We cannot change The World, but We can make The World Beautiful +++ เราไม่สามารถเปลื่ยนเเปลงอะไรได้ , เเต่ เราสามารถทำให้สังคมเราน่าอยู่ได้
Group Blog
 
All Blogs
 

เท่าไหร่เพื่อความรัก – เรื่องของ เงิน และ ความรัก

เท่าไหร่เพื่อความรัก – เรื่องของ เงิน และ ความรัก
________________________________________

ความรัก ชายและหญิงทุกคน อยากมีคนรักของตัวเองมีไว้ข้างกาย

ทุกคนนั้น จะต้องมีสเปกชาย และหญิงในฝันเมื่อตอนเป็นเด็ก เป็นวันรุ่น และเป็นผู้ใหญ่

ก็จะเปลี่ยนไปบ้างตามประสบการณ์ที่แต่ละคนนั้นผ่านพบมา

และสุดท้ายบางได้เจอคู่ที่สมหวัง บางก็ไม่เจอ บางก็กำลังรออยู่ และหลายคนก็ผิดหวังไปก็เยอะ

เมื่อตอนที่คนสองคนนั้นมีความรัก ความรักดูจะหวานหอม จะเอาช้างสารมาฉุกก็คงจะไม่อยู่

คนรักทั้งสองพร้อมที่จะเสียสละเวลา และสละทรัทย์ที่ตนเองมี เพื่อที่หาของที่ถูกใจให้คนที่เรารัก

เราจะลองทำทุกอย่างที่คนรักของเราร้องขอให้ลองหรือให้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยที่จะทำ เพื่อให้คนที่รักเราของเราประทับใจ

และให้รู้สึกว่ารายังรักเราอยู่ เค้าอยู่ นี่ก็เป็นความจริงที่คนทุกชาติทุกภาษานั้น ทำกันอยู่เนืองๆ

แต่ทว่าเมื่อผ่านไประยะที่เป็นข้าวใหม่ปลามัน และผ่านระยะที่เป็นระยะตาบอด (เพราะความรักไปแล้ว)

ความเป็นจริงจะปรากฎขึ้นมา ว่าคนทั้งสองนั้นมีความจริงใจต่อกันแค่ไหน
________________________________________

ในสังคมปัจจุบันนี้ การดำรงชีวิตอยู่ของคนสองคนนั้น

ความรักอย่างเดียวคงจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมปัจจุบัน เงิน ทรัพย์สิน และความสะดวกสบาย

ก็มีส่วนสำคัญสำหรับคนทั้งสองคนในการตัดสินใจที่คนสองคน จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

สังคมปัจจุบันจึง เกิดกลุ่มคนที่พยายามจะหาคู่ครองที่มีฐานะ และมีทรัพย์สิน
มากมาตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่อย่างสบาย

คู่ครองที่แต่งงานก็ในลักษณะนี้ พวกเราก็สามารถเห็นได้อยู่ทั่วๆไป แล้วถ้ามองดูกันดีๆแล้ว

ก็จะมีสองสามความคิดเห็นออกมาว่า รอด เพราะว่าคู่นี้ เค้ารักกันดี เค้าเป็นเนื้อคู่กัน หรือ ไม่รอด เพราะว่าแต่งงานเพราะเงิน หรือ ต้องดูกันไปบอกตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ หรือ อื่นๆอีกมากมาย

แต่ถ้ามองกันลึกๆแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานด้วย เหตุผลใดก็ตาม

คู่นี้จะเกิดความเลื่อมล้ำภายในครอบครัว และมันจะกระทบและสะท้อนมาสู่

สังคมภายนอก

และถ้ามีลูกก็จะกระทบถึงลูกโดยตรง และมันจะกระทบเป็นห่วงลูกโซ่ กับคนที่ห่วงใยคุณ

หมายความว่า เมื่อชายหรือหญิง มีสินทรัพย์น้อยกว่า ฝ่ายที่มีมากกว่าจะต้องสนับสนุนฝ่ายที่มีน้อยกว่า

หลายคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นแปลกอะไรเลย เมื่อเป็นคู่รักกัน กระเป๋าเดียวกัน ใช้ด้วยกัน

แล้วถ้าสนับสนุน จนหมดหละ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย

เมื่อเงิน สิ่งที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตหมดไป การกู้ยืมก็เกิดขึ้น หนี้สินก็เกิดขึ้น

แล้วลองคิดดูว่าถ้าสนับสนุนไปเรื่อยๆ จะสิ้นสุดเมื่อไหร่
________________________________________

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้หละ

ถ้าเป็นผู้หญิง แต่งงานกับสามีรวย แล้วผู้หญิงนั้นไม่คิดอะไรมาก ก็คงจะไม่
เป็นไรเท่าไหร่

ถ้าเกิดว่าเป็นสาวแกร่ง ขยันทำงาน ช่วยสามีทำงาน ก็ยิ่งดูดีกว่าเดิมอีกหลาย
เท่าตัว จะลบภาพที่แต่งงานเพราะเงินออกไปทันที

ถ้านำเงินไปลงทุนหละ ประสบความสำเร็จก็ดี แล้วถ้าล้มเหลวหละ.....

