|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ
พุทธพจน์กฎแห่งกรรม บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ : บาปอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิดย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชรย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉันนั้น นี่นับเป็นพระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ตรัสเพื่อจะอธิบายเนื้อความของกฎแห่งกรรมอีกบทหนึ่ง พระพุทธพจน์นี้พระพุทธองค์ได้ตรัสขณะที่ประทับอยู่ในพระเชตะวันมหาวิหาร สาเหตุที่ได้ตรัสก็เพราะได้ปรารภหรือตรัสถึงมหาอุบาสกผู้หนึ่ง ชื่อมหากาล ซึ่งถูกเจ้าของทรัพย์รุมตีตายเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโจร.... เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นมีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อ นายมหากาล แกเป็นคนเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม เป็นผู้ถืออุโบสถศีล ( ศีล8) 8 วันต่อเดือน หากมีการแสดงธรรมแกก็จะอยู่ฟังธรรมจนรุ่งสว่าง วันหนึ่งขณะที่นายมหากาลไปฟังธรรมในวิหารตลอดคืน ครั้งนั้นได้มีโจรคนหนึ่งได้แอบเจาะช่องเข้าไปขโมยของในเรือนหลังหนึ่ง เมื่อได้ของแล้วก็เอามาห่อรวมกัน ทีนี้ของที่ห่อรวมกันนั้นเกิดกระทบกันมีเสียงดัง กรุ๋งกริ๋ง เสียงนั้นทำให้เจ้าของบ้านตื่นขึ้น โจรก็วิ่งหนีไป เจ้าของบ้านก็พาพรรคพวกวิ่งตามไป โดยอาศัยเสียงในห่อข้าวของกระทบกันเป็นร่องรอยการติดตาม โจรคนนั้นวิ่งหนีมาทางวิหาร เจ้าของทรัพย์ก็ติดตามมาไม่ลดละโจรเห็นว่าไม่มีทางหนีแล้ว และเกิดพบว่าที่เจ้าของทรัพย์ ตามเขามาถูกตลอดทางนั้น เพราะอาศัยเสียงในห่องกระทบกันนั้นเองเขาจึงทุ่มห่อข้าวของนั้นที่ด้านหลังนายมหากาล ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการฟังธรรมกำลังล้างหน้าอยู่ที่สระ ฝ่ายนายมหากาลพอล้างหน้าเสร็จหันมา เจ้าของทรัพย์มาทันพอดี เห็นห่อทรัพย์ตั้งอยู่ก็จำได้ และเข้าใจว่านายมหากาลเป็นโจรที่ขโมยของมา จึงต่อว่าทำนองว่า เจ้าคนถือสากปากถือศีล กลางคืนแอบขโมยของเราแล้วแกล้งมาทำเป็นฟังธรรม ว่าดังนั้นแล้วเจ้าของทรัพย์ก็รุมกันจับตัวนายมหากาลแล้วทุบตีเขาจนถึงแก่ความตาย แล้วทิ้งศพไว้ตรงนั้นเอาเพียงห่อข้าวของกลับไป ตกสายหน่อยพระภิกษุสามเณรนันก็ไปทำธุระที่สระน้ำนั้น จึงได้เจอศพนายมหากลา เมื่อสืบกันจนทราบเรื่องว่าที่นายมหากาลตายเพราะเจ้าทรัพย์รุมทุบตี เพราะคิดว่าเป็นโจรขโมยของหนีมา พระภิกษุสามเณรจึงพูดว่า อุบาสกนี้ อุตส่าห์ตั้งมั่นในธรรม ถือศีล8 ฟังธรรมตลอดคืน แต่ก็ต้องมาตายด้วยเหตุนี้ ไม่สมควรเลย เมื่อพระพุทธองค์ทราบเรื่องก็ตรัสบอกแก่ภิกษุสามเณรเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหาย อุบาสกมหากาลถึงแก่ความตายโดยไม่สมควรในอัตภาพนี้ แต่เขาก็ได้ตายด้วยเหตุที่สมควรแก่กรรมที่เขาทไว้แต่กาลก่อน พวกภิกษุจึงทูลถามเรื่องอดีตกรรมของนายมหากาล พระพุทธองค์จึงทรงตรัสให้ฟังว่า ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ที่ชายแดนเมืองพาราณสี มีโจรผู้ร้ายชุกชุม แอบซุ่มปล้นสดมภ์พวกคนเดินทางโดยซ่อนตัวอยู่ตามป่าตามดง พระราชาแห่งแคว้นหาทางแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งราชการไป สองคน คนหนึ่งให้ประจำอยู่หัวดงนี้ ( ชายป่าด้านหนึ่ง ) อีกคนให้อยู่อีกหัวดงหนึ่ง ( ชายป่าอีกด้านหนึ่ง ) เพื่อทำหน้าที่คอยคุ้มกันพวกคนเดินทาง ต่อมาผัวเมียคู่หนึ่งเดินทางผ่านมาทางนั้นด้วยเกวียน ข้าราชการคนหนึ่งเห็นเมียชายหนึ่งคนนั้นแล้วก็เกิดชอบพอ อยากจะได้ครอบครอง จึงคิดยื้อแย่งเอามาเป็นเมียของตน โดยวางแผนให้ชายหนุ่มกับเมียพักที่บ้านเขาก่อนโดยอ้างว่าค่ำมืดแล้วเดินทางตอนนี้จะเป็นอันตราย พรุ่งนี้ค่อยเดินทางจะดีกว่า แม้ชายหนุ่มคนนั้นบอกว่าจะเดินทางเลย โดยไม่เกรงกลัวอันตรายแต่ข้าราชการคนนั้นก็หาเรื่องประวิง จนเขาจำต้องเอาเมียพักอยู่เรือนของข้าราชการคนนั้น ข้าราชการคนนั้นมีแก้วมณีล้ำค่าอยู่ดวงหนึ่งตกดึกคืนนั้นเขาได้แอบเอาแก้วมณีด้วงนั้นไปซ่อนไว้ในเกวียนของชายหนุ่ม พอรุ่งเช้าชายหนุ่มเตรียมตัวออกเดินทาง ข้าราชการก็โวยวายออกมาว่าแก้วมณีในเรือนเขาหายไป ก็ให้เจ้าหน้าที่คนในเกวียนหนุ่มคนนั้น ข้าราชการเจ้าเล่ห์ก็แกล้งทำเป็นโกรธขึ้นต่อว่าชายหนุ่มทำนองว่า เขาอุตส่าห์ให้ที่พักพิงยังมาเนรคุณด้วยการขโมยของมีค่าในบ้านเขาอีก แล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่จับชายหนุ่มคนนั้นไปสำเร็จโทษด้วยการทุบตีให้ตายแล้วทิ้งศพไว้ตรงนั้น ข้าราชการคนนี้เมื่อตายไปก็ไปบังเกิดในอบายภูมิ ชดใช้กรรมในนรกอยู่ช้านาน เมื่อหมดกรรมในนรกมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถูกผู้อื่นยัดเยียดความผิดให้ ถูกทุบตีตายแล้วทิ้งศพไว้ด้วยเหตุกลั่นแกล้งหรือเข้าใจผิดเช่นนีเป็น 100 ชาติแล้ว จนกระทั่งมาเกิดเป็นนายมหากาล เมื่อตรัสเล่าเรื่องอดีตกรรมนายมหากาลจบแล้วพระพุทธองค์ตรัสสรุปว่า ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้แล้ว ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้ในอบาย 4 แล้วก็ตรัสพระคาถาสุภาษิตนี้ต่อไปว่า บาปอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชรย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉันนั้น
ซึ่งพอจะถอดความหมายได้ว่า กรรมเก่าที่ทำไว้ ยังฝังอยู่ในสังสารวัฏ ( การเวียนว่ายตายเกิด) คอยวนเวียนให้ชดใช้ เหมือนโรคร้ายชนิดหนึ่งเกาะสังขารอยู่ แม้จะไม่ได้ติดเชื้อโรคร้ายมาจากไหน แต่โรคร้ายที่เกาะอยู่ก็ให้ผลเอง ด้วยเหตุนี้แม้ชาตินี้เกิดมาจะไม่ได้ทำกรรมอะไรเพิ่มเติม แต่หากถูกกรรมเก่าย้อนมาให้ชดใช้ เหมือนกับแก้วที่ถูกทำลายด้วยเพชร ทั้งนี้เพชรและแก้วก็เกิดมาจากหินเหมือนกัน และแก้วก็เป็นวัตถุวิเศษที่ไม่มีวัตถุใดตัดได้นอกจากเพชร ก็เท่ากับว่า ตนนั้นเอง เป็นศัตรูแห่งตน
คัดมาจาก : พุทธพจน์กฏแห่งกรรม โดย ฉลอง เจยาคม
Create Date : 04 กันยายน 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 4 กันยายน 2550 12:58:16 น. |
Counter : 973 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: ธิธารา 5 กันยายน 2550 8:48:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อ IP: 222.123.122.200 8 กันยายน 2550 11:53:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: นายสมพงษ์ IP: 58.10.103.227 11 กันยายน 2550 9:46:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: เปิดไฟแล้ว IP: 202.28.27.3 26 ธันวาคม 2550 19:02:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทิดสม IP: 203.121.146.83 26 ธันวาคม 2550 21:23:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