วาด ๆ เขียน ๆ ไปตามที่ใจปรารถนา

หนึ่งเหรียญ..หนึ่งคำอธิษฐาน..วันสุดท้าย..ซองสุดท้าย





 


 


หนึ่งเหรียญ..หนึ่งคำอธิษฐาน..วันสุดท้าย..ซองสุดท้าย



 


เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ไปที่ธนาคารทหารไทย
เพื่อร่วมถวายคำอธิษฐานพร้อมเหรียญในโครงการ "หนึ่งเหรียญ หนึ่งคำอธิษฐาน
เพื่อในหลวง"



ผมเดินไปที่โต๊ะและบอกกับพนักงานสาว "มาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องโครงการหนึ่งเหรียญหนึ่งคำอธิษฐานน่ะครับ"




พนักงานตอบว่า "เอ่อ..ตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ"




ผมกล่าวอุทานออกมา "อ้าว..ไม่มีแล้วเหรอครับ!! แต่เห็นเค้าบอกว่าวันนี้วันสุดท้ายไม่ใช่เหรอครับ"




"ใช่ค่ะ..แต่ว่าตอนนี้ซองหมดแล้วค่ะ" พนักงานสาวตอบ



ผมได้ยินอย่างนั้นก็นึกเสียดายที่มาไม่ทัน เพราะเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้นานแล้วตั้งแต่ได้ยินชื่อโครงการ



ผมคงจะแสดงความรู้สึกเสียดายออกมาทางสีหน้าจนพนักงานสังเกตเห็น
พนักงานสาวก็เลยบอกว่า "แต่ว่ามีซองของคนอื่นน่ะคะ ใส่ร่วมกันได้มั๊ยคะ"



ผมได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งใจชื้นขึ้มมาทันที "ครับ ๆ..ได้ครับ จะซองของใครก็ได้ ขอให้ได้ทำก็พอครับ"




พนักงานก็ยิ้ม ๆ แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์หยิบซองมาให้



ตาผมเบิกกว้างเมื่อได้เห็นสิ่งที่พนักงานถือมา สิ่งที่ผมเห็นคือ ซองเล็ก ๆ
ซองหนึ่ง ที่ข้างในเต็มไปด้วยเหรียญจำนวนมาก จนซองแทบปริออกมา



พนักงานยื่นซองมาให้ผม พอพลิกดูด้านหลังเป็นชื่อของเจ้าของซองซึ่งมีเพียง 1 ชื่อ
แต่ไฉนเหรียญถึงได้มากขนาดนี้ เจ้าของซองคงไม่ได้ใส่หลายเหรียญหรอก
เพราะชื่อโครงการก็บอกว่า "หนึ่งเหรียญ หนึ่งคำอฐิษฐาน"



พนักงานบอกว่า "มีคนไม่มีซองใส่เยอะก็เลยต้องใช้ซองร่วมกันแบบนี้น่ะค่ะ ขอแค่ให้ได้ร่วมทำก็พอแล้วเนอะ..ว่ามั้ยคะ"




ผมก็ว่า "ใช่ครับใช่..ขอแค่ให้ได้ทำแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ"




ผมก็ใส่เหรียญลงไปในซอง แล้วก็ถามพนักงานว่า "แล้วใบเขียนคำอธิษฐานล่ะครับ"




พนักงานตอบ "อ๋อ..ไม่มีหรอกค่ะ ใช้การยกซองขึ้นแล้วอฐิษฐานเอาน่ะค่ะ"




"อ้าว..อย่างงั้นหรอกเหรอครับ ทีแรกนึกว่าให้เขียนคำอฐิษฐานซะอีก 555 " ผมกล่าวและหัวเราะแก้เขิน



แล้วผมก็ยกซองขึ้นจรดหน้าผากหลับตาพร้อมกับตั้งจิตอธิษฐาน



"ขอให้ในหลวงทรงมีพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
ขอให้คนไทย(ไม่ว่าจะเสื้อสีไหน)รักกัน ให้ปัญหาภาคใต้จบในเร็ววันด้วยเถิด
(เพราะคิดว่าสิ่งที่จะทำให้พระองค์ท่านมีความสุขก็คือการได้เห็นบ้านเมือง
สงบสุขและคนไทยรักใคร่สามัคคีกัน)"




ตอนอฐิษฐานนั้นรู้สึกว่าจิตมันสงบนิ่งมาก ๆ และเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบเบิกบานใจที่ได้ทำสิ่งที่ดี ๆ



หลายคนที่บริจาคร่วมในซองนั้นก็คงคิดเหมือนกันว่า
แม้จะไม่มีชื่อเราที่ซองก็ไม่เป็นไร
คิดว่าเราก็ขอปิดทองหลังพระบ้างก็แล้วกัน
เหมือนอย่างที่พระองค์ท่านทรงทำเป็นแบบอย่างให้เราได้เห็นกัน
ได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ท่านบ้างแค่นี้เราก็สุขใจเป็นล้นพ้นแล้วล่ะ



สังเกตว่าถ้าเป็นอะไรที่ทำเพื่อพ่อหลวงของเรา
คนไทยจะพร้อมเพรียงและเต็มใจที่จะทำเพื่อพระองค์ท่าน
เพราะสิ่งที่พ่อหลวงของเราทรงทำเพื่อพสกนิกรนั้นมากกว่าสิ่งใด ๆ
ที่เราทุกคนได้ทำให้กับพระองค์ท่านยิ่งนัก



หลายคนคิดและพูด

"ผมรักในหลวง"

"ฉันรักในหลวง"

"หนูรักในหลวง"

"เรารักในหลวง"

"I love my King."




อย่างไรก็ดี ก็ไม่อยากให้ทุกคนเพียงแค่คิดและพูดอย่างเดียว
อยากให้แสดงออกด้วยการกระทำด้วยครับ
การกระทำนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการไปยืนร้องเพลงชาติร่วมกันอย่างเดียว
แต่หมายถึงการทำในสิ่งที่เรียกว่าคุณงามความดีตามบทบาทและหน้าที่ของตน

เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์ท่านได้ทำเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราได้เห็นกันนะครับ



ก็ขอร่วมอนุโมทนากับทุกคนด้วยครับ ขอให้คุณงามความดีที่ทุกคนได้ทำเพื่อพระองค์ท่าน นำพาให้ทุกท่านได้พบเจอกับสิ่งที่ดี ๆ ครับ








Wap!idea

7-8 ธ.ค. 2552







 

Create Date : 28 ธันวาคม 2552   
Last Update : 28 ธันวาคม 2552 22:38:47 น.   
Counter : 1033 Pageviews.  

อิ่มอุ่น











"อิ่มอุ่น"


“อุ่นใด ๆ โลกนี้ไม่มีเทียบเทียม    อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง”



“อิ่มใด ๆ โลกนี้ไม่มีเทียบเทียม    อิ่มอกอิ่มใจอิ่มรักลูกหลับนอน”



เราอาจจะลืมไปแล้วว่าไออุ่นจากอ้อมอกแม่เมื่อแรกเกิดเป็นเช่นไร อาจจะลืมไปแล้วว่าอิ่มในน้ำนมแม่ ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกในชีวิตของเรานั้น  รสชาติเป็นอย่างไร



ก็ไม่แปลกอะไรเลยที่เราจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว  เพราะเมื่อเวลาผันผ่านไป ความทรงจำในวัยเยาว์ของเราก็ย่อมจะเลือนรางจางหายไปกับกาลเวลาที่ล่วงเลยไป  แต่นั่นก็ไม่สำคัญ  สิ่งสำคัญกว่าอยู่ที่ว่า เราลืมไปหรือยังว่าใครกันที่อุ้มท้องเรามา ใครเล่าที่เลี้ยงดูเราจนเติบโต ใครหนอที่ส่งเสียให้เราเล่าเรียนหนังสือจนจบ ใครเอ่ยที่ดูแลเราตอนที่เราไม่สบาย ใครนะที่คอยปลอบโยนเวลาเราร้องไห้เมื่อยังเด็ก



บางคนทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานเพื่อความเจริญก้าวหน้า ทุ่มเทเวลาให้กับการแสวงหาคนรักหรือคู่ครอง ทุ่มเทเวลาให้กับการหาเงินหาทองเพื่อสร้างหลักปักฐาน แต่ไม่มีเวลาแม้เพียงสักนิดมาเหลียวแลดูแลแม่ของตนเอง อาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้แม่ตัวเองอายุเท่าไร ลืมคิดไปว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนักที่แม่จะอยู่กับเรา เราอาจจะไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของท่าน เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป



บางคนอาจจะคิดว่าตอนนี้แม่เราก็ยังไม่แก่มาก สุขภาพก็ยังแข็งแรง ยังมีเวลาอีกมากมายที่จะตอบแทนพระคุณของท่าน ตอนนี้ขอทุ่มเวลาให้กับการทำงานหาเงินก่อน แต่คุณลืมไปแล้วหรือว่าชีวิตคนเราเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีใครล่วงรู้วันตายของตนเอง บางคนอาจจะตายก่อนที่จะหมดอายุขัย เราไม่ได้แก่ตายทุกคน อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่บอกให้ทราบล่วงหน้า ถ้าอยู่ ๆ ก็มีเหตุให้แม่ของคุณต้องจากโลกนี้ไปอย่างฉับพลัน ทิ้งเพียงร่างที่ไร้วิญญาณไว้บนโลกใบนี้แล้ว ถึงตอนนั้นคุณจะไปเคาะโลงศพเอาอาหารที่แม่คุณชอบไปไหว้ ก็ไม่รู้ว่าแม่คุณจะได้กินรึเปล่า ทำไมล่ะ! ทำไมต้องรอให้ถึงตอนนั้นแล้วมานึกเสียใจภายหลัง ในเมื่อตอนนี้คุณยังมีโอกาสที่จะซื้ออาหารที่แม่คุณชอบกินไปให้ท่าน และท่านก็สามารถกินได้แน่นอน แล้วคุณก็จะได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของแม่ของคุณ



แม่บางคนเลี้ยงลูกได้เป็นสิบ ๆ คน แต่เมื่อลูก ๆ เติบโตไปมีครอบครัวของตัวเองแล้วกลับไม่มีใครสักคนที่จะมาเลี้ยงดูแม่ พาแม่ไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์คนชรา มิหนำซ้ำพี่น้องบางคนยังมาฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงมรดกโดยไม่สนใจว่าจะทำให้แม่ทุกข์ใจแค่ไหน



บางคนเลี้ยงดูแม่ของตนเองก็จริง แต่เลี้ยงดูด้วยความจำใจ เพราะเป็นผู้มีหน้ามีตาทางสังคม เกรงว่าถ้าทิ้งแม่ไปแล้วจะโดนคนอื่นด่าว่า ทำให้เสียชื่อเสียง ในใจคิดว่าแม่เป็นภาระของครอบครัวคุณ แต่คุณลืมไปแล้วหรือว่าที่คุณโตมาได้ทุกวันนี้ คุณผลาญเงินแม่คุณไปเท่าไรแล้ว แม่คุณให้เวลากับคุณมากมายแค่ไหน คำพูดและการกระทำที่คุณปฏิบัติต่อแม่ของคุณเป็นอย่างไร คุณใช้ถ้อยคำที่บั่นทอนน้ำใจแม่ของคุณหรือเปล่า คุณปฏิบัติต่อแม่ด้วยความทะนุถนอมอ่อนโยนเหมือนตอนที่แม่เลี้ยงดูคุณหรือเปล่า



ตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ยังเดินไม่ได้ แม่คอยประคับประคอง สอนคุณตั้งไข่ จูงมือพาคุณเดิน พอโตขึ้นมาคุณยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้แล้ว 
แต่แม่ของคุณแก่ลงจนเดินไม่ไหว คุณได้กลับไปประคับประคองแม่คุณบ้างไหม หรือว่าปล่อยให้ท่านล้มฟุบอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดเหลียวแลเลย



คุณอาจนึกรำคาญที่แม่คุณความจำเลอะเลือน ถามแล้วถามอีกซ้ำซาก ขอให้ลองนึกย้อนไปตอนที่คุณเป็นเด็กสิว่า แม่คุณเคยรำคาญไหม  เวลาที่คุณเฝ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่านั่นอะไร นี่อะไร ทำไม ทำไม ทำไม ซ้ำ ๆ ซาก ๆ



มือที่หอม ๆ นุ่ม ๆ เย็น ๆ หลังอาบน้ำของแม่ ที่คุณชอบเอามาสัมผัสที่ใบหน้าของคุณ แต่ตอนนี้กลายเป็นมือที่หยาบกร้าน เหี่ยวแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกที่มีเส้นเลือดปูดโปน คุณรังเกียจมันหรือไม่ที่จะเอามาสัมผัสใบหน้าคุณ ทั้ง ๆ ที่มันก็คือมืออันเดียวกัน



บางคนชอบทำบุญทำทานเพราะหวังว่าจะได้บุญเยอะ ๆ บริจาคเงินสร้างสิ่งปลูกสร้างมากมายแล้วสลักชื่อป่าวประกาศว่าตนได้ทำความดี แต่
ไม่เคยรู้เลยว่าที่บ้านตนนั้นมีพระอรหันต์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันใหญ่ยิ่งอยู่ เป็นพระที่คุณทำบุญได้ขึ้นที่สุด ได้บุญมากที่สุด พระท่านนั้นก็คือแม่ของคุณนั่นเอง
ถ้าคุณสงสัยว่าจริงหรือ ก็ลองทำดูสิครับ ถ้าคุณสังเกตจะเห็นได้ว่า ครั้งใดคราใดที่คุณทำบุญกับแม่ ชีวิตของคุณจะดีขึ้น ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ มีคนคอยเกื้อหนุนจุนเจือ  อะไร ๆ ก็ราบรื่นไปหมด เจอปัญหาอะไรก็ฟันฝ่าไปได้ แคล้วคลาดจากภัยยันอันตรายต่าง ๆ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เหมือนกับว่าบุญติดจรวดตามคุณมาและสนองผลในทันทีทันใด ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากไม่เจอกรรมหนักเก่า ๆ
ที่เคยทำไว้มาตัดรอนซะก่อนนะครับ



การตอบแทนพระคุณแม่ทำได้มากมายหลายทาง ถ้าคุณยังเป็นเด็ก ยังไม่สามารถหาเงินเลี้ยงดูตนเองได้ ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ การตอบแทนพ่อแม่ก็คือ การทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่เถียงแม่ ไม่เกเรหาเรื่องมาให้แม่ต้องลำบากใจ ตั้งใจเรียนหนังสือ ช่วยทำความสะอาดบ้าน ใช้จ่ายอย่างประหยัด เวลาแม่ทำงานเหนื่อย ๆ ตักน้ำเย็น ๆ ไปให้แม่สักแก้ว “แม่จ๋า  พักดื่มน้ำเย็น ๆ ก่อนสิจ๊ะ” แค่นี้แม่ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว



ถ้าคุณโตทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองได้แล้ว ก็ประกอบอาชีพที่สุจริต อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือสิ่งที่ผิดกฎหมาย ถ้าอยู่ไกลก็โทรไปหา 
ถามสารทุกข์สุขดิบบ้าง ไปเยี่ยมเยียนซื้อของไปฝากบ้าง อย่างห่างหายไปนาน แม่บางคนป่วย แต่พอรู้ว่าลูกจะมาเยี่ยม จะได้เห็นหน้าลูก ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะมีกำลังใจที่ดีกว่ายาอื่น ๆ มากมาย ถ้าโชคดีได้อยู่กับแม่ ก็ขอให้ดูแลแม่ให้ดี ด้วยความเต็มใจด้วยความรัก เหมือนกับที่แม่เลี้ยงคุณมาอย่างทะนุถนอมเมื่อตอนที่คุณยังเป็นเด็กที่ยัง ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ รับฟังในสิ่งที่แม่พูดบ้าง



ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ คุณเคยบอกรักแม่แล้วหรือยัง คุณเคยกราบเท้าแม่แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ขอให้ทำในขณะที่ยังมีโอกาสนะครับ อย่าให้ความเขินอายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางคุณ การทำความดีไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย การอายที่จะทำความดีนี่สิน่าอายกว่า




และที่สำคัญลองถามตัวเองดูว่า เราได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดีที่ลูกคนหนึ่งสมควรจะทำต่อแม่เพื่อตอบแทนความอิ่มและความอุ่นที่แม่เคยให้เราหรือยังครับ


ป.ล. ที่เขียนว่าแม่นั้นที่จริงนั้นรวมไปถึงพ่อด้วยนะครับ แต่เนื่องจากว่าบทความนี้เขียนเนื่องในโอกาสวันแม่ 
ก็เลยให้ความสำคัญกับคำว่าแม่ก่อนครับ  ทำดีกับพ่อด้วยนะครับ
ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อจะน้อยใจนะครับ   ^_^


Wap!idea


12 สิงหาคม  2552














 

Create Date : 12 สิงหาคม 2552   
Last Update : 31 สิงหาคม 2552 0:01:30 น.   
Counter : 821 Pageviews.  

สิ่งที่ไม่เห็นอาจมีอยู่จริง

อย่าไม่เชื่อเพราะว่าไม่เห็น เพราะสิ่งที่ไม่เห็นก็อาจจะมีอยู่จริง
ถ้าเราจะบอกว่าสิ่งไหนที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้  สิ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องงมงาย  แล้วเราจะไม่เชื่อ  มันก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียวหรอก 

เพราะอะไรน่ะรึ ? 

ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้  แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมากก็ตาม  แต่ว่าในจักรวาลนี้  ถ้าเทียบกันแล้ว  ระหว่างสิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ  กับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบและยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้แล้วนั้น  จะเห็นว่าสิ่งที่เราได้ค้นพบนั้นถือว่าน้อยมาก    

ถ้าเราจะบอกว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นไม่มีอยู่จริง  ก็ไม่ถูกซะทีเดียวเช่นกันอย่างเช่น  เชื้อโรค แบคทีเรีย ก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  แต่มันก็มีอยู่จริง  เพราะขอบเขตในการรับรู้ของตามนุษย์มีอยู่อย่างจำกัด   ทำให้เรามองไม่เห็นเชื้อโรคด้วยตาเปล่า  แต่ปัจจุบันเรามีกล้องจุลทรรศน์  เราจึงมองเห็นเชื้อโรคได้โดยผ่านกล้อง


เพราะฉะนั้นถ้าเราจะบอกว่าวิญญาณหรือผีไม่มีอยู่จริง  ก็อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวนักเพราะมันอาจจะมีอยู่จริงแต่ว่าตาเราไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น  และวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีอุปกรณ์ที่ช่วยให้เรามองเห็นวิญญาณ 

ถ้าเราจะรอให้วิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วจึงเชื่อ  มันก็อาจจะสายไปก็ได้  เพราะถึงตอนนั้นเราคงตายไปแล้ว เหมือนกับที่คนสมัยก่อน  เชื่อว่าโลกแบน  ถ้าใครบอกว่าโลกกลมก็จะถูกหัวเราะเยาะว่าบ้า  ถ้าโลกกลมเราก็ต้องตกโลกน่ะสิ  แต่ว่าพอวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกกลมโดยออกไปนอกโลกเพื่อถ่ายรูปมายืนยันได้   คนที่เชื่อว่าโลกแบนที่เคยหัวเราะเยาะคนอื่นก็ตายไปหมดแล้ว 

เพราะขอบเขตของประสาทสัมผัสในการรับรู้ของมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างจำกัด  แต่วิทยาศาสตร์นั้นจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ โดยใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์เป็นตัววัด   ถ้าเราจะบอกว่าเราจะเชื่อเพราะว่าตาเราเห็น  หูเราได้ยิน  จมูกเราได้กลิ่น  ลิ้นเราลิ้มรสได้  หรือผิวหนังเราสัมผัสแล้วรู้สึกได้  บางทีเราอาจจะไม่มีทางค้นพบเรื่องวิญญานไปตลอดกาลเลยก็ได้  ถ้าหากเราใช้แต่ประสาทสัมผัสภายนอกของเรา   

ลองสมมติดูว่าเราเป็นมด  ต่อให้เราเป็นมดที่เก่งที่สุดในโลก เราก็คงไม่มีทางมองเห็นคนหรือสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้   เพราะประสาทสัมผัสในการรับรู้ของมดมีอยู่อย่างจำกัด 
มดมีตาก็จริง  แต่ตาของมันไม่ได้ช่วยในการมองเห็น  มันสื่อสารกันโดยใช้หนวดสัมผัสกลิ่นสารเคมีตามทาง  ทำให้มันเดินได้เป็นแถว  ถ้าเราเอามือไปขยี้ลบกลิ่นสารเคมีที่เป็นเส้นทางการเดินของมัน  มันจะงงและหยุดชะงักไปชั่วครู่  เพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
ถ้ามดตัวหนึ่งโดนเราเหยียบตาย  เพื่อนมันก็คงไม่รู้ว่าเพื่อนของมันที่โดนเราเหยียบ  ตายเพราะอะไร  มันคงคิดว่าเพื่อนมันตายเองโดยไม่มีสาเหตุ 

ถ้าเราเป็นมด  เราก็ไม่มีทางมองเห็นคนที่จ้องมองเราอยู่ 
ในมุมมองกลับกัน  ถ้าเราเป็นคน ก็อาจจะมีบางสิ่งที่จ้องมองเราอยู่  แต่เรามองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจ้องมองเราอยู่นั้น 
สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม ที่ทุกคนไม่มีทางหนีพ้น  เราอาจจะโดนสิ่งนั้นพิพากษาโทษที่เราทำไว้ในชาตนี้หรือหลังจากตายไปแล้วก็ได้
ก็ไม่มีใครบอกได้เช่นกันว่าตายไปแล้วสูญจริงรึเปล่า  หรือต้องไปใช้กรรมในชาติหน้าต่อ
ถึงแม้ว่าอาจจะมีมดที่อัจฉริยะตัวหนึ่ง ที่มีตาที่สามารถมองเห็นคนได้  แล้วมันก็ไปเล่าให้เพื่อนมันฟังว่าสิ่งที่มันเห็นมีรูปร่างยังไง  แต่ว่าเพื่อนมันนึกตามยังไงก็คงไม่มีทางเห็นภาพ  เพราะตามันมองไม่เห็น  มันอาจจะหาว่ามดอัจฉริยะตัวนั้นบ้าหรือเพ้อเจ้อก็ได้
เหมือนกับที่มีคนเห็นผี  เราก็หาว่าเขาเพ้อเจ้อ โกหก  เพราะเราไม่ได้เห็นเองกับตา 

ถ้าเราบอกว่าเราไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแล้วเราจะไม่ต้องตกนรกก็ไม่ใช่  เพราะถึงแม้ถ้าเราไม่เชื่อ แต่ถ้ามันมีอยู่จริงเราก็ต้องรับกรรมที่เราทำไว้  เหมือนกับถ้าเราบอกว่าเราไม่เชื่อว่ากฎแรงโน้มถ่วงมีอยู่จริง  แต่ถ้าเราก้าวเท้าออกมาจากยอดตึกสูง  เราก็ต้องตกตึกตายอยู่ดี

เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร  มีแต่จะทำให้สังคมดีขึ้นอีกต่างหาก  แต่ก็อย่าเชื่ออย่างงมงายจนถูกพวกมิจฉาชีพหลอก 

อาจเป็นไปได้ว่า  บางเรื่องอาจจะต้องใช้จิตในการรับรู้  ใช้ใจในการพิสูจน์  เราทุกคนมีจิตใจ  แต่อาจจะยังไม่รู้ถึงวิธีในการควบคุมจิต  หรือใช้จิตอย่างเต็มศักยภาพที่มันสามารถที่จะทำได้ 

ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องพลังจิตเราก็ต้องลองพิสูจน์ดูสิ  ลองทำสมาธิดูอาจจะคนพบอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้  ที่เป็นการค้นพบด้วยการหยั่งรู้  ไม่ใช่รับรู้


 


Wap!idea


  8 Mar 52






Free TextEditor




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 3 สิงหาคม 2552 23:51:53 น.   
Counter : 585 Pageviews.  

ตอนนี้ใจคุณอยู่ที่ไหน?

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน


แล้วการอยู่กับปัจจุบันนั้นดีอย่างไรล่ะ?


จะลองยกตัวอย่างนะครับ เช่น 


คนบางคนที่ชอบคิดถึง แต่เรื่องในอดีต เช่น โดนเจ้านายตำหนิด่าว่ามา  แล้วก็เก็บเอามาคิดแล้วคิดอีก  คิดทีไรก็เจ็บใจทุกที   ทั้ง ๆ ที่จริงเหตุการณ์ที่เราโดนติมันเกิดกับเราแค่ครั้งเดียว  และมันก็ผ่านไปแล้ว  แต่ตัวเราเองต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง  ดึงเอาความทรงจำที่ไม่ดีของเราขึ้นมา  แล้วทำร้ายจิตใจตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าไม่อยู่กับปัจจุบัน


คนบางคนมักจะชอบ กังวลถึงแต่เรื่องอนาคต  เช่น เหตุการณ์มันยังไม่เกิดกับเรา ก็ตีตนไปก่อนไข้ กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ก็เลยทุกข์ใจทุกครั้งที่กังวล  ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้นมันยังไม่มาถึง  กว่าเหตุการณ์จะมาถึงเราก็ได้ทำร้ายจิตใจตัวเองไปหลายครั้งแล้ว


แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันจะไม่ย้ำคิดในอดีตที่ผ่านมาแล้ว  โดนตำหนิมาครั้งเดียวก็เจ็บใจแค่ครั้งเดียวตอนที่โดนติ  หรือถ้าปล่อยวางได้ทันก็อาจจะไม่เจ็บใจเลยก็ได้   ก็เก็บเอาแต่เนื้อหาสาระที่เขาต้องการให้เราปรับปรุงมาแก้ไข  


คนที่อยู่กับ ปัจจุบันจะไม่วิตกกังวลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  ถึงแม่ว่าอนาคตมันจะเลวร้ายอย่างที่คิดจริง ๆ   แต่เราก็จะทุกข์แค่ครั้งเดียวขณะที่มันเกิดกับเรา  ไม่ต้องมานั่งทุกข์ล่วงหน้าโดยเปล่าประโยชน์ 


ลองทบทวนใจเราดูสิครับว่าทุกวันนี้เราอยู่กับอะไรมากกว่ากัน?


Wap!idea


19 Mar 2552






Free TextEditor




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 3 สิงหาคม 2552 23:41:34 น.   
Counter : 478 Pageviews.  

รำลึกถึงหมวดตี้





 



รำลึกถึงหมวดตี้





พูดถึง "หมวดตี้"

บางคนอาจจะไม่รู้จักว่าเขาคือใครและมีอะไรที่น่าสนใจในตัวเขา



หมวดตี้  เจ้าของผลงาน "หมวดตี้ ไดอารี่ออนไลน์" เป็นเจ้าของบล็อก ๆ หนึ่ง ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาและการทำงานที่  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของตน

แล้วเขาเป็นใครล่ะ? ถึงต้องไปทำงานที่นั่น



เขาก็คือตำรวจพลร่ม หนุ่มน้อยอารมณ์ขันวัย 24 ปี ผู้ซึ่งเพิ่งจบมารับราชการได้เพียงปีกว่า ๆ  แม้เขาจะอายุไม่มาก  แต่ความคิดของเขาถือว่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

บางคนอาจจะคิดว่าเขาค่อนข้างจะไร้สาระที่เขียนแต่เรื่องตลกโปกฮา  แต่ว่าในเรื่องตลกของเขาก็แฝงไปด้วยข้อคิดและคติสอนใจที่น่าทึ่งและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง 

ผมเชื่อว่าถ้าคุณได้รู้จักกับหนุ่มน้อยผู้มีอุดมการณ์และรักชาติยิ่งชีพคนนี้  คุณ ๆ บางคนที่เคยเกลียดตำรวจไทย  อาจจะเปลี่ยนใจกลับมารักตำรวจไทยก็ได้



แล้วตอนนี้หมวดตี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ? (บางคนที่ไม่รู้จักเขาอาจจะสงสัย)

เขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้วครับ   อืม..สำหรับคนที่เชื่อว่าสวรรค์-นรกมีจริงแล้ว  คิดว่าตอนนี้เขาคงจะอยู่บนสวรรค์แน่นอน 

แต่ถ้าใครไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นรก  ผมก็ขอบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ในใจของคนไทยหลาย ๆ คน 

ทำไมน่ะเหรอครับ?



เนื่องจากชีวิตของเขาเป็นชีวิตหนึ่งที่มีคุณค่าต่อแผ่นดินไทย  เพราะเขาได้สละชีพในหน้าที่ 

คนทุกคนต่างก็รักชีวิตของตนเอง  เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่รักตัวกลัวตายเหมือนกัน 

แต่เขาเคยบอกว่าชีวิตนี้เกิดมาก็ตายได้ครั้งเดียว ถ้าหากต้องตายเพื่อชาติ  เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนและผืนแผ่นดินไทย ก็จะไม่นึกเสียดายเลย

เขาจึงเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้   เลือกทำงานเพื่ออุดมการณ์มากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของตน



คนบางคนจบมารับราชการทหารตำรวจแล้วก็ตายเพราะอุบัติเหตุจากความประมาท

เช่น กินเหล้าเมาแล้วก็ขับรถชนหรือไปทะเลาะวิวาทกับคนอื่น 

ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งกับชีวิตนั้นที่ควรจะตายเพราะพลีชีพเพื่อชาติมากกว่า





คนเราเกิดมาตายครั้งเดียว จึงควรจะตระหนักว่าจะทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตนี้อย่างมีคุณค่า 

ถึงแม้เราจะไม่สละชีพเพื่อคนอื่น  ก็ควรที่จะสร้างความดีทำประโยชน์ทิ้งไว้ให้สังคมบ้าง 

หรือถ้าใครไม่ทำ  อย่างน้อยก็ไม่ควรสร้างภาระให้สังคมด้วยการทำสิ่งที่เลวจากความเห็นแก่ตัว



เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องของหมวดตี้คือ  เรื่องความบังเอิ๊ญบังเอิญที่เกิดขึ้นในชีวิตของหมวดตี้  จนดูเหมือนว่าเป็นบทละครที่ถูกเขียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบ



บังเอิญที่ 1 คือ หมวดตี้เกิดวันเดียวกับแม่ของเขา  คือ วันที่ 20 มิถุนายน (หมวดตี้เคยพูดขำๆว่าพ่อเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ก็เลยคำนวณแม่น)

บังเอิญที่ 2 คือ หมวดตี้เสียชีวิตในวันคล้ายวันเกิดตัวเอง ก็คือ วันที่ 20 มิถุนายน  2551 ด้วยอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์

บังเอิญที่ 3 คือ หมวดตี้ได้ทำหน้าที่เป็นลูกที่สมบูรณ์แบบก่อนเสียชีวิต  คือหมวดตี้ได้อัพไดอารี่ก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต ใจความสำคัญเขียนถึงแม่ของตน



มอบบทกลอนเกี่ยวกับแม่และอัพโหลดเพลงอิ่มอุ่นให้แด่แม่ของตน  เหมือนเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากลูก เหมือนเป็นจดหมายสั่งลาก่อนที่จะจากกันชั่วนิจนิรันดร์

(ซึ่งไดอารี่ตอนอายุครบ 23 ปี ไม่ได้เขียนอย่างนี้  ถ้าสมมติว่าเขาเสียชีวิตตอนนั้น เขาคงจะเสียใจและรู้สึกค้างคาใจที่ไม่ได้ทำอะไรให้แม่บ้างก่อนจากไป)



ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานศพของหมวดตี้ที่ลพบุรี  ในงานศพนี้ต่างจากงานศพอื่น ๆ ทั่วไป เพราะเป็นงานศพที่เปิดเพลงอิ่มอุ่นคลอไปตลอดทั้งงาน

ซึ่งเป็นบทเพลงสุดท้ายที่หมวดตี้มอบให้แด่แม่ก่อนทิ้งร่างที่ไร้วิญญาณไว้ในโลกใบนี้ 

ลูกทุกคนก็เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่  ถ้าพ่อแม่รู้ว่าอนาคตของลูกตนจะจบชีวิตลงแบบนี้  คงจะไม่มีใครยอมให้ลูกเลือกอาชีพนี้แน่ ๆ



แต่ถึงกระนั้นหมวดตี้ก็ไม่ได้จากไปโดยเปล่าประโยชน์

สิ่งที่หมวดตี้ทิ้งไว้ให้คนข้างหลังมีมากมาย

อย่างน้อยก็ได้ทิ้งความภาคภูมิใจไว้ให้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล

ทิ้งไดอารี่ที่ที่มีคุณค่าไว้ให้ครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้อ่านเวลาคิดถึง 

(ผมเองได้อ่านไดอารี่ของหมวดตี้แล้วยังรู้สึกถึงความเป็นตัวตนของหมวดตี้ยังรู้สึกเหมือนกับว่าหมวดตี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลยครับ)

และที่สำคัญเลยคือ

ได้ทิ้งแบบอย่างที่ดีไว้ให้แก่เยาวชนชาวไทยได้เป็นกรณีศึกษาถึงเรื่อง ความเสียสละ ความกตัญญู ความยึดมั่นในอุดมการณ์

อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าประเทศไทยยังไม่สิ้นคนดี

ยังมีคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังความสุขของคนอื่น  ในขณะที่ใครบางคนทำงานเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัว

ใครบางคนเที่ยวผับกินเหล้าเมายาอย่างสนุกสนาน  ใครบางคนไปดูหนังกับแฟนอย่างมีความสุข  ใครบางคนเดินเที่ยวห้างอย่างสบายใจ

แต่หมวดตี้เดินอยู่ในพื้นที่สีแดงพื้นที่ที่อันตรายที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันทุกฝีก้าวทุกลมหายใจ

เพื่อดูแลคุ้มครองพี่น้องชาวใต้ที่บริสุทธิ์จากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

เพื่อปกป้องอธิปไตยของแผ่นดินแม่ผืนนี้ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างสงบสุขต่อไป



แม่ ของหมวดตี้บอกว่า ไม่ว่าลูกจะออกมาเป็นชายหรือหญิงก็จะตั้งชื่อให้ว่า "กฤตติกุล" ซึ่งแปลว่า  ผู้สืบสกุลอันทรงเกียรติ  แล้วหมวดตี้ก็สามารถทำได้สมดั่งชื่อของเขาจริง ๆ




Wap!idea


17 มิถุนายน 2552





 

Create Date : 19 มิถุนายน 2552   
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 1:09:15 น.   
Counter : 1158 Pageviews.  

1  2  

wapidea
Location :
สมุทรสาคร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบวาดรูปและอ่านหนังสือธรรมะครับผม
ก็เลยคิดว่าน่าจะเอาความสามารถที่เรามีในเรื่องการวาดรูปมาเขียนเป็นการ์ตูนธรรมะที่ให้ข้อคิดดี ๆ แก่สังคม
[Add wapidea's blog to your web]