ถ้าเกิดไม่ทำอะไรเอาแต่ใช้เงิน คงจะโดนประนาม.....

แล้วถ้าเป็นผู้ชายบ้างหละ

คงจะคล้ายๆกับผู้หญิง แต่ก็มีข้อเสียเปรียบนิดหน่อย

ถ้าไม่ทำอะไรเลย คงโดนประนามเช่นกัน

ถ้าไปทำงานกับผู้หญิง คงจะถูกมองว่าต่ำ แต่ถ้ามีความขยัน และมีความเป็นผู้นำก็คง ดูดีมีภาษีดีขึ้น

แล้วผู้ชายขอฝ่ายหญิงเอาเงินไปลงทุนหละ ประสบความสำเร็จเสมอตัว ขาดทุนคงขุดหลุมฝังตัวเอง

ทำไมผู้ชายถึงแระสบความล้มเหลวแล้วดูแย่ กว่าผู้หญิงหละ

เพราะว่า สภาพสังคมและความคาดหวังจากสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน

ถ้าคู่ไหนสามารถสร้างกำแพงต้างแรงกดดันจากภายนอกได้นั้น ก็คงจะไม่เป็นไร
________________________________________

ขอย้อยกลับไปพูดถึงเรื่องเงินใหม่

การที่คนรักสนับสนุน เงินเพื่อเป็นทุนให้อีกฝ่านหนึ่งนั้น คงไม่มีใครเห็นว่าผิด

และ เป็นการสนับสนุนอีกฝ่ายให้มีสภาวะทางสังคมที่เท่าเทียมกัน

แต่ คำว่า “พอ และ หยุด” นั้นอยู่ที่ไหน

มันเป็นคำพูดที่ง่ายมากๆเลย ในการพิมพ์ หรือเขียนนี้

หลายคนๆ คงได้ยินคำพูด “เพื่อความรัก จ่ายเท่าไหร่ เท่ากัน”

ถ้าคุณมีเงินอย่าง บิล เกต (เจ้าของ Microsoft) ก็คงไม่เป็นไร

แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ที่ต้องรอเงินออกทุกต้นเดือน หรือ ปลายเดือนนั้น

คงจะไม่ได้ คงจะต้องคิดหน้า คิดหลังก่อนที่จะจ่ายไป

เมื่อไหร่ที่จะ พอ นั้น ผู้เขียนคงจะบอกไม่ได้

จะต้องอยู่ที่การพูดคุยกันระหว่าง คนสองคน ว่าจะพอเมื่อไหร่ สิ้นสุดที่เมื่อไหร่

คนที่ให้ ก็จะต้องใจแข็งที่จะ หยุด ให้

คนที่ขอ ก็ต้องเห็นใจ คนที่ให้ เช่นกัน

อย่าให้คำขู่ ว่า ไม่ให้ เพราะว่า ไม่รักกันแล้ว หรือว่า ไม่ได้ แล้วจะเลิกกัน

ใครคนนั้นคงที่จะรักเงินมากกว่า รักในตัวคุณ
________________________________________

เงินนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม

สามารถทำให้คุณมีความสุข

สามารถทำให้คุณมีความทุกข์

แต่ถ้าขาดมันไป การดำรงชีวิตก็จะลำบาก

มีมากไป ก็มีคนมาหยิบยืม

รถ กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา สามารถ ซื้อได้ด้วยเงิน

แต่ ความรัก ความผูกพัน มิตรภาพ ไม่สามารถซื้อได้ด้วย เงิน
________________________________________

นายคิดดี....ninekidd.com




 

Create Date : 16 กันยายน 2552    
Last Update : 16 กันยายน 2552 0:01:47 น.
Counter : 451 Pageviews.  

