การดูแลระหว่างที่ได้รับยาเคมีบำบัด
เรื่อง การดูแลผู้ป่วยระหว่างรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด เนื้อหา ผลข้างเคียงของเคมีบำบัดทั่วไป ผลข้างเคียงของเคมีบำบัดเฉพาะตัวที่สำคัญ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม คำแนะนำ สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด การรักษาด้วยเคมีบำบัดนั้นอาจจะประกอบด้วยยาเคมีบำบัดปกติ (cytotoxic chemotherapy) และ/หรือยาตรงเป้า (targeted agent) ซึ่งเป็นยาที่ไม่ใช่ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยควรจะทราบชื่อยาเคมีบำบัดที่ได้รับด้วยเนื่องจากยาแต่ละตัวที่ผมข้างเคียงที่แตกต่างกันและแต่ละคนก็ไม่จำเป็นจะต้องได้ยาชนิดเดียวกัน การทราบชื่อยาจะช่วยให้แพทย์คนอื่นที่ต้องมาดูแล (โดยเฉพาะต่างรพ.) เข้าใจปัญหาที่อาจจะมีและให้การรักษาผลข้างเคียงต่างๆได้รวดเร็วและถูกต้อง ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดนั้นมาจากการที่ยาเข้าไปทำอันตรายกับเซลล์หรือการทำงานของเซลล์ ส่วนมากมักจะเป็นชั่วคราว แต่บางอย่างอาจมีอาการเป็นเวลานาน การที่ผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียงไม่ใช่การแพ้ยา ดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินใจหยุดการรักษาเอง ควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้ยาเพื่อพิจารณาบรรเทา เยียวยา หรือป้องกันอย่างเหมาะสมต่อไป ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบบ่อย เม็ดเลือดขาวต่ำ ยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่จะมีผลต่อเซลล์ไขกระดูกทำให้เม็ดขาวลดลงไม่มากก็น้อย โดยปกติมักจะเกิดประมาณ 7 วันหลังได้รับยาและเริ่มฟื้นตัวในวันที่ 14 ซึ่งมักจะฟื้นตัวสมบูรณ์เมื่อถึงรอบถัดไปของการให้ยา เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่ทราบว่าเม็ดเลือดขาวจะต่ำลงเมื่อใดและรุนแรงเพียงใด ดังนั้นจึงสำคัญมากที่จะต้องหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ โดย ดูแลสุขลักษณะของผู้ป่วยให้ดี อาหารต้องปรุงสุกสะอาด ไม่ใช่อาหารแช่แข็งมาอุ่นร้อน ยาบางสูตรอาจจะต้องงดผักดิบผลไม้สดด้วย หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนมากๆหรือไม่สบายหากจำเป็น (เช่นมารพ.) ควรสวมหน้ากากอนามัย เนื่องจากผลข้างเคียงนี้มักจะเป็นผลข้างเคียงที่จำกัดปริมาณยาดังนั้นการบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่พอเพียงโดยเฉพาะโปรตีน(เนื้อสัตว์ นม ไข่)จึงมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการรักษา หากโปรตีนไม่พอเพียง อาจทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำนาน จะทำให้ได้รับยาไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนนำไปสู่การล้มเหลวต่อการรักษาโดยง่าย คลื่นไส้อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อยมากในละคร แต่ในความเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ได้รับ ยาหลายๆสูตรแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องคลื่นไส้อาเจียนเลย โดยปกติแพทย์จะมีการให้ยาป้องกันและแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เหมาะสมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามก็จะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะผู้หญิง คนที่ไม่ได้ดื่มเหล้าประจำ) ที่ยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่ หากอาการไม่มากสามารถกินอาหารได้ปกติ อาจรอแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อถึงวันนัด แต่ถ้าอาการเป็นมากกินไม่ได้ควรไปพบแพทย์ก่อนวันนัด มีการศึกษาพบว่า ขมิ้นชัน อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ผมร่วง