู่กับเพื่อนสาวสองต่อสองท่ามกลางคนนับหมื่นในงาน

แต่ทั้งสองกลับสนุกสุดๆ ทั้งเล่นรถไฟเหาะที่เทเมอร์กรี๊ดดังเสียยิ่งกว่าเจ้านาย ตอนเครื่องออกเจ้านายก็กรี๊ดอยู่หรอก แต่สักพัก เสียงเทเมอร์ดังกลบเสียงกรี๊ดของเธอหมด เธอเลยตัดสินใจปิดปากดีกว่า
หลังจากลงจากรถไฟเหาะ ทั้งสองคนก็จัดแจงซื้อสายไหมกินตามธรรมเนียมมาเที่ยวสวนสนุก เจ้านายฟาดไส้กรอกยักษ์อีกหนึ่ง แล้วจุดไคล์แม๊กซ์ของเรื่องก็มาถึง เมื่อขณะที่เจ้านายกำลังกัดไส้กรอกคำโต เทเมอร์หันมามองพร้อมทำหน้าตาเซ็กซี่แล้วพูดขึ้นว่า
“ Oh! Baby. You turn me on.”
(ติดเรท)ขออนุญาตไม่แปล รู้แค่ว่าเจ้านายกินต่อแทบไม่ลง

แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว เทเมอร์มากกว่าที่Turn on เจ้านาย เพราะเทเมอร์นี่ละ ที่ทำให้เจ้านายสนุกๆสุดๆในคืนนี้นี้ ฉันไม่เคยเห็นเจ้านายมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว มันเหมือนเจ้านายได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

สักพักทั้งสองก็เดินเข้าไปซึมซับบรรยากาศลานเบียร์ชื่อดังก้องโลก ถ้าอยากรู้ว่ามันมีอะไร จะตอบให้ว่ามีอยู่ไม่ก็อย่าง ก็แค่อาหาร ดนตรี เบียร์สด และคนเมา แต่สิ่งเหล่านี้ละ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายพันบินมาเพื่องานนี้

ทุกคนเต้นกันอย่างเมามัน แถมดนตรีก็ไม่ใช่แนวฮิบฮอพ อาร์แอนด์บีอย่างที่เปิดในผับ แต่เป็นเพลงQue sera ที่วงดนตรีซึ่งใช้เครื่อดนตรีบ้านๆแบบแอคคอร์เดียน(ที่คล้ายออร์แกนแล้วมีถุงคล้ายๆจาระบีให้บีบเข้าบีบออก)มาเล่นปรับจังหวะให้เร็วขึ้น แต่ทุกคนกลับเมามันส์อย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เพราะเบียร์หรือเปล่า

ทุกอณูของกระโจมลานเบียร์ ไม่มีเนื้อที่เหลือให้เจ้านายและเทเมอร์นั่งสั่งอาหารได้อย่างที่คิด ชาวเยอรมันในชุดOktoberfestเฉลิมฉลองกันเต็มพื้นที่ มีทั้งคนแก่ และหนุ่มสาว และที่แน่ๆ คนเมาคนหกล้มก็มี เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งสองจึงตัดสินใจไปซื้อเบอเกอร์กินข้างนอก

ณ จุดนี้คงเป็นวูบเดียวที่เจ้านายรู้สึกว่าเทเมอร์แม๊นแมน.....
ขณะเจ้านายนั่งกินเบเกอร์อนาถาอยู่บนฟุตบาท ได้มีชายร่างใหญ่ซึ่งกรึ่มได้ที่แล้วจากฤทธิ์เบียร์ จะเซมาล้มใส่เจ้านาย จังหวะนั้นเองเทเมอร์ใช้กล้ามล่ำๆที่มีลอยสักตัวกิ้งกืออันน่าเกรงขามออกไปกันนายคนนั้นไว้ คล้ายกับเตือนว่า “เฮ้ นาย ระวังด้วย เดี๋ยวจะหล่นมาทับแม่นางท่านนี้ และถ้านายหล่นมาละก็ ฉันไม่เอานายไว้แน่”

กระเป๋าอย่างฉันละสงสัย แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นเซมาล้มทับเจ้านายจริงๆ เทเมอร์จะช่วยอะไรเจ้านายได้ นอกจากหามเจ้านายส่งโรงพยาบาล เพราะเจ้าหมอนี่ตัวใหญ่กว่าเทเมอร์หลายเท่า แต่อย่างน้อยก็นับว่าเป็นน้ำใจของเพื่อนต่างเพศที่อย่างน้อยเขาก็มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า แม้จิตใจจะบอบบางพอๆกันกับเจ้านายก็เถอะ บางทีการอยู่ในสังคม มนุษย์เราก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าเรารู้ว่าเราสามารถช่วยอะไรใครได้โดยไม่เดือดร้อน ก็ทำไปเถอะ เห็นด้วยไหมละ

สุดท้าย ทั้งสองปิดฉากมิตรภาพชั่วข้ามคืนด้วยการไปนั่งกระเช้ายักษ์ ซึ่งทำให้เจ้านายได้เก็บภาพบรรยากาศงานอันน่าประทับใจนี้ไว้


ทั้งสองกลับที่พักด้วยกัน เหนื่อยสุดตัวแต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีมากๆสำหรับงานOktoberfestครั้งนี้ ขาบินกลับอาหรับ เจ้านายทำไฟล์ทด้วยรอยยิ้มจนเพื่อนๆลูกเรือคนอื่นทักว่าทั้งสองแอบไปทำอะไรกันมา เทเมอร์มีดีอะไรถึงทำให้สาวหน้าบึ้งคนเมื่อวานกลับมามีรอยยิ้มได้ นี่ถ้าไม่ใช่เทเมอร์ แต่เป็นผู้ชายคนอื่น เจ้านายคงเขิลหน้าแดงเหมือนกัน ขอบคุณเทเมอร์ เพื่อนเกย์ที่ทำให้สาวหน้าบึ้งมีความสุขและสนุกสุดๆในทริปนี้

อนาจจิตลงรูปไม่เป็นคะ ยังไงถ้าสนใจดูรูปรบกวนเข้าไปดูที่ //www.thaicabincrew.com/forums/viewtopic.php?f=4&t=72700

ยังไงถ้าใครจะเอาเรื่องไปโพสรบกวนให้เครดิตด้วยคะ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=ankhesenpaaten&month=28-01-2011&group=2&gblog=10




 

Create Date : 28 มกราคม 2554    
Last Update : 28 มกราคม 2554 22:30:35 น.
Counter : 438 Pageviews.  

