เพราะพระเจ้ามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เราทุกคนเสมอ... ผมจึงมีวันนี้ได้แม้จะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมากมาย แต่ท้องฟ้าจะสดใสเสมอหลังจากที่เมฆฝนผ่านไป ....... (^.^)
Group Blog
 
All blogs
 

[Spoil] รถมือสอง... ตอบทุกคำถาม จากแนวคิดของผมเอง

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง:
ลอง Review "5 แพร่ง" .... ใครว่าเสียดายเงิน แต่ผมคิดว่าหนังดีมาก.... ทำไม? .. ลองอ่านดูครับ .... [คิดว่าไม่สปอยนะ]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8307314/A8307314.html

[กระทู้ 5 แพร่ง] หลาวชะโอน... หรือว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ [สปอยส์]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8308188/A8308188.html

[กระทู้ 5 แพร่ง] ห้องเตียงรวม... ทำไมต้องเป็น "ตี้" [สปอยส์]{
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8309835/A8309835.html

[กระทู้ 5 แพร่ง] รถมือสอง... ตอบทุกคำถาม จากแนวคิดของผมเอง... [สปอยส์]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8313643/A8313643.html
================================================


รถมือสอง
======

เรื่องราวของเจ้นุช เจ้าของเต๊นต์ขายรถมือสองซึ่งโชกโชนมาด้วยประวัติต่างๆ มากมาย
และก็ถึงคืนที่ "เจ้ต้องเจอเอง".....


ต่อไปนี้คือสปอยส์
===========













ทำไมเจ้นุชถึงโดนดี?
============
ผมคิดว่าคำตอบนี้ หนังได้บอกเราไว้ในฉากแรกที่มีคุณแม่พุ่งตรงเอารถมาคืนพร้อม
ขว้างกุญแจรถใส่เจ้นุช (นิโคล)

แค่พอดีว่าคุณแม่คนนั้นและลูก "รอด" ... จึงกลับมา "อาละวาด" ในร่างมนุษย์นั่นเอง

รถยนต์นั้น หากช่วงล่างหรือคลัชซีได้เบี้ยวผิดรูปไปเสียแล้ว การทรงตัวต่างๆ ไม่มีทาง
กลับมาดีได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะซ่อมอย่างไรก็ตาม และแน่นอนว่ารถที่ขายเหล่านั้น
ต้องผ่านความเสียหายนี้มาแน่นอน และจึงเป็นไปได้ว่าการย้อมแมวขายรถของเจ้นุช
เป็นการหยิบยื่นอุบัติเหตุอันน่ากลัวต่างๆ แถมไปพร้อมการตกลงซื้อขายรถทันที
ไม่ว่าจะคิดถึงเรื่องผีหรือไม่ก็ตาม


ทำไมมาโดนป่านนี้?
===========
ไม่ทราบ... ไม่ทราบจริงๆ ครับ แต่ถ้าให้คิดเท่าที่สติปัญญาน้อยๆ ของกระผมจะคิดได้
ก็คงต้องตอบว่า วันนี้ทางสะดวก...... ทำไม?

มีฉากหนึ่ง พี่ รปภ. โผล่หน้ามาทักคุณนุชใน office ถึงการกลับดึกวันนี้ ซึ่งผมรู้สึกว่า
บทพูดนี้ เป็นการสื่อว่า "เจ้นุชไม่ได้กลับบ้านดึกบ่อยๆ นะจ้ะ"

ทางสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือวันนี้ รปภ. ไม่อยู่!

รวมทั้งอีกประการคือ "เจ้นุชพาน้องเต้ยมาด้วย"! ....

น้องเต้ยดูแล้วก็เป็นวัยเรียนแล้วนะ วันปกติแล้วคงไปโรงเรียนไม่ได้มาเล่นที่เต้นต์
แต่วันที่เกิดเหตุ อาจจะเป็นช่วงปิดภาคเรียนพอดี จึงได้มีโอกาสตามคุณแม่มาเล่น
ซึ่งในปีหนึ่งๆ ก็มีช่วงปิดภาคการศึกษาไม่มากนัก หากนำมาหาช่วงเวลาเหมาะๆ ที่
เงื่อนไขทั้งสามข้อจะเกิดร่วมพร้อมกันเป็นเวลา "ซวย" ... ก็จะน้อยลงทันที

อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นไปได้ อาจจะเป็นเพราะผีในรถที่โดนเอามาคืนตอนแรก
เป็นผีที่ชอบทำร้ายเด็ก.... ก่อนนี้รถนี้ไม่ได้อยู่ที่เต้นต์ (อยู่บ้านคุณแม่ท่านนั้น)
แต่คืนนี้ รถคืนกลับมา... ผีตัวนี้จึงมาหลอกน้องเต้ยไป...


ก็ถามว่าทำไมเจ้นุชเพิ่งโดน ไม่ได้ถามว่าเด็กเพิ่งหาย?
===============================
ก็เพราะว่าถ้าเด็กไม่หาย เจ้นุชคงไม่ไปเดินตามหาอยู่ในบริเวณรถตั้งนานสองนาน
กว่าจะเริ่มโดนหลอก.....


น้องเต้ยไปเล่นในรถได้อย่างไรทั้งๆ ที่รถมันล็อค?
============================
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด รถในเต็นต์รถในเวลากลางวันเขาไม่ได้ล็อคนะครับ เขาจะเปิดไว้
เพื่อเวลาลูกค้าเดินดูจะเปิดเข้าออกเช็คสภาพได้สะดวก (จะได้ไม่ต้องวิ่งหยิบกุญแจ)
- แต่ผมก็ไม่ได้คอนเฟิร์มนะครับ ... เพราะผมไม่ได้ทำอาชีพขายรถมือสอง!

หลังจากน้องเต้ยเข้าไปเล่นในรถก็คงจะเอามือไปกดล็อคขังตัวเองไว้เสียอย่างนั้น
คุณแม่นุชจึงต้องไปหยิบกุญแจมาไขพาน้องออกมา.........

ส่วนในตอนกลางคืนนั้นคงต้องล็อคทุกคัน เพื่อป้องกันการขโมยรถนั่นเอง เจ้นุช
จึงต้องเอากุญแจรถมาไล่เปิดทีละคัน แต่ไอ้ผีก็ฉลาด....