เป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่อาการผมร่วงจนหมดศีรษะแบบในละครนั้นมักจะเกิดขึ้นเฉพาะยาบางตัวเท่านั้นเช่น Doxorubicin (ชื่อสามัญ), Paclitaxel (ชื่อสามัญ) ซึ่งมักจะใช้ในการรักษามะเร็งเต้านม ยาที่ทำให้ผมร่วงมากนั้นไม่ได้หมายความว่ายานั้นแรงกว่าตัวอื่น โดยทั่วไปคนไข้มักจะสังเกตได้ว่าผมร่วงมากกว่าปกติ หรือดูบางลง แต่ในรายที่ได้ยาที่ทำให้ผมร่วงมากๆ มักจะมีช่วงแรกที่ผมร่วงพร้อมๆกันโดยจะเกิดในวันที่ 10-14 หลังได้ยาครั้งแรก ดังนั้นในคนไข้ที่กังวลต่อภาพลักษณ์หรืออาย อาจเตรียมผ้าโพกหัว หมวก หรือ วิกผมไว้เนิ่นๆได้ ภายหลังเสร็จสิ้นการรักษา ผมจะสามารถงอกกลับมาได้ตามปกติ ซีด เกร็ดเลือดต่ำ นอกจากเม็ดเลือดขาวต่ำแล้ว ยาเคมีบำบัดยังอาจทำให้เม็ดเลือดแดงต่ำมีภาวะซีด หรือเกร็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่ายหรือหยุดยาก ภาวะซีดมักพบได้บ่อยแต่ส่วนมากจะไม่ร้ายแรงจนต้องได้รับเลือด การปฏิบัติตัวที่ดีคือ กินอาหารที่มีธาตุเหล็กให้พอเพียงหรือกินธาตุเล็กเสริมตามแพทย์สั่ง ส่วนภาวะเกร็ดเลือดต่ำพบได้น้อยและส่วนมากไม่รุนแรง อาจมีอาการฟกช้ำดำเขียวง่าย เลือดออกตามไรฟัน บางรายถ้าเกร็ดเลือดต่ำมากๆอาจมีเลือดออกรุนแรงได้ ดังนั้นการปฏิบัติตัวจึงเน้นไปที่การป้องกันอุบัติเหตุ แปรงฟันด้วยขนแปรงที่อ่อนนุ่ม หลีกเลี่ยงการผ่าตัดหรือถอนฟันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ เช่นเดียวกับเม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดสามารถฟื้นตัวได้เอง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยแต่มักไม่รุนแรง การพักผ่อนมากๆในช่วงวันแรกๆที่ได้ยา จะช่วยได้มาก อาหารที่กินก็ควรสะอาดถูกสุขลักษณะ ที่สำคัญที่มักทำให้คนไข้เบื่ออาหารคือความเชื่อผิดๆเรื่องของแสลง ความจริงแล้วแทบจะไม่มีอาหารที่แพทย์ห้ามกินนอกไปจากอาหารที่ไม่สะอาด ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดกระดูก สามารถพบได้บ่อยแต่ไม่รุนแรง ยกเว้นในยาบางตัวและยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่อาจพบได้บ่อย การพักผ่อนงดออกแรงหนักๆในช่วงวันแรกๆที่ได้รับยาจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ หามีอาการมากอาจใช้ยานวดทาภายนอก หรือปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเรื่องยาแก้ปวดที่เหมาะสม ข้อสำคัญคือไม่ควรซื้อยากินเองเพราะอาจจะตีกับยาเคมีบำบัดได้ ไข้ เป็นอาการที่พบไม่บ่อยแต่มีความสำคัญมาก ปกติคนไข้ที่เป็นมะเร็งอาจมีไข้ต่ำๆได้ (ไม่เกิน 37.8 ทางปาก) แต่เมื่อไรก็ตามที่มีไข้มากกว่า 38.5 ทางปาก หรือ มีไข้ลอยมากกว่า 38.0 ทางปากติดต่อกันอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจเลือดว่ามีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำร่วมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดที่มีผลต่อเม็ดเลือดขาวรุนแรง เนื่องจากหากมีไข้ในขณะที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำมากๆอาจจะเกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงจนเสียชีวิตได้ การรักษาจะขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ อาจให้ยาฆ่าเชื้อมากินที่บ้านหรือให้นอนรพ.