วิธีเสริมดวง สะเดาะเคราะห์ สืบชะตา




 ดวงชะตา




 คำว่าดวง ความหมาย เช่น แสงสว่าง มีหลักษณะทรงกลม 

แสงสว่างจากดวงไฟ แสงสว่างจากดวงดาว และ แสงสว่าง

จากดวงจันทร์ เป็นต้นฯ


ใช้ประกอบคําอื่นเป็นคําเปรียบเทียบ เช่น ดวงใจ ดวงตา ดวงสมรหมายความถึง

สิ่งที่เป็นที่รักยิ่ง หญิงที่รัก หรือ ลูกที่รัก


แบบรูปราศีที่บอกดาวพระเคราะห์เดินถึงราศีนั้น ๆ ในเวลาเกิดของคน

หรือเวลาสร้างสิ่งสําคัญ เช่นบ้านเมืองเป็นต้นที่โหรคํานวณไว้โดยแบ่งเป็น 

๑๒ ราศี เรียกว่า ดวง ซึ่งเป็นคําตัดมาจาก ดวงชะตา.


แท้ที่จริง ดวง ของคนเรานั้น โดยความหมาย เป็นดาวอยู่ดี นั่นอาจหมาย

ถึงดาวประจำดวง ที่ส่งผลให้เจ้าของของดาวดวงนั้นๆ ได้รับผล


เคราะห์ หมายถึงดาวเคราะห์ คนส่วนมาก นำมาใช้ในคำพูด

ก็ คือ เคราะห์ร้าย เคราะห์กรรม เช่นเกิดอุปติเหตุ มักกล่าว ว่า

เคราะห์ร้าย นั่นอาจหมายถึง ดาวเคราะห์ประจำดวงของบุคคล

นั้นๆ ให้โทษ


  ในเมื่อรู้สึกว่า ตัวเองนั้น กำลังตกอยู่ในช่วงชะตาตก ดวงไม่ดี

เคราะห์กำลังจะให้ร้าย จึงรีบหาหนทาง เพื่อที่จะแก้ไข เสริม

เช่น ต่อชะตา สืบชะตา เสริมดวง สะเดาะเคราะห์ ตามกรรมวิธี

แต่ละพื้นที่ย่อมแต่กต่างออกไปฯ


แม้กระทั้งแต่ละอาจารย์ แต่ละตำราการปฏิบัติยึดมั่น

ก็แตกต่างออกไปตามความนิยมยึดมั่น

ความเชื่อถือนิยมชมชอบของผู้ที่ศรัทธาก็แตกต่างกันไป

ตามความเชื่อในอาจารย์นั้นๆ


อีกประการหนึ่งจะขอพูดถึงเรื่องการต่อชะตา

เริ่มตั้งแต่ปฏิบัติทำด้วยตนเองในบ้านกันเลย

กล่าวถึงวิธีการต่อชะตา หรือเสริมดวงหลักๆ มีอยู่ ๓ ประการด้วยกันฯ


++++++++++++++++++++++


ประการที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องการเสริมดวง มีวิธีการการบูชาเครื่องเสวยต่างๆ

สำหรับดาวประดวงนั้นๆ


+++++++++++++++++++++++


ประการที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องการเสริมดวงด้วยการอาบน้ำมนต์ส้มป่อย


+++++++++++++++++++++++


ประการที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องการ สืบชะตาตามตำราแบบโบราณจารย์


+++++++++++++++++++++++


       วิธีเสริมดวงชะตาด้วยตนเอง

ด้วยการบูชาเครื่องบูชาประจำดวงดาว

มีผลไม้ต่างๆ และของหวานของขบเขี้ยวตามแต่จะมีนามตรงกับ

นามของดวงดาว ชึ่งบรรดาดวงดาวประจำดวง ของแต่ละ ในบรรดา

ดาวประจำดวงทั้งเจ็ดดวงนั้น มีทั้งดวงดาวให้คุณ และดวงดาวให้โทษ


คือ สามดวงให้คุณ สามดวงให้โทษ หนึ่งดวงไม่เป็นโทษ ไม่เป็นคุณ

ดาวดวงที่ไม่เป็นโทษไม่เป็นคุณนั้น ชึ่งหมายถึงตัวของเรานี้เอง

ด้วยเหตุนี้ ตัวของเรานี่ จึงมีดวงดาวที่ให้โทษ กับดวงดาวที่ให้คุณเสมอ


ด้วยเหตุนี้เองพอคนเราถึงคราที่จำต้องแก้ไข โชคชะตา หรือ หาวิธีเสริมดวง

ให้ดีให้เด่นยิ่งๆขึ้นไป โบราณจารย์ จึงเริ่มปฏิบัติสืบทอดต่อๆกัน 

ตั้งแต่ยุคโบราณกาล จนถึงยุคปัจจุบัน บ้างก็สูญหายไปกับกาลเวลา

ก็เนื่องด้วยหลายเหตุ หลายปัจจัย 


ถึงแม้ยุคปัจจุบันกาล ชึ่งเป็นยุคเทคโนโลยี่ ล่ำสมัย ผู้สืบทอดวิชา

ของโบราณจารย์ก็ลดลงเกลือน้อย อีกทั้งความเชื่อถือก็ถอยลงไปตาม


แต่สำหรับท่านผู้สนใจ หรือมีความกระหายที่จะเสริมดวงชะตา เพื่อเพิมโชคลาภ

ให้ดีให้เด่น ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ


ประการที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องการเสริมดวง มีวิธีการการบูชาเครื่องเสวยต่างๆ

สำหรับดาวประดวงนั้นๆ



๑.สำหรับท่านที่เกิดวันอาทิตย์วันอาทิตย์


๕. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ ๑๙ ปี

๒. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ ๑๕ ปี

๖. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ ๖ ปี

๔. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ ๑๗ ปี

๗. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ ๑๐ ปี

๓. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ ๘ ป


      วิธีเสริมดวงชะตาของคนเกิด วันอาทิตย์

ในบรรดาดาวทั้งเจ็ดดวง เห็นได้ว่า ดาวของ

วันพฤหัสบดี เป็นดาวที่เด่นที่สุด ด้วยเหตุนี้

เครื่องบูชาประจำดวงดาว ท่านจึงต้องบูชา

ดาวพฤหัส รวมด้วยดาวให้คุณอีกสองดวง

คือ ๒. ดาวจันทร์

และ.๖. ดาวศุกร์ ๚


รวมกำลังเสวยอายุดาวทั้งสามดวงเป็น ๔๐ ปี

เครื่องบูชาของคนเกิดวันอาทิตย์

ท่านจึงต้องบูชาน้ำผึ้ง น้ำผึ้งเป็นเครื่องเสวย

ในนามของดาวพฤหัส. ด้วยเหตุนี้จึงใหผู้บูชา

จัดหาเครื่องบูชา คือน้ำผึ้งใส่ถ้วยเล็กๆให้ได้ ๔๐ ถ้วย

หรือแก้วก็ได้ จัดเตรียมใสภาชนะสอาดๆ 


ถวายบูชา ที่หิ้งพระ โต๊ะหมู่ หรือที่วัด หน้าพระประธาน สถานที่เจดีย์

เริ่มตั้งแต่วันเกิดของผู้ที่บูชา เช่นคนเกิดวันอาทิตย์ ก็เริ่มการถวายวันอาทิตย์ 

ถวายช่วงเช้า หรือสายๆ จุดธูปเทียนอย่างละสามดอก (แตถ้าไม่สดวกละเว้นได้) 

แล้วนำเครื่องบูชาถวาย ตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาตวามความผึงพอใจ 


พอถึงช่วงบ่ายลาได้ กำหนดวัน ๔๐ วัน เท่ากำลังดวงดาวเสวยอายุ

ทำการถวายทุกๆวัน จนกว่าจะครบ ๔๐ วัน ส่วนเครื่องบูชา ก็น้ำผึ้ง ๔๐ ถ้วย

ทุกๆวัน 


หรือจะถวายแบบจำนวนวันครบอายุของผู้ที่บูชา ส่วนเครื่องบูชาใช้ ๔๐ ถ้วย

ส่วนวันไหนไม่ไม่ว่าง จงเว้นไว้ และจดบรรทึกไว้ คอยต่อวันถัดไป

หรือบางท่านอาจจะขยันทำได้มากกว่าดังที่กล่าว

คือทำให้ได้ครบ ๑๐๘ วัน ยิ่งเป็นการดี ดังที่อาจารย์เคยกล่าวไว้นะครับฯ


      ๒. สำหรับคนเกิดวันจันทร์


๖. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๒๑ ปี

๓. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ    ๘ ปี

๗. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๐ ปี

๕. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๑. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๔. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ  =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมดเป็น ๓๙ ปี 