ประสบการณ์ และความผิดพลาด




ถ้าชีวิตของเราไม่ได้พบผ่านกับความเจ็บปวดและความผิดพลาด

เราคงจะไม่รู้จักว่า ความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร

ถ้าชีวิตของเราไม่มีเมื่อวานนี้

ชีวิตของเราคงจะไม่แข็งแกร่ง เหมือนกับทุกวันนี้

แต่ละบุคคลนั้น มีทางเดิน และปัญหาที่ต้องเผชิญที่แตกต่างกัน

สิ่งที่เราเรียนรู้ในเมื่อวานนี้ เป็นครู เป็นอาจารย์

อบรมสั่งสอนให้เราให้เรามีความแข็งแกร่ง และมีประสบการณ์ ในการก้าวต่อไปในชีวิต

ประสบการณืสอนเรา ให้เราสามารถเรียนรู้ และสามารถยืนบนขาของตัวเองได้

โดนไม่ทำให้เราล้ม หรือพลาดพลั้ง

แม้บางครั้งจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง เราก็ยังสามารถยืนหยัดได้

ความผิดพลาดที่เราทำไปในเมื่อวานนี้ เราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้

แต่เราสามารถทำวันนี้ และตอนนี้ให้ดีที่สุดได้

บางครั้งเมื่อวานนี้ ความผิดพลาดของเราไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด

เราต้องลองทำ แล้วถึงจะรู้ว่าถูกหรือผิด แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถูกหรือผิด

อย่าไปตัดสินมัน จงยอมรับว่ามันเป็นประสบการณ์ของเรา และพร้อมที่ก้าวไปข้างหน้า

บางครั้งประการณ์นั้น ทำให้เราเจ็บปวด ทำให้ เราต้องเจ็บ แล้วเราถึงจะจำ

แต่ชีวิตก็มีอารมณ์ขันของมัน คือ เราก็จะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราอยู่ตรงข้างหน้า

เราจะพยายามขวนขวายในสิ่งที่เราไม่สามารถมีได้

แล้วเราก็จะเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดของเรานั้นมันอยู่ตรงหน้าเรา

เหมื่อนกับเส้นผมบังภูเขา

ประสบการณ์ทำเราล้มและลุกเป็น -

ถ้าไม่มีเมื่อวานนี้ เราคงจะไม่มีประสบการณ์ที่จะก้าวต่อไป -

จงอย่าจมปักอยู่กับกองปฏิกูล ล้างตัวเองให้สะอาด และจงเลือกและทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง




นายคิดดี....ninekidd.com
(pkbom.bloggang.com)




 

Create Date : 14 กันยายน 2552    
Last Update : 14 กันยายน 2552 12:23:30 น.
Counter : 264 Pageviews.  

สิ่งมีชีวิต ที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์


ต่างคน ต่างมีชีวิต ที่เเตกต่างกัน

มีนิสัย มีวิถีชีวิตที่เเตกต่าง

มีการศึกษา มีโอกาส มีการเรียนรู้ ที่เเตกต่าง

มีทัศนคติ มีวิสัยทัศน์ มีหลักการที่ต่างกัน

เเละ เราก็ต่างต้องการการมีตัวตน มีความสำคัญ มีที่อยู่ในสังคม เป็นส่วนหนึ่งของสังคม

เเละการที่คนเรามีสังคม มีการสื่อสารซึ่งกันเเละกัน


เมื่อคนเรานั้นปฏิสัมพันธ์กัน เรียนรู้ซึ่งกันเเละกัน

ไม่ว่าในลักษณะใด

เช่น

เพื่อนบ้าน ซึ่งเดียวนี้ ดูเหมื่อนจะห่างไกลกัน เเม้ว่าจะอยู่ใกล้กันก็ตาม


เพื่อนร่วมห้องเรียน ประถม มัธยม หรือ เเม้เเต่ มหาวิทยาลัย

ดูเหมื่อนว่าถ้าหมดหน้าที่ในการเรียน ก็จะห่างหายกันไป เจอบ้างไม่เจอบ้าง

เเต่บางคนก็ได้คบกัน เป็นเพื่อนเเท้ เป็นเพื่อนชีวิต ของกันเเละกัน ซึ่งก็มีให้เนอยู่เสมอ

เเละ เป็นผู้ซึ่งไม่หาประโยชน์ ซึ่งกันเเละกัน ซึ่งเป็นสิ่งสังคมกำลังขาดเเคลน


เพื่อนร่วมงาน เป็นเพื่อนที่เราจะต้องเผชิญกันในชีวิตจริง ในสังคมที่ปราศจากผู้ที่จะมาปกป้องเรา

ถ้าเป็นที่โรงเรียน ก็มีครู เเละอาจารย์ ที่เป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อเป็นเเม่ของเราคนที่สอง ที่มีความปรารถนาดี