ตอนที่3 บินกลับมารับปริญญา

รับปริญญา


“ชาติก่อน ฉันคงไปขัดเท้าใครไว้ ไม่ให้ได้สิ่งที่หวัง”


ก่อนรับปริญญาหนึ่งถึงสองอาทิตย์ เป็นข้อบังคับว่าบัณฑิตจะต้องร่วมเข้าพิธีซ้อมรับประกาศนียบัตรทั้งสองครั้ง โชคดีที่เธอมีลาพักร้อนช่วงนั้นพอดี จึงได้เข้าร่วมซ้อมทั้งสองรอบ


แต่แม้จะเข้าร่วมซ้อมทั้งสองรอบ เธอเองก็ยังใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะบินกลับมารับปริญญาบัตรได้ในวันรับจริงหรือเปล่า แม้เธอจะกดรีเควสต์เลือกวันหยุดติดกันห้าวันในตารางบินเดือนหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคจะเข้าข้างเธอหรือไม่


เธอไม่เลือกซื้อบัตรลูกเรือครึ่งราคาแต่ยอมจองตั๋วราคาเต็มในฐานะผู้โดยสาร เพื่อความแน่ใจว่าจะมีที่นั่งให้เธอบินกลับบ้านมารับปริญญาแน่ๆ


เธอเตรียมการทุกอย่างอย่างรอบคอบ วันหยุดขอแล้ว ตั๋วเครื่องบินซื้อแล้ว ขาดอย่างเดียว ไม่รู้ว่าตารางบินของเธอจะเป็นอย่างไร เธอจะได้วันหยุดเพื่อกลับไปรับปริญญาอย่างที่เธอขอไหม


ผลทายสลาก ออกดังนี้


วันที่4    ไฟล์ทไป-กลับ ริยาดห์


วันที่5-6  ไฟล์ทไป-กลับ เดลี


วันที่7-8  ไฟล์ทไปกลับ อิสตันบูล


วันที่9-14 หยุด


ถูกหวยเข้าแล้วเจ้านายเรา! ฮูเล่


เธอคิดเข้าข้างตัวเองว่าฟ้าคงประทานพรให้เธอได้กลับบ้านไปรับปริญญาสมใจ พร้อมบ่นเรื่องใบเซียมซีที่เสี่ยงมาจากวัดเมื่อตอนกลับบ้านไปซ้อมรับปริญญาเมื่อเดือนที่แล้วว่าไม่เห็นตรงเลย


ใบเซียมซีบอกไว้ว่า


                “........ดั่งสำเภาน้อยร่องรอยในมหาสมุทร โดนคลื่นซัดโหมเข้าใส่


 จะทำการหวังสิ่งใดได้ยากนัก อุปสรรคคอยขัดขวางไม่สมประสงค์ จงทำใจ….”


เมื่อตอนเสี่ยงได้ใบนี้ ดูเธอก็ไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไร แต่ก็ยังคิดค้านอยู่ว่าจะไม่สมประสงค์ได้ยังไง ก็ในเมื่อเธอได้วันหยุดตามที่เธอขอแล้ว แถมตั๋วก็จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้วด้วย เซียมซีก็คือเซียมซี เชื่อถืออะไรไม่ได้หรอก เธอคิดปลอบตัวเองให้สบายใจ เพราะไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เธออดกลับมารับปริญญาได้เลย


“ชาติก่อน ฉันคงไปขัดเท้าใครไว้ ไม่ให้ได้สิ่งที่หวัง”


วันที่4 ไฟล์ทบินไป-กลับริยาดห์


เธอไปทำไฟล์ทตามปกติกับNIPPON ไฟล์ทนี้กระเป๋าเดินทางอย่างฉันไม่มีโอกาสได้ติดตามไปด้วย ซึ่งฉันก็โทษตัวเองอยู่ตลอดมา ว่าถ้าหากฉันได้ไปกับเจ้านาย ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้แน่นอน ฉันต้องหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องเธอ หรือแม้กระทั้ง เจ็บแทนเธอ!


ลางร้ายมันเริ่มตั้งแต่ในห้องประชุม ที่เธอไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความปลอดภัยได้เลยสักข้อ แต่โชคยังช่วยที่หัวหน้าใจดีไม่รายงานเรื่องนี้ แต่เพียงเตือนให้กลับไปอ่านหนังสือทบทวนเท่านั้น เธอหน้าซีดไปเหมือนกัน NIPPON เล่าด้วยความเห็นใจ


เมื่อขึ้นไฟล์ท ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีตามปกติ แย่หน่อยก็ตรงที่ไฟล์ทนี้มีผู้โดยสารชราเยอะ จึงต้องใช้วีลแชร์หรือเก้าอี้เข็นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คุณตาคุณยาย


เครื่องขึ้นลงตามปกติ งานเป็นไปตามรูปแบบเดิม และเมื่อเครื่องจอด เธอจัดแจงเปิดตู้เก็บของเพื่อหยิบเสื้อผู้โดยสารที่ฝากเก็บไว้ไปคืน