เครื่องถวายบูชา สำหรับคนเกิดวันจันทร์ คือ ผลมะละกอ

เพราะว่ามะละกอ เป็นเครื่องหมายแทนนามดาวศุกร์ ดาวศุกร์

เป็นดาวดวงให้คุณและเด่นที่สุด ในบรรดาดวงดาวให้คุณ

ด้วยเหตุนี้ ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม ผลมะละกอนำมา

หันเป็นชิ้น แบบเราหันรับประทานนั้นแหละครับ

และนับให้ได้ ๓๙ ชิ้นใส่รวมภาชนะเดียวกัน เพราะว่า

กำลังดาวให้คุณประจำดวงของคนเกิดวันจันทร์ รวมเป็น

๓๙ ปี เ

ริ่มถวายตั้งแต่วันเกิดของผู้ที่บูชา ตามวิธีข้อความ

ข้างบน ปฏิบัติถวายจนกว่าครบจำนวน ๓๙ วัน 

หรือครบตามอายุ ของผู้ที่บูชาฯ 



     ๓. สำหรับท่านที่เกิดวันอังคาร


๗. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ ๑๐ ปี

๔. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ ๑๗ ปี

๑. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ   ๖ ปี

๖. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๒. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๕. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมด ๓๓ ปี

เครื่องบูชาสำหรับท่านที่เกิดวันอังคาร

คือน้ำนม หรือนมข้นๆ เป็นเครื่องเสวยแทนนามดาวเสาร์

และดาวเสาร์ยังเป็นดาวที่เด่นที่สุดในบรรดาดวงดาวให้คุณ

ด้วยเหตุนี้ ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม นมข้น จัดเตรียมใส่ ถ้วย

ให้ได้ ๓๓ ถ้วย เท่ากำลังดวงดาวให้คุณเสวยอายุ 

เริ่มปฏิบัติถวายแต่วันเกิดของผู้บูชา จนกว่าจะครบ ๓๓ วัน

หรือ ครบตามอายุไขผู้บูชาก็ได้ฯ



     ๔. สำหรับท่านที่เกิดวันพุธ


๑. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ     ๖ ปี

๕. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๙ ปี

๒. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๕ ปี

๗. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๓. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๖. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ  =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมด ๔๐ ปี


เครื่องบูชาสำหรับที่เกิดวันพุธ คือ น้ำมะพร้าว 

มะพร้าวเป็นเครื่องเสวยแทนนามดาวอาทิตย์

ด้วยเหตุนี้ ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม น้ำมะพร้าว ๔๐ แก้ว

หรือถ้วยเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องใส่เต็ม แต่ให้ได้ ๔๐ แก้ว

เท่ากำลังดาวเสวยอายุ เริ่มปฏิบัติถวายแต่วันเกิดของผู้บูชา 

จนกว่าจะครบ ๔๐ วัน หรือ ครบตามอายุไขผู้บูชาก็ได้ฯ



    ๕. สำหรับท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี

๒. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๕ ปี

๖. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๒๑ ปี

๓. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ    ๖ ปี

๑. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๔. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๗. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ  =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมด ๔๒ ปี


เครื่องบูชาสำหรับที่เกิด วันพฤหัสบดี คือ น้ำอ้อยสด

น้ำอ้อยสด เป็นเครื่องหมายเสวยแทนนามดาวจันทร์ ด้วยเหตุนี้ 

ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม น้ำอ้อยสด ๔๒ แก้ว ไม่จำเป็นต้องใส่เต็มแก้ว 

แต่ให้ได้ ๔๒ แก้ว เท่ากำลังดาวเสวยอายุ เริ่มปฏิบัติถวายแต่วันเกิด

ของผู้บูชา จนกว่าจะครบ ๔๒ วัน หรือ ครบตามอายุไขของผู้บูชาก็ได้ฯ


     ๖.สำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์


๓. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ     ๖ ปี

๗. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๐ ปี

๔. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๗ ปี

๒. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๕. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๑. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ  =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมด ๒๓ ปี


เครื่องบูชาสำหรับท่านที่เกิดวัน ศุกร์ คือ ผลพุทรา

ผลพุทรา เป็นเครื่องเสวยแทนนามดาวอังคาร ด้วยเหตุนี้ 

ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม ผลพุทรา จำนวน ๒๓ ผล หรือผ่าแบ่ง

เป็นชิ้นๆ ให้ครบ ๒๓ เท่ากับ ดวงดาวให้คุณเสวยอายุ 

แล้วนำใส่ภาชนะสอาดๆ  เริ่มปฏิบัติถวายแต่วันเกิดของผู้บูชา 

จนกว่าจะครบ ๒๓ วัน หรือ ครบตามอายุไขของผู้บูชาก็ได้ฯ



     ๗. สำหรับท่่านที่เกิดวันเสาร์

๔. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๗ ปี

๑. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ     ๖ ปี

๕. ดวงดาวให้คุณ เสวยอายุ  ๑๙ ปี

๓. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๖. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ = ปี

๒. ดวงดาวให้โทษ เสวยอายุ  =ป


รวมกำลังดวงดาวให้คุณทั้งหมด ๓๒ ปี

เครื่องบูชาสำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์ คือน้ำสอาด
น้ำสอาดเป็นเครื่องหมายนามแทน ดาวพุธ ด้วยเหตุนี้ 

ผู้บูชา จึงต้องจัดเตรียม น้ำเปล่าสอาด จำนวน ๓๒ แก้ว

เท่ากับ ดวงดาวให้คุณเสวยอายุ แล้วนำใส่ภาชนะสอาดๆ 

 เริ่มปฏิบัติถวายแต่วันเกิดของผู้บูชา จนกว่าจะครบ ๓๒ วัน 

หรือ ครบตามอายุไขของผู้บูชาก็ได้ฯ


หมายเหตุ วิธีการ บูชาดาวนพเคราะห์ จะเหมือนกันดังที่กล่าวไว้แรกๆ


เพิ่มเติม


ประการที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องการเสริมดวงด้วยการอาบน้ำมนต์ส้มป่อย






"ส้มป่อย"

       สรรพคุณส้มป่อย

ส้มป่อยเป็นไม้พึชมงคลชนิดหนึ่งตามความเชื่อโบราณทางภาคเหนือ 

วิธีใช้ก็คือนำฝักส้มป่อยมาต้ม บ้างก็แช่กับน้ำเย็น บ้างก็เผาก่อนแช่บ้าง


พอแช่ไปซักพักน้ำส้มป่อยเริ่มจะออกสีเลืองกลิ่นหอม

แล้วนำไปทรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์และนำมาอาบ 

หรือ สระหัวสระผมบ้างตามวันพระใหญ่ฯ


ดั่งเดิมมีความชื่อถือกันว่า ในฝักส้มป่อยนั้น มีอนุภาพความศักศิทธ์

โดยไม่ต้องผ่านการสวดคาถาใดๆ เป็นน้ำมนต์ในตัวอยู่แล้วเรียบร้อย

แล้วสามารถชำระล้างสิ่งรังควาน หรือฝันร้าย ลางร้ายต่างๆนาๆ ทุกประการ


อีกทั้งยังทำให้ผู้ได้อาบน้ำมนต์ส้มป่อย แคล้วคลาดปลอดภัย

และมีโชค มีลาภ มีเมตตามหานิยม เพิ่มเสน่ห์ ค้าขายร่ำรวย ฯลฯ


      วิธีอาบ นำน้ำส้มป่อยที่แช่ได้ มาผสมกับน้ำธรรมดาเพื่อเพิ่มปริมาณให้พอ

แล้วใส่ถัง ใช้ขันตักอาบ หรืออาบเฉพาะส่วนศรีษะ

เวลาอาบให้หันหน้าไปหาทิศเทพสถิตทิศประจำของวันเกิด

คือ 


ท่านที่เกิดวัน อาทิตย์ ให้หันหน้าไปหาทิศอิสาน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือฯ


ท่านที่เกิดวัน วันจันทร์ ให้หันหน้าไปหาทิศ บูรพา ทิศตะวันออก


ท่านที่เกิดวันอังคาร ให้หันหน้าไปหาทิศ อาคเนย์ คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้


ท่านที่เกิดวัน พุธกลางวัน ให้หันหน้าไปหาทิศ ทักษิณ คือ ทิศใต้


ท่านที่เกิดวัน พุธกลางคืน ให้หันหน้าไปหาทิศ พายัพ คือ ทิศตะวันตกเชียงใต้


ท่านที่เกิดวัน พฤหัสบดี ให้หันหน้าไปหาทิศ ปัจฉิม คือ ทิศตะวันตก


ท่านที่เกิดวัน ศุกร์ ให้หันหน้าไปหาทิศ อุดร คือทิศตะวันตกเชียงเหนือ


ท่านที่เกิดวันเสาร์ ให้หันหน้าไปหาทิศ หรดี คือทิศเหนือ


       พอได้อาบแล้วน้ำมนต์ส้มป่อยแล้ว จะทำให้ผู้อาบอ่อนเพลียง่วงนอน แต่มีการแก้เคล็ดว่า

ห้ามหลับนอนกลางวัน หรือนอนทับ 


   ครั้งหนึ่ง เคยคิดสงสัย กับเรื่องน้ำมนต์ส้มป่อย

เลยถามพระอาจารย์ขึ้นว่า อาจารย์ครับคนสมัยก่อนทำไมเขาถือไม้พืชล้มลุกชนิดนี้

เป็นไม้มงคลยังไงครับ?