รถล็อค! งั้นตูไปเล่นที่ฝากระโปรงแทนก็ได้!!!


น้องเต้ยไปอยู่ในห้องเครื่องได้อย่างไร?
=======================
อันนี้เป็นความเชื่อของผม ประกอบกับการไปเปิดกระโปรง (รถ) ดูแล้ว พบว่ามีช่อง
กว้างพอประมาณอยู่ในห้องเครื่องรถจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่พอจะมุดเข้าไปซ่อนตัวได้
ทั้งนี้ รถต้นแบบของผมคือ Jazz .... รถคันโตแบบในเรื่องอาจจะใหญ่กว่าก็ได้?

ในฉากที่เจ้นุชเช็คกล้องวงจรปิดย้อนหลัง หากสังเกตจะเห็นว่าน้องทำท่าทางเหมือน
สนทนากับใครสักคนอยู่ รวมทั้งบนกระจกรถคันถัดไปก็มีเงาสะท้อนเป็นคนอีกคนด้วย

ผมคิดว่าน้องเต้ยโดน "ผีเอาไปซ่อน" ตามคติที่ผู้ใหญ่ห้ามเด็กเล่นซ่อนหาตอนกลางคืน
แต่ทั้งนี้ น้องเต้คงไม่สามารถเข้าไปในซอกนั้นได้เอง เนื่องจากโมเดล Jazz ผมมัน
บอกว่า "ปากทางของช่องมันแคบ" ผมจึง "เดา" ว่าน้องเต้ยโดนผียัดลงไป (คงตาย)
ส่วนที่เดาว่าตาย... เพราะไม่ขานตอบเวลาแม่เรียกเลยอ่ะ....
และช่วงเวลาที่เปิดปิดกระโปรงรถแต่เจ้นุชไม่ได้ยินเสียง ก็คงเป็นช่วงเจ้อยู่ในออฟฟิต
หรือเจ้อาจจะโดนหลอกอยู่ในรถผีติดไฟคันนั้นก็เป็นได้

แต่ที่เลือดเพิ่งหยดก็เพราะว่ารถเพิ่งขับออกมาครับ.... (ยอมรับว่าเดา)







นึกออกแค่นี้ครับ.....
ถ้ามีคำถามอะไรน่าสนใจอีกก็ลองทิ้งไว้นะครับ แล้วจะมา "มั่ว" ตอบดู 555
หรือว่ามีใครไม่เห็นด้วยกับแนวคิด/เหตุผล ก็ลองแย้งนะครับ อาจได้ข้อสรุปร่วมกัน....




 

Create Date : 12 กันยายน 2552    
Last Update : 12 กันยายน 2552 23:09:54 น.
Counter : 4871 Pageviews.  

[Spoil] ห้องเตียงรวม... ทำไมต้องเป็น "ตี้"

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง:
ลอง Review "5 แพร่ง" .... ใครว่าเสียดายเงิน แต่ผมคิดว่าหนังดีมาก.... ทำไม? .. ลองอ่านดูครับ .... [คิดว่าไม่สปอยนะ]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8307314/A8307314.html

[กระทู้ 5 แพร่ง] หลาวชะโอน... หรือว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ [สปอยส์]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8308188/A8308188.html

================================================

ก่อนอื่นอยากขอขอบคุณทุกความคิดเห็นที่แสดงออกนะครับ
ทั้งชื่นชอบ เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยครับ ผมเองก็ไม่ใช่นักเขียน
งานเขียนนี้ก็เขียนขึ้นมาเพียงเพราะอยากนำเสนอแนวคิดของตน
เพียงเท่านั้นเอง....

แต่ผิดคาด! กลายเป็นว่าผลตอบรับมากมาย จะชอบหรือไม่ชอบ
แต่อย่างน้อยก็คือมีคน "ได้อ่านมันแล้ว"...... (ข้าพเจ้าเป็นปลื้ม)

ที่สำคัญคือผมก็ไม่ได้นักดูหนังหรืออะไร วิจารณ์หรือก็งูๆ ปลาๆ
แต่ก็จะพยายามเขียนงานชิ้นนี้ออกมาให้ดีที่สุดตามที่มีคนคาดหวัง
อยากอ่านแล้วกันครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่ได้ถือว่าความคิดเห็นนี้
คือ Absolutely/Definitly/Completely Correct!!!

ใครเห็นต่างก็บอกกันได้นะครับ.... หลายๆ อย่างก็ไม่เก็ตเหมือนกัน


ยังไงมาต่อกันที่แพร่งสองเลยนะครับ

(ขอแบ่งเป็นหลายๆ รีพลายนะครับ เพราะว่าเขียนไปเขียนมาเพลิน
ยาวเหยียดเลยอ่ะ ทั้งๆ ที่เรื่องดูจะไม่มีอะไรนะเนี่ย...)

(ใครเห็นว่ายาวเกินก็เลือกอ่านตามสารบัญด้านล่างนะครับ
แต่ขอแนะนำว่าถ้าอ่านจนเบื่ออย่างไรก็ให้ข้ามไปอ่าน
ที่ คห. 8 ด้วยนะครับ เพราะอยากทราบความเห็นคนอื่นครับ)

จากบรรทัดนี้ไป... เป็น [สปอยส์]














คห. ที่ 1 เกริ่นนิดๆ
คห. ที่ 2 "ผีมาหลอก "ตี้" ของช้านนนน ทามมายยย?"
คห. ที่ 3 "คนในโรงพยาบาลเป็นสาวกหมดเลยหรือ?"
คห. ที่ 4 "แล้วคุณหมอล่ะ?"
คห. ที่ 5 "ตอนออกทำไมมาตั้งแถวรับเสด็จกันมากมาย รู้เห็นกันชัดๆ?"
คห. ที่ 6 "ชะตากรรมของตี้?"
คห. ที่ 7 "สาเหตุการตายของ "ตี้"?"
คห. ที่ 8 "ลูกศิษย์มาท่องมนต์อะไรกัน เครื่องหมากเครื่องไหว้มาทำไม?"




ห้องเตียงรวม
========

จริงๆ อยากบอกว่าเรื่องนี้คงเขียนได้ง่ายกว่าเรื่องแรก...
เพราะเรื่องนำเสนอออกมาเต็มที่ว่าเป็นคุณไสย!!