ทันทีที่เธอเปิดตู้ออก เก้าอี้วีลแชร์หล่นล้มลงมาทับเท้าซ้ายของเธอ แม้จะไม่มีเสียงร้อง แต่NIPPONก็เห็นได้ชัดว่า สีหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด เธอยังทนเก็บเก้าอี้กลับเข้าที่เดิมแล้วเดินอย่างระวังกลับไปที่นั่งลูกเรือ


คงเป็นความสะเพร่าของใครสักคน ที่นำเก้าอี้วีลแชร์ออกมาใช้แล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย  เพียงแต่โยนทับของอื่นเอาไว้เท่านั้น เมื่อเจ้านายเธอเปิดตู้ออกมา วีลแชร์จึงหล่นใส่เท้าของเธอ


เธอยังทนยืนขอบคุณลูกค้า แต่ด้วยความปวดจนเท้าชา ก็ทำให้เธอต้องโทรเรียกลูกเรือคนอื่นมายืนตรงจุดนั้นแทน เธอเจ็บจนน้ำตาไหล


มันไม่ใช่การร้องไห้ แต่คือความเจ็บ เจ็บจนน้ำตาไหล เธอไม่ได้เศร้า ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ขี้แง แต่เท้าเธอบวมและชา เมื่อถอดรองเท้าออกมาดู จึงเห็นได้ชัดว่า ตรงกลางเท้ากลายเป็นสีม่วงอมเขียวไปแล้ว เธอลงเท้าไม่ได้เลย จนหัวหน้าต้องพยุงเธอลงเครื่อง ลูกเรือคนอื่นก็ช่วยยกNIPPONแทนให้ หัวหน้าเขียนรายงานอุบัติเหตุส่งผู้จัดการเธอและยื่นหนังสือส่งตัวเธอเข้าตรวจในวันรุ่งขึ้น


เช้าวันรุ่งขึ้น


จอยช่วยพาเธอไปหาหมอ เพราะตอนนี้เท้าของเจ้านายบวมมาก เดินแทบไม่ได้ เพื่อนในถิ่นต่างแดนก็เปรียบเสมือนครอบครัวที่เมื่อยามเจ็บป่วย เราจะยังคอยดูแลกันและกันเสมอ


ผลออกมาคือเธอต้องเอ็กซ์เรย์เท้า เพื่อตรวจว่ามีกระดูกส่วนไหนหักหรือไม่ และต้องหยุดพักจนกว่าหมอจะบอกว่าหายดีพร้อมบินได้


เจ้านายถามหมอเรื่องวันหยุดของเธอที่จะกลับไปรับปริญญา และแล้วหมอก็แจ้งข่าวร้ายกับเธอ


“หนูจะบินออกนอกประเทศไม่ได้จนกว่าหมอจะพิจารณาแล้วว่าเท้าหนูไม่เป็นอะไรนะจ้ะ มันเป็นกฎของทางสายการบิน ถ้าหนูยังฝืนแอบกลับบ้านละก็ หมอคิดว่าหนูอาจจะมีเรื่องต้องคุยกับผู้จัดการหนูภายหลังแน่นอน”


เธอทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แล้วหมอก็สั่งยาให้พร้อมนัดให้เธอกลับไปฟังผลอีกทีวันที่8 ก่อนกำหนดการบินกลับเพียง1วันเท่านั้น


เมื่อกลับมาที่ห้อง ฉันเห็นเธอนั่งครุ่นคิดอยู่นาน เธอรีบโทรหาที่บ้านเล่าเรื่องราวทั้งหมด เล่าไปก็สติแตกไป ร้องไห้ฟูมฟายว่าเธอคงอดรับปริญญาแล้ว ฉันฟังแล้วก็อดเป็นห่วงทางบ้านเธอไม่ได้ ป่านนี้คงเป็นห่วงลูกสาวกันใหญ่แล้ว แถมนี่เธอยังโทรไปร้องไห้ไปอีก หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่คงมีแต่จะเป็นห่วงแต่ช่วยอะไรไม่ได้


“สงบสตินะลูก ตอนนี้เราอยู่คนละประเทศ พ่อแม่ไม่สามารถช่วยลูกได้เลย


 เพราะฉะนั้นลูกต้องสงบสติก่อน โอเคนะ เราลองเข้าไปคุยกับผู้จัดการเราอีกที


พ่อแม่ก็ไม่รู้ระบบสายการบินลูก แต่เราต้องมีสติ ค่อยๆทำไปทีละจุด อย่าตื่นตระหนก


พ่อและแม่เป็นกำลังใจให้ แล้วมีอะไรโทรมารายงานเป็นระยะๆนะ พ่อแม่เป็นห่วง ”


หลังจากได้รับคำแนะนำจากแม่ เธอจึงค่อยคุมสติได้ เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กโดนตีไม่มีผิด ฉันไม่เคยเห็นเธอร้องไห้สติแตกแบบนี้มาก่อน สงสารก็สงสาร ถ้าเพียงฉันมือมือละก็ ฉันจะจูงมือเจ้านายไปคุยกับผู้จัดการเองเลย แล้วถ้าฉันมีปาก ฉันจะพูดกับผู้จัดการให้อนุญาตเจ้านายได้บินกลับมารับปริญญาด้วย ฉันจะดูแลเธอและปกป้องเจ้านายด้วยตัวเอง


แต่สิ่งที่ฉันมี ก็คือล้อ หูจับ และตัวกระเป๋าเท่านั้น ฉันช่วยอะไรเจ้านายไม่ได้เลย ทำได้แต่เพียงมองดูเธอร้องไห้ก็เท่านั้น


นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันและNIPPONนั่งร้องไห้กันอยู่สองใบตามเจ้านาย อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทึบๆ


..


……


………….


