|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
การยิงปืนพกเพื่อการป้องกันตัวในระบบสัญชาติญาณ ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
กฏแห่งความปลอดภัย หลายท่านที่เคยยิงปืน หรือเคยผ่านการฝึกยิงปืนมาแล้ว คงจะรู้จักกฏแห่งความปลอดภัยในการใช้อาวุธปืนกันมาบ้างว่า มันมีอยู่สิบกว่าข้อ บอกตามตรงผมก็จำได้ไม่หมด และไม่คิดที่จะจำด้วยเพราะผมมีหลักในการใช้กฏแห่งความปลอดภัยง่าย ๆ เพียง 2+1 ข้อ เท่านั้น ทุก ๆ ข้อของกฏแห่งความปลอดภัยมีเป้าหมายอยู่ที่ 2+1 ข้อนี้เท่านั้น ซึ่งมันง่ายในการจดจำและการฝึก 1.ตรวจอาวุธปืนทุกครั้งเมื่อหยิบจับอาวุธปืน 2.ปฏิบัติกับปืนทุกกระบอกเหมือนมันมีกระสุนบรรจุอยู่ สำหรับ +1 ก็คือ "ไม่นำนิ้วเข้าโกร่งไกถ้าคุณไม่ได้ยิง" ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติมผมขอเล่าตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการละเมิด กฏแห่งความปลอดภัยให้ฟังสักสามตัวอย่าง
เหตุการณ์ที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจจบใหม่ 2 นาย ประจำโรงพักเดียวกัน อยู่แฟลตห้องเดียวกัน ในขณะที่คนหนึ่งอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ คนหนึ่งนั่งเล่นปืนของตัวเองอยู่ที่โต๊ะรับแขก เมื่อเพื่อนอาบน้ำเสร็จ เจ้าของปืนก็ไปอาบน้ำต่อจากเพื่อน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งเล่นปืนของตัวเอง ส่วนเพื่อนก็ยืนแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า และโดยไม่คาดหมายเจ้าของปืนก็ยกปืนขึ้นเล็งไปทางเพื่อน แล้วลั่นไก กระสุนเจาะเข้าศรีษะเพื่อนเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ หลังเหตุการณ์เจ้าของปืนให้การว่า ก่อนที่ตัวเองจะไปเข้าห้องน้ำนั่น ตนมั่นใจว่ามิได้บรรจุกระสุนไว้ในปืน จึงยกปืนขึ้นเพื่อจะหยอกล้อเพื่อน โดยคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ตำรวจท่านหนึงตายอย่างไม่สมควร เพราะเพิ่งจบใหม่ ๆ ยังไม่ทันจะได้รับใช้ประเทศให้สมความตั้งใจ ส่วนอีกท่านโดนไล่ออกและโดนคตีอาญา โทษฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
เหตุการณ์ที่2 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ครั้งหนึ่งในขณะทำการฝึก นักเรียนนายร้อยตำรวจนายหนึ่งได้ทำปืนลั่นใส่ขาเพื่อน กระสุนทะลุขาแฉล็บพื้นผ่านหว่างขาของผมไปเข้าหัวไหล่ของเพื่อนนักเรียนที่อยู่ห่างไปอีก ประมาณ 20 ช่องยิง สาเหตุเกิดจากการที่เขาพยายามจะเปิดโม่ปืน ในขณะที่ปืนยังง้างนกอยู่ ซึ่งมันไม่สามารถทำได้ ด้วยกลไกของอาวุธสร้างมามิให้สามารถเปิดโม่ในขณะที่ยังง้างนกอยู่ จากนั้นนิ้วชี้ของนักเรียนก็หลุดเข้าไปในไกปืน ในขณะเดียวกันลำกล้องปืนไม่ได้อยู่ในแนวปลอดภัย จึงลั่นกระสุนนัดนั้นออกมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสองราย หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป ผมก็ได้พบกับนักเรียนที่บาดเจ็บทั้งสองคน นักเรียนทั้งคู่บอกว่า ไม่เป็นไรมาก หมอบอกให้พักแค่อาทิตย์เดียว แล้วก็บอกผมว่า "เสียดายจัง" เฮ้ย ! เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้เลยว่ากำลังล้อเล่นกับความตายอยู่ เหตุการณ์ที่ 3 เหตุการณ์นี้เกิดกับผมเองอีกเช่นกัน ครั้งนี้เป็นการฝึกยิงปืนในะบบฉับพลันให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจ ลักษณะการฝึกคือผู้ยิงเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง แล้วยิงกระสุนภายในเวลาที่กำหนด ในขณะเคลื่อนที่นั้นปืนจะอยู่ในซองปืน ผู้ยิงจะต้องจับและกระชับปืนไปในขณะเคลื่อนที่ตามยุทธวิธีที่ถูกต้อง ผมคุมช่องยิงให้กับนักเรียนท่านนี้ เมื่อสัญญาณเริ่มยิงดังขึ้น นักเรียนเคลื่อนที่ไปยังจุดยิงได้เพียงแค่สามก้าว ผมก้าวตามไปเพียงหนึ่งก้าว ก็ได้ยินเสียงดัง ปัง จากนั้นเศษดิน เศษหญ้าก็ปลิวกระจายขึ้นมาเต็มหน้าเต็มตาเต็ม เสื้อผ้ากางเกงไปหมด เวลานั้นผมคิดว่าผมคงโดนนักเรียนลั่นกระสุนใส่แล้ว จึงก้มไปดูที่เท้าตัวเอง เห็นที่พื้นดินห่างจากปลายเท้าตัวเองประมาณหนึ่งนิ้ว เป็นรูกระสุนขนาดเท่าเหรียญสิบบาท ก็รู้ว่าไม่ได้โดนลั่นใส่ สำหรับนักเรียนนั้นก็ไปยืนตัวสั่นอยู่ตรงจุดยิง เพราะคิดว่าคงลั่นโดนผม ผมเดินเข้าไปปลอบนักเรียนและบอกว่าผมไม่เป็นไร ขอให้นักเรียนยิงต่อไปให้จบระบบ เสร็จแล้วค่อยมาว่ากันเรื่องทำโทษในฐานที่ทำปืนลั่นใส่ครูฝึก ผมสำรวจมองนักเรียนไม่เห็นรอยบาดแผล เห็นแต่รอยกระสุนทะลุฝากระเป๋าข้างของกางเกงฝึก และออกที่ก้นกระเป๋า ก็โล่งใจ
(ปืนที่ใช้ฝึกเป็น HK P7M8 เป็นปืนที่ไม่มี Save Control แต่ใช้ Control Grip ที่ด้านหน้าของด้าม เป็นเซฟตี้ ซึ่งผู้ยิงจะต้องบีับด้ามจนกิ๊บหน้าดังคลิก จึงจะสามารถลั่นไกปืนได้)
ทุกเหตุการณ์ที่ผมยกตัวอย่างมานั้น เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฏแห่งความปลอดภัย 2+1 ข้อ ที่ได้กล่าวมาแล้วดังนี้
เหตุการณ์ที่ 1 นั้น ละเมิดกฏแห่งความปลอดภัยครบทั้ง 3 ข้อ เพราะถ้าตำรวจท่านนั้น หยิบปืนขึ้นมาตรวจอาวุธเสียก่อน ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ หรือถึงแม้เขามั่นใจว่าปืนไม่กระสุน เพราะก่อนไปอาบน้ำเขาไม่ได้บรรจุกระสุนไว้ แต่เขาลืมไปว่าในขณะที่เขาเข้าห้องน้ำเพื่อนของเขา อาจจะมาเล่นปืนที่เขาวางไว้ต่อจากเขาก็ได้ และอาจจะบรรจุกระสุนเอาไว้ ถ้าบอกว่าเรื่องอย่างนี้ใครจะไปคิดว่ามันจะเกิด ผมก็เห็นด้วยนะครับ แต่นั้นมิใช่ข้ออ้างเลย เพราะถึงอย่างไรเขาก็ละเมิดกฏแห่งความปลอดภัยข้อที่ 2 อยู่ดี เพราะถ้าเขายึดมั่นในกฏข้อที่ 2 ว่า ปฏิบัติกับปืนทุกกระบอกเหมือนมันมีกระสุนบรรจุอยู่ เขาจะไม่มีทางจ่อกระบอกปืนไปทางเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน แต่ที่ทำอย่างนั้นเพราะคิดว่าปืนไม่มีลูก จึงกล้าทำอย่างนั้นและผลของการละเมิดคราวนั้น นำเอาชีวิตเพื่อนตำรวจของเขาไปด้วยอย่างไม่มีวันกลับ และไม่สามารถหาคำขอโทษใด ๆ มาทดแทนได้ และถ้าเขาละเมิดกฏทั้ง 2 ข้อไปแล้ว แต่ยังระลึกได้ว่าเขาไม่ควรนำนิ้วเข้าโกร่งไกปืน ถ้าเขาไม่ได้ยิงสิ่งนั้นจริง ๆ เรื่องเศร้าเรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน เหตุการณ์ที่ 2 นั้น นักเรียนอาจไม่ได้ละเมิดกฏแห่งความปลอดภัยข้อแรก