พระอาจารย์ตอบว่า คือโบราณจารย์เขาถือว่า


สาระพัดเกสรดอกไม้จะรวมอยู่ในน้ำผึ้ง


สาระพัดผลไม้จะรวมอยู่ในท้องลิง


สาระพัดหัวจะรวมอยู่ในท้องเม่น


สาระพัดรากไม้จะรวมอยู่ในรากส้มป่อย


แน่แท้ประการใดเป็นความเชื่อโบราณนะครับ

แม้ว่ายุคสมัยนี้จะเป็นยุคสมัยใหม่


ยุคเทคโนโลยี่ครอบครองคนสมัยใหม่ไม่ค่อยจะเชื่อถือและไม่ค่อยสืบทอด

ตำหรับตำรา บ้างก็สูญหายไปกับกาลเวลาความเชื่อถือก็ลดน้อยถอยลงไปตามๆกัน

แต่ความเชื่อส่วนตัวนั้นยังเล็งเห็นอยู่ว่าถึงกาลเวลาสมัยใหม่จะนำเรื่องใหม่ๆ

มาลบล้างสิ่งเก่าแก่สักแค่ไหน


 แต่ก็ไม่อาจลบล้างสิ่งลึกลับที่เล่าขานกันมาในอดีตได้

ผมเองเคยรักษาโรคบางอย่างที่เรียกกันว่าโรคลึกลับด้วยวิธีของความเชื่อโบราณ

โดยบังเอิญ สมัยผมยังเยาว์วัยนั้นได้มีสิ่งลึกลับบางอย่างติดตามเป็นเงาตาม

ตัวเป็นเวลานานนับสิบๆปีหาวิธีรักษาจนสาระพัดอย่าง ไม่เคยหาย

วันหนึ่งไปได้วิธีรักษาโดยบังเอิญเข้าสิ่งลึกลับนั้นได้หายไปจนทุกวันนี

แต่ความเชื่อเรื่องสิ่งลึกลับก็ยังเป็นความเชื่อ เรื่องส่วนบุคคลอยู่

นอกเสียจากพบเจอด้วยตนเองน่ะครับนี้แหละครับเหตุผลของคนบางกลุ่ม

ที่ยังยึดถือปฏิบัติเจริญรอยตามวิถีชีวิตของโบราณาจารย์...



ประการที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องการ สืบชะตาตามตำราแบบโบราณจารย์






     ยันต์เทียน มหารัตนะธีปัง 

 เทียนมหายันต์เล่มนี้  ตามโบราณาจารย์ได้จารึกไว้

โดยสืบทอดกัน รุ่นสู่รุ่น หลายชั่วอายุคน


 สรรพคุณนาๆประการ ดังจารึกไว้ในตำราโบราณนั้นว่า 

ท่านใด ได้บูชาเทียนขี้ผึ้ง มหารัตนะธีปังเล่มนี้แล้ว ชะนะโรคร้ายภายนอก 

และโรคร้ายภายใน ทุกประการ

และยังชนะมานพจนได้อีก ไม่ว่าจะเป็นมานมนุษย์ หรือว่ามานอมนุษย์ 

ที่ใครคนใดมีจิตคิดจะมาปองร้าย 


และในตำรายังได้กล่าวไว้อีกว่าว่า พลานุภาพ มหารัตนะธีปังเล่มนี้

ยังทำให้ท่านผู้บูชาชนะคดีความ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความขึ้นโรงขึ้นสาร

นาๆนับประการ


วิธีการบูชา ยกขันครู มีผลไม้และดอกไมเป็นต้น เช่น ผ้าสีขาว ผ้าสีแดง

อย่างละผืน มีข้าวสาร มะพร้าวหนึ่งลูก กล้วยสองหวี ชาแห้ง 4 กระทง 

ยาเส้น หมากพลู 4 กระทง ข้าวตรอก ดอกไม้ ธูปเทียน 


ใช้ขี้ผึ้งแท้น้ำหนักสิบบาทโดยประมาณ

ไส้เทียน สายสินไหมดิบ 108 เส้น ในยันต์ใส่อายุนามผู้บูชา และวันเกิด

ท่านใดได้บูชาแล้วมีโชคมีลาภ ปลอดภัยจากอุปศรรค ยศเลื่อน ต่ำแหน่งขึ้น

เสริมดวงเพิ่มเสน่ห์  ค้าขายร่ำรวย แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

ทุกประการและยัง เป็นที่รักของหมู่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายฯ






ยันต์เทียนขี้ผึ้ง ชื่อ มหารัตนะ

เป็นยันต์เทียนเสดาะเคราะห์ สืบชะตาหลวง และใช้ได้กับสืบชะตา บ้านเรือน

หากในบ้านเรือนอยู่ไม่เป็นสุข

มักมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในครอบครัว


และมีสิ่งรังควานต่างๆนาๆโดยเฉพาะฝันร้าย ลางร้ายปรากฏอยู่บ่อยๆ

เมื่อได้บูชายันต์สืบชะตา และ

สืบชะตาบ้านเรือนแล้วสิ่งไม่ดีทั้งหลาย หายไป ชีวิตและครอบครัวอยู่ดีมีสุข

กิจการรุ่งเรือง ค้าขายร่ำรวย

มีโชคมีลาภ เพิ่มเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ในหมู่มนุษย์ และในหมู่เทวดาทั้งหลายฯ





        ยันต์พระสิวลี มีลาภ

วิธีบูชา ยันต์พระสิวลี มีวิธีการยกขันครูต่างๆ มีผลไม้และดอกไม้ มีข้าวสาร 

ผ้าสีขาว ผ้าสีแดง อย่างละผืน มะพร้าวหนึ่งลูก กล้วยสองหวี ชาแห้ง4กระทง 

ยาเส้น หมากพลู 4กระทง ข้าวตรอก ดอกไม้ ธูปเทียน 

ยันต์พระสิวลีลงในกระดาษสา 


ปั้นขี้ผึ้งแท้ใช้น้ำหนักประมาณสิบบาท

ไส้เทียน สายสินไหมดิบ 108 เส้น ใส่อายุนามผู้บูชา

ท่านใดได้บูชาแล้วมีโชคมีลาภเหมาะสำหรับมีอาชีพค้าขาย

เปิดหน้าร้าน หรือเพื่อเรียกโชคลาภเข้ามา

และเปิดลาภที่ถูกปิดกั้นอุตตันตามแต่ความต้องการฯ


หมายเหตุ ว่าด้วยเรื่อง การสืบชะตาตามแบบแผนโบราณนี้

ไม่สามารถนำไปทำเองได้โดยลำพังฯ






Create Date : 20 กรกฎาคม 2558
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 22:35:08 น.
Counter : 2534 Pageviews.

