ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวรัลอีเมล์และความเป็นรัฐฆราวาสของญี่ปุ่น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวรัลอีเมล์และความเป็นรัฐฆราวาสของญี่ปุ่น Thu, 2015-12-03 10:17
พนิดา อนันตนาคม
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558 แฟนเพจเฟซบุ๊กของ สำนักข่าวพิทักษ์พระพุทธศาสนาชาวพุทธอาเซียน ได้เผยแพร่ข้อความแปลภาษาไทยของไวรัลอีเมลเรื่อง Japan and Islam: viral email ซึ่งเป็นอีเมลเก่าเผยแพร่ในโลกออนไลน์สืบย้อนไปได้อย่างน้อยเมื่อราว 2 ปีก่อน (ต้นปี 2013) ผู้เขียนไม่ทราบเจตนาของการเผยแพร่ไวรัลอีเมลดังกล่าว แต่เห็นว่าเนื้อความในนั้นเป็นการสร้างความเข้าใจผิด และบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับท่าทีของรัฐญี่ปุ่นที่มีต่อสังคมมุสลิมเป็นอันมาก จึงขอนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจเสียใหม่ดังนี้
1.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ให้สัญชาติตนแก่ชาวมุสลิม
2.ไม่ให้ การพำนักอย่างถาวร แก่มุสลิม
3.ในญี่ปุ่นห้ามการเผยแผ่ อิสลาม อย่างยิ่ง strong ban
ข้อเท็จจริง: ตามรัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่น ในมาตราที่ 20 ได้ระบุไว้ว่า
มาตรา 20 [เสรีภาพในศาสนาและความเป็นฆราวาสของรัฐ] (ภาษาญี่ปุ่น , แปลภาษาไทย) (1) เสรีภาพในศาสนาย่อมได้รับความคุ้มครองสำหรับทุกคน (2)ห้ามมิให้รัฐมอบสิทธิพิเศษหรือใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์แก่ องค์กรศาสนาใด (3) ห้ามมิให้บังคับบุคคลใดประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ (4)ให้รัฐและหน่วยงานของรัฐงดเว้นการกระทำการที่เป็นการสอนศาสนา หรือกิจกรรมอื่นใดที่เกี่ยวกับการศาสนา
ตามบทบัญญัติดังกล่าว เป็นที่ชัดเจนว่าญี่ปุ่นเป็นรัฐฆราวาส (secular state) ดังนั้น หากรัฐจะใช้การนับถือศาสนาของบุคคลมาเป็นข้อพิจารณาในการที่จะให้/ไม่ให้สัญชาติ, หรือให้/ไม่ให้สิทธิการพำนักถาวร จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในตัวของมันเอง รวมไปถึงการเผยแผ่ศาสนาใดๆ ก็ตาม ที่เข้าข่ายบังคับบุคคลให้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ จึงเป็นการกระทำที่ strong ban เนื่องจากขัดต่อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญดังที่กล่าวแล้ว
4.ไม่สอน ภาษาอิสลาม และอาราบิค ในมหาวิทยาลัย Japan
ข้อเท็จจริง: ไม่เพียงมหาวิทยาลัยมีชื่ออย่างน้อย 4 แห่ง (Meiji University, Tokyo Foreign Study, University of Japan, Osaka University) จะเปิดสอนภาษาอาหรับและมีการวิจัยเกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอิสลามอย่างกว้างขวางเท่านั้น สถานีโทรทัศน์และวิทยุ NHK ของญี่ปุ่นยังมีรายการสอนภาษาอาหรับออกอากาศทางทีวีและวิทยุอีกด้วย (สามารถซื้อหนังสือประกอบการเรียนดังกล่าวได้ตามร้านหนังสือทั่วไป) เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้เขียนเคยสอบถามอาจารย์ที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่นของผู้เขียนว่าเหตุใดจึงไม่มีรายการสอนภาษาไทยทาง NHK บ้าง ทั้งที่ไทยกับญี่ปุ่นดูเหมือนจะใกล้ชิดกันมากกว่าประเทศในแถบตะวันออกกลาง อาจารย์ของผู้เขียนได้แสดงความเห็นพร้อมเสียงหัวเราะว่า เพราะประเทศไทยไม่มีแหล่งน้ำมันน่ะสิ
5.ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอานเข้ามาในประเทศ
ข้อเท็จจริง: ผู้อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นสามารถหาซื้อคัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาอาหรับพร้อมคำแปลภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดาย จากเว็บไซต์ Amazon Japan นอกจากนี้ ยังมีองค์กรที่ชื่อว่า Islamic Center of Japan อยู่ในประเทศญี่ปุ่น องค์กรดังกล่าว มีโรงเรียนที่สอนภาษาอาหรับและวัฒนธรรมอิสลามโดยเฉพาะ มี Quran Class ที่เปิดสอนเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอานสำหรับผู้สนใจโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
6.อนุญาตให้ชาวมุสลิมที่ปฏิบัติตามกฎหมายของญี่ปุ่นอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเพียง 2 แสนคนเท่านั้นซึ่งควรต้องพูดภาษาญี่ปุ่นและทำพิธีทางศาสนาภายในบ้านของตนเองเท่านั้น
ข้อเท็จจริง: ประการแรก ตัวเลข 2 แสนคนเป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะเป็นจริง จากการสำรวจพบว่าประชากรมุสลิมในญี่ปุ่นซึ่งโดยมากเป็นนักศึกษาและแรงงานต่างชาติระบุว่ามีไม่เกินแสนคนเท่านั้น [อ้างอิง]
อย่างไรก็ดีการสำรวจว่าผู้ใดนับถือศาสนาอะไรในประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะเอกสารที่ออกโดยรัฐไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ตหรือทะเบียนราษฎร์จะไม่มีการให้ระบุศาสนา
ประการต่อมา ตัวเลขล่าสุดในปี 2009 ระบุว่ามีมัสยิดตั้งอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นอย่างน้อย 55 แห่ง [สามารถตรวจสอบรายชื่อมัสยิดได้ที่นี่] ดังนั้น ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นจึงไม่มีความจำเป็นต้องทำพิธีทางศาสนาอยู่แต่ในบ้านของตนเอง อีกทั้งการละหมาดไม่มีความจำเป็นต้องทำเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่อย่างใด (ดูคลิปการละหมาดในมัสยิดที่โตเกียวได้ที่นี่)
7.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีสถานทูตในประเทศอิสลามน้อยมาก.. ข้อเท็จจริง: ผู้เขียนไม่ทราบคำจำกัดความของคำว่าว่า น้อยมาก นั้นหมายถึงกี่แห่ง แต่จากข้อมูลในวิกิพีเดียซึ่งอ้างอิงข้อมูลมาจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้แสดงจำนวนของสถานทูต (embassy) เฉพาะที่อยู่ในกรุงโตเกียวว่ามีจำนวนถึง 172 แห่ง [อ้างอิง] ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตของต่างประเทศในกรุงเทพฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 75 แห่ง [อ้างอิง]
ผู้เขียนตรวจสอบอย่างคร่าวๆ พบว่าในบรรดาสถานทูต 172 ในกรุงโตเกียวนั้น เป็นสถานทูตของประเทศในแถบตะวันออกกลางซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมถึง 15 แห่ง [อ้างอิง]
ในขณะที่ในกรุงเทพฯ กลับมีสถานทูตของประเทศอิสลามจากตะวันออกกลางน้อยกว่าในกรุงโตเกียวเช่น ไม่มีสถานเอกอัครราชทูตหรือแม้แต่คณะผู้แทนทูตจากประเทศเลบานอน และ อิรัก ในขณะที่ญี่ปุ่นมี เป็นต้น [อ้างอิง]
8.ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเป็นได้เพียงลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ
ข้อเท็จจริง: เรื่องนี้ผู้เขียนสามารถยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาของผู้เขียนเอง ซึ่งมีอาชีพเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยของรัฐนั้น เป็นชาวญี่ปุ่นที่ได้เข้าอิสลามเนื่องจากสมรสกับภรรยาชาวอินโดนีเซียมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ปรากฏว่าท่านต้องถูกไล่ออกไปเป็นลูกจ้างในบริษัทต่างชาติเนื่องจากการเข้าอิสลามแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้เคยพบศาสตราจารย์และนักวิจัยหลายท่านที่มาจากประเทศอิสลามและทำงานในองค์กรของรัฐในญี่ปุ่น
9.ไม่อนุญาตให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์,วิศวกร หรือผู้จัดการ ที่บริษัทต่างชาติส่งมา
ข้อเท็จจริง: เรื่องที่รัฐใช้การนับถือศาสนาของบุคคลมาเป็นข้อพิจารณาในการที่จะให้หรือไม่ให้สิทธิในการพำนักอาศัยนั้น ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตราที่ 20 แห่งประเทศญี่ปุ่นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เรื่องนี้จึงไม่มีทางเป็นไปได้
10.บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎข้อบังคับไม่รับชาวมุสลิมเข้าทำงาน...
ข้อเท็จจริง: เนื่องจากเรื่องนี้เป็นนโยบาย HR ของแต่ละบริษัท ซึ่งผู้เขียนคงไม่มีความสามารถไปเช็คนโยบายการรับบุคคลเข้าทำงานได้ทุกบริษัทในประเทศญี่ปุ่น แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าโดยรัฐธรรมนูญมาตรา 20 วรรค 1 ที่ระบุไว้ว่า เสรีภาพในศาสนาย่อมได้รับความคุ้มครองสำหรับทุกคน ดังนั้น หากบริษัทใดมีกฎข้อบังคับเช่นนี้ย่อมถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างแน่นอน จึงเป็นไม่ได้ที่บริษัท ส่วนใหญ่ ในญี่ปุ่นจะมีกฎข้อบังคับดังกล่าว
11.รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเห็นว่าชาวมุสลิมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแม้โลกจะก้าวเข้าสู่สู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้วแต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมายศาสนาอิสลามให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ข้อเท็จจริง: ขอให้ดูบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 20 อีกครั้ง (หากรัฐบาลญี่ปุ่นมีท่าทีเช่นนั้นจะผิดกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นทันที)
12.ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้
ข้อเท็จจริง: ขณะที่ผู้เขียนศึกษาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนมีเพื่อนบ้านเป็นนักศึกษาต่างชาติมุสลิมที่มาจากประเทศมาเลเซีย เธอคลุมฮิญาบ และยิ้มทักทายผู้เขียนเสมอ
13.ถ้าชาวญี่ปุ่นรู้ว่ามีเพื่อนบ้านเป็นชาวมุสลิมแค่คนหนึ่งคนญี่ปุ่นในย่านนั้นจะตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก
ข้อเท็จจริง: จากการที่ผู้เขียนเคยไปพักอยู่ที่บ้านของอาจารย์ที่ปรึกษาราว 1 เดือน ไม่ปรากฏว่าอาจารย์ของผู้เขียนและภรรยาจะต้องพบกับอาการ ตื่นตัว ของเพื่อนบ้านแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ภรรยาชาวอินโดนีเซียของอาจารย์ เป็นสมาชิกของชมรมปลูกดอกไม้และวาดภาพของแม่บ้านประจำเมือง และมีการแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรหรืออาหารกับเพื่อนบ้านตามวิสัยที่แม่บ้านในประเทศญี่ปุ่นมักกระทำกัน
14.ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิมในประเทศญี่ปุ่น
ข้อเท็จจริง: กรุณาดู YuAi International School ที่เป็นของ Islamic Center of Japan โรงเรียนดังกล่าวเป็นสถานศึกษาของชาวมุสลิมโดยถูกต้องตามกฎหมาย มีการเปิดสอนคลาสภาษาอาหรับ คลาสการเขียนพู่กันอักษรอาหรับ คลาสภาษาอาหรับและคาราเต้สำหรับเด็ก และมีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหรับผสมผสานไปกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น
15.ไม่มีการใช้กฏหมายชารีอะห์ของศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น
ข้อเท็จจริง: อีกครั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ญี่ปุ่นต้องเป็นรัฐฆราวาส จึงไม่มีการนำเอากฎของศาสนาใดมาบังคับใช้เป็นกฎหมายของรัฐ อย่างไรก็ดี บุคคลสามารถถือกฎหมายชารีอะห์เป็นหมุดหมายในการดำเนินชีวิตในประเทศญี่ปุ่นได้ เช่นเดียวกับที่สามารถแต่งกายเป็นพังค์ไปเดินตามถนน หรือจะเลือกที่จะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ฯลฯ ก็ย่อมทำได้ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศเสรี การกระทำใดๆ ของบุคคลที่ไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองย่อมเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ โดยกฎหมาย
16.ถ้าหญิงชาวญี่ปุ่นไปแต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นคนที่สังคมรังเกียจและไม่ยอมรับไปตลอดชีวิต
ข้อเท็จจริง: ขึ้นอยู่กับครอบครัวที่หญิงผู้นั้นเข้าไปอาศัยอยู่ อย่างไรก็ดี เราไม่ควรลืมว่าการที่ครอบครัวจะรังเกียจสะใภ้หรือลูกเขยต่างศาสนาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกสังคม รวมทั้งสังคมพุทธอย่างไทยด้วย
17.ตามที่ศาตราจารย์คุมิโกะ ยากิ ผู้ศึกษาเรื่องมุสลิมอาหรับ มหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวว่า"ในญี่ปุ่นมีความคิดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีจิตใจที่คับแคบและเราควรอยู่ให้ห่างไกลไว้"
ข้อเท็จจริง: ก่อนอื่น ศาสตราจารย์ยากิ คุมิโกะนั้นสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวภาษาต่างประเทศ มิใช่มหาวิทยาลัยโตเกียว และเธอได้ออกมาระบุในเว็บไซต์ส่วนตัวของเธอว่า การกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นเป็นการอ้างนอกบริบท
About the chain email concerning Islam in Japan
ไม่เพียงไม่กีดกันแต่ยังส่งเสริม
ควรกล่าวไว้ด้วยว่า ขณะนี้องค์กรต่างๆ ในญี่ปุ่น รวมทั้ง ASEAN-Japan Centre ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐกำลังส่งเสริมให้มีการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศอิสลาม ให้สามารถมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น หลังจากที่ได้มีการยกเว้นวีซ่าให้แก่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอิสลามเช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฯลฯ เข้ามาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มาตรการดังกล่าว เช่น การส่งเสริมให้มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ที่สถานทูตตุรกีในกรุงโตเกียวเป็นแหล่งท่องเที่ยว, การส่งเสริมให้มีร้านอาหารฮาลาลมากขึ้นในญี่ปุ่น การเพิ่มสถานที่ละหมาด ฯลฯ เป็นต้น [อ้างอิง]
กล่าวโดยสรุป ในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้มีความแตกแยกทางศาสนา (การก่อการร้ายโดยการปล่อยแก๊สซารินของลัทธิโอมชินริเคึยวในปี 1995 ไม่ใช่ความแตกแยกทางศาสนา แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์)
ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะญี่ปุ่นชูศาสนาใดศาสนาหนึ่งขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เพราะญี่ปุ่นแยกศาสนากับรัฐชาติออกจากกัน แม้ผู้นับถือศาสนาคริสต์และมุสลิมจะถือเป็นคนกลุ่มน้อยในญี่ปุ่น แต่นั่นเป็นเพราะชาวญี่ปุ่นจำนวนมากนิยามตนเองว่าตนไม่ใช่ผู้นับถือศาสนา (Atheist) ดังนั้น ในประเทศญี่ปุ่นจึงไม่มีศาสนา มีแต่เพียงพิธีกรรมซึ่งรวมเอาพิธีกรรมแบบชินโต และ พุทธ หรือแม้แต่ศาสนาคริสต์เข้าไว้ด้วยกัน (ชาวญี่ปุ่นต่างต่างเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส และมีชาวญี่ปุ่นมากมายที่จัดพิธีแต่งงานแบบคริสต์โดยที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน) ผู้คนต่างศาสนาในญี่ปุ่นจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขภายใต้อุดมการณ์ของระบอบเสรีประชาธิปไตย
ผู้เขียนขอขอบพระคุณอาจารย์ ชัชวาล ปุญปัน ที่ได้กรุณาสอบถามข้อมูลมา ทำให้ผู้เขียนได้ไปค้นข้อมูล และขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ อันเป็นที่มาของบทความชิ้นนี้
แหล่งอ้างอิง:
//1389blog.com/2013/04/29/japan-and-islam-an-excell
Create Date : 10 ธันวาคม 2558 |
Last Update : 10 ธันวาคม 2558 21:51:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 551 Pageviews. |
|
|
|