อบรมสั่งสอนความรู้ให้เรา สอนให้เรามีภูมิคุ้มกันในให้เเก่ชีวิตเรา

ถ้าเราเจอเพื่อนรวมงานที่ดี ก็โชคดี ถ้าเจอเจ้านายดี ก็ โชคดี

เเต่ว่า ชีวิตจริงนั้นไม่ง่ายเสมอไป ถ้าเจอไม่ดีหละ เราจะทำอย่างไร

มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เรา ขึ้นอยู่กับการเเก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเรา

ขึ้นอยู่กับ ความฉลาดเเละเฉลียวของเรา ถ้าใครมีไม่มากก็ควรหาเพิ่มเติมซะ

เพื่อเพิ่มเติมภูมิคุ้มกันให้เเก่ตัวเอง เเต่ต้องทำเเบบฉลาดๆ ด้วยนะ

ที่ขาดไม่ได้ในโลกของไซเบอร์ เพื่อนทางอินเตอร์ เน็ต

เป็นสังคมที่ไร้พรมเเดน ไม่มีเส้นขั้นระหว่างประเทศ วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ เเละทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกขจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง

เราสามารถผู้คุย โดยเห็น เเละไม่เห็นหน้า หาข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ โดยไร้ขอบเขต

ดังนั้น เราจะรู้ได้ยังไงว่า อะไร คือความจริง อะไร คือความเท็จ

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน

ถ้าลองมองย้อนดูตัวเราเอง เมื่อเราเผชิญ กับปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะเเก้ไขปัญหาอย่างไร

ถ้าเรามีความรู้มีประการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างดี เราก็จะเเก้ปัญหาได้ทันที มันคือ ภูมิคุ้มกันของเรา ทึ่อยู่ในตัวเรา

ไม่มีใครสามารถเเย่งมันออกไปจากตัวเราได้

เเต่ในทางตรงกันข้าม เราเจอปํญหาที่เราไม่สามารถเเก้ได้หละ เราจะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าเรานั้นโง่ เเค่นี้ก็เเก้ปัญหานั้นไม่ได้

มันเป็นเพราะว่า เราไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ เราไม่มีภูมิคุ้มกันให้เเก่ตัวเราเอง เราจึงไม่สามารถเเก้ไขปัญหานั้นได้

มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เราก็ไปหาความรู้เพื่มเติม ถามผู้รู้ หรือ ค้นคว้าหาคำตองเอง บางอย่างเราต้องปฏิบัติ จึงจะรู้ได้

มันก็อยู่ที่เราว่า เราต้องการภูมิคุ้มกันนั้นหรือเปล่า ภูมิคุ้มกันที่เราขาดไป


เพื่อนทางธุรกิจ บางคนเมื่อทำงานเเล้ว ก็ทำธุรกิจที่เป็นของตัวเอง หลังจากที่ได้ทำการค้าขายซึ่งกันเเละกัน

รู้จักคุ้นเคยกัน จึงเป็นเพื่อนกัน เเละต่างฝ่ายก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

ดูเหมื่อนว่า ผลประโยชน์ ดูจะเป็นใหญ่ในการตัดสินใจในระหว่าเพื่อนร่วมธุกิจ

เเละเมื่อ ผลประโชน์ไม่ลงรอยกัน ความเป็นเพื่อนก็ขาดสะบั่น

เเละดูเหมื่อนว่าจะเป็นเพื่อนที่ไม่ยั่งยืนสักเท่าไร เเต่ถ้ามีความจริงใจให้เเก่กัน

เเต่ทำธุรกิจ โดยเกื้อกูลเเก่กัน มีคุณธรรม เเละมีจรรยาบรรณ

เพื่อนทางธุรกิจ ก็เป็นสิ่งที่ยั่งยืนมากเลยทีเดียว

เเล้วพวกเราหละ มีเพื่อนกันเเบบไหนบ้าง

เเต่ละคน คงมีคำตอบที่เหมือนกัน เเละไม่เหมือนกัน

เเต่คงไม่ใช่ประเด็น สำคัญ เรานะเคยมองดูตัวเอง

เเละ เป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่นหรือยัง

+++




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2550 12:05:11 น.
Counter : 253 Pageviews.  