0 comment
เรื่องลึกลับสัมพะเวสีติดตามทับร่างตอนกลางคืน


   ทักทาย   สวัสดีครับทุกคน
ยินดีที่เข้ามาอ่านข้อความนี้

วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อชะตา

แบบความเชื่อโบราณที่ท่านถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา

หลายยุคหลายสมัย หลายชั่วอายุคน ฯ

ที่แรกผมเองไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นเท่าไรนัก ที่เกี่ยวกับเรื่อง โชค ชะตา

 เคราะห์กรรม แต่อย่างใดฯ


แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่เคยคาดคิดมาก่อน 

แล้วมาเกิดกับชีวิตจริงๆตอนวัยยังเป็นเด็ก

เหตุการณ์ทุกอย่าง ยังจำได้เป็นภาพติดตาตั้งแต่สมัยวัยยังเด็ก 

ตอนยังเป็นวัยเด็กผมเองได้มีโอกาสเข้าบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อยๆ

ด้วยการบวชลูกแก้วตามประเพณีของชาวไทยใหญ่ ทางภาคเหนือ(แม่ฮ่องสอน) 

พอหลังจากได้บวชเสร็จก็อยู่ต่อเรื่อยๆไม่ได้สึกลาออกมาเหมือนเด็กคนอื่นๆเขา

เนื่องจากส่วนตัวนั้นชอบที่จะอยู่ในการอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร

อีกทั้งยังได้ศึกษาเล่าเรียนในธรรมวินัย,

และประพฤติปฏิบัติในธรรมวินัยฯ

คือได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมผู้ด่ำรงค์สืบทอดพระศาสนาฯ

ยังรู้สึกว่าการดำรงค์ในเพศบรรพชิต เป็นเพศที่ถือศีลที่บริสุทธิ์ 

ปราศจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ทำให้ความเป็นอยู่แตกต่างออกไปจากเด็กคนอื่นๆ

รู้สึกชอบในความเป็นอยู่ ณ ตอนนั้น

แต่เรื่องราวที่จะพูดถึงนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆของผม

 ตอนที่เป็นสามเณรน้อยในวัยนั้น 

คือ บ่อยครั้งผมรู้สึกมีสิ่งลึกลับบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อเปล่า

มาติดต่อและติดตามคอยรังควานใจเสมอๆ

คือสิ่งที่ว่านั้นชอบรบกวน หลอกหลอน ทำให้ขนลุกขนผอง 

ในเวลากลางค่ำกลางคืน ยามนอนหลับฯ

บ่อยครั้งนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครๆเขาฟังหลายคน

บางคนก็บอกว่าเป็นผีอำบ้างฯ บ้างก็บอกว่าสัมพะเวสีติดตามบ้างฯ 

ผีตายโหงติดตามบ้าง เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรขอส่วนบุญบ้างฯ


       ผมก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี วิธีแก้เคล็ดแก้กรรมต่อมีอะไรต่างๆ

ผมก็ทำมาหมดแล้ว ตามที่หลายๆคนแน่นำ อาการนั้นเกิดได้

ก็ต่อเมื่อนอนหลับเท่านั้นน่ะครับ

ตอนนอนหลับแล้วก็ฝันเห็นบางสิ่งบางอย่าง 

บางทีก็เห็นภาพเป็นหน้าคนบ้าง, เห็นภาพเป็นเด็กบ้าง, เห็นเป็นสิ่งดำๆบ้าง

คนยิ้มให้บ้าง,พอเห็นสิ่งเหล่านี้อาการก็เริ่มเป็นคือมีสิ่งลึกลับบางสิ่งบางอย่าง

มาทับบนร่างชนิดแบบที่ว่าดิ้นไม่หลุด


      กว่าจะหลุดรอดได้ต้องฝืนตะโกนร้องแต่เสียงออกมานั้นไม่เป็นภาษาคน

เสียงค่อนข้างน่ากลัว พอสมควร พอตื่นลุกขึ้นได้บวกกับความมืดในเวลากลางคืน

ทำให้ยิ่งน่ากลัว เยือกเย็น จับขั้วหัวใจ ยิ่งบางคืน ตอนอนคนเดียว

สิ่งที่มานอนทับแทบจะทุกคืนไม่เคยเว้น


   บางคืนสิ่งนั้นมาเล่นงานผมจนสองสามรอบ 

ก่อนมันจะมาทับร่างตัวเรานั้นรู้สึกตัวอยู่ และได้ยินเสียงบางอย่าง

ถ้าตื่นทัน รีบตื่นสิ่งนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้  แต่ถ้าตื่นไม่ทัน

มันมาเล่นงานจนกว่าจะพอใจ แล้วจึงค่อยปล่อยแล้วหายจากไปฯ


  ครั้งหนึ่ง ณ วัดทุ่งมะส้าน จ. แม่ฮ่องสอนฯ 

เหตุการณ์ตอนนั้น ผมไม่รู้จะพึ่งพาอะไรได้

เพราะว่ามันรู้สึกทรมานใจในเวลากลางค่ำกลางคืน

ที่ต้องโดนนอนทับเป็นประจำ 

พอดีวันนั้นด้านหลังพระประธานเห็นมีตะกรุตชุดใหญ่ ชุดหนึ่ง

อยู่เป็นห่อ น่าจะเป็นตะกรุตที่ญาติโยมนำมาเก็บไว้

พอผมเจอเข้าผมเลยมีความคิดว่าสิ่งนี้กระมั่งที่เป็นของดีจะปกป้องเราได้

จากภัยผู้ลึกลับ ที่ชอบมาเยี่ยมเยือนในยามค่ำคืน

คิดได้ดังนั้นแล้วก็เอาตะกรุดนั้นมาวางไว้บนหน้าอกกอนนอน 

คิดว่า เครื่อง รางของขลังคงจะช่วยอะไรได้บ้าง

แต่พอนอนหลับเข้าจริงๆ ตะกรุดไม่สามารถป้องกันได้

สิ่งนั้น ก็ยังมาทับร่างเหมือนค่ำคืนที่ผ่านๆมา

เครื่องรางของขลังก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเลิกไปเองฯ


ต่อมาอีกวันหนึ่ง มีความคิดใหม่ละทีนี้

ช่วงหัวค่ำผมได้นำเอามีดทำสวนเล่มหนึ่งลับไว้อย่างคมกรีด 

หวังว่าจะเอามีดฟันตอนมันมาในยามค่ำคืน

พอตกกลางคืน ก่อนนอนกำมีดไว้อย่างแน่น

แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับไม่มีเรี้ยวแรงที่จะกำมีดฟันเลยแม้แต่นิด

ต้องดิ้นกันอีกตามเคยจนกว่ามันปล่อย

พอมันปล่อยคิดแผนใหม่อีก

ที่นี้ผมนำเอามีดมาตั้งบนหน้าอก ตั้งใจว่าให้สิ่งนั้นมาเสียบตัวเอง

ตอนมันมานอนทับ พอกลางดึกตอนนอนหลับ มันมาทับเข้าจริงๆ 

ผมรู้สึกได้ว่า มีดไม่ได้อยู่บนหน้าอกละ จะกำมีดก็ไม่ได้อีกเช่นเคย 

คือไม่มีแรงที่จะกำคล่ายๆว่าชาไปทั้งตัว


แต่ก็ยังดิ้นตามประสา ทั้งดิ้น ทั้งร้อง เพื่อนสามเณรที่นอนข้างๆ

ก็ไม่ยอมตื่นต้องแบบว่าดิ้นสู้จนกว่ามันจะปล่อย

ใน ขณะมันจะปล่อยนั้น มีดก็วางอยู่บนฝามือ

รู้สึกได้อยู่ว่ามีดยังอยู่ พอมันปล่อยปู๊ปกำมีดจนสุดแรง ลุกขึ้นได้ก็ฟันทันที ทันไดที่ผมฟันมั่วๆนั้น

ได้ยินเสียงตินวิ่งเท่าตินเเมววิ่งลงบันไดไปในความมืด

มันเกิดขึ้นเร็วมากจากที่นอนกับบันไดน่าจะห่างกัน ประมาณสักสิบเมตรคงได้

เพราะว่าพวกผมที่เป็นสามเณรนอนกันบนศาลาใหญ่

ศาลาใหญ่ก็โล่ง จากพระประธาน โล่งหยั่นนบันได 

ไม่มีฝาผนังกั้น

แปลกตรงที่มันไวมาก วินาทีที่ผมฟันไปฟันมามั่วๆ

กับเสียงที่วิ่งลงบันไดเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

พร้อมๆกัน โดยไม่ทันมองเห็นอะไรฯ

************************

     เหตุการณ์ต่อมาเกิดอีกที่หนึ่ง เกิดขึ้น

ที่ จ.กาญจนบุรี, ที่วัดไชยชุมพลชนะสงครามฯ

คือตอนนั้นได้มีโอกาสมาศึกษาเล่าเรียนพระบาลีที่วัดแห่งนั้น

คือตอนนั้นได้มีโอกาสมาศึกษาเล่าเรียนพระบาลีที่วัดแห่งนั้น

มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่ผมนอนอยู่นั้น ผมนอนหันหน้าเข้าไปหาทางด้านฝาผนัง