วันต่อมา แม้เท้าจะยังไม่หาย แต่ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ที่ไม่ดีขึ้น ก็คือเจ้านายของเรานั่นเอง เธอยังคงกังวลไม่เป็นอันหลับนอน กังวลว่าเท้าของเธอจะหายไม่ทันวันรับปริญญา ที่สำคัญคือกังวลว่าหมอจะไม่อนุญาตให้เธอบินกลับบ้าน


เธอตัดสินใจเปลี่ยนเที่ยวบิน เลื่อนออกไปหนึ่งวัน เพื่อว่าบางทีเท้าเธออาจจะหายทันถ้าให้เวลาพักฟื้นเพิ่มอีก1วัน


วันรับปริญญา คือวันที่10 ถ้าเปลี่ยนเที่ยวบินจากเดิมวันที่8ตอนกลางคืนเป็นวันที่9ตอนเย็นแทน กลับไปก็อาจจะยังทันรับในวันที่10


เธอจัดแจงโทรเปลี่ยนไฟล์ท ฉันเองก็เห็นว่าเธอคงเริ่มจัดการอย่างผู้ใหญ่ได้แล้ว อย่างน้อยเธอกู้ว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ยังไม่ทันไร เธอก็สติแตกร้องไห้โฮอีกแล้ว เธอทั้งโกรธ และร้องไห้ไปด้วย


เจ้าหน้าที่เปลี่ยนไฟล์ทให้เธอผิดวัน และเมื่อจะเปลี่ยนกลับเป็นวันเดิม มันกลายเป็นว่าตั๋วคอนเฟิร์มของเธอจะกลายเป็นตั๋วสแตนบายไปแทน นั่นเท่ากับว่าตอนที่เจ้าหน้าที่เปลี่ยนวันให้เธอ(ผิด)นั้น มันหมายถึงเธอสละสิทธิ์ที่นั่งคอนเฟิร์มของเธอให้กับผู้โดยสารคนอื่นที่รอเสียบแทนเธออยู่ หากเธอยังยืนยันต้องการเปลี่ยนเป็นวันเดิม เธอก็ต้องไปต่อแถวรอคิวเป็น10 ภาวนาให้วันนั้นมีคนสละสิทธิเพื่อให้เธอได้ขึ้นไฟล์ทกลับบ้าน นึกสถาพแล้วก็เหมือนตัวตายตัวแทนยังไงไม่รู้


เธอร้องไห้ไม่ได้สติ โทรกลับหาพ่อแม่อีกรอบ คราวนี้สติแตกกว่าเก่า โทรคุยไม่ทันไรก็วาง เพราะไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไง ตอนนี้เธอเหมือนคนบ้าที่เอาแต่ร้องไห้จนเสียสติ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วนี่จะไม่มีใครช่วยเธอได้เลยเหรอ ฉันของร้องละ พระเจ้า ช่วยส่งใครสักคนมาช่วยเจ้านายฉันที ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงาน จะเป็นกระเป๋าที่อดทน ใครก็ได้ช่วยเจ้านายฉันที


เจ้านายโทรหาเพื่อนๆแต่ดูเหมือนไม่มีใครจะช่วยเธอได้เลย จนในที่สุด นางฟ้าก็ยื่นมือมาฉุดเธอขึ้นจากความทุกข์


นางฟ้าบีน่า


บีน่ามาหาเธอที่ห้อง ปลอบเธอ และแนะแนวทางเธอทุกอย่าง ปกติแล้วบีน่าดูเป็นคนเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอมีสถานการณ์ยุ่งเหยิงเข้ามา เธอกลับกลายเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและแถบจะเรียกว่า เป็นคนจัดการเรื่องยุ่งๆให้เจ้านาย


“เอาอย่างนี้นะ หยุดร้องไห้ แล้วนั่งรถไปคุยเรื่องตั๋วกับที่สายการบินเลย ฉันจะพาเธอไปเอง” บีน่าพูดกับเจ้านาย


เจ้านายทำตามบีน่าทุกอย่าง ตอนนี้เธอเหมือนคนไร้สติที่จัดการอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีบีน่า ฉันเชื่อว่าป่านนี้เธอก็คงยังนั่งร้องไห้อยู่เช่นเดิม ขอบคุณนางฟ้าบีน่าที่คอยดูแลเธอแทนฉัน


บีน่าเรียกรถแท็กซี่ ระหว่างทางเจ้านายก็ร้องไห้ตลอด คนขับแท็กซี่ถึงกับต้องเปิดเพลงประจำชาติให้หายเศร้าทีเดียว แต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล เธอยังคงร้องไห้ต่อไป


เมื่อถึงตึกสายการบิน บีน่าและเจ้านายขึ้นไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อปรึกษาเรื่องตั๋ว


ตั๋วเจ้าปัญหาที่เจ้านายซื้อนั้นเป็นของสายการบินอื่น เธอตัดสินใจเลื่อนตั๋วนั้นไว้ใช้ในโอกาสอื่นแทน เพราะรู้ดีว่าหากใช้งานนี้ไม่มีโอกาสได้กลับไปรับปริญญาทันแน่ๆ เธอจึงต้องหันกลับมาพึ่งตั๋วสายการบินของเธอ


แต่แล้ว เธอก็ร้องไห้โฮอีกครั้งเมื่อนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ไม่ถึงนาที เจ้าหน้าที่ท่านนั้นถึงกับตกใจว่าทำไมเจ้านายร้องไห้เอาดื้อๆ ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเจ้านายเลย


บีน่าซึ่งนั่งรออยู่ใกล้ๆรีบเดินเข้ามาเคลียร์ปัญหาให้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตั๋วลูกเรือที่เธอสามารถใช้สิทธินั้นหมดอายุไปแล้ว


“โอ๊ะ เดี๋ยวนะคะ ยังไม่หมดคะๆ ขออภัยคะดิฉันดูผิด คุณยังใช้ตั๋วได้นะคะ” เจ้าหน้าที่รีบเชคให้อีกรอบ


เจ้านายหยุดร้องไห้ สีหน้าเธอดูมีความหวัง และแล้วเธอก็ยิ้มแก้มปริ หันไปดีใจกับบีน่า และทำการขอบคุณเจ้าหน้าที่ยกใหญ่ เจ้าหน้าที่คนนี้ก็จริงๆเลย แกล้งกันให้ตกใจเล่นรึเปล่าเนี่ย


สุดท้าย เมื่อกลับไปเชคผลเอ็กซ์เรย์เท้าอีกรอบ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กลับบ้านไปรับปริญญาได้เลย เย้!!!!


