|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
พุทธิปัญญาจากหมาขี้เรื้อน
พุทธิปัญญาจากหมาขี้เรื้อน
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทัน ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่ บัณฑิตใหม่หมาดจาก เมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝาก ให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษา สูง มาจากตระกูลผู้ ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่า จะ 'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อย หน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชู หางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาต ได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสีย เป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์ เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้า อาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำ เข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้อง น้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมี ชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่า ใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูป ไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่ม อยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วย ใจจดจ่อ อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาด ใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาส เป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา อุตส่าห์เขียนคำวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการ วัดได้ร่วมยี่สิบข้อ เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัย ก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลัง เขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีก หนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระ ลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่าน ไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระ รูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ "เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่ พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัว เองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเอง นอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้น มันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุ แห่งอาการคันอยู่ที่โรคเรื้อนซึ่งเกาะกินอยู่บนหลังของตัวมันเองนั่นต่างหาก"
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนา หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็น แล้ว ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นว่ายนึก อย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัว ใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลาง นึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า 'หมาขี้เรื้อน' ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2553 1:14:16 น. |
Counter : 1390 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: MaFiaVza วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:4:47:49 น. |
|
โดย: bigcat@nek วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:7:19:09 น. |
|
โดย: nordcapp (nordcapp ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:39:38 น. |
|
โดย: ขอร่วมอนุโมทนาในการบวช IP: 110.169.214.4 วันที่: 26 ธันวาคม 2553 เวลา:19:40:04 น. |
|
| |
|
submarine |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ หลวงพ่อ (พระโพธิญาณเถร) บอกว่า "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %" คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น ลองกลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
|
|
|
|