ชึ่งเตียงนอนก็ติดผนังพอดี แต่ในคืนนั้นนอนไปโดยไม่ได้ปิดไฟ

นอนจนหลับ เหตุการณ์ลึกลับนั้นมาอีกตามเคย

คือมาทับร่าง ขยับตัวไม่ได้ ร้องเสียงไม่ออก 

เหมือนมีคนจับเรากดไว้ด้วยมือสองข้าง

เรี้ยวแรงเท่ากับผู้ใหญ่จับเด็กกดไว้กับฟื้นไม่ให้ดิ้น 

แต่วันนั้น ยังสามารถลืมตาได้

พอลืมตาเท่านั้น ได้มองเห็นเงาตรงฝาผนังที่หันหน้าเข้าพอดี

เงานั้นภาพเหมือนโครงกระดูก เห็นส่วนส่วนหัวกะโหลกอย่างชัด

กำลังทับอยู่บนร่างของผม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากดิ้นๆ 

จนเขาพอใจแล้วปลดปล่อยเองเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาฯ


อีกเหตุการณ์ต่อมา หลังจากได้ศึกษาพระบาลี 

ได้ย้ายมาอยู่แถวอำเภอบ้านโป่ง

วัดรับน้ำ จ. ราชบุรี เหตุการณ์มีอยู่ว่า วันหนึ่งพอตอนช่วงกลางดึก

ถึงเวลา มันต้องมาทุกคืนอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย

ครั้งนั้นช่วงที่มันทับผมดิ้นสุดขีดเท่าที่แรงมี รู้สึกว่าขัดขืนมันอย่างสุดเรี้ยวแรง

เลยที่เดียว ชนิดที่ดิ้นแบบลุกขึ้นได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นท่านั่งก้มๆเงยๆ

ถึงขนาดนั้นลุกขึ้นได้แล้วและก็ตื่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวผม

รู้สึกมีคนขี่คอ ผมดิ้นทุรนทุราย เพื่อให้สิ่งที่ขี่คอนั้นหลุด เป็นพักใหญ่ๆ

เหมือนเด็กเล่นขี่คอกันอย่างไงอย่างงั่น พอดิ้นหลุดได้ ก็รีบเปิดไฟ 

แต่ก็ไม่มีภาพอะไร แต่หูได้ยินเสียงแว่วๆ

เป็นเสียงเด็กทารกร้อง ดังมาจาก แถวละเเวกหมู่ บ้าน

ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า คงเป็นเสียงเด็กชาวบ้านเขาร้อง

ตามประสาทารกเท่านั้น แล้วก็หลับต่อ พอตอนเช้า เหตุการณ์ ก็ปกติทุกอย่าง 

ไม่เคยมีอะไรผิดปกติในเวลากลางวัน แต่อย่างใดฯ

****************************************

    ต่อมา ไม่ช้าไม่นาน ผมได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

แต่อาการที่ชอบเป็นตอนกลางคืนนั้น ก็ไม่มีท่าทีจะหายง่ายๆ

เป็นมาตั้งแต่ยังเป็นเณรน้อย จนบวชเป็นพระ ใช้ว่าเป็นพระถือศีล ปฏิบัติธรรม

 จะปราบสิ่งลึกลับได้ หาไม่เลย นอกเสียจาก ท่านจะศึกษาเล่าเรียนจากต่ำหรับต่ำรา

 ต่อจากโบราณจารย์ เท่านั้น

อีกทั้งตัวผมยังทำบุญสะเดาะเคราะห์ ด้วยวิธีการปฏิบัติต่างๆ

ตามคำแน่นำจากใครหลายๆคน แต่ไม่สามารถจะแก้ไขสิ่งลึกลับนั้นได้เลยฯ

ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสเดินทางไปชลบุรี ปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักสงฆ์ วัดเขาพริกฯ


แต่สำนักสงฆ์ที่นั้นเตียงนอนเขาค่อนข้างไม่ธรรมดาเพราะเขา

เอาฝาโลงมาสร้าง คือโลงศพที่เคยบรรจุศพแล้ว ไม่ได้เผ่าฝา เก็บฝาไว้ 

สร้างอย่างอื่นที่นำมาใช้เป็นประโยชน์ได้

เพราะว่าฝาโลง บางที่ก็ทำจากไม้อัดบ้าง ไม้จริงบ้าง

ชึ่งเป็นไม้ที่ยังนำไปใช้งานได้อยู่ เขาจึงนำฝาโลง

นำมาสร้างเป็นเตียงนอนของพระ

เพราะว่าทางวัดไม่ค่อยคิดอะไรมากหมาย

เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปฯ

มีอยู่วันหนึ่งคืนนั้นผมนอนบนเตียงนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีก่อนจะหลับ

ได้ยินเสียงแปลกๆ แว่วๆ เข้ามาในหู ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่นยังไม่หลับสนิดฯ

แต่ก็คิดว่าเราเป็นพระนักปฏิบัติสักอย่างกลัวไปทำไมเรื่องผีๆสางๆ

พอนอนได้สักพัก มาเหมือนเดิม มาอำมาทับร่างเหมือนเคย

ก็ดิ้นกันไปตามระเบียบปกติดิ้นๆจนตกเตียงทีนี้ก็เลยนอนข้างล่างฯ

คิดว่าบนเตียงมันคงทับกันง่ายมากเพราะมันเป็นเตียงที่ทำมาจากฝาโลงศพของผู้ที่ตายแล้วฯ


ต่อมาจากชลบุรีฯ ได้จาริกเดินทางไป จ. นครปฐม 

ณ วัดดอนยอ มีอีกคืนหนึ่ง คืนหนึ่งคืนนั้นช่วงนอนหลับได้ฝันเห็นเด็ก

คนหนึ่งเกาะอยู่บนต้นกระถินแล้วค่อยๆหันหน้ามายิ้มให้ 

พอฝันเห็นเท่านั้นมันมาทับร่างอีก ตื่นขึ้นมาตอนเช้า 

จำภาพเมื่อคืนนั้นติดตายังไม่หาย 

ผมรีบลงดูต้นกระถินที่อยู่หน้ากุฏิ

จุดตรงที่มันมาเกาะอยู่ มีแต่ต้นไม่เปล่า ไร้ร่องรอย

ทั้งๆที่ ไม่เคยทำกรรมเวรอันใดกับเด็กไว้เลย

แต่ภาพที่เห็นในฝันเป็นเด็กแก้ผ้าแล้วเกาะอยู่บนต้นไม้ฯ


     พออกพรรษาแล้วได้เดินทางปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ 

แต่การปฏิบัติ ของพระที่ผมปฏิบัติวันนั้น ช่วยอะไรไม่ได้กับ สิ่งลึกลับ

ที่มาหาช่วงกลางคืน แต่ที่ออกปฏิบัตินั้นก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ไขอะไรเลย

เพราะถูกติดตามมาไม่รู้กี่ปี กี่ปี จนชินกับอาการนั้น ก็ว่าได้ฯ


   อาการนั้นๆก็ไม่ได้แปลกประลาดใจ หรือสร้างความทุกข์แต่ประการใด

คือไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านอะไรมากนักฯ


บางทีก็คิดว่า เป็นเวรกรรมของเราก็แล้วกัน 

ไม่คิดแล้วที่จะทำให้อาการนั้นหาย

ไหนๆ เราก็ดำรงชีพอยู่ในเพศบรรพชิต 

ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจอยู่แล้ว พอหลังจากจาริกป่าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่เรื่อยๆ 

นั้น ก็ได้มีโอกาส กลับไปทางบ้านแถว แม่ฮ่องสอน ส่วนมากไม่เคยอยู่บ้าน 

ตั้งแต่เล็กจนโต

แต่ก็กลับมาเยี่ยมเยือนโยมแม่อยู่บ้าง 

มีอยู่คืนหนึ่ง ในบ้านโยมแม่นั้น เวลาหลับนอนกลางคืน

ก็เริ่มทำการทับร่างอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนั้น ติดตามไปมาได้ขาดนี้ 

ทั้งๆที่ข้าม จังหวัดไปๆมาๆ จากเหนือ ล่องใต้ จากใต้ขึ้นเหนือ 

ไม่ได้หลุดล่องลอยหายไปไหน แล้ว เขาจะขึ้นรถ 

ลงเรือ นั่งเครื่องไปกับเราตลอดอย่างนั้นหรื่อเปล่า

ข้อข้องใจอันนี้ ไม่สามารถไขได้ฯ


แล้วที่ถูกสิ่งลึกลับติดตามคอยทับร่าง ทับไปเพื่ออะไร?