เธอรีบจัดกระเป๋า ใบหน้าเธอดูอิดโรยสุดขีดเนื่องจากอดนอนเพราะความกังวลมาหลายวัน ตาบวมเพราะร้องไห้ ส่วนขาก็ยังเจ็บอยู่แม้หมอจะบอกว่าไม่น่าเป็นห่วงก็เถอะ


--งานนี้นางฟ้าคือ บีน่า—


เธอได้บินกลับบ้านแล้ว เรื่องทุกอย่างดูเหมือนจบลงด้วยดี


แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด


เพราะใบเซียมซีแผ่นนั้น ยังคงทำงานตามผลทำนายของมันอยู่








Free TextEditor




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2553    
Last Update : 1 สิงหาคม 2553 1:44:42 น.
Counter : 306 Pageviews.  

ตอนที่สอง ไฟท์ที่สองเวนิส

##ไฟท์ที่สอง Venice,Italy##
ช่างเป็นการรับน้องใหม่ที่น่าพิสมัยเสียยิ่งนัก ไฟท์แรกได้กลับบ้าน ไฟท์สองก็ได้ไปเมืองที่คนหลายคนในโลกอยากไปมากที่สุดแห่งหนึ่ง กรุงเวนิส ประเทศอิตาลี

ระหว่างที่ฉันและเจ้านายกำลังนอนหลับอยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
.........กริ๊งงงงงงงงงงงงง.........
เธอรับโทรศัพท์อย่างงัวเงีย แต่พอรู้ว่าเป็นโทรศัพท์เรียกตัวไปบิน แถมได้ไปเวนิส(ฉันเองก็ตื่นเต้นไปด้วย) เท่านั้นละ ตาสว่างกันทั้งคนและกระเป๋าเลยทีเดียว

เธอรีบจัดของอย่างด่วน ไปอาบน้ำ แล้วก็ออกมาจัดใหม่ ยัดนี่ใส่ดึงนู่นออก จนฉันเองงงไปหมดแล้วว่าจะเอาอะไรไปกันแน่ แอร์มือใหม่ เพิ่งหัดจัดกระเป๋าก็แบบเนี๊ย

เธอมีเวลาไม่ถึงชั่วโมงในการเตรียมกระเป๋าและแต่งตัว ส่วนกระเป๋าอย่างฉันก็ได้แต่เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ ไฟท์ที่แล้วเธอเล่นบรรทุกครก กระทะ อี้โต้ และอื่นๆที่ไม่น่าเชื่อว่ากระเป๋าสี่เปลี่ยมความจุธรรมดาๆอย่างฉันจะเอาอยู่ หวังว่าคราวนี้ เจ้านายจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกนะ ไม่อยากท้องป่องเป็นปลาทองแล้ว

และแล้ว เมื่อเตรียมตัวเสร็จ เธอก็ลากฉันลงไปรอรถบัส ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดิม ไปถึงตึกของสายการบิน เธอก็จัดแจงวางฉันไว้ในที่ปลอดภัย เข้าห้องประชุม แล้วออกมาลากฉันไปขึ้นเครื่อง ฉันเริ่มทำหน้าที่ของฉัน แม้จะยังงกๆเงิ่นๆอยู่บ้าง
เจ้านายเองก็เช่นกัน เห็นNIPPONมาเล่าทีหลังว่า อยู่บนเครื่อง นั่งหน้าผู้โดยสารอิตาลีหล่อๆทั้งสองหนุ่มหน่อย ทำอะไรไม่ถูก จนหนุ่มๆต้องบอกว่า ใจเย็นๆ (คิกๆ) ไม่รู้ว่าตื่นเต้นเรื่องทำงานหรือเพราะมีหนุ่มๆนั่งจ้องหน้าก็ไม่รู้ ฉันละอยากเห็นหน้าหนุ่มอิตาเลียนเสียจริงๆ เห็นล่ำลือกันมานานว่าหล่อนักหล่อหนา แต่กระเป๋าเดินทางอย่างเรา จะมีบุญได้เห็นมากสุดก็คงเป็นพนักงานยกกระเป๋าที่คงเคยหล่อเมื่อสมัยตอนยังหนุ่มเท่านั้น เฮ้อ!

พอลงเครื่องแล้ว ฉันก็ได้ยินเสียงตัดพ้อจากเพื่อนๆแอร์สาวหลายคนของเจ้านาย ว่าทำไมไม่บอกกันบ้างว่ามีคนหล่อนั่งอยู่แถวไหน ฟังแล้วก็ขำดี เรื่องของสาวๆเขาพูดกัน

ระหว่างทาง โชคดีที่ฉันทับอยู่บนสุดในกองกระเป๋า เลยได้เห็นวิวข้างทาง เวนิสเป็นเมืองที่ดูยังคงความเป็นยุโรปสมัยก่อนอยู่ บ้านจะเป็นบ้านเล็กๆสีสวยงาม บางบ้านก็มีเถาวัลย์พันดูสดชื่นและขลังไปในตัว ไม่ได้เป็นยุโรปทันสมัยแบบเมืองอื่นที่จะสร้างบ้านสไตล์โมเดินอย่างที่เราเห็นๆกันในโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม พอเริ่มเข้าตัวเมือง ก็เริ่มเห็นความโมเดินของตึกรางบ้านช่อง แต่ถ้าได้ไปเห็นเองจะรู้สึกได้ว่า ความเป็นกรุงเวนิส มันหมายความว่าอย่างไร