ดังนั้น..... มันเหนือธรรมชาติ หรือว่าออกไปจากเหตุและผล
ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในทุกวันนี้แน่นอน.....

เริ่มด้วยการเข็นเตียงไปตามทางเดินในโรงพยาบาล
ประกอบเสียงซิ่งรถจักรยานยนต์ และสิ้นสุดที่เสียงแสดง
การเกิดอุบัติเหตุ อันนำพาให้ "ตี้" ต้องมารักษาตัวที่นี่

ความประหลาดแรกที่ภาพยนต์นำเสนอให้ผู้ชมได้เห็นก็คือ
การ "แทง" (เข็ม) ไม่เข้า.... เข็มงอ จนหักคามือ
แม้ภาพจะให้เห็นเพียงข้อมือเท่านั้น แต่ก็พอจะแอบเห็น
รอยสักได้นิดหน่อย ทำให้ผมเข้าใจโจทย์ตรงนั้นได้ไม่ยาก
ว่าต้องการสื่อสารอะไรให้ผู้ชม

แม้ว่าตรงนี้ผมจะเห็นข้อผิดพลาดของหนังอยู่สักนิด แต่เข้าใจครับ
ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ "คนทำหนัง" ต้องการสื่อออกมา ไม่เกี่ยวกับ
เนื้อหาสาระเรื่องราวใดๆ .... จึงขอมองผ่านไป

รู้ไว้แค่ว่า "ฟันแทงไม่เข้า..." มีวิชาแก่กล้าก็เพียงพอแล้ว...

--------------------------------------------------------------

สิ่งต่างๆ ต่อมาที่หลอกหลอนทั้งหลายก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัย
มองไปเสียให้หมดว่า "ก็ผีอ่ะเธอ".... "มันคือผี"

-------------------------------------------------------------


ผีมาหลอก "ตี้" ของช้านนนน ทามมายยย?
========================
หลายคนโพสต์ไว้ว่า "พี่แดนทำอะไรผิด ทำไมต้องโดนด้วย"
หากได้มีโอกาสอ่านรีวิวอันก่อนนี้ที่ผมไม่ได้สปอยส์ก็จะรู้ครับ
ว่าผมมีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร

บางคนบอกว่า "ตี้" ในแพร่งนี้คือคนขับรถจักรยานยนต์ในแพร่งแรก
ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องก็ซิ่งรถหนีไป.... (และคงไปเกิดอุบัติเหตุข้างหน้า)
ฟังดูน่าสนใจนะครับ แสดงออกถึงความเกี่ยวโยงของเรื่องแต่ละแพร่งด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผีในแพร่งนี้ไม่ได้แคร์ว่าทำอะไรผิดมาหรือเปล่า
ขอเพียง "ได้ร่างใหม่" เป็นพอ

ดังนั้น แพร่งนี้ผมว่าความน่ากลัวคือมันเป็นผีที่ไม่ฟังเหตุผลนั่นเอง
เราไม่ต้องไปทำอะไรเขาก่อนหรอก เขาก็มาระรานเราเอง
คล้ายๆ ผีโรคจิตอย่างไรอย่างนั้น....

คนในโรงพยาบาลเป็นสาวกหมดเลยหรือ?
=======================
ตอบข้อสงสัยนี้คงต้องบอกเลยว่าส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่ใช่
พยาบาลมีด้วยกันสองคนครับ คนแรก สาวสวย เข้าเวรกะกลางวัน
และอีกคนแก่หน่อย เข้ากะกลางคืน.... คนนี้แหละ "สาวก"

ถามว่าทำไม? เหตุผลของผมคือตอนจบที่พยาบาลสาวสวย
ทักทายร่างของ "ตี้" อย่างไม่ทันคิด จึงโดนจวกหน้าแหกไป
ในขณะที่รอให้ทุกคนวิ่งออกไปแล้ว พยาบาลคนแก่หน่อย
จึงค่อยแสดงความเคารพเมื่อลับตาผู้คน.... (แสดงว่าไม่ได้เปิดเผย)

(แต่ก็แอบงงนะ ว่าพยาบาลแก่จะวิ่งมาช่วยทำไม ในเมื่อต้องการให้
เรื่องนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว)

แล้วคุณหมอล่ะ?
==========
ผมว่าหมอบริสุทธิ์ครับ เพราะฉากที่หมอเดินมาตรวจแล้วถามว่าจะให้
ปล่อยท่านไปหรือยัง เพราะใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่
แต่พวกสารานุศิษย์บอกขออีกวัน รอญาติมา....
(คิดว่าไม่ใช่ญาติหรอก น่าจะรอพวกลูกศิษย์นั่นแหละมา)
หากหมอเป็นสาวกด้วย ก็คงไม่ต้องอ้างด้วยคำว่า "ญาติ" กระมังครับ?

ตอนออกทำไมมาตั้งแถวรับเสด็จกันมากมาย รู้เห็นกันชัดๆ?
==================================
อันนี้ตอนแรกก็งงๆ ครับ เพราะทั้งเรื่องดูว่าแอบๆ กันทำเรื่องร้ายครั้งนี้
แต่ตอนจบมาแสดงออกกันเปิดเผยเลยตั้งโรงพยาบาล....

อันนี้ผมมานั่งนึกย้อนดูแล้ว คนเสื้อขาวเหล่านั้น "อาจ" ไม่ใช่เครื่องแบบ
ของโรงพยาบาล แต่เป็นลักษณะของคน "นุ่งขาวห่มขาว" ซึ่งก็คือ
บรรดาลูกศิษย์ที่มารอรับตรงทางออกไปขึ้นรถที่มาจอดรอรับเสียมากกว่า

(ไม่ยืนยันนะครับ ดูมารอบเดียว)

ชะตากรรมของตี้?
==========
อันนี้ผมว่าหนังไม่ได้บอกไว้เลย ผมเลยต้องมองเป็น "ความเป็นไปได้"
ซึ่งคิดว่ามีสองแนวด้วยกัน
1. โดนสิง
2. สลับร่าง
3. โดนถีบออกจากร่างไปเลย....
ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าเป็นแบบหลังมากกว่า เนื่องจากผีพยายามที่จะทำร้าย
ชนิดหมายเอาชีวิตเลยทีเดียว เหมือนจะเอาให้เกิดช่องว่างในช่วงที่
กำลังจะตาย แล้วรีบแทรกตัวเข้าไปอยู่แทนเจ้าของร่าง
จะเห็นว่าร่างของคนแก่ในวันสุดท้ายก่อนปิดเครื่องช่วยหายใจ
(Ventilator) นั้นซีดเผือดไร้สีไร้ชีวิตชีวิตต่างจากในตอนเริ่มเรื่อง
ผมคิดว่ามันคงเป็นสัญญาณบอกถึงว่าร่างนั้นไม่มีใครอยู่อีกต่อไป
ผมจึงตัดประเด็นที่ 2 ครับ