ไม่เห็นบอกกล่าว ขอส่วนบุญแต่อย่างใด แต่ส่วนบุญส่วนกุศล

ก็ทำการกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล ให้แก่เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร 

แต่ก็ไม่มีการตอบรับส่วนบุญแต่อย่างใดฯ


คืนหนึ่ง ที่บ้านโยมแม่นั้น ตอนนอนหลับได้มีกิจกรรม สิ่งนั้นมาอีก 

ร้องไม่ค่อยจะเป็นภาษาคนยังที่กล่าว พูดได้ว่าบ้านใกล้เรือนเคียงตื่นกันทั่วหน้าฯ

คืนนั้นโยมแม่นอนอยู่โรงครัว คือโรงครัวเป็นอีกบ้านหลังหนึ่งบ้านหลังเล็กๆ

ที่ติดกับบ้านหลังใหญ่

โยมแม่ได้ยินจนตื่น บ้านใกล้เรือนเคียงก็ถามกัน ใครเป็นอะไรยังไง

เพราะส่วนมากตอนผมเป็นพระไม่ค่อยได้จำวัดทางบ้านอยู่แล้ว 

โยมแม่ก็ขึ้นมาที่บ้านหลังใหญ่มานั่งเฝ้า จนหลับ 

เช้าขึ้นมา ต่างก็ถามเรืองราวที่นอนร้องเอะอะเสียงดัง

เรื่องราว ไปยังไง มายังไง ก็บอกเล่าไปตามเหตุการณ์ปกติ

พูดได้ว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้นฯ


แล้วคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้ได้ว่ามีวิธีแก้ วิธีรักษา 

และอีกอย่างก็ไม่ได้เอาใจใส่ อะไรมาก

คิดได้เหมือนเดิมว่า เป็นเรื่องปกติฯ


ต่อมา ก็ไปๆมาๆ ปกติแล้ว เป็นคนชอบปฏิบัติ มักน้อยสันโดษ ชอบสงัด

และเป็นคนชอบนั่งสมาธินานปฏิปทาเดินป่าเดินเขาธุดงค์ไปเรื่อยๆ

ตามประสาพระนักปฏิบัติธุดงค์ด้วยกันหลายๆองค์เป็นเวลาหลายปี

เรียกได้ว่าเที่ยวแบบพระ คือการเดินธุดงค์ไปทุกภาคแทบทั่วประเทศไทย

พระนักปฏิบัติส่วนมากได้มีโอกาสเที่ยวทั่วมากเลยนะครับ ภจนภัยหลายๆที่

ยิ่งบวชนาน ยิ่งเที่ยวทั่ว ได้ไปหลายที่ หลายป่า หลายเขา หลายลำเนาไพร

พระส่วนมากไม่ค่อยได้เที่ยว ในเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย


หรือสถานท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อกับงจังหวัด แต่เป็นการเดินป่ามากกว่า 

เพราะพระนักธุดงค์เขาเตรียมพร้อม ทั้งเครื่องมุ่งห่มไว้กางกันแดดกันฝนคือ 

กลดธุดงค์ ค่ำที่ไหนก็ปักที่นั้น ไม่ว่าที่นั้นจะเป็นป่าเป็นเขา แม้กระทั้งป่าช้า 

ไม่เลือกสถานที่ แต่ก็ไม่ห่างปราศจากหมู่บ้านคนในละเเวกใกล้ๆแถวๆนั้น 

ก็เพื่อที่เข้าบิณฑบาตเพื่อเลี้ยงชีพต่อไปได้ฯ


หลังๆจากได้เที่ยวเตร่เดินป่าอยู่เป็นเวลาค่อนข้างแรมปี

จนมาวันหนึ่งมีได้โอกาสได้แวะวกวน กลับทางมาหาสู่ทางบ้านอีกรอบ

 แต่คราวนี้ไม่ได้จำวัดที่บ้าน จึงได้ไปจำวัดที่วัดแห่งหนึ่งแถว 

อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนฯ

เพราะว่ามีความสะนิดสนมกับเจ้าอาวาสวัดหนึ่งเป็นการส่วนตัวพอสมควร

มักจะออกเดินทางไปโน้นไปนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ

+++++++++++++++++++++

เหตุการณ์ของผมก็คือ เวลาจำวัดนอนที่ไหน ทีไร

จนทำให้เจ้าอาวาสต้องสะดุ้งตื่นช่วงตอนกลางตลอดทุกคืน 

เพราะสิ่งที่ว่านั้นมาทำกิจวัตประจำ คือมาทับร่างกลางคืนตอนนอนหลับ

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเจ้าอาวาสยังนอนไม่หลับ

แต่ผมกับพวกเณรนอนหลับกันพอสิ่งนั้นมาทับผมดิ้นและร้องตามเคย

แต่เจ้าอาวาสก็นิ่งเฉย 

ที่ผมนอนละเมอร้องเพราะเป็นปกติของผมอยู่แล้ว 

แต่บางที่ก็ร้องหาคนมาช่วยแต่เขาบอกว่าฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

คือร้องไม่ค่อยออกภาษาคนร้องธรรมดา

เกิดขึ้นอีกคืนนั้นรู้สึกว่าตอนสิ่งนั้นกำลังทับร่างอยู่นั้นผมดิ้นถีบอย่างจริงๆจังๆ

 คือว่า ถีบจนถีบโดนเข้าพูดได้เลยว่า ถีบโดนช่วงหน้าท้องรู้สึกนิ้มๆ เหมือนถีบหน้าท้องคนยังไงยังงั่นฯ


แล้วเขาก็ปล่อยเพราะถีบเข้าอย่างแรง อีกอย่างถ้าหากเขาจะมาอีกรอบ

จะมีความรู้สึกได้ หรือได้ยินเสียแปลกๆ แต่ถ้าไม่มาแล้วก็หลับต่อได้สบายๆ

ช่วงนั้น ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงใกล้ มหาสงกรานต์ หรือวันปีใหม่เมืองฯ

ท่านเจ้าอาวาสพูดขึ้นมาว่าท่านจะตั้งขันครูเนื่องในวันปีใหม่เมือง

เพื่อจะจุดเทียนชัย สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมดวง และก็สักหาญแดง 

หรือ (หมึกแดง)สูตรมหาเสน่ห์

 ณ ตอนนั้นพรรษาของผมที่เป็นพระตอนนั้นน่าจะได้ที่สองที่สามแล้ว 

ติดตามกันมาตั้งแต่ไหนก็ไม่รู้จำได้ว่าตั้งแต่เป็นสามเณรน้อยเท่านั้น 

พอถึงวันมหาสงกรานต์หรือ หรือ (ปีใหม่เมือง)

ตอนนั้น เจ้าอาวาส ก็ทำการ ยกครู บูชา สักการะ ตามวิถีประเพณี 

ของครูบาอาจารย์ของท่านฯ


และทำการสัก ที่เป็นสูตรมหาเสน่ห์ที่เป็นหมึกสีแดงๆ หรือ (สักน้ำมันแดง)

ตามวิถีโบราณของชาวไทยใหญ่การสัก ของท่าน สักเป็นจุดๆบ้างฯ 

ตั้งแต่ช่วงหน้าท้องขึ้นบน ตอนนั้นหมู่วัยรุ่นชายหนุ่มหญิงสาวในหมูบ้าน

ก็พากันมาสักกันเยอะแยะ เพราะถือว่า สักมหาเสน่ห์ช่วงวันมหาสงกรานต์

(ปีใหม่เมือง) เป็นวันมหามงคลอันยิ่งใหญ่ในรอบหนึ่งปีเท่านั้น ว่ากันไป

ตามความเชื่อโบราณจารย์ที่ได้บันทึกไว้ในตำหรับตำรา 

ที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่สืบทอดตำหรับตำราวิชาอาคมฯ


ก็เลยมีการยึดถือปฏิบัติกันมาเป็นทอดๆ

วันนั้นท่านก็เริ่มการสักสีแดง ชึ่งชาวไทยใหญ่เรียกกันว่า(หานแดง)