เมื่อถึงโรงแรม ลูกเรือทุกคนนัดหมายลงมาเจอกันในอีกชั่วโมง เจ้านายจึงรีบจัดแจงพาฉันไปห้อง เปิดตัวฉันออกแล้วเลือกชุดที่เตรียมมาไปใส่

เธอรีบวิ่งออกไปเที่ยวต่อ ส่วนฉันขอตัวพักผ่อนเงียบๆในห้องพักแล้วกัน (หาว)
…..
………..
.....................
“อะไรเนี่ย ดึกป่านนี้แล้ว เจ้านายยังไม่กลับอีกเหรอ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ” ฉันกระวนกระวายใจเพราะเจ้านายยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าจะหลงทางหรือเปล่า เพราะครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้ไปเที่ยวที่ซึ่งเธอไม่คุ้นเคยและไม่เคยมามาก่อน ครั้งแรกที่ได้ไฟท์บินมาต่างประเทศ
พูดไม่ทันขาดคำ เธอก็เปิดประตูเข้ามา หน้าตาของเธอดูง่วงนอนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เห็นได้ว่าถึงจะง่วงแต่ก็ดูท่าว่าวันนี้เธอคงสนุกมากน่าดู

ฉันเห็นเธอนั่งดูรูปที่ถ่ายมา มีทั้งไปจัตุรัสเซต์มาร์ค แถมได้ล่องเรือกอนโดล่าด้วย น่าอิจฉาเสียจริง ถ่ายรูปสวยๆมาเยอะไปหมด โชคดีที่ไปกับเพื่อนๆแอร์ที่มีประสบการณ์ เลยไม่หลง ขอบคุณพระเจ้าที่คุ้มครองเจ้านายฉัน เอเมน.


รุ่งขึ้นอีกวัน เธอตื่นแต่เช้าออกไปเดินชมเมืองแถวโรงแรม แล้วก็กลับมาแต่งตัวเพื่อไปทำหน้าที่แอร์โอสเตสเช่นเดิม เพียงแต่ขากลับ ไม่มีหนุ่มหล่อสองคนนั้นนั่งตรงข้ามให้ใจหวิวเช่นขามาแล้ว NIPPONแอบมารายงานว่า ทำงานได้มีสมาธิขึ้นมาก (วอกแวกเพราะชายหนุ่มจริงๆเจ้านายเรา)

กลับมาถึงอาหรับ เห็นรีบเอารูปลงคอมพิวเตอร์เป็นอย่างแรก เห็นเธอโพสให้พ่อเห็นด้วยละมั้ง นั่งหัวเราะตอนดูรูปอยู่คนเดียวในห้อง ดูแล้วก็ดูอีก
ทำงานเริ่มสนุกแล้วสิ !

ติดตามตอนต่อไป...........




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 1 สิงหาคม 2553 1:40:54 น.
Counter : 304 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทางของแอร์โฮสเตส ตอนที่1

สวัสดีจ้ะ ฉันเป็นกระเป๋าเดินทางสีดำยี่ห้อSamsonite รุ่นดึกดำบรรพ์ที่ถูกผลิตออกมาเพื่อแอร์โฮสเตสของสายการบินอาหรับรูปร่างหน้าตาของฉัน ก็เหมือนกับกระเป๋าเดินทางเบสิคทั่วไป คล้ายกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำขนาดกลาง มีหูและล้อสองล้อ
ฉันตั้งใจแล้วว่า แม้ฉันจะไม่ได้อยากเกิดมาเป็นกระเป๋าเดินทางของแอร์โฮสเตส แต่ฉันก็จะอดทนทำงานจนหมดอายุการใช้งานของฉัน ให้ผู้ผลิตภูมิใจในกระเป๋าเบสิคๆอย่างตัวฉันนี่ละ
.
..
...
วันนี้เป็นวันแรก ที่ฉันจะได้เจอกับเจ้าของของฉัน เขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะ หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะดูแลฉันอย่างทะนุทนอมไหม กังวลจังเลย!!
พวกเราชาวกระเป๋าSamsoniteรุ่นCabin Crewทั้งหมดจำนวนกว่าร้อยใบถูกเรียงตั้งอยู่ตรงโถงตึกTraining College ตรงหูหิ้วมีป้ายชื่อแปะบอกว่ากระเป๋าใบไหนมีเจ้าของชื่ออะไร
"แต่ฉันมองไม่เห็น แย่จัง ฉันมองไม่เห็นชื่อเจ้าของ จึงได้แต่รอว่า หน้าตาเจ้าของฉันจะเป็นอย่างไร"
พวกเรารออย่างใจจดใจจ่อ ตื่นเต้นแต่ไม่แสดงอาการ และในที่สุด เหล่าแอร์โฮสเตสและสจ๊วตทั้งหลายก็เดินมาหากระเป๋าเดินทางที่มีชื่อตัวเองติดอยู่
คนไหนนะ เจ้าของฉัน?


รอแล้วรอเล่า...
ก็รอแล้วรออีก...