สาเหตุการตายของ "ตี้"?
==============
จากการชม 1 รอบ พบว่าอาจารย์คนนี้หาหลายทางมากจะทำให้ตี้ตาย
สุดท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าตี้โดนเหยียบขนาดนั้น หายใจไม่ออกแน่ๆ
(ถึงขึ้นซี่โครงหักทุกซี่ การทำ negative pressure ในช่องอกบกพร่องแน่ๆ)
ซ้ำยังโดนพ่นของเหลวใส่หน้าขนาดนั้น... ใครจะหายใจออกล่ะ

ลูกศิษย์มาท่องมนต์อะไรกัน เครื่องหมากเครื่องไหว้มาทำไม?
===================================
ตอนแรกแอบคิดนะ ว่าคำถามนี้ไร้สาระ... จะรู้ไปทำไม....? ท่องอะไรก็ท่องไป
ปรากฏว่านึกไปนึกมา เหมือนว่าฉากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลยต่างหาก

ในตอนแรกอาจารย์นอนเป็นเจ้าชายนิทรา คงไม่มีสติรับรู้สิ่งรอบข้างใดๆ
นอนไปเรื่อยๆ นั่นแหละ รอวันลาโลกนี้ไปเท่านั้นเอง

สิ่งที่ลูกศิษย์มาทำให้ก็คือการหาร่างมาประเคนให้ จากนั้นจึงทำการสวด
"ปลุกวิญญาณ" ถอดออกมาจากร่าง ทำให้จิตของอาจารย์กลายเป็นผี
แต่สามารถนึกคิดรับสัมผัสรอบข้างต่างๆ ได้....

ที่สำคัญคือ "สามารถออกมาแย่งร่างของตี้" ได้นั่นเอง.....

เหตุผลประกอบคือการที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อนเลยว่าห้องนี้มีผีดุ
รวมทั้งต้นเรื่องตอนพยาบาลคนสวยอยู่ก็ยังไม่มีเรื่อง เริ่มมีเรื่องก็หลังสวดไปแล้ว
นั่นเอง

ใช่ป่ะ?




 

Create Date : 11 กันยายน 2552    
Last Update : 11 กันยายน 2552 19:16:18 น.
Counter : 5827 Pageviews.  

[Spoil] ห้าแพร่ง - หลาวชะโอน... หรือว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้?

ขอเจาะจงแค่แพร่งเดียวก่อนนะครับ เพราะคิดออกแค่นี้
ซึ่งเป็นคำถามที่ถามกันเยอะนะนี่....

ใครยังไม่ได้ดูแล้วไม่อยากอ่านสปอยส์... ลองไปอ่านรีวิวแบบไม่สปอยส์ก่อนได้ครับ

ต่อไป.. คือสปอยส์
.
.
.
.
.

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลายๆ คำถามเกิดขึ้นว่า
"น้องเป้ตายตอนไหน... ทำไมกลายร่างเป็นเปรต?"
"ใครขว้างหินใส่น้องเป้?"


ไอ้ผมก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรอ่ะ ปกติดูหนังไม่ค่อยเกิดคำถามหรอก....
แต่พอดีมันแว๊บขึ้นมาในหัว... เลยลองเอามาแบ่งปันดู

ผมว่ากรรมของน้องเขาหนักมาก พระท่านรู้ว่าจะถึงฆาตตั้งแต่ที่พบว่า "หลาวชะโอน"
หักลงมา ซึ่งหนังบอกว่า "เปรตหาคนมาใช้กรรมแทนได้แล้ว"

สิ่งที่พระท่านทำได้จึงพยายามพาเณรเป้ไปหลบในที่สงบเงียบ แล้วสวดมนต์
พร้อมกำชับว่าเห็นอะไรก็ห้ามออกมา.....

ตรงจุดนี้เอง..... .... ที่ผมคิดว่า "เณรเป้ตาย!"


ช่วงเวลาที่เณรเป้ถึงฆาตคงเป็นช่วงที่พระพาไปหลบมัจจุราชในถ้ำ
พร้อมสวดมนต์ป้องกันตนไว้ให้ห่างไกลจากมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไป
เป็นช่วงเวลาที่ดวงจิตพร้อมจะหลุดจากร่างกายไปได้อย่างง่ายดาย
ภาพความผิดต่างๆ ที่ flashback เข้ามาช่วงนั้น คือภาพความทรงจำ
ที่ย้อนกลับเข้ามาในช่วงก่อนจะสิ้นใจ

นี่เอง ที่ทำให้พระบอกว่า "สิ่งที่เคยเห็น ได้เห็น และจะเห็น มีอยู่ แต่ไม่จริง"
เพราะมันเป็นเพียงการปรุงแต่งจิต เป็น Illusion นั่นเอง

และเมื่อเณรเป้ตัดสินใจวิ่งออกมา.... นั่นคือเขาได้ทิ้งร่างกายของเขาไปแล้ว....

หากสังเกตจะพบว่าเณรยังห่มจีวรในถ้ำ แต่วิ่งออกมาเป็นชุดฆราวาส
ได้สงสัยไหม? ว่าภาวะที่กลัวจนต้องหนีขนาดนั้น ... ทำไมยังเปลี่ยนชุด....?
ตรงนี้ผมของแสดงความเห็นว่า ตัวหนังให้เห็นพฤติกรรมของ "น้องเป้" ว่า
เป็น "เด็กเกรียนห่มผ้าเหลือง" ไม่ใช่ "เณร" ที่แท้จริง....

ในขณะที่ทิ้งร่างออกมา... ร่างยังคลุมไว้ด้วยผ้าเหลือง.... แต่ดวงจิตนั้นก็คือ
คนธรรมดานั่นเองที่วิ่งออกมา...