ก็ได้ ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวขึ้นกับแพทย์จะพิจารณาเนื่องจากมีหลักฐานว่าไม่ช่วยลดอัตราตายจากการติดเชื้อ ผลข้างเฉพาะยาบางตัวที่สำคัญ Xeloda (ชื่อสามัญ Capecitabine) เป็นยาเคมีบำบัดประเภทรับประทาน มักใช้ในมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายและมะเร็งลำไส้ใหญ่ เม็ดยาสามารถใช้มือจับได้เนื่องจากยาจะเปลี่ยนเป็นสารออกฤทธิ์ในร่างกาย แม้เป็นยากินแต่ก็เป็นยาเคมีบำบัดจึงสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ส่วนผลข้างเคียงเฉพาะที่พบบ่อยคือ เจ็บมือเจ็บเท้า (Hand-Foot syndrome) โดยมักจะเริ่มโดยมีผื่นหรือปื้นแดงๆที่บริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ต่อมาจะเริ่มมีอาการเจ็บ จนในที่สุดจะเจ็บแม้กระทั่งจับลูกบิดหรือเดิน ถ้ายังกินยาต่อไป (ยานี้มักจะกินสิบสี่วันต่อรอบ) อาจเกิดแผลที่ฝ่ามือและเท้าได้ ในขนาดยาที่ได้รับมักจะเกิดแค่รอยแดงๆเท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้ามีอาการเจ็บมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันแพทย์ที่ดูแลมักแนะนำให้หยุดยาหรือทำตามที่แพทย์แนะนำเพื่อลดโอกาสการเกิดแผล การดูแลควรระวังอย่าให้มือและเท้าแห้ง ลดการใช้งานเช่นหยิบจับมากๆเดินเยอะๆ และควรหารองเท้านุ่มๆสวมใส่ตลอดเวลา อ้อยาตัวนี้อาจทำให้ผิวคล้ำได้ง่ายเวลาโดนแดดควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดแรงๆครับ Eloxatin (ชื่อสามัญ Oxaliplatin) เป็นยาที่ใช้บ่อยในมะเร็งลำไส้ มีผลข้างเคียงที่สำคัญสามอย่างคือ อย่างแรกคือภาวะเกร็งตัวของกล้ามเนื้อโดยมีความเย็นกระตุ้น ดังนั้นระหว่างที่ให้ยาคนไข้คนควรหลีกเลี่ยงการอมน้ำแข็ง กินน้ำเย็น สัมผัสอากาศหรือสิ่งของเย็นจัด เนื่องจากอาจเกิดภาวะเกร็งตัวของกล้ามเนื้อได้ (อมน้ำแข็งอาจทำให้กล่องเสียงปิดหายใจไม่ออกได้ บางคนจะบอกว่าเอามือหยิบขวดน้ำในตู้เย็นและแบบมือไม่ออกก็มี) ไม่ได้เกิดทุกรายแต่ควรหลีกเลี่ยงตามคำแนะนำ อย่างที่สองคือปลายประสาทเสื่อม จะมีอาการปลายมือปลายเท้าชาเกิดขึ้นเกือบทุกคนแต่ส่วนใหญ่จะแค่รู้สึกชาๆ แต่บางรายอาจชามากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเช่น ลายมือลายเซ็นเปลี่ยน หยิบจับช้อนไม่ถนัด เดินแล้วรองเท้าแตะหลุด ควรรายงานแพทย์ที่ดูแลเป็นระยะๆ อาการมักจะค่อยๆเป็นมากขึ้นเรื่อยตามปริมาณยาที่ได้ไปดังนั้นมักพบอาการมากขึ้นเมื่อใกล้ๆจะครบตามแผนที่วางไว้ หลังหยุดยาอาการมักจะค่อยๆดีขึ้น สุดท้ายคืออาการแพ้ระหว่างให้ยาโดยมีอาการแน่นหน้าอก หน้าแดงตัวแดง อาจมีผื่นแดง ความดันพุ่งสูง มักเป็นขณะกำลังเดินยาอยู่และมักเป็นในรอบหลังๆเช่น รอบที่ 9-10 จาก 12 หรือ รอบที่ 6 จาก 8 ถ้ามีอาการให้แจ้งพยาบาลทราบทันทีและแจ้งแพทย์อีกครั้งก่อนให้ยารอบถัดไปเนื่องจากอาการแพ้แบบนี้มักสามารถให้ต่อได้ถ้าให้ช้าลง (ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่ดูแล) อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย Campto (ชื่อสามัญ Irinotecan) เป็นยาที่มักใช้ในมะเร็งลำไส้ระยะแพร่กระจาย มีผลข้างเคียงที่จำเพาะและสำคัญคือเรื่องท้องเสีย โดยพบได้สองระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน เกิดภายในสองวันแรกจะมีอาการท้องเสียเป็นน้ำปริมาณมาก อาจรุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล และระยะต่อมา ยังอาจเกิดท้องเสียได้อีกจากสารพิษที่เกิดจากการสลายตัวของยา อาการท้องเสียจะมีลักษณะเป็นถ่ายเหลวๆบางรายอาจเป็นน้ำ ปริมาณมากน้อยแล้วแต่ร่างกายคนไข้ การรักษา ถ้าเกิดอาการระหว่างอยู่โรงพยาบาลให้แจ้งพยาบาลทราบทันทีที่ถ่ายเหลวครั้งแรก ถ้าเกิดอาการระหว่างอยู่ที่บ้าน โดยปกติจะมียาหยุดถ่าย Imodium มาให้อยู่แล้วให้รับประทานตามนั้น (ขนาดยาและความถี่จะมากกว่าปกติ) เช่น กินสองเม็ดทันที แล้วกินอีกหนึ่งเม็ดทุกสองชั่วโมงจนกว่าจะหยุดถ่ายมาแล้วอย่างน้อยหกชั่วโมง นอกจากนี้ควรรับประทานน้ำและเกลือแร่ให้พอเพียง ถ้ายังมีอาการท้องเสียมากให้ไปพบแพทย์ทันที
Free TextEditor
Create Date : 02 สิงหาคม 2554 |
| |
|
Last Update : 2 สิงหาคม 2554 0:19:21 น. |
| |
Counter : 12918 Pageviews. |
| |
|
|