|
 |
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
 |
9 กันยายน 2552
|
|
|
|
ความหวัง คือความเลื่อนลอย
ผมคิดว่าคงเคยมีใครบางคน ที่ภาวนาแล้วมีความอยากบรรลุธรรม อยากพ้นทุกข์ ให้ได้สักวันหนึ่ง คือหวังแบบตั้งเป้าเท่านั้นเท่านี้ วันนั้นวันนี้ ครั้งนึงผมก็เป็นหนึ่งในนั้น (ณ ตอนนี้ได้ปล่อยความรู้สึกนี้ไปเยอะแล้ว แต่ก็อาจจะยังฝังใจอยู่ลึกๆ หลงเหลืออยู่บ้าง) แต่ก็ลืมนึกไปเลยว่า แท้จริงแล้ว ธรรมชาตินี้ ก็เหมือนกับอย่างอื่น เช่น การปลูกอะไรสักอย่าง มันจะผลิดอกออกผลได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาสมควรแก่เหตุของมันเท่านั้น เราทำได้เพียงทำเหตุของมันให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง ซึ่งความอยากที่จะได้ผล หรือความหวังที่จะให้มันออกผลในวันนั้นวันนี้ ไม่มีแก่นสารสาระอะไรเลย และยิ่งสำหรับการภาวนาแล้ว ความอยากกลายเป็นการขวางกั้นไปเสียอีก เพราะจะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อหมดความอยาก พ้นจากการปรุงแต่งแล้วต่างหาก
อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ทรงตรัสอานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐานไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ว่า
[ ๓00 ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๖ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๕ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๔ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๓ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๒ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๑ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปีหนึ่งยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๖ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๕ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๔ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๓ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๒ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๑ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด กึ่งเดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กึ่งเดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ วัน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่ง ความโศกและความร่ำไร เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้ คำอันใด ที่กล่าวแล้วอย่างนี้ คำอันนั้น เราอาศัยเอกายนมรรค ( คือ สติปัฏฐาน ๔ ) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล
//www.geocities.com/southbeach/terrace/4587/arnisonksati4.htm
ตรงช่วงท้ายนี้ ผมเอาไว้ทบทวน ตรวจสอบตนเองครับ ถ้าหากเจริญสติปัฏฐานไปหลายๆ เดือน หลายๆ ปี แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือไม่เข้าใจอะไรเลย เราคงทำผิดตรงไหนสักอย่างแล้วล่ะ
Create Date : 09 กันยายน 2552 |
|
17 comments |
Last Update : 9 กันยายน 2552 10:43:20 น. |
Counter : 3523 Pageviews. |
 |
|
|
| |
โดย: นมสิการ 9 กันยายน 2552 17:14:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: kaoim IP: 202.149.25.234 9 กันยายน 2552 18:36:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: บั๊กคุง 9 กันยายน 2552 18:36:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: บั๊กคุง 9 กันยายน 2552 18:44:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: วิชชาธรรมกาย IP: 110.49.138.144 9 กันยายน 2552 23:01:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: aonaka 6 ธันวาคม 2552 14:49:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: Mariomab IP: 190.2.133.230 12 มิถุนายน 2564 12:37:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: BennieRar IP: 190.2.130.167 11 พฤศจิกายน 2564 15:04:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: Louisunalo IP: 89.38.97.125 10 ธันวาคม 2564 16:14:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: DJCharlesSyday IP: 46.166.182.65 7 กุมภาพันธ์ 2565 10:09:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: Richardsaisa IP: 213.159.38.90 13 พฤษภาคม 2565 16:46:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: RobertPreog IP: 185.136.160.211 3 ตุลาคม 2566 11:36:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: EdwardLeape IP: 37.46.113.236 30 พฤศจิกายน 2566 6:06:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cherietousy IP: 95.55.88.51 27 สิงหาคม 2567 17:24:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jamesdob IP: 79.137.89.102 20 ธันวาคม 2567 11:44:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: MichaelCip IP: 79.137.89.102 7 กุมภาพันธ์ 2568 12:22:26 น. |
|
|
|
| |
|
 |
บั๊กคุง |
|
 |
|
|
การเข้าถึงธรรมนั้น จะว่าง่าย ก็ง่าย จะว่ายาก ก็ยาก
ที่ว่าง่าย ก็คือ อาศัยลูกอึด ฝึกไปเรื่อย ๆ ในสัมมาสติ สัมมาสมาธิ แต่อย่าตั้งความหวังไว้
ที่ว่า ยาก ก็เพราะว่า เราได้ยินได้ฟังเรื่องธรรมมามากจากแหล่งต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันคือดาบ 2 คม เมื่อฟังมาก ก็ย่อมจะฟุ่งซ่านง่าย ทำให้การปฏิบัติเต็มไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น และ อีกประการหนึ่ง ก็คือ การเลือกสายการปฏิบัติ ที่ไม่ตรงกับจริตของเราเอง และ ก็ลงมือปฏิบัติไปแบบไม่เข้าใจว่าคืออะไร ทำไปแบบไม่เข้าใจ เหมือนขับรถที่ไม่รู้ทาง อะไรอย่างนั้น
ถ้าท่านจะเลือกการปฏิบัติแบบ ปัญญาอบรมสมาธิ ละก็สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่สุด ที่จะนำท่านเข้าสู่ทางได้เร็ว ได้ถูก ก็คือ ความเข้าใจอย่างถูกต้องแห่งคำว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ถ้าเข้าใจ 2 คำนี้ถูกเมื่อไร ลงมือปฏิบัติแบบไม่หวังผล ผมค่อนข้างมั่นใจว่า การเห็นผลจะเห็นได้ภายในไม่เกิน 1 ถึง 3 ปี แต่ถ้าเข้าใจ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผิด ไปนั่งหลับตาแบบฤาษี ทั้งชาติ ก็ไม่มีทางถึงได้ครับ