เพราะสาเหตุที่พยายามจะเปิดโม่นั้น ก็เพื่อจะตรวจอาวุธปืนว่าปืนปลอดภัยหรือยัง แต่กลับไปละเมิดกฏข้อที่ 2 โดยปล่อยให้ปากกระบอกปืนหันไปหาบุคคลอื่นเหมือนกับว่าปืนไม่มีกระสุนบรรจุอยู่แล้ว และสุดท้่ายยังนำนิ้วเข้าโกร่งไกปืนในขณะที่ตนเองไม่ได้คิดที่จะยิงอีกด้วย แุถมให้อีกนิดในเคสนี้ว่า ผู้ยิงไม่มีความเข้าใจในกลไกอาวุธปืนอย่างจริงจัง และมิใช่ว่าทางครูฝึกจะไม่สอน แต่ด้วยความที่อัตราส่วนจำนวนนักเรียนต่อครูฝึกเมื่อ 17 ปีที่แล้วนั้นเท่ากับ 10:1 คือนักเรียน 10 คน ต่อครูฝึก 1 คน จึงมิใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะสื่อสารให้เกิดผลลัพท์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มได้
เหตุการณ์ที่ 3 นั้น นักเรียนปฏิบัติถูกต้องตามที่ครูฝึกและระบบกำหนดให้ทำ คือเมื่อเคลื่อนที่ให้กำด้ามปืนในลักษณะพร้อมยิง หยุดเมื่อไหร่ต้องชักปืนออกมายิงได้ทันที โดยไม่ไปเสียเวลากำปืนอีกครั้ง แต่สิ่งที่นักเรียนทำเกินมา ก็คือนำนิ้วเข้าโกร่งไกปืนในขณะที่เคลื่อนที่ด้วย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ครูฝึกและระบบได้เน้นย้ำอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความตื่นเต้นขาดสติ จึงทำให้นักเรียนหลงลืมไปชั่วขณะ และเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็ว จนเกินกว่าที่ครูฝึกจะทันได้ห้ามปราม
จะเห็นได้ว่าตัวอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผมยกขึ้นมานั้น เป็นผู้ผ่านการฝึกมาแล้วทั้งนั้น แสดงว่า การรู้จักกฏแห่งความปลอดภัยว่ามีอะำไรบ้าง ท่องได้เป็นนกแก้วนกขุนทองนั้น ไม่เพียงพอต่อการใช้อาวุธปืน
สิ่งที่ผู้มีหรือผู้ใช้อาวุธต้องทำให้ได้ก็คือ "สร้างสันดาน กฏความปลอดภัยขึ้นมา" ขอเน้นนะครับว่า แค่นิสัยนั้นไม่พอ ต้องเป็นสันดานเท่านั้น ขอยกตัวอย่างสันดาน แห่งกฏความปลอดภัยให้ฟังนะครับ
ในสมัยที่ผมเป็นครูฝึกยิงปืนนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้น ครูฝึกทั้งหมดต้องฝึกให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจทั้ง 4 ชั้นปีโดยเฉลี่ยแล้ว 100 คนต่อวัน ในทุก ๆ วันผมจะต้องตอบคำถามและต้องสาธิตการปฏิบัติให้กับนักเรียนมากกว่า 30 ครั้งต่อวัน และในทุก ๆ ครั้งผมต้องชักปืนจากซองข้างเองตัวเองออกมาเพื่อสาธิตและแสดงท่าทางที่ถูกต้อง ทุกครั้งที่สาธิตนั้นผมต้องตรวจอาวุธปืนทุกครั้ง นั้นหมายความว่าผมตรวจอาวุธปืนที่อยู่ข้างเอวตัวเองตลอดเวลาวันละกว่า 30 ครั้ง ผมก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ในเมื่อปืนอยู่ข้างเอวผมไม่ได้อยู่ข้างเอวใคร ผมรู้แต่เพียงว่าเป็นเป็นปฏิกริยาอัตโนมัติ ที่ห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องทำ ผมจึงเรียกมันว่า "สันดานดี" ในการใช้อาวุธปืน และที่สำคัญคือครูฝึกทุกคนก็เป็นเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย สันดานอีกอย่างที่ผมเป็นก็คือ ผมจะไม่จ่อปืนไปยังบุคคล สัตว์ สิ่งของที่ผมไม่ต้องการจะยิงจริง ๆ ไม่ว่าปืนกระบอกนั้นจะผ่านการตรวจอาวุธมาแล้วอย่างดี เช่น เปิดโม่เอาไว้(ในปืนลูกโม่) หรือปลดแม็กกาซีน และค้างสไลด์แล้วก็ตาม (ในปืนพกกึ่งอัตโนมัติ) ยกเว้นในการสอนที่จำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อให้เห็นภาพการฝึกเท่านั้น