ทำไมพระไม่ช่วย?
===========

พระก็คนครับ ผมว่าหากจะไปนั่งคุมพฤติกรรมกันคงไม่ได้ แม้จะยื้อร่างของเณรไว้
แต่ดวงจิตก็วิ่งฝ่าออกไปได้อยู่ดี....

พระสังเกตเห็นความเคลื่อนไหว ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวของเณร.... แต่เป็น
ดวงจิตของเป้ที่สะดุดเข้ากับสายสิญจน์ ผมจึงคิดว่า... ณ เวลานั้น พระอาจ
ไม่สามารถมองเห็นเป้ด้วยตาเปล่าอีกต่อไป

แล้วใครปาหิน?
=========

เมื่อทิ้งจากโลกมนุษย์ เข้าสู่โลกหลังความตายแล้ว.... หินที่ลอยมานั้นจึงเป็น
บาปกรรมที่ตามทันได้อย่างไม่ต้องอาศัยตรรกะทางวิทยาศาสตร์อีกต่อไป
ว่า "ต้องมีคนปาสิ"....

คุณเคยทำใครเจ็บไว้ คุณจะได้รับกลับคืนหนักกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก
หินเหล่านั้นคือความเจ็บปวดที่ได้รับเพื่อชดใช้กรรมนั่นเอง....

===========================================

พอจะไหวไหมครับ แบบนี้?




ความคิดเห็นที่ 89
ตอบคุณ Playpooh ครับ
==============

อย่างที่บอกนะครับ ว่าเป็นความคิดเห็นของผมเน้อ เพราะผมไม่ใช่ผู้เขียนบทครับ
ก็ได้แค่เดากันไปตาม "เหตุและผล" ซึ่งเราต่างคนก็ยกมาประกอบต่างกันไป
ทั้งนี้ผมไม่ค่อยยกเรื่องของคำว่า "ไม่น่าจะเป็น....." มาใช้ เนื่องจากเราไม่รู้ใจ
ของคนเขียนบทจริงๆ ดังนั้นเขาอาจจะอยากทำเรื่องออกมาประหลาดอย่างไรก็ได้

ผมเลยไม่ค่อยคล้อยตามกับคำว่า "ไม่น่าจะให้ไหลตาย ง่ายไป" หรืออะไรก็ตามแต่
แต่ผมมองที่เหตุผลจากภาพที่ออกมา....

"เสื้อผ้าที่เปลี่ยนไป" นั่นเอง คือเหตุผลของผม (จะว่าไร้เหตุผลก็บ่ได๋กา)

เหตุผลแย้งที่หลายๆ คนให้มาว่า "อาจจะเป็นเพราะภาพจีวรกลายเป็นเปรตอาจจะแรงไป"

ถ้าอย่างนั้นผมขอบอกอีกครั้งว่า "ผมไม่ใช่คนเขียนบท" ครับ.....

ถ้าอย่างนั้น เพื่อความสมจริงของหนัง ผมขอใช้คำว่า
"เป็นไปได้ไหม?" - "Is it possible?"

สมมติว่าคนเขียนบทตัวจริงตั้งใจออกมาในแบบนั้นจริงๆ คือ "ยังไม่ตายในถ้ำ"
แต่เมื่อภาพออกมาแบบนี้.... จะดีไหม ถ้ามองเรื่องราวเป็นแบบ "ตายในถ้ำ"
จะเป็นการกำจัด conflict ของภาพเสื้อผ้าใน 2 ฉาก และเป็นการทำให้หนัง
มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น

==========================================

ไม่เอาอ่ะ... ไม่ชอบ.. ตายง่าย.... ไหลตาย... ไม่จี๊ด!!
-------------------------------------------------------
สำหรับผมแล้ว ผมว่าหลายๆ คนมองแยก "กายจิต" กับ "กายหยาบ" ได้... ดีเลย

สำหรับผม การบาดเจ็บทางกายจนตาย... ดวงวิญญาณก็ยังสวยงามปกติอยู่....
เรียกว่า บาดเจ็บอย่างไร พอตายปุ๊บ จิตหลุดจากตัว "รูป" (ร่างกาย) คุณก็สบาย

แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำลายดวงจิตของเราอย่างแท้จริงล่ะ?
--------------------------------------------------------
"อกุศลกรรม" ไงล่ะครับ พูดสั้นๆ คือ "บาป" พูดง่ายๆ คือ "ความคิดชั่ว/ทำชั่ว" นั่นเอง

เป็นไปได้ไหม? - Is it possible?
ว่าหนังสื่อออกมาว่าน้องเป้วิ่งทิ้งร่างออกมาจากถ้ำ แล้วกรรมที่ก่อไว้ "ด้วยหิน"
ก็เข้ามาทำให้ดวงจิตเสียหายในฉากนั้น จนใบหน้าบูดเบี้ยว แทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิม

ผมว่าก็เข้าเค้าอยู่นะครับ!
==========================================

ถามว่าโหดร้ายดีไหม? ... หรือว่าน้อยไป...?
---------------------------------------------
ในความคิดของผมแล้ว คนทั่วไปมองเจอเณรเป้ไร้ลมหายใจอยู่ในถ้ำ หรืออาจจะ
เป็นเจ้าชายนิทราอยู่อย่างนั้นอาจจะดูไม่ได้ทะเทือนขวัญอะไรก็จริง
แต่ความทรมานมันก็เกิดกับดวงจิตแล้วไม่ใช่หรือ?

ต่อให้เอาเข็มไปทิ่ม "รูป" นั้นอย่างไร... ก็ไม่เจ็บ

แม่ของเณรเป้เองก็คงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกตัวเอง....
ไม่มีใครรู้.... คงไม่มีใครช่วย.... และคงไม่สามารถไปหาใครมาช่วยได้....
ผมว่าน้องเป้คงต้องทรมานในร่าง Perez (ชอบคำนี้จัง.. ยืมมาใช้หน่อย)
ไปอีกนานเลยครับ

--------- การตาย... เป็นเพียงการเริ่มต้นไปสู่อีกหนทางหนึ่งเท่านั้น----------




 

Create Date : 11 กันยายน 2552    
Last Update : 12 กันยายน 2552 7:06:03 น.
Counter : 9476 Pageviews.  