"นี่ไง กระเป๋าเรา" เสียงแอร์คนหนึ่งพูดดังขึ้น
แล้วเธอก็หยิบหูฉัน ตรวจสอบสภาพ แล้วลากฉันออกไปจากกลุ่มเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ฉันรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญของเธอ และฉันเองก็รู้สึกภูมิใจที่จะได้ร่วมงานกับเธอ เจ้าของของฉัน
และนี่ ก็เป็นครั้งสุดท้าย ที่ฉันต้องจากลาจากเพื่อนกระเป๋ารุ่นเดียวกันทั้งหมดร้อยกว่าใบ พวกเราต่างแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของแต่ละคน

ปล. วันแรก เจ้าของของฉัน หลังจากที่วางฉันไว้สักพักหนึ่งแล้วออกไปคุยกับเพื่อนๆแอร์ เธอก็กลับมาหาฉันไม่เจอ ฉันเริ่มหวั่นใจว่าเราจะไปกันรอดไหม เธอจะดูแลฉันได้ดีแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉันจะดูแลเสื้อผ้าของเธอที่อยู่ในตัวฉันให้ดีที่สุด ฉันสัญญาว่าจะเป็นกระเป๋าที่ดี ฉันจะอดทน




เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้านายของฉันจัดแจงตั้งล็อคเพื่อปกป้องตัวฉัน ติดสติ๊กเกอร์บนล้อเพื่อให้ฉันดูแตกต่างจากเพื่อนๆกระเป๋าใบอื่น ฉันเริ่มคุ่นเคยกับเธอมากขึ้น และมั่นใจว่าเธอจะดูแลฉันเป็นอย่างดี
"นี่เธอ นี่ๆ ฉันอยู่นี่" เสียงดังมาจากมุมห้อง
"ฉันอยู่นี่ กระเป๋าลากเอง มองมาทางนี้สิ"
เมื่อมองไปก็เห็นกระเป๋าลากCabin crew bagตั้งอยู่ ที่กระเป๋ามีสติ๊กเกอร์เขียนว่า NIPPON ถามไปถามมา จึงรู้ว่าเป็นชื่อที่เจ้านายเธอตั้งให้
ฉันเริ่มรู้สึกน้อยใจ ที่เจ้านายไม่เคยตั้งชื่อให้ฉันเลย



และแล้วการทำงานวันแรกของฉันก็เริ่มต้นขึ้น สถานที่Layoverที่แรกของเจ้านาย BKK
เธอพับเสื้อผ้าใส่ตัวฉันอย่างดี แล้วเขียนป้ายtag ว่าไปBKK เมื่อไปถึงที่ตึกของสายการบิน ฉันเจอพองเพื่อนกระเป๋าดำมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมาก มีทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆ ต่างใบไปต่างที่ บางใบยิ้มแย้มมาเชียวเพราะได้ไปยุโรป แต่บางใบก็หน้ามุ่ยมาเพราะไปJNB เขาว่าที่นั่นโยนกระเป๋ากันบาดเจ็บมานักต่อนัก ส่วนฉันได้ไปบ้านเกิดเจ้านาย ดีใจจังเลย ได้ไปเจอพ่อแม่เจ้านาย แต่ก็รู้ตัวว่าขากลับต้องแบกภาระหนักแน่ๆ แล้วก็คาดไม่ผิด

...............ไฟล์ทแรก กรุงเทพ...............
ตอนที่มาถึงกรุงเทพ เธอดูเบิกบานเป็นพิเศษ ไม่เหมือนตอนอยู่บนเครื่อง หน้าตาเธอดูเกร็งๆกลัวๆคงเพราะเพราะประหม่า โชคดีที่Purserเป็นคนไทย และก็มีรุ่นพี่ในBusiness Classก็เป็นคนไทย เธอเลยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ไม่เพียงสองคนนี้เท่านั้น แอร์คนอื่นๆทั้งจีน ฝรั่ง แขก พอรู้ว่าบินไฟล์ทแรกก็ช่วยแนะนำเธอไปทุกอย่าง เธอยิ้มแป้นเลยทีเดียวแม้จะหวั่นๆอยู่บ้าง

เมื่อถึงเมืองไทย เธอลากฉันไปตามเพื่อนๆแอร์ ทั้งเธอและฉันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แอร์ก็ใหม่ กระเป๋าก็ใหม่ หน้าที่ของเธอจบไปแล้วเมื่อเครื่องจอด แต่หน้าที่ของฉันยังไม่จบจนกว่าเธอจะถึงบ้าน

คนขับรถจับฉันยัดใส่ใต้รถ ในนั้นร้อนและอึดอัด ต้องอยู่ในที่แคบๆกับเพื่อนๆกระเป๋าใบอื่น บางใบก็หนักแสนหนักแถมมานอนทับตัวเราอีก ไม่ชอบเลย แต่มันเป็นหน้าที่

เมื่อรถถึงโรงแรม เจ้านายชะเง้อมองหาใครไม่รู้ พอเจอก็โบกไม้โบกมือยิ้มยกใหญ่ แล้วเธอก็รีบวิ่งมาดึงฉันไปหา “พ่อของเธอ”

เธอลาเพื่อนๆแอร์ พร้อมนัดหมายเวลาPick upพรุ่งนี้ที่จะต้องกลับอาหรับ เวลาแห่งความสุขของเธอช่างน้อยเหลือเกิน แต่เธอก็ยังดีใจที่อย่างน้อยยังได้กลับบ้าน อย่ารอช้าเลย เธอรีบลากฉันตามพ่อไปขึ้นรถ

เมื่อถึงบ้าน ประตูบ้านก็เลื่อนเปิดรอรับเธอ เธอรีบลงจากรถ วิ่งไปหาคนที่เปิดประตูบ้านรอรับเธออยู่ เธอเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า “แม่” ฉันแอบสังเกตเห็นว่า แม่ของเธอตาแดงๆ เธอเองก็เช่นกัน
หลังจากนั้น เธอก็วิ่งไปหาหญิงชราอีกคนที่เธอเรียกว่า “ยาย” เธอยกมือไหว้ยาย แล้วก็กอดและหอมแก้มยายยกใหญ่ ยายก็กอดเธอแน่น ฉันจำได้ว่า เธอเคยบ่นอยู่เสมอว่าเป็นห่วงยาย กลัวยายไม่สบายแล้วจะไม่มีคนพาไปหาหมอ วันนี้เพิ่งได้เจอตัวจริงของยาย บอกได้คำเดียวว่า คุณยายยังแข็งแรงอยู่ สบายมาก
เจ้าหมาสองตัว เจเจ และเอบีเห่าลั่นแสดงความดีใจที่ได้เจอเจ้านายของมันอีกครั้ง เธอทักทายเจ้าสองตัวสักครู่แล้วก็เข้าบ้าน