และผมอยากขอร้องทุกคนว่าอย่าทำแม้จะรู้ว่าปืนปลอดภัยแล้วก็ตาม เพราะความผิดพลาดส่วนใหญ่เริ่มต้นจากจุดนี้ และเป็นอุปสรรคต่อการสร้าง"สันดานดี" ในการใช้อาวุธปืนด้วย
สิ่งต่าง ๆ ที่ผมกล่าวไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ถ้าจะฝึกปฏิบัติให้เป็น "สันดาน" มันอยู่ที่ว่าคุณสักแต่ว่ารู้ ว่ามันมีกฏแห่งความปลอดภัยข้อนั้น ข้อนี้อยู่ หรือคุณรู้จริง ๆ ว่ากฏแห่งความปลอดภัยมีความสำคัญมาก ๆ แล้วคุณเน้นการฝึกปฏิบัติในส่วนนี้อย่างจริงจัง เท่าเทียมกับที่คุณพยายามฝึกยิงปืนด้วยกระสุนจริงหรือเปล่า
หลายครั้ง หลายครา ที่ผมเดินทางไปสอนนักเรียนในฐานะประธานชมรมครูฝึกยิงปืน แล้วผมจั่วหัวด้วยเรื่องกฏแห่งความปลอดภัย นักเรียนส่วนใหญ่ทำท่าทางราวกับเบื่อหน่าย ประมาณว่า " กูรู้แล้ว"
ผมก็ต้องบอกนักเรียนว่า ผมรู้แล้วว่านักเรียนนะ "รู้แล้ว" แต่ที่อยากจะบอกจริง ๆ ก็คือ "แค่คิดว่ารู้นั้นไม่พอ" ต้องสร้างอุปนิสัย หรือสันดานขึ้นมาจากสิ่งที่ "คิดว่ารู้แล้วนั้นให้ได้" จึงจะถือว่าใช้งานได้จริง ๆ ก่อนจะจบตอนที่ 3 นี้ผมอยากจะบอกเรื่องจริงให้ผู้อ่านของผมได้สบายใจสักหน่อยว่า "นักยิงปืนเกือบทุกคนเคยทำปืนลั่นมาแล้วทั้งนั้น" เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งผมเอง เพราะเหตุแห่งปืนลั่นนั้นนอกจากตัวผู้ยิงเองแล้ว มันยังมีเรื่องของความพกพร่องของกลไกอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ผ่านมาไม่ว่าเป็นผม หรือ ครูฝึกท่านอื่น ๆ ไม่ว่าการที่ปืนลั่นนั้นมาจากสาเหตุใด ก็มิเคยทำให้ใครต้องได้รับความเสียหาย หรือบาดเจ็บล้มตาย เพราะทุกครั้ง ที่เราปฏิบัติกับมันเราจะระลึกถึงอยู่เสมอว่า ปืนมีกระสุนบรรจุอยู่
ดังนั้นเราจึงหันปากกระบอกปืนไปยังแนวที่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
จบตอนที่ 3 แล้วครับ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ตอนหน้าจะเป็นเรื่อง ของกระสุนปืนในขนาดต่าง ๆ ที่เราอาจจะได้เจอมัน และเราควรรู้จักมันไว้บ้าง ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
Create Date : 15 มกราคม 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 15 มกราคม 2554 14:11:06 น. |
Counter : 2424 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: apirom IP: 192.168.0.123, 61.47.22.99, 61.47.22.9 วันที่: 18 มกราคม 2554 เวลา:8:30:47 น. |
|
โดย: NuHring วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:52:20 น. |
|
โดย: bigeye (tewtor ) วันที่: 17 เมษายน 2554 เวลา:3:31:38 น. |
|
โดย: Winters IP: 58.11.18.92 วันที่: 22 มิถุนายน 2554 เวลา:20:29:20 น. |
|
โดย: อยากเป็นตำรวจ (ปีศาจเว็บ ) วันที่: 17 มกราคม 2555 เวลา:20:24:51 น. |
|
โดย: watmitt IP: 49.231.244.3 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:22:46:11 น. |
|
| |
|
ว.วรรณเลิศ |
|
|
|
|