ชีวิตที่เลือกได้


คุณพร้อมรึยังที่จะ ตาย

การจากไปจากคนที่เคยรัก เคยห่วงใย

จากลูก จากหลาน จากสามี ภรรยา

จากเพื่อน พี่น้องเเละ ญาติ

เราทุกๆคนต้องเเก่ เเล้ว ก็ตาย

ลองนึกดูว่า สังคม หรือ โรงเรียนไม่เคยสอน

ให้เรารู้จักกับความเเก่ เเละความตาย

เราลองมอง ญาติผู้ใหญ่ของเรา ปู่ย่า ตายาย

ผู้คนเหล่านี้พร้อมรึยังที่จะ ตาย ไปอย่างสงบ

ไร้ทุกข์ ไร้กังวล

ท่านเหล่านั้น ปล่อยวางได้หรือยัง

ที่จะยอมรับความเป็นจริง ว่าตัวเองนั้นเเก่เเล้ว

ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือน เมื่อตอนเป็นหนุ่ม หรือ สาว เเล้ว

ร่างกายเริ่ม ไม่มีเเรง เจ็บไข้ กล้ามเนื้อเหี่ยวย่น

ท่านเหล่านั้นยอมรับ ความจริงนี้หรือ เปล่า

ความจริงที่ว่า

ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง

เน่าเปื่อยไปตามธรรมชาติ

จิตของเราผ่านเข้ามาในร่างมนุษย์ร่างนี้

เเล้วก็ผ่านไป เกิด ในร่างใหม่

มีเเม่คนใหม่ มีพ่อคนใหม่

มีการเจ็บ มีการเเก่ เเละก็ มีการตาย

เเล้วก็ หมุนเวียนไปอย่านี้ ไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในวัตสงสาร

มีสุข มีเหงา มีเศร้า มีรัก

เเล้วลองมองย้อนดูตัวเอง หละ

ขณะนี้ ตัวเราเองอายุเท่าไร

จะอยู่ได้อีกกี่ปี จะเวียนว่าย ตายเกิดอีกกี่ภพ กี่ขาติ

ลองนึกดูอีกว่า เมื่อตอนเด็กๆ

กับตอนนี้ เวลาผ่านไปรวดเร็วขนาดไหน

ในชีวิตที่ผ่านมา

เราทำอะไรดีๆ ให้คนรอบข้างคนในสังคมเเล้วหรือยัง

เเล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด เราทำอะไรดีๆให้ตัวเองรึยัง

เราสะสมบุญ หรือ บาปมากกว่ากัน

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา

เราหวังหรือไม่ว่า เราจะได้เกิดในที่ ที่ดีๆอีกในอนาคต

เกิดในภพภูมิไหน

นรกภูมิ สัตวภูมิ มนุษย์ภูมิ เทวภูมิ หรือ พรหมภูมิ

เเละพร้อมที่จะตายเเล้วหรือยัง ?

เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เราจะตาย

เราอยากจะเลือกไปเกิดที่ภพภูมิไหน

ถ้าพวกเราสะสม คุณธรรม บุญ เเละความดีไว้

เราก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี

ถ้าพวกเราสะสม บาปมากกว่าบุญ เบี่ยดเบียนผู้อื่นตลอดเวลา

ไม่มีศีล ไม่มีคุณธรรม

เมื่อเราตายไปก็จะได้เกิดในภพภูมิที่ไม่ดี

เเล้วพวกเราพร้อมหรือยังที่จะทำความดี ?


นาย ไม้ขีดไฟ







 

Create Date : 21 เมษายน 2550    
Last Update : 21 เมษายน 2550 18:16:02 น.
Counter : 327 Pageviews.  

การให้ความสำคัญ

การให้ความสำคัญ

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ เเละคุณให้สิ่งใดสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ

สองอย่างนี้ ลองคิดดูให้ดี ว่าคุณได้ตัดสินใจต่างกันหรือไม่ในสถานนะการณ์ต่างๆ

ความเเตกต่างในเเต่ละบุคคลนั้น ทำให้เเนวคิด เเละการคิดในการให้ความสำคัญนั้นต่างกันไป

การขัดเเยกต่างๆ ในปัจจุบัน เกิดจากการให้ความสำคัญในประเด็นเดียวกันต่างกัน

ด้วยความเเตกต่างดังกล่าวนี้

พวกเราต้องเข้าใจเเละยอมรับ ในความเเตกต่างเหล่านี้

We cannot change The World, but We can make The World Beautiful
+++ เราไม่สามารถเปลื่ยนเเปลงอะไรได้ , เเต่ เราสามารถทำให้สังคมเราน่าอยู่ได้







 

Create Date : 31 มีนาคม 2549    
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 14:46:14 น.
Counter : 264 Pageviews.  


BBBkm
Location :
Brisbane Australia

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




www.ninekidd.com
Friends' blogs
[Add BBBkm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.