คือหมึกแดงหรือ(น้ำมันแดง) รวมทั้งสูตรผสมว่านมหาเสน่ห์ 

ว่านมหาเศรษฐี ว่านมหาอุตม์อยู่ยงคงกระพัน ว่านไก่ขัน ว่านแดง 

ว่านสาวหลง หว่าสาวฮุม ว่านไก่งอม ว่านไก่ขัน หลายๆว่าน

เหลือเกินจนผมนับไม่ได้ และมีอีกหนึ่งประการที่สำคัญ 

คือ น้ำเหล็กไหลท่านว่าอย่างนั้น อีกหลายๆอย่าง บ้างก็เป็นรากไม้, 

บ้างก็เป็นหัว, บ้างก็เป็นใบ, เป็นแก่นไม้บ้าง, แก่นจันทร์แดง, 

แก่นจันทร์เผือกบ้าง,แล้ว นำมาลับมาฝน ใส่ร่วมกันในถ้วยเล็กๆ 

รวมทั้ง(หานแดง) 


ท่านเรียกว่าเป็นการผสมสูตรมหาเสน่ห์ ว่านมงคลตามสูตรโบราณฯ

อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจนน่าหลงไหลเลยทีเดียว จากนั้นท่านก็เริ่มสักให้ผม

เป็นคนแรก เริ่มแรกเลยทานสักที่กระหม่อม แล้วลงมาตามคิ้ว จึกทีสองที 

ลงมาเรื่อย ตามหนวดบ้างตามลิ้นบ้าง ตามคางบ้างฯ ลงมาตามไหล่ฯ

ตามข้อแขนฯ ตามข้อสอก ตามหน้าอก เป็นจุดทีสองที ทั่วทั้งร่าง

ในท่อนบน ชึ่งผมก็ดีใจที่ได้สักมหาเสน่ห์กะเขาบ้างฯ 


แถมผมยังเป็นลูกมือของท่านพระอาจารย์เจ้าอาวาสด้วย 

คือท่านให้ผมช่วยกันสักพวกชายหนุ่มหจึกทีสองทีตามแบบที่ท่านสักให้ผม 

เข็มที่ใช้สักเป็นเข็มทำมาจากทองเหลืองปลายแหลมสี่แฉก ที่เรียกว่า(ส่าม)

เป็นคำเรียกใน ภาษาไทยใหญ่ พอสักคนหนึ่งเสร็จก็มี การชุบใส่ในหม้อน้ำ

ที่กำลังต้มเดือดอยู่ท่านว่าเป็นการฆ่าเชื้อ กลัวมีเชื้อติดต่อกันว่ากันไปตามนั้นฯ

พอคืนวันผ่านไป รุ่งอรุณขึ้นอีกวัน ช่วงตอนที่กำลังนั่งฉันเช้ากันอยู่นั้น จู่ๆ 

ท่านเจ้าอาวาสพระอาจารย์ ก็พูดกับผมขึ้นมาว่า

     เอ๊ะ อาการนอนละเมอร้องของท่านไม่ได้ยินอีกเลยน่ะเมื่อคืนฯ

ชึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ติดใจอะไรมากมายไม่ได้คิดเลยว่าที่สักไปนั้นเป็นไสยศาสตร์เวทมนต์ฯ

หรือแก้ได้อะไรต่ออะไรแต่อย่างใด พอนานวันๆเข้า ก็เริ่มสังเกตเห็นได้ว่า

สิ่งลึกลับนั้นไม่กลับมาทับร่างอีกแล้ว เริ่มหายตั้งแต่สักวันแรก

จนทุกวันนี้เฝ้าดูอาการอยู่ แต่ก็นานจริงๆที่ไม่มาอีก ทุกวันนี้

ใครเขาจะพูดเรื่องผีเรื่องสางที่ไหน ไม่รู้สึกสะทกสะท้านในใจ

และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แล้วก็ไม่เคยเจอเรื่องผีเรื่องสางหลอกหลอน

อีกเลย บ่อยครั้งก่อนหน้านั้นชึ่งเคยมีเป็นเรื่องปกติ๚


นั่นอาจหมายถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์เวทย์มนต์ที่ผมได้สักมหาเสน่ห์

ตามความเชื่อโบราณเมื่อวันนั้น สิ่งที่มาหลอกหลอน ทับร่าง

เสียงโน้นนี้นั้นที่เคยเป็นมาตั้งกะยังวัยเยาว์ กับสิ่งลึกลับนั้นได้หายไปไร้ร่องรอย

และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันมีที่ไปที่มาอย่างไร แม้แต่กระทั้งตัวผมเองยังสงสัย?

ฯโปรดใช้วิจารณญาณ นะครับฯ

 ขออภัยข้อความไม่สละสลวย

 สวัสดีครับ





Create Date : 19 กรกฎาคม 2558
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 22:25:43 น.
Counter : 1084 Pageviews.

0 comment
ได้วิธีแกะเส้นกระดูกทับเส้นประสาทปวดหลังช่วงเอว
  โรคปวดหลัง 
เข้าใจว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์
โครงกระดูก และเส้นเอ็น หรือเกิดจากการทำงานหนัก
กินอาหารแสลงเป็นต้น

แต่สำหรับโรคปวดหลังของผมเป็นอยู่ข้างเดียว
ส่วนมากจะปวดอยู่ที่บริเวณช่วงปีกข้างขวา
แล้วปวดลงไปช่วงเอว และลงตามท้องแขนถึงข้อสอก
กิริยาท่าทางที่ทำให้โรคนี้ กำเริบ สังเกตเห็นได้ว่า
เกิดจาก การนั่งรถนานๆ หรือทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องเหวี่ยงบ้าง
ยื่นมือไม่ถึงบ้าง

เวลาเส้นตึงขึ้นมา ผมรู้สึกเลยว่าไม่สบายกายอย่างมาก
เจ็บๆปวดๆพูดได้เลยว่า อยู่กับความเจ็บปวด
มานานจนกลายเป็นว่าชินกับอาการนั้น

ย้อนเวลากลับไป เกือบยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่ผมยังบวช
เป็นสามเณร อยู่ที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ จ. แม่ฮ่องสอน
ได้ไปนวดกับหมอนวดท่านหนึ่ง ชึ่งเป็นที่รู้จักของคนแถวนั้นเป็นอย่างดี
ใครต่อใครหลายคนมานวดแล้วไม่เคยที่จะผิดหวัง

เวลาหมอเขานวด จะให้คนไข้นอนตะแค็ง หมอก็นั่งด้านหลัง
ใช้ไม้ที่เป็นเครื่องมือแกะเส้น คือลักษณะของไม้
ทำจากแก่นไม้ มีด้ามจับ ส่วนปลาย แหลมถู้ ผู้มานวด จึงไม่รู้สึกเจ็บรอย

แล้วก็ใช้ไม้ แกะขึ้นแกะลง ช่วงหลังจนถึงช่วงขา
ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ หมอเป็นคนใจเย็นมาก
ทั้งๆที่ไม่คิดค่านวดเป็นชั่วโมง หรือต่อคน ขั้นต่ำต้องเท่าไหร่

เวลาผมมาใช้บิการ ผมยังชอบถามหมอด้วยว่า
หมอครับ เวลานวดให้คนอื่นอย่างนี้นานๆไม่เมื่อยเหรอครับ
หมอตอบว่าไม่หรอก แต่เวลาหมอไม่ได้นวดคน แล้วตัวหมอจะปวดเมื่อย

เพราะอะไรหรอครับ ผมถาม หมอ เพราะว่าหมอมีครู
ที่สืบทอดจากการถ่ายทอดวิชาของอาจารย์

ผมยังถามต่อไปอีกว่า ถ้าผมอยากรับครูสืบทอดต่อจาก
หมอพอจะได้ไมครับ หมอ ได้สิ
แต่ต้องนวดให้เป็นแกะเส้นให้ถูกก่อน

แต่ผมเกรงว่า พอรับครูสืบทอดวิชาไปแล้ว ไม่ได้นวดคน
จะปวดเมือยซะเองอะครับ

พอหมอแกะเส้นจับเส้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นก็มีการล้างมือหมอ คือตักน้ำใส่ขันแล้วรดมือ
ทางหมอเขาก็มีการบ่นให้พร ให้โรคภัยไข้เจ็บไหลไปตามน้ำ
แล้วจึงให้ค่านวดตามแต่กำลัง