เมื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งเธอและฉันต่างตกใจกับรูปภาพที่พ่อของเธอปริ้นท์แล้วเอามาใส่กรอบรูปนับสิบ ทุกรูปล้วนแล้วแต่เป็นรูปเธอทั้งสิ้น พ่อพูดว่า ช่วงที่เธอไม่อยู่ พ่อคิดถึงเธอมาก ทุกค่ำจะไปนั่งรอโทรศัพท์จากเธอที่ตรงศาลากลางสวน ทุกเย็นเมื่อกลับมาบ้าน ไม่มีลูกสาวอยู่ด้วยเหมือนก่อน กินข้าวกับแม่สองคนเงียบๆเหงาๆ ฉันฟังแล้ว แม้ฉันจะเป็นเพียงกระเป๋าแต่ก็เข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกสาวคนเดียว

คืนนี้ เธอได้กินแกงส้มผักกะเฉดของโปรดสมใจ พ่อแม่และยายนั่งมองเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมชื่นชมลูกสาวในเครื่องแบบแอร์อาหรับว่าสวยน่ารัก เธอเองก็เล่าเรื่องราวต่างๆช่วงเทรนอย่างสนุกสนาน เรื่องเพื่อนๆ เรื่องเมืองอาหรับ

วันรุ่งขึ้นมีอีกสองคนแปลกหน้ามาที่บ้าน เธอเรียกพวกเขาว่า“ป้ากับลุง” พวกเขาขับรถมาไกลเพื่อมาเจอเธอและเยี่ยมยาย เธอเปิดคอมพิวเตอร์โชว์รูปที่ถ่ายช่วงเทรนให้ทุกคนดู พุดคุยกันได้สักพักใหญ่ ป้ากับลุงก็เป็นอันต้องกลับ เพราะบ้านอยู่ไกล

แต่ความสุขก็ดูเหมือนจะสั้นเหลือเกิน วันรุ่งขึ้น วันที่เธอต้องจากครอบครัวที่รักกลับไปทำงานแดนไกลอีกครั้ง ยามเย็นย่องเข้ามา แสงอาทิตย์ดูอ่อนแรง และเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ก็เป็นเวลาที่เธอและฉันต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ เวลาของครอบครัวที่ราวกับอยู่บนสวรรค์หมดลงแล้วสำหรับเธอ อีกไม่กี่ชั่วโมง โลกแห่งความเป็นจริงกำลังรอเธออยู่

เธอรีบจัดกระเป๋า พ่อของเธอก็มาช่วยอีกแรง พูดตรงๆนะ ตอนขามามันไม่ค่อยมีของอะไร ฉันสบายตัวมากเลย แต่ขากลับก็เดาไว้แล้วละ เธอทำให้ฉันดูเหมือนปลากระป๋องยังไงไม่รู้ ส่วนฉันเองรู้สึกเหมือนท้องอืดยังไงยังงั้น เธอแบกทั้งกระทะ ครก อีโต้ มีด ข้าวสาร ตัวฉันหนักอึ่ง แต่จะทำหน้าที่กระเป๋าลูกเรือให้ดีที่สุด

ก่อนออกจากบ้าน เธอลาทุกคน รวมทั้งเจ้าหมาสองตัวที่เธอรัก ยายของเธอหน้าเศร้า ส่วนแม่ของเธอแม้จะบอกว่าให้เข้มแข็งอย่าร้องไห้ แต่ตาของแม่เริ่มแดงแล้วก็มีน้ำตาคลอ เธอรีบยกฉันใส่รถแล้วขึ้นรถทันที คงเพราะกลัวจะหลุดร้องไห้ให้ทุกคนเห็นเป็นแน่ เมื่อพ่อขับรถออกจากบ้าน ระหว่างนั้น ฉันแอบเห็นเธอมองกระจกข้าง และสิ่งที่ทั้งเธอและฉันเห็นก็คือ ยายและแม่มองรถที่เธอนั่งจนพ้นรั้วบ้านไป แล้วก็ก้มหน้าเดินกลับเข้าบ้านอย่างหมดหวัง ต่อจากนี้ไป ไม่รู้อีกเมื่อไรจะได้เจอกันอีก ฉันเองก็แอบเห็นสีหน้าเศร้าๆของเจ้านายเหมือนกัน

หลังจากการล่ำลาแม่และยายที่บ้านแล้ว ก็ยังมีอีกบททดสอบทางใจสุดท้ายให้เจ้านายได้เผชิญ นั่นก็คือ การล่ำลาพ่อ เพราะหลังจากนี้แล้ว เธอจะต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้งเช่นเคย

หากฉันพูดได้ ฉันจะบอกเจ้านายว่า “อย่างน้อย เธอยังมีฉันนะ อย่าเศร้าใจไปเลย”

(ขากลับเมื่อถึงอาหรับแล้ว คนขับรถที่มายกฉันลงให้เจ้านายถึงกับบ่นว่า ทำไมฉันหนักแบบนี้ เจ้านายได้แต่ยิ้มๆ)


ติดตามตอนต่อไป




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 0:36:09 น.
Counter : 898 Pageviews.  


Ankhesenpaaten
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Musique Orientale - Hossam Ramzy - Arabic Belly Dance Music - Egypt(1).mp3 - Musique Orientale
Friends' blogs
[Add Ankhesenpaaten's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.