ลอง Review "5 แพร่ง" .... ใครว่าเสียดายเงิน แต่ผมคิดว่าหนังดีมาก.... ทำไม? .. ลองอ่านดูครับ ....



วันนี้ได้มีโอกาสไปชมภาพยนต์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปีครับ
เรื่อง "Phobia2" หรือ "5 แพร่ง" นั่นเอง

เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกอยากชมภาพยนต์เรื่องนี้อย่างมากเป็นทุนเดิม
เนื่องจากผลงานในครั้ง "4 แพร่ง" ออกฉายนั้นสร้างความหลอนในลักษณะของ
"หนังผี" ที่ Renovate ตัวเองขึ้นจากมาตรฐาน "หนังผี" ตลาดๆ ธรรมดาทั่วไป
อย่างน่าชื่นชม และน่าบอกกล่าวต่อให้ชมต่อๆ กันไป

แต่เนื่องจากติดภารกิจบางอย่างบางประการ ทำให้ไม่สามารถเข้าชม "ห้าแพร่ง"
ได้ในวันแรกที่เข้าฉาย (แต่ได้ชมในวันที่สองแทน)

แน่นอนครับ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าชมตั้งแต่วันแรก แต่ความอยากมันไม่อยู่นิ่ง
ทำให้ต้องขวนขวายหาอ่านความคิดเห็นของคนอื่นจากกระทู้ต่างๆ ซึ่งที่หนึ่ง
ซึ่งห้ามพลาดก็ได้แก่ "pantip.com" นั่นเอง...

ผมได้ลองอ่านความเห็นหลายต่อหลายกระทู้ พบว่าส่วนมากจะกล่าวถึงภาพยนต์เรื่องนี้
ในมุมของความผิดหวังมากกว่าชื่นชม หลายๆ คนสรุปว่าคุณค่าของหนังมีเพียงสองเรื่อง
คือ เรื่องแรก "หลาวชะโอน" กับเรื่องสุดท้าย "คนกอง" เท่านั้น....

======================
ผมไม่เห็นด้วยครับ
======================

เหตุผลเป็นอย่างไรลองตามอ่านกันดู....




หลาวชะโอน
============================================
เรื่องแรกเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องราวเสียดสีสังคมจากกรณีสะเทือนขวัญสังคม
ในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ ในเรื่องราวของ "แก๊งปาหิน" ซึ่งตัวเอกของเรื่องต้อง
หลบคดีและความผิดไปอาศัยผ้าเหลืองในวัดป่าทางภาคใต้ซึ่งห่างจากคดีที่เกิด
ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ความผิดบางอย่าง... ยากที่จะแก้ไข... ยิ่งไม่คิดจะสำนึกผิดด้วยแล้ว
การแก้ไขคงเป็นไปไม่ได้เลย....

ความน่าชื่นชมของเรื่องนี้ผมยกให้เรื่องความมีสาระทางธรรมเป็นเรื่องเด่น
การนำเรื่องของการชดใช้ผลกรรมที่ตนได้ก่อไว้มาแสดงเตือนสติ ผมคิดว่ามัน
เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก เพราะสังคมไทยลืมจุดนี้ไปแล้ว และมักจะตัดสินปัญหา
ด้วย "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" แทนที่จะรอดู "กฏแห่งกรรม" ได้แสดงบทบาทของมัน

สาระเหล่านี้ ผมคิดว่าเป็นจุดเด่นของ "ห้าแพร่ง" เลยทีเดียว เพราะเนื้อหาสาระ
เหล่านี้แทรกไว้ให้ได้คิดในเกือบจะทุกๆ ตอนของภาพยนต์ และหากนำไป
เปรียบเทียบกับ "สี่แพร่ง" แล้ว ผมคิดว่า "ห้าแพร่ง" ได้คะแนนตรงนี้ไปเต็มๆ

บรรยากาศของเรื่องนั้นเน้นความน่ากลัวของความมืดที่ไม่ใช่มืดสลัวเปิดไปทึมๆ
ให้น่ากลัวโดยพร่ำเพรื่อ.... แต่แสงในเรื่องเป็นแสงเลียนแบบธรรมชาติจริงๆ
ที่มีความน่ากลัวมาจากผืนป่าที่สมบูรณ์ แลดูลึกลับ เล่นกับจินตนาการของคนดู

ในแง่ของนักแสดง ถ่ายทอดในระดับที่ผมถือว่าสอบผ่าน แต่เนื่องจากบทนี้
ผมว่าไม่ค่อยมี scene ที่ต้องแสดงออกระดับเทพ ผมจึงไม่อาจชื่นชมได้เต็มที่
(ตัวละครในเรื่องแค่แสดงออกถึงความนึกคิดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องมีมิติมาก)

เรื่องของ make up และ Special Effect ผมคิดว่าไม่ขัดหูขัดตาอะไร หากคุณ
มาชมหนัง อยากให้เน้นมองที่เนื้อเรื่องของภาพยนต์ มองสิ่งที่หนังอยากจะสื่อ
แล้วเรื่องของ effect เหล่านี้เป็นเพียง "ผู้ช่วยดำเนินเรื่อง" ผมถือว่า "เยี่ยม"

"ผี" ออกในจุดที่ไม่พร่ำเพรื่อ แม้บางจุดหลอกให้เราหลอนตัวเอง แต่ว่าก็ไม่ได้
"หวงผี" ให้ออกน้อยจนไม่สะใจคนดู......

-------------------------------------------------------------------------------

โดยสรุปแล้ว "หลาวชะโอน" ให้ความน่ากลัวสมคำร่ำลือ ให้สิ่งที่เป็นแง่คิดที่ดี
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุด... คงไม่ใช่ใครอื่น... นอกจาก "ความคิดฝ่ายต่ำของเราเอง"



ห้องเตียงรวม
============================================
คุณเคยต้องเฝ้าไข้ตามลำพังหรือไม่?
เคยต้องเดินในโรงพยาบาลในยามค่ำคืนเพียงลำพังหรือไม่?

ถ้าคุณเคย... คุณอาจเข้าใจความน่ากลัวของความเงียบที่ต้องอยู่คนเดียว
ในโรงพยาบาลก็ได้....