ชึ่งทางหมอเขาก็ไม่ได้กำหนดราคาค่านวดแต่อย่างใด
แต่ผมเองคิดว่า วิชาโบราณที่สืบกันเป็นทอดทอด
ทำด้วยใจ เพื่อบุญกุศลเสียมากกว่า
ก็คนที่มาใช้บริการส่วนมากให้ด้วยน้ำจิตรน้ำใจ 
คือบอกว่า ให้ค่าหมาก ค่าพลู ค่าบู่หรี่ยาเส้นน่ะ

แต่บางเจ้า ยังไม่ได้ให้ค่าตอบแทนตอนนั้น 
กว่าเขาจะมาก็อีกที ้เช่น วันพระใหญ่ ค่อยตระเตรียมน้ำส้มป่อย
มาล้างมือหมอ ค่าครูก็ค่อนข้างจัดหนักตามกำลังแรงศรัทธา

หลังจากผมไปนวดเมื่อต้องปวดหลังอยู่บ่อยๆ
แต่อย่างว่า นวดแล้วหาย พอนานวันเข้าก็กลับมาอีกเหมือนเดิม
ไม่กี่ปีต่อมา ผมยังไม่ทันรับครูจากหมอ หมอก็หมดบุญเสียก่อน

เวลาปวดหลัง ผมได้แต่นึกถึงหมอท่านนั้นเป็นประจำ
ในเมื่อไม่มีหมอให้แกะเส้นเเล้ว จำเป็นที่ต้องทำเอง
เวลามีอาการปวดหลัง ผมก็เริ่มทำเองบ้าง
ทำแบบที่หมอเคยแน่นำ และผมยังหา
เครื่องมือที่เป็นก้อนหินที่มีลักษณะปลายแหลมๆ
หรือบางทีก็ใช้ไฟแช็ก ใช้เป็นเครื่องมือประกอบในการแกะเส้นอีกด้วย

แล้วก็เรียนรู้โรคตัวเอง ที่เขาเรียกกันว่า กระดูกทับเส้น
จนเริ่มเข้าใจ และทำได้ขึ้นเรื่อยๆ
พอหลังจากจับเส้นตัวเองได้บ้าง
แล้วก็เริ่มทำให้คนอื่นๆ ในหมู่ เพื่อนๆ คนใกล้ชิด

แต่ทำให้คนอื่นนั้นอยากกว่าเยอะ
เพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกอาการด้วยตนเอง
จึงต้องให้คนที่ถูกนวดคอยบอก ว่าจุดอยู่ตรงไหน
ตรงไหนที่เราไปจี้โดนตรงจุด

เส้นตรงเอว ที่ว่ากระดูกทับเส้นประสาทนั้น
พอผมทำให้คนอื่น ทำยากมาก เพราะว่าเส้นเล็กนิดเดียวแล้วก็ลึก
ชิดกระดูกสันหลังเลยก็ว่าได้

จนมาวันหนึ่ง แล้วมาได้เครื่องมือที่จะแกะเส้น
กระดูกทับเส้นประสาทนั้น คือ หวี 




ตรงด้ามของหวี
เหมาะเจาะกับเส้นประสาทที่อยู่ลึก เช่นเส้นเอว อีกทั้งเนื้อในบริเวรนั้นค่องข้างหนา
จึงเป็นเหตุยากต่อการนวดหรือว่า จับเส้น เป็นจุดที่รักษายากสำหรับหมอจับเส้น

พอผมมีวิธีใช้หวีกับการแกะเส้น เมื่อได้แกะเส้นให้เขาหาย ก็ดีใจรู้สึกเหมือนได้ทำบุญ
ที่ได้ทำให้คนอื่นหายเจ็บหายป่วยได้บ้างฯ
ยี่สิบปีคงใกล้จะได้ ตั้งกะเคยนวดกับหมอวันนั้น
แล้วไม่เคยได้นวดกับหมอท่านอื่นอีกเลยตั้งแต่มีวิธีแก้ด้วยตนเอง
ผมเริ้มเป็นโรคปวดหลัง จำได้ว่า ตั้งแต่อายุยังน้อยน้อย
พอมีวิธีแก้ ก็ทำให้อยู่ได้จนทุกวันนี้ฯ





Create Date : 17 ธันวาคม 2553
Last Update : 26 กรกฎาคม 2558 10:51:29 น.
Counter : 2590 Pageviews.

0 comment
เรื่องลึกลับสัมพะเวสีผีอัมตอนนอนหลับ

.     





ทักทาย สวัสดีครับทุกคน

ยินดีที่เข้ามาอ่านข้อความนี้

วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อชะตา

แบบความเชื่อโบราณที่ท่านถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา

หลายยุคหลายสมัย หลายชั่วอายุคน ฯ

ที่แรกผมเองไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นเท่าไรนัก ที่เกี่ยวกับเรื่อง โชค ชะตา

 เคราะห์กรรม แต่อย่างใดฯ


แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่เคยคาดคิดมาก่อน 

แล้วมาเกิดกับชีวิตจริงๆตอนวัยยังเป็นเด็ก

เหตุการณ์ทุกอย่าง ยังจำได้เป็นภาพติดตาตั้งแต่สมัยวัยยังเด็ก 

ตอนยังเป็นวัยเด็กผมเองได้มีโอกาสเข้าบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อยๆ

ด้วยการบวชลูกแก้วตามประเพณีของชาวไทยใหญ่ ทางภาคเหนือ(แม่ฮ่องสอน) 

พอหลังจากได้บวชเสร็จก็อยู่ต่อเรื่อยๆไม่ได้สึกลาออกมาเหมือนเด็กคนอื่นๆเขา

เนื่องจากส่วนตัวนั้นชอบที่จะอยู่ในการอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร

อีกทั้งยังได้ศึกษาเล่าเรียนในธรรมวินัย,

และประพฤติปฏิบัติในธรรมวินัยฯ

คือได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมผู้ด่ำรงค์สืบทอดพระศาสนาฯ

ยังรู้สึกว่าการดำรงค์ในเพศบรรพชิต เป็นเพศที่ถือศีลที่บริสุทธิ์ 

ปราศจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ทำให้ความเป็นอยู่แตกต่างออกไปจากเด็กคนอื่นๆ

รู้สึกชอบในความเป็นอยู่ ณ ตอนนั้น

แต่เรื่องราวที่จะพูดถึงนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆของผม

 ตอนที่เป็นสามเณรน้อยในวัยนั้น 

คือ บ่อยครั้งผมรู้สึกมีสิ่งลึกลับบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อเปล่า

มาติดต่อและติดตามคอยรังควานใจเสมอๆ

คือสิ่งที่ว่านั้นชอบรบกวน หลอกหลอน ทำให้ขนลุกขนผอง 

ในเวลากลางค่ำกลางคืน ยามนอนหลับฯ

บ่อยครั้งนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครๆเขาฟังหลายคน

บางคนก็บอกว่าเป็นผีอำบ้างฯ บ้างก็บอกว่าสัมพะเวสีติดตามบ้างฯ 

ผีตายโหงติดตามบ้าง เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรขอส่วนบุญบ้างฯ


       ผมก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี วิธีแก้เคล็ดแก้กรรมต่อมีอะไรต่างๆ

ผมก็ทำมาหมดแล้ว ตามที่หลายๆคนแน่นำ อาการนั้นเกิดได้

ก็ต่อเมื่อนอนหลับเท่านั้นน่ะครับ

ตอนนอนหลับแล้วก็ฝันเห็นบางสิ่งบางอย่าง 

บางทีก็เห็นภาพเป็นหน้าคนบ้าง, เห็นภาพเป็นเด็กบ้าง, เห็นเป็นสิ่งดำๆบ้าง

คนยิ้มให้บ้าง,พอเห็นสิ่งเหล่านี้อาการก็เริ่มเป็นคือมีสิ่งลึกลับบางสิ่งบางอย่าง

มาทับบนร่างชนิดแบบที่ว่าดิ้นไม่หลุด


      กว่าจะหลุดรอดได้ต้องฝืนตะโกนร้องแต่เสียงออกมานั้นไม่เป็นภาษาคน

เสียงค่อนข้างน่ากลัว พอสมควร พอตื่นลุกขึ้นได้บวกกับความมืดในเวลากลางคืน

ทำให้ยิ่งน่ากลัว เยือกเย็น จับขั้วหัวใจ ยิ่งบางคืน ตอนอนคนเดียว

สิ่งที่มานอนทับแทบจะทุกคืนไม่เคยเว้น


   บางคืนสิ่งนั้นมาเล่นงานผมจนