ตัวของเรา สไตล์ของเรา ทำไมต้องเหมือนใคร
Group Blog
 
 
กันยายน 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
14 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
ลดน้ำหนักแบบนอกกรอบ ไม่อด ไม่กินยา ไม่โยโย่ ไม่เครียด

สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะเอาเรื่องเกี่ยวกับการลดน้ำหนักมาแชร์กันครับ
ผมลดได้ผลซึ่งหลายคนก็ถามว่าลดยังไง ผมก็เลยเอามาเขียนเก็บไว้ในบล๊อกดีกว่าเพราะรายละเอียดมันเยอะให้นั่งเล่าคงจะยาว กลัวจะเล่าไม่จบครับ ในบล๊อกถ้าอ่านไม่จบก็กลับมาอ่านต่อวันหลังได้


ผมเคยอ้วนเป็นคนไซส์ใหญ่ เคยหนักเกือบ 120 กก. ครับ ใครๆ ก็บอกผมว่าผมควรจะต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นวิธีที่เคยทำแล้วไม่ได้ผลหรือไม่ก็เป็นวิธีที่มันทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ กินยา (หมอสั่ง) ก็เคยแล้วครับซึ่งมันกลายเป็นต้นเหตุให้ผมอ้วนมากกว่าเก่าหลังหยุดยา แต่สุดท้ายผมก็ค่อยๆ ปรับตัวแล้วก็เจอวิธีที่ได้ผลซึ่งมันต่างไปจากที่คนมักจะพูดถึงกัน แต่มันก็ทำให้น้ำหนักผมลงมาต่ำกว่า 100 ได้แล้ว (ไม่ขอบอกนะครับว่าเหลือเท่าไหร่แล้ว ) เสื้อผ้าจากที่หายากเรียกว่าแทบจะหาซื้อไม่ได้ตอนนี้หาซื้อได้แล้วล่ะครับ

วิธีที่ผมใช้เป็นวิธีที่ไม่ต้องอด ไม่ได้กินยา ไม่โยโย่ และไม่เครียดด้วย ฟังดูดีใช่มั้ยครับ มันจะเพอร์เฟ็คท์อะไรอย่างนี้ ลดได้โดยไม่ต้องลงแรงเลยหรือ แน่นอนครับว่าไม่มีอะไรได้มาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน สิ่งที่มันต้องการก็คือเวลา.....มันใช้เวลามากกว่าวิธีอื่นๆ ที่ใครๆ ทำกัน แต่มันก็เป็นวิธีที่ทำได้ที่บ้านโดยที่ผมคิดว่าใครๆ ก็ทำได้เพราะไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมืออะไรก็สามารถทำได้ครับ


มันเป็นวิธีที่ใช้การปรับไม่ใช่การห้ามครับ ลองนึกภาพดูว่าสิ่งที่คุณเคยทำแล้วอยู่ๆ ก็ถูกสั่งห้ามว่าทำไม่ได้ แบบนั้นมันอึดอัดใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราปรับอย่างละนิดอย่างละหน่อยมันก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่มากนักแต่เมื่อเราปรับหลายๆ อย่างในชีวิตประจำวันแม้มันจะเป็นการปรับเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อหลายอย่างรวมกันมันก็ให้ผลที่แตกต่างได้ครับ

การปรับส่วนต่างๆ นี้ทำให้เรา "ไม่ต้องอด" และ"ไม่ต้องกินยา" เพราะมันจะเป็นการปรับพฤติกรรมของตัวเราเองให้เป็นแบบที่ควรเป็นมากขึ้นทีละนิด และการปรับทีละนิดนี้เองมันทำให้เราค่อยๆ เคยชินกับสิ่งที่เราเปลี่ยน มันจะเป็นสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่ใช่การฝืนทำซึ่งนั่นจะทำให้มัน"ไม่โยโย่" และการไม่ฝืนมันก็ทำให้เรา "ไม่เครียด" ด้วยครับ


เอาล่ะเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเราจะปรับอะไรได้อย่างไรบ้าง

เบื้องต้นคือเรามาดูก่อนครับว่าปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เราอ้วนนั้นมีอะไรบ้าง
- กินเยอะ
- ชอบกินของหวาน
- ชอบกินของมัน
- ไม่ชอบกินผัก
- ขี้เกียจออกกำลังกาย
เพราะงั้นนี่ก็คือสิ่งที่เราต้องปรับครับ


ทีนี้เมื่อเริ่มต้นลดน้ำหนักสิ่งที่เรารู้มาก็คือต้องกินน้อยๆ กินของหวานให้น้อย งดของมัน ออกกำลังมากๆ ใช่มั้ยครับ ผมกล้าพูดเลยว่าไม่มีคนอ้วนคนไหนทำได้หรอก เพราะถ้าทำได้ก็คงไม่อ้วนกันไปแล้ว.....เพราะงั้นเมื่อเริ่มลดความอ้วนเราต้องปรับสิ่งเหล่านี้แบบง่ายๆ ก่อน โดยไม่จำเป็นต้องทำตามที่ตำราต่างๆ พูดกันมาแต่ค่อยๆ ปรับตามมาตรฐานของเราก่อนครับ

สำหรับคนที่จะเริ่มให้ลองแบบฉบับย่อดูก่อนก็ได้ครับ โดยการ
- ควบคุมปริมาณการกินให้เท่าเดิมตามปกติอย่าเพิ่มขึ้น
- ลดการกินของหวานโดย เวลาซื้อกาแฟร้านที่ชงตอนซื้อให้เอาหวานน้อย และน้ำอัดลมให้กินได้มื้อละ 1 กระป๋อง/ขวด/แก้ว(ไม่ใช่ไซส์จัมโบ้นะ) ขนาดปกติที่เคยกิน
- ลดการกินของมันโดย ลดจำนวนครั้งที่กินใน 1 อาทิตย์ลงสักครึ่งหนึ่ง
- ลดการกินของว่างระหว่างวัน โดยให้กินแค่ 1 ชิ้น/ถุง/ซอง กินแบบหมดคือหมดไม่หามากินต่อ
- เพิ่มการกินผักโดย พยายามกินผักให้มากขึ้นและบ่อยขึ้น เช่น กับข้าวผักอย่างผัดผัก, แกงจืด, สลัด หรือที่น่าจะง่ายสำหรับหลายคนคือส้มตำ
- หาเรื่องออกกำลังโดย เดินทุกวัน ลองเดินตอนค่ำๆ เดินไปที่คลับเฮาส์หรือสวนส่วนกลางของหมู่บ้านก็ได้ครับ ทำงานบ้าน เดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์

ไม่ยากใช่มั้ยครับ ทำตามได้ไม่อึดอัด ถ้าทำตามนี้ได้สัก 3 เดือนก็น่าจะเริ่มเห็นผลบ้าง


แต่ถ้าคิดว่าพร้อมที่จะทำแบบเวอร์ชั่นเต็มก็มาดูกันเลยครับ





การออกกำลัง
แน่นอนว่าการจะลดความอ้วนย่อมต้องมีการออกกำลังด้วย แต่พูดถึงการออกกำลังทุกคนก็มักจะคิดไปถึงการเล่นกีฬา วิ่ง ไปฟิตเนส ซึ่งหลายๆ คนก็มักจะไม่มีเวลาที่จะไป แต่การออกกำลังไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยครับ ผมแนะนำให้หากิจกรรมที่ทำแล้วสนุก เพลิน เราจะไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ลองสังเกตุตัวเองดูว่าเป็นคนชอบทำกิจกรรมอะไร แล้วก็ทำครับ เอาแบบที่ต้องออกไปขยับตัวนะครับ แบบชอบดูหนังไม่นับ อย่างออกไปเดินเล่นแถวบ้านถ้าอยู่หมู่บ้านก็เดินไปสวนในหมู่บ้านก็ได้ หาใครออกไปเดินด้วยมีคนคุยเพลินๆ เหมือนเปลี่ยนที่คุยจากนั่งคุยไปเดินคุยแทน ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยมันก็เดินได้นานแล้วครับ อีกวิธีที่ง่ายที่สุดคือไปเดินเล่นตามห้างใหญ่ๆ หรืองานแฟร์ครับ มันจะเป็นการบังคับให้เราเดินในขณะที่มันจะเพลินไม่น่าเบื่อ

หรืออย่างการไปเที่ยวก็ไปในสถานที่ที่ทำให้เราต้องเดินครับ อย่าเน้นไปนั่งกินกาแฟให้ไปเดินชมสิ่งต่างๆ แทนนั่นจะเป็นการบังคับให้เราเดินแบบเพลินๆ ทำให้เราสนุกกับมันครับ

แล้วก็ท่าบริหารแบบง่ายๆ ที่ทำได้ที่บ้าน เช่น
- แกว่งแขนทั้ง 2 ข้างไปหน้า-หลัง ทำเวลาออกไปเดินเล่นก็ได้
- ท่าวิดพื้นครึ่งตัวที่ใช้แขนดันตัวให้ยกแค่ส่วนอกถึงเอวขึ้นมาโดยที่ส่วนขายังอยู่กับพื้นเหมือนเดิมไม่ต้องเกร็ง
- ท่าซิทอัพกลับด้านที่ให้เรานอนทำท่าเหมือนจะซิทอัพแต่แทนที่จะยกอกไปหาเข่าก็ให้เรายกเข่ามาหาอกแทน

หรืออย่างน้อยก็ลองหาเรื่องขยับตัวให้มากขึ้นเช่นการเดินก็ได้ครับ เช่นการเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ (สมัยนั้นชั้น 4 ผมก็เดินขึ้นบันไดนะครับไม่รอลิฟท์) หรืออย่างแค่การทำงานบ้านเองก็เป็นการออกกำลังอย่างหนึ่งแล้วเหมือนกัน




อาหาร
การปรับอาหารก็ต้องปรับทั้งชนิดและปริมาณที่กินครับ ซึ่งจุดที่ต้องปรับก็มีดังนี้

การปรับปริมาณที่กิน ก็ตรงๆ ครับ คือกินให้น้อยลง แต่คนอ้วนที่เคยกินเยอะจะให้ลดมากินน้อยทันทีมันก็ยาก เพราะถ้ามันง่ายก็คงลดได้ไปนานแล้วจริงมั้ยครับ ทีนี้ในเมือมันต้องทำก็ต้องมีเทคนิคกันหน่อย

ขั้นแรก ให้ทำความเข้าใจก่อนว่ากินเยอะไม่แปลกแต่เยอะเกินไปนี่สิครับมันเป็นปัญหา คนอ้วนมีปัญหาเพราะกินเยอะเกินไปโดยไม่รู้ตัว เพราะงั้นเราก็จะปรับลดส่วนที่มันมากเกินไปนี่แหละ แต่ก็ไม่ต้องไปกำหนดว่าให้กินข้าวได้แค่ 2 ทัพพีเพราะถ้ามันไม่อิ่มมันก็คือไม่อิ่มครับ แล้วถ้าไปหิวกลางดึกมันจะยิ่งแย่ไปใหญ่เราจะปรับโดยเริ่มจากให้ค่อยๆ สังเกตุตัวเองก่อนว่าเรากินแค่ไหนถึงพอที่จะอยู่ไปถึงมื้อต่อไปได้ แล้วก็ให้กินเพียงแค่นั้นครับ ไม่จำเป็นต้องกินให้อิ่มจนกินต่อไม่ได้ ส่วนมื้อเย็นก็ทำแบบเดียวกันครับเอาแค่อยู่ถึงมื้อต่อไปได้ บางคนอาจจะรู้สึกว่าไปหิวตอนประมาณ 4 ทุ่ม นั่นปกตินะครับ เราจะหิวอีกครั้งที่ประมาณ 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ก็แนะนำว่าให้รีบนอนก่อนจะหิวอีกรอบ แต่ถ้าทำงานกะดึกก็ต้องกินตรงนี้ก็แนะนำให้กินอะไรเบาๆ แค่หายหิวพอครับ




ขั้นต่อไปก็จะปรับลดอย่างจริงจังมากขึ้นซึ่งปัญหาใหญ่มันมักจะอยู่ที่มื้อเย็น ส่วนใหญ่แล้วมื้อเย็นเป็นมื้อที่เราจะได้กินพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนในครอบครัว อาหารก็มักจะอร่อยที่สุด บรรยากาศก็มักจะชวนเจริญอาหารที่สุดด้วย เพราะงั้นมันก็ต้องใช้จิตวิทยาเข้ามาช่วย....โดยทั่วไปแล้วเรามักจะใช้จานข้าวใหญ่ๆ กันใช่มั้ยครับ พอจานใหญ่แล้วตักข้าววางมาตรงกลางจานหย่อมเดียวมันก็รู้สึกว่าน้อยไม่อิ่ม ก็ให้เราสังเกตุตัวเองว่าเรากินข้าวอิ่มพอดีแบบในขั้นแรกด้วยปริมาณแค่ไหนแล้วซื้อชามหรือถ้วยข้าวที่ใส่ได้ค่อนข้างพอดีกับปริมาณที่กิน เหลือที่ในถ้วยให้ใส่กับข้าวได้สักหน่อย (เพราะจะได้กินสะดวกครับ) มาใช้แทนจาน ให้พยายามกินแค่ 1 ถ้วย/ชามแล้วพอ พยายามไม่เติม แต่ถ้าบางครั้งมันหิวจริงๆ ก็เติมได้หรือถ้าบางครั้งมันอร่อยจนหยุดไม่อยู่ก็เติมได้แต่ให้พยายามเติมไม่เกินครึ่งถ้วยเท่านั้นครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าเราต้องพยามยามไม่เติมแบบนี้ทุกวัน ทีนี้เราก็ต้องประเมินตัวเองทุกวันว่าหิวมากแค่ไหน วันไหนไม่หิวมากก็พยายามลด ค่อยๆ ลดจากเต็มถ้วยเป็น 3/4 ถ้วย พอกิน 3/4 ถ้วยได้อยู่ตัวแล้วก็พยายามลดเป็น 2/3 ถ้วยและ 1/2 ถ้วยตามลำดับ ตลอดเวลาที่ปรับลดนี่สามารถเติมข้าวได้ตามเงื่อนไขเดิมนะครับ เมื่อสามารถกิน 1/2 ถ้วยได้แล้วคือไม่ต้องเติมหรือเติมน้อยๆ ไม่ถึงครึ่งถ้วยได้เป็นส่วนใหญ่แล้วก็ให้ลดขนาดถ้วยหรือชามลงอีกให้เป็นขนาดที่เล็กลงเพื่อให้เราตักข้าวได้เต็มถ้วย แล้วก็ค่อยๆ ลดลงแบบเดิม เราก็จะค่อยๆ กินข้าวน้อยลงจนเท่าคนปกติได้ในที่สุดครับ


ต่อมาคือการปรับชนิดของอาหารที่กิน ซึ่งอันนี้มีรายละเอียดมากครับ มันต้องทำหลายจุด แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะทำได้ มีอะไรบ้างมาดูกันครับ




ของหวาน....อันนี้ปัญหาใหญ่ของคนอ้วนเลย คนอ้วนส่วนมากจะชอบกินของหวานเช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม กาแฟเย็น ซึ่งน้ำตาลเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เราอ้วนเลยครับ

ก็ต้องปรับลดน้ำตาลกัน ตรงนี้ผมอยากให้ลองสังเกตุรสหวานที่กินกันดูครับว่ามันหวานแค่ไหน แล้วถ้ามันน้อยกว่านี้ล่ะเรากินได้หรือเปล่า เช่นเวลาสั่งกาแฟเย็น
ก็บอกคนขายว่าไม่ต้องหวานมากหรือเอาหวานน้อย สังเกตุดูเวลาเขาชงปกติจะใส่
น้ำตาลราว 2 ช้อนนมข้นอีก 3-4 ช้อนกันเลยทีเดียว ก็ให้เขาลดลงครับ ลดให้เรารู้สึกได้ชัดๆ เลยว่ามันหวานน้อยลงแต่ก็ยังได้รสหวานอยู่ บางคนอาจคิดว่าถ้าหวานน้อยลงมันก็อร่อยน้อยลงแต่ก็นั่นล่ะครับ อย่างน้อยเราก็ยังได้กินสิ่งนี้ที่มีรสหวานอยู่ก็ดีกว่ากินไม่ได้เลยนะครับ

อย่างน้ำอัดลมก็ให้กินได้ 1 หน่วยเสริฟต่อมื้อ เช่น 1 กระป๋อง 1 ขวดแก้ว (ไซส์ปกติที่กินตามร้าน) หรือถ้าซื้อขวดลิตรมาก็ให้กินได้ 1 แก้วครับ (ไซส์แก้วใหญ่แม็คหรือ KFC ไม่ใช่จัมโบ้นะครับ ใส่น้ำแข็งก้อนๆ ตามบ้านเต็มแก้วแล้วเทน้ำต่ำกว่าปากแล้วสักนิ้วครึ่ง) กินหมดแล้วไม่เติม แก้วต่อไปก็กินน้ำเปล่า

หรืออีกวิธีสำหรับน้ำอัดลมน้ำเขียวน้ำแดง ลองกินเปล่าๆ แล้วสังเกตุดูครับ จะรู้สึกได้ว่ามันหวานมากชนิดที่เรียกว่าหวานน้อยลงสักครึ่งหนึ่งก็ดูจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะงั้นเราก็จะเจือจางมันครับ ด้วยการใช้โซดาโดยผสมสักอย่างละครึ่งก่อนพอเริ่มชินกับการกินรสอ่อนลงแล้วก็พยายามใส่น้ำหวานให้น้อยลงครับ วิธีนี้จะทำให้เราได้กินน้ำหวานต่อ 1 แก้วน้อยลงซึ่งก็ทำให้เรามีโอกาสกินได้สัก 2-3 แก้วต่อมื้อ แต่ถ้าเราเจือจางแล้วกินแค่ 1 แก้วต่อมื้อได้เหมือนเดิมก็จะยิ่งดีครับ เพราะนั่นจะเท่ากับว่าเรากินน้ำหวานน้อยลง

การผสมโซดาใช้น้ำผลไม้แทนก็ได้ครับอร่อยดี แทนที่จะได้แต่ความอร่อยเราก็ยังได้ประโยชน์จากผลไม้ด้วยไม่มากก็น้อยในขณะที่น้ำหวานเราได้แค่รสหวานแต่ไม่มีประโยชน์อื่นเลย น้ำผลไม้ที่แนะนำคือน้ำแอ๊ปเปิ้ลครับ

ไอศครีม เค้กกินได้ครับแต่ให้กินตามโอกาสอย่ากินเป็นประจำ และให้กินแค่พออร่อย อย่าเยอะง่ายๆ ก็คือ 1 หน่วยเสริฟ ส่วนคนที่ชอบกินขนมไทยหรือขนมหวานต่างๆ ก็คงต้องกินให้น้อยลงครับ คืออย่าบ่อยและอย่าเยอะ




ของมัน....ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คนอ้วนเจอ เพราะชอบของมันๆ นี่แหละทำให้อ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู แกงกะทิ พวกนี้ไม่ต้องถึงกับงดครับแต่ให้ลดลง เช่นถ้าเคยกินอาทิตย์ละ 5 วันก็ลดเป็นสัก 3 วันแทน คือลดเหลือ 50-60% ของที่เคยกิน

ข้าวมันไก่ให้กินแบบเนื้อล้วนเป็นปกติ แต่ถ้าชอบกินหนังด้วยให้กินแบบติดหนังได้เดือนละสัก 1-2 ครั้งซึ่งถ้าเลือกกินเฉพาะหนังที่บางได้ก็จะดีครับ กินบางส่วนและเหลือไว้บางส่วน...ถ้าทำได้จะดี ส่วนข้าวขาหมูก็เหมือนกันครับคือกินเนื้อล้วนเป็นปกติแล้วกินหนังบ้างเป็นบางครั้ง เดือนละสัก 1-2 ครั้ง(ถ้ากินข้าวมันไก่ด้วยโควต้านี้ต้องแชร์กันนะครับ) เวลากินหนังก็ให้พยายามตัดส่วนที่เป็นมันออกไปกินแต่หนังครับ อาจกินมันบ้างก็ได้แต่ก็ไม่ควรกินไปทั้งหมด กินนิดหน่อยให้ได้รสแล้วที่เหลือก็ตัดออกทิ้งไว้

แกงกะทิ ข้าวผัดกะเพรา พวกนี้กินได้ครับแต่หลายคนมักจะไม่กินพวกมะเขือในแกงหรือใบกะเพรา ควรจะกินไปด้วยครับเพราะมะเขือและใบกะเพราจะช่วยชดเชยเรื่องไขมันในอาหารพวกนั้นให้

ไก่ย่าง คอหมูย่าง พวกนี้ก็กินได้ครับแต่อย่าบ่อยนัก เวลากินก็แนะนำให้กินกับคนอื่นด้วยจะได้ไม่กินคนเดียวหมด

สำคัญที่สุดคือความคิดที่ว่าไม่กินพวกข้าวขาหมูเลยจนกระทั่งถึงเทศกาลเช่นปีใหม่ก็บอกว่าให้กินได้สักวันหรือปล่อยผีสักวัน แบบนั้นอย่าทำครับ เพราะถ้าเราไม่ได้กินมานานๆ แล้วพอได้กินมันจะรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ แล้วการที่จะมาให้กินไม่มากมันก็จะเป็นไปไม่ได้เลย แถมพอจบงานมันจะยังอยากกินต่ออีกคราวนี้มันจะยากที่จะควบคุมแล้วครับ แต่ถ้าเราได้กินมันอยู่เรื่อยๆ มันจะเป็นรสที่เราคุ้นลิ้นอยู่ แล้วพอถึงโอกาสพิเศษเราก็กินแบบพอเหมาะโดยที่จะไม่รู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษจนหยุดไม่อยู่แล้วก็จะควบคุมต่อได้ครับ




กินผัก....หลายคนที่อ้วนก็เพราะไม่ชอบกินผัก ผมเข้าใจครับว่าแก้ไม่ง่าย อะไรที่ไม่ชอบมันก็ไม่อยากกิน แต่คนเราจะไม่มีผักชนิดไหนที่กินได้เลยเชียวหรือลองมองหาผักชนิดที่เรากินได้แล้วกินมันให้มากขึ้น เพื่อลดการกินเนื้อและไขมัน ไม่ว่าจะเป็นผักง่ายๆ อย่างเช่นผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรืออะไรก็ได้ครับขอให้มันเป็นผัก เพราะผักจะมีเส้นใยช่วยให้เราไม่หิวได้นานขึ้น ถ้าใครกินสลัดได้จะยิ่งง่ายเลยหรือจะส้มตำก็ได้




อาหารผัดน้ำมัน....หลายคนกลัวเรื่องอาหารผัดทอดแต่ไม่ต้องกลัวครับ เรายังกินมันได้อยู่ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย นั่นคือปรับการใช้น้ำมันนันเอง คือเราจะใช้วิธีผัดน้ำมันน้อยครับ ผมได้ไอเดียนี้มาจากอาหารญี่ปุ่นที่จะใช้น้ำมันน้อยในการผัด ในขณะที่อาหารไทยเรามักจะใส่น้ำมันเยอะกว่านั้นมาก ให้เราใส่น้ำมันน้อยลงมากๆ ดูเอาแค่ผัดไม่ติดกระทะก็พอครับ เวลาผัดอะไรที่ต้องเติมน้ำตอนท้ายก็อาศัยน้ำที่เติมนั่นแหละครับเป็นตัวช่วยทำให้สุก บางครั้งก็อาจทำแบบผัดแห้ง(ไม่เติมน้ำ) ก็แนะนำให้ใช้น้ำมันน้อยๆ นี่แหละครับ ส่วนชนิดของน้ำมันที่แนะนำให้ใช้คือ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา และน้ำมันถั่วเหลือง เพราะหาซื้อไม่ยากครับเมนูผัดแห้งแบบญี่ปุ่นให้ใช้น้ำมันงาหรือน้ำมันมะกอก น้ำมันงายังใช้แต่งกลิ่นในเมนูแบบไทยได้ด้วยส่วนเมนูผัดหรือทอด (ไข่เจียวไข่ดาว) แบบไทยให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองครับ เพราะถ้าเอาน้ำมันอีกสองชนิดมาใช้มันจะเป็นการสิ้นเปลืองมาก


การกินพวกนี้ให้จำไว้ว่าน้อยกว่าก็ดีกว่าเพราะงั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำตามนี้เป๊ะ คือให้น้อยกว่าได้แต่อย่ามากกว่า ซึ่งก็ต้องดูให้เหมาะกับตัวเองด้วยไม่งั้นมันจะต้องฝืนทำและรู้สึกกดดันเกินไปครับ




ถ้าทำได้ตามนี้สัก 2-3 เดือนก็จะเริ่มเห็นผลล่ะครับ ซึ่งเมื่อเราลดน้ำตาลได้น้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็ว ช่วงแรกที่เริ่มควบคุมน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วอาจจะประมาณ 5-8 กก. แล้วหยุดมันจะทรงๆ อยู่ก่อน หลายคนอาจจะใจร้อนอยากให้ลงเร็วๆ ก็เลยยิ่งโหมหนักซึ่งจะไม่เป็นผลดี ให้รักษาน้ำหนักระดับนี้ไว้ให้ได้สัก 4-6 เดือนเป็นอย่างน้อยครับ อย่าชะล่าใจไม่งั้นมันจะตีกลับเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ต้องคุมต่อไปให้เราชินกับการกินที่ปริมาณเท่านั้นสัก 4-6 เดือน(แต่ถ้าปรับตัวได้เร็วก็เป็น 2-3 เดือนก็ได้ครับ) ระหว่างนี้มันอาจจะแกว่งขึ้นลงบ้างสัก 2-3 กก. ไม่ต้องตกใจครับ มันเป็นธรรมดาที่น้ำหนักคนเราจะไม่คงที่ หรืออาจจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ก็เป็นได้ รักษาระดับการควบคุมไว้พออยู่ตัวแล้วค่อยเริ่มปรับลดต่อ เมื่อเริ่มปรับลดต่อให้ค่อยๆ ปรับปริมาณและชนิดอาหารกับการออกกำลังเพื่อให้น้ำหนักลดต่อ ซึ่งถ้าเราไม่เพิ่มระดับการควบคุมอาหารและการออกกำลังมันก็อาจจะลงช้าๆ ต่อไปหรือไม่ก็ทรงๆ อยู่ที่เดิมครับ

เมื่อเราชินกับการควบคุมในระดับนั้นๆ แล้วคือไม่รู้สึกว่าถูกจำกัดการกินหรือต้องฝืนแล้ว รู้สึกเป็นปกติแล้วก็ให้เพิ่มระดับการควบคุมเข้าไปอีกจะทำให้น้ำหนักลดลงได้อีกครับ....เมื่อเพิ่มระดับการควบคุม น้ำหนักอาจจะลดอย่างรวดเร็วอีกครั้งหรืออาจจะลงอย่างช้าๆ ก็ได้ ซึ่งก็เหมือนเดิมครับอย่าชะล่าใจและอย่าใจร้อน ให้ควบคุมเพื่อรักษาระดับไว้ก่อนจนกว่าจะชินกับการควบคุมในระดับนั้นแล้วค่อยเพิ่มระดับต่อไป

ถ้าเราไม่รอให้ชินซะก่อนมันจะทำให้เรารู้สึกว่าต้องฝืนทำครับ เราจะเครียดแล้วก็จะหมดกำลังใจที่จะทำไปในที่สุด

ระหว่างการควบคุมและปรับตัวเพื่อลดน้ำหนัก แนะนำว่าการทำแบบนี้แล้วอย่าชั่งน้ำหนักบ่อยๆ เพราะจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอาจทำให้บางคนท้อซะก่อนได้ครับ ทำไปสัก 2-3 อาทิตย์แล้วค่อยชั่งดูสักครั้ง ก็อย่างที่บอกครับวิธีนี้ต้องใช้เวลา


วิธีนี้จะทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างง่ายไม่เครียดเพราะเราจะค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการควบคุมปรับเปลี่ยนทีละนิดซึ่งจะไม่เป็นการหักโหมจนเกินไปครับ ทำให้เราไม่โทรมและไม่เครียด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเวลา ต้องใช้เวลาครับกว่าจะลดได้ แต่ถ้าลดได้เร็วๆ ปรับตัวไม่ทันแล้วโยโย่ตีกลับขึ้นมาใหม่ที่เหนื่อยทำไปก็ไม่มีประโยชน์ใช่มั้ยล่ะครับ

ใครกำลังอยากจะลดน้ำหนักก็ลองเอาไปทำกันดู ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็ลองสอบถามได้ ยินดีให้ข้อมูลในการลดครับ แล้วถ้าได้ผลเป็นยังไงมาบอกผมบ้างนะครับ

วันนี้จบเพียงเท่านี้ครับ

โดย นาย nyo


ภาพประกอบบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต


Create Date : 14 กันยายน 2557
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2558 21:44:39 น. 1 comments
Counter : 2305 Pageviews.

 
ขอขอบคุณครับมากๆ ครับ


โดย: อ้วนจัด IP: 1.47.82.207 วันที่: 14 กันยายน 2557 เวลา:14:37:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nyo
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ 2539 ห้ามผู้ใดทำการคัดลอก ส่วนใดส่วนหนึ่งของบล๊อกนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อค


ติดต่อผมได้ที่
naai.nyo@gmail.com

____________________

บล๊อกนี้ผมเขียนขึ้นมาจากสิ่งที่ผมไปรู้ไปเห็นมาก็เลยเอามาเล่าต่อเพื่อเป็นการแชร์ความรู้กัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยครับ


กรูณาใช้ภาษาให้เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
Friends' blogs
[Add nyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.