ตั้งแต่เล็กมา ที่บ้านผมจะสอนมาเสมอว่า
"ถ้าเราไม่เคยไปทำอะไรใคร... แล้วเค้าจะมาทำร้ายเราทำไม?"
ครับ... ประโยคนี้ ใช้ปลอบประโลมความรู้สึกกลัว "ผี" ของผมได้เสมอ.......

เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่หลายๆ ท่านไม่รู้สึกประทับใจอะไรมากมาย แต่สำหรับผม
มันก็เป็นอีกรสชาดหนึ่งของ "หนังผี" .... ผี... ที่ท่านต้องกลัว!

ตลอดทั้งเรื่อง ใช้เพียงฉากเล็กๆ กับตัวละครไม่กี่ตัว ในบรรยากาศน่าอึดอัด
จากการกำกับภาพศิลป์ที่อึมครึมจากแสงไฟนีออนของโรงพยาบาล
การเขียนบทก็แทรกความฮาเล็กๆ จากใบหน้าเหยเกของนักแสดงเป็นระยะ
อาจไม่ถึงกับหัวเราะออกมา แต่ก็อดอมยิ้มไว้ในซอกหนึ่งของความคิดไม่ได้

สิ่งที่แสดงออกชัดเจนในเรื่องนี้ผมยกให้ความเป็น "ผีดุ" ..... ไม่รู้จะดุไปไหน....
เรียกความตกใจและหลอนพร้อมเสียวสันหลังได้ไม่ขาดสาย
(ขนาดโผล่ตลอดก็ยังอดตกใจไม่ได้)

ด้านนักแสดง ผมคิดว่าแดนแสดงได้ดีในบทนั้น เช่นเดียวกับที่เขียนไว้ในเรื่อง
"หลาวชะโอน" คือ บทไม่ได้ต้องการมิติของตัวละครอะไรมากที่ต้องแสดงออก
แต่ความน่ากลัวมันไปอยู่ที่ความ "ดุ" ของผี และการ "ดิ้นรน" มีชีวิตรอดมากกว่า

--------------------------------------------------------------------------------

เป็นอีกเรื่องที่ตอบโจทย์ผมได้ว่า.... "ทำไมบางครั้ง.... เราจึงต้องกลัวผี?"



Backpackers
============================================

กลายเป็นหลังซอมบี้สัญชาติไทย มองข้อดีแบบผ่านๆ ก็ถือว่าแปลกๆ ดี ไม่เคยเห็น
บรรยากาศชนบทของไทยๆ กับผีซอมบี้

ผีซอมบี้ของตะวันตก จะเน้นการแอบตามซอกตามหลืบในเมืองไฮเทค ซึ่งช่วย
ให้มีจุดบอดที่มองไม่เห็นเยอะ ให้ผีโผล่มาเยอะ.... ตกใจได้เยอะหน่อย
เพราะไม่รู้จะมาทางไหน....

แต่ชนบทของไทยล่ะ?? ก็คงพอเห็นกันบ้างแล้วกับตัวอย่างหนังที่เป็นซอมบี้วิ่ง
ผ่ากลางไร่มันสัมปะหลัง..... พระเจ้า.... เก๋เสียไม่มีล่ะ.... ชอบจัง เปรี้ยวดี....
จะให้ซอมบี้ไปแอบใต้ใบต้นมันก็ไม่ไหวจะเคลียร์ ต้นมันสูงแค่เข่า.....

การตีโจทย์นี้เอง.... ที่ผมคิดว่าผู้กำกับทำได้ดี
ทั้งการตีโจทย์ของความกลัว ซึ่งมีที่มาจาก "ความไม่รู้" (ผีอยู่ไหนฟร่ะ.... )
ทั้งการตีโจทย์ของความกลัว ซึ่งมีที่มาจาก "ความระแวง" (ใครดี ใครชั่วเนี่ย)
รวมไปถึงความกลัวเมื่อไร้ที่พึ่งพิงอีกต่อไป.....
ทางออกที่แทรกเข้ามาในความคิดคืออะไร.... หรือว่าตัวละครเลือกอย่างไร?
หรือถ้าเป็นคุณ.... จะเลือกอย่างไร?

การคัดตัวแสดงมา ผมกลับไม่คิดว่าน้องชาลีเป็นตัวเอกของเรื่อง ผมยกให้สาวญี่ปุ่น
ที่โบกรถนั่นแหละเป็นตัวหลัก และเธอก็ทำหน้าที่เพิ่มความหวาดผวาตามประสา
ญี่ปุ่นได้ดี (แอ๊บแบ๊ว)

ภาพที่ออกมาให้ได้ชม อาจจะไม่ใช่ลักษณะของความน่ากลัวหรือตกใจสยองขวัญ
แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ ควรอยู่ในประเภท "ระทึกขวัญ" มากกว่า

ครับ.... จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ หากใครจะเข้าไปชมแล้วรู้สึกผิดหวัง เพราะเรื่องนี้...
มันไม่ใช่ภาพยนต์สยองขวัญสั่นประสาทอย่างที่คนตั้งใจเข้าไปชมแต่แรก....
หากอยากชมให้สนุก ผมว่าให้ลองคิดว่าถ้าเราเจอสถานการณ์เช่นนั้น.... เราจะทำอย่างไร?

จะรำคาญนิดหน่อยก็คือเรื่องการ flashback ไปเฉลยอดีต... ซึ่งผมไม่อยากรู้มากขนาดนั้น
แต่ตัวหนังทำมาให้ดูกันเต็มอิ่มเกินไปและคิดว่าอยู่ผิดที่ผิดทางไป (ไหม?)
อันนั้นก็เป็นความคิดส่วนบุคคลนะครับ เพราะผมก็แค่คนเสพงานคนหนึ่งเท่านั้น

---------------------------------------------------------------------------------

เรื่องราวตอนนี้ ยังทำให้อดเห็นด้วยกับบางความเห็นในกระทู้ต่างๆ ไม่ได้...
"บางครั้ง คนเราก็มีชีวิตที่ไม่ต่างจากเป็นผีไปแล้ว"
รวมทั้ง
"การกระทำในวันนี้ของเรา มันจะเป็นภาพลักษณ์ติดตัวเราไปในภายหน้า"



รถมือสอง
============================================

ตอนนี้ผมต้องบอกเลยว่าเป็นตอนที่ผมชอบมากที่สุดจากทั้งหมด 5 เรื่องราว....

ครั้งหนึ่งผมได้อ่านหนังสือที่ได้ออกตัวก่อนว่า "ให้ความสัมพันธ์ของแม่เป็นกุศโลบาย"
เนื่องจากผู้เขียนชื่อว่าการอ้างถึง "แม่" จะเป็นการสะเทือนอารมณ์ได้มากกว่า

เหตุนี้กระมัง ที่ทำให้ผมคล้อยตามเรื่องราวนี้อย่างมาก

เรื่องราวของแม่ที่เป็นห่วงลูกแทบขาดใจ ... แม้ต้องผจญความกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า

"แม่... ก็ยอม"....

การแสดงในเรื่องนี้ก็มีส่วนอย่างมากที่สุด ที่ทำให้ผมประทับใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
นิโคลนั้นไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ... แต่สิ่งที่ออกมาในภาพยนต์นั้นคือการ
ตีความตัวละครและแสดงออกมาเกินร้อย.....

ในขณะที่แสนจะท้อแท้แทบจะทรุดตัวลง น้ำตาร่วงหล่นแบบเกินจะอดจะกลั้นมันไว้
แต่ก็ยังต้องแสดงออกถึงความเข้มแข็งที่ว่า "ฉันจะหยุดไม่ได้"....

หรือในสีหน้าของนิโคลที่แสดงความกลัวออกมาขณะที่ต้องเผชิญกับ "ผี" อย่างจัง
มันคือความตกใจที่ไม่ใช่การจะมากรี๊ดกร๊าดพร่ำเพรื่อ... แต่มันคือความตกใจที่
ทำให้คอเหมือนจะตีบตันไปหมด แม้แต่เสียงร้องที่จะเล็ดลอดออกมาก็ดูจะไม่มี

การแสดงเหล่านี้เองที่ทำให้ผมประทับใจคุณนิโคลมากเหลือเกิน... และยกความดี
ความชอบของเรื่องนี้ให้กับการแสดงของคุณนิโคลไปเลยครับ

ในด้าน effect นั้นผมคิดว่าเรื่องนี้ทำได้พอเหมาะพอเจาะ... ไม่เยอะจนเฝอ...
เหมือนในเรื่องยันต์สั่งตาย .... (ไม่ทราบหรอกครับว่าคนเดียวกันกำกับหรือเปล่า)

------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องราวโดยรวมหลังจากดูจบแล้วต้องบอกว่า เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ดราม่า และเนื้อหา
"หนัก" ที่สุดในทั้งหมดห้าแพร่งด้วย.... ใจหนึ่งก็อยากจะสงสารคุณแม่....
แต่ก็นะ... อาจจะสาสมแล้วก็ได้!

(ผมก็ใช้รถมือสองเสียด้วยสิ.... )





------------------------------------------------------------------------------------
เขียนจบแพร่งที่สี่เสียที.... อีกแพร่งเดียวเอง.... แต่คุณพระ....
จะไปหาน้ำดื่มก็ไม่กล้าออกจากห้องอ่ะ.... หลอนอยู่คนเดียว..... T_T



คนกอง
============================================

"คนกอง" เป็นอีกตอนหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด โดยเฉพาะความขบขันและ
การแสดงของพี่มาช่าที่สลัดภาพนางเอกสาวสวยมาเป็นนักแสดงตลกแบบ "สวยๆ"

ผมชื่นชอบผลงานของผู้กำกับท่านนี้มาจาก "คนกลาง" ในครั้ง "สี่แพร่ง" มาแล้ว
ในครั้งนั้น ภาพยนต์ทำให้ผมทั้งกลัว ขนลุก แต่ก็กรามค้างไปเวลาเดียวกัน
ซึ่งเป็นครั้งแรกครั้งเดียวในชีวิตที่ผมมีอาการแบบนี้.......

มาคราวนี้ "คนกอง" ก็ยังมาเรียกเสียงฮาโดยบทอารมณ์ดีได้อย่างไม่น่าผิดหวังนัก
ประกอบกับมาพบการแสดงในแบบใหม่ๆ ของพี่มาช่า ซึ่งเป็นธรรมชาติมาก
+ จิกกัดเรื่องรอบข้างนิดๆ พอสังเขป ทำให้เรื่องนี้ช่วงชิงความ "ฮา" ไปได้ตามเคย....

แต่!!! .... เหตุผลที่ผมไม่ชื่นชมเรื่องนี้เหมือนคนอื่นก็มีอยู่เช่นกัน........
ตั้งแต่ดูจนจบเรื่องนี้.... ผมรู้สึกเหมือนดูหนังตลก.... ไม่มีความกลัว ตกใจ ขนลุก
หรืออะไรก็ตามเหมือนในครั้ง "คนกลาง" ซึ่งเหล่านี้ล้วนควรพบได้ในการเสพ
"หนังผี" ไม่ใช่หรือ?

แต่หากจะให้คะแนนความชอบเรื่องนี้... ผมคงให้ไว้สูงเช่นกัน เพราะชอบ
เพียงแต่คงไม่ใช่ "หนังผีในดวงใจ" .... เพราะมันเป็นเพียง "หนังตลก" มากกว่า

---------------------------------------------------------------------------------

ทั้งนี้ลองชมกันเองจะดีที่สุดนะครับ ว่าคุณจะกลัวไหม?
เพราะระดับของแต่ละคนไม่เท่ากัน..... คุณอาจจะเป็นคนที่ "กลัว" กับเรื่องนี้
และรักเรื่องนี้มากกว่าผมก็เป็นได้........



จบแล้วครับผม ชอบไม่ชอบ เห็นด้วยไม่เห็นด้วยยังไงก็คอมเม้นต์ได้นะครับ
เป็นการทดลองเขียนครั้งแรกครับผม




 

Create Date : 11 กันยายน 2552    
Last Update : 11 กันยายน 2552 2:13:45 น.
Counter : 3891 Pageviews.  


pcplant
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




PandyDog = หมาแพนดี้....

แม่ให้ชื่อมาแต่กำเนิดว่า "แพน" ครับ...
แต่รำคาญคนชอบทักว่า "กะทะ" เหรอ...

ก็เลยต้องแจ้งว่า แพน มาจาก "รำแพน"
หรือตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า "Expand" ครับ
เอากลับมาเป็นคำไทยว่า "แพนด์" "Pand"
Friends' blogs
[Add pcplant's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.