สิ่งที่ไม่เห็นอาจมีอยู่จริง
อย่าไม่เชื่อเพราะว่าไม่เห็น เพราะสิ่งที่ไม่เห็นก็อาจจะมีอยู่จริง ถ้าเราจะบอกว่าสิ่งไหนที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องงมงาย แล้วเราจะไม่เชื่อ มันก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียวหรอก
เพราะอะไรน่ะรึ ?
ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมากก็ตาม แต่ว่าในจักรวาลนี้ ถ้าเทียบกันแล้ว ระหว่างสิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ กับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบและยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้แล้วนั้น จะเห็นว่าสิ่งที่เราได้ค้นพบนั้นถือว่าน้อยมาก
ถ้าเราจะบอกว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นไม่มีอยู่จริง ก็ไม่ถูกซะทีเดียวเช่นกันอย่างเช่น เชื้อโรค แบคทีเรีย ก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริง เพราะขอบเขตในการรับรู้ของตามนุษย์มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เรามองไม่เห็นเชื้อโรคด้วยตาเปล่า แต่ปัจจุบันเรามีกล้องจุลทรรศน์ เราจึงมองเห็นเชื้อโรคได้โดยผ่านกล้อง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะบอกว่าวิญญาณหรือผีไม่มีอยู่จริง ก็อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวนักเพราะมันอาจจะมีอยู่จริงแต่ว่าตาเราไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น และวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีอุปกรณ์ที่ช่วยให้เรามองเห็นวิญญาณ
ถ้าเราจะรอให้วิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วจึงเชื่อ มันก็อาจจะสายไปก็ได้ เพราะถึงตอนนั้นเราคงตายไปแล้ว เหมือนกับที่คนสมัยก่อน เชื่อว่าโลกแบน ถ้าใครบอกว่าโลกกลมก็จะถูกหัวเราะเยาะว่าบ้า ถ้าโลกกลมเราก็ต้องตกโลกน่ะสิ แต่ว่าพอวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกกลมโดยออกไปนอกโลกเพื่อถ่ายรูปมายืนยันได้ คนที่เชื่อว่าโลกแบนที่เคยหัวเราะเยาะคนอื่นก็ตายไปหมดแล้ว
เพราะขอบเขตของประสาทสัมผัสในการรับรู้ของมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างจำกัด แต่วิทยาศาสตร์นั้นจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ โดยใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์เป็นตัววัด ถ้าเราจะบอกว่าเราจะเชื่อเพราะว่าตาเราเห็น หูเราได้ยิน จมูกเราได้กลิ่น ลิ้นเราลิ้มรสได้ หรือผิวหนังเราสัมผัสแล้วรู้สึกได้ บางทีเราอาจจะไม่มีทางค้นพบเรื่องวิญญานไปตลอดกาลเลยก็ได้ ถ้าหากเราใช้แต่ประสาทสัมผัสภายนอกของเรา
ลองสมมติดูว่าเราเป็นมด ต่อให้เราเป็นมดที่เก่งที่สุดในโลก เราก็คงไม่มีทางมองเห็นคนหรือสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้ เพราะประสาทสัมผัสในการรับรู้ของมดมีอยู่อย่างจำกัด มดมีตาก็จริง แต่ตาของมันไม่ได้ช่วยในการมองเห็น มันสื่อสารกันโดยใช้หนวดสัมผัสกลิ่นสารเคมีตามทาง ทำให้มันเดินได้เป็นแถว ถ้าเราเอามือไปขยี้ลบกลิ่นสารเคมีที่เป็นเส้นทางการเดินของมัน มันจะงงและหยุดชะงักไปชั่วครู่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ถ้ามดตัวหนึ่งโดนเราเหยียบตาย เพื่อนมันก็คงไม่รู้ว่าเพื่อนของมันที่โดนเราเหยียบ ตายเพราะอะไร มันคงคิดว่าเพื่อนมันตายเองโดยไม่มีสาเหตุ
ถ้าเราเป็นมด เราก็ไม่มีทางมองเห็นคนที่จ้องมองเราอยู่ ในมุมมองกลับกัน ถ้าเราเป็นคน ก็อาจจะมีบางสิ่งที่จ้องมองเราอยู่ แต่เรามองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจ้องมองเราอยู่นั้น สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม ที่ทุกคนไม่มีทางหนีพ้น เราอาจจะโดนสิ่งนั้นพิพากษาโทษที่เราทำไว้ในชาตนี้หรือหลังจากตายไปแล้วก็ได้ ก็ไม่มีใครบอกได้เช่นกันว่าตายไปแล้วสูญจริงรึเปล่า หรือต้องไปใช้กรรมในชาติหน้าต่อ ถึงแม้ว่าอาจจะมีมดที่อัจฉริยะตัวหนึ่ง ที่มีตาที่สามารถมองเห็นคนได้ แล้วมันก็ไปเล่าให้เพื่อนมันฟังว่าสิ่งที่มันเห็นมีรูปร่างยังไง แต่ว่าเพื่อนมันนึกตามยังไงก็คงไม่มีทางเห็นภาพ เพราะตามันมองไม่เห็น มันอาจจะหาว่ามดอัจฉริยะตัวนั้นบ้าหรือเพ้อเจ้อก็ได้ เหมือนกับที่มีคนเห็นผี เราก็หาว่าเขาเพ้อเจ้อ โกหก เพราะเราไม่ได้เห็นเองกับตา
ถ้าเราบอกว่าเราไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแล้วเราจะไม่ต้องตกนรกก็ไม่ใช่ เพราะถึงแม้ถ้าเราไม่เชื่อ แต่ถ้ามันมีอยู่จริงเราก็ต้องรับกรรมที่เราทำไว้ เหมือนกับถ้าเราบอกว่าเราไม่เชื่อว่ากฎแรงโน้มถ่วงมีอยู่จริง แต่ถ้าเราก้าวเท้าออกมาจากยอดตึกสูง เราก็ต้องตกตึกตายอยู่ดี
เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร มีแต่จะทำให้สังคมดีขึ้นอีกต่างหาก แต่ก็อย่าเชื่ออย่างงมงายจนถูกพวกมิจฉาชีพหลอก
อาจเป็นไปได้ว่า บางเรื่องอาจจะต้องใช้จิตในการรับรู้ ใช้ใจในการพิสูจน์ เราทุกคนมีจิตใจ แต่อาจจะยังไม่รู้ถึงวิธีในการควบคุมจิต หรือใช้จิตอย่างเต็มศักยภาพที่มันสามารถที่จะทำได้
ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องพลังจิตเราก็ต้องลองพิสูจน์ดูสิ ลองทำสมาธิดูอาจจะคนพบอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้ ที่เป็นการค้นพบด้วยการหยั่งรู้ ไม่ใช่รับรู้ Wap!idea 8 Mar 52
Free TextEditor
Create Date : 07 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 3 สิงหาคม 2552 23:51:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 422 Pageviews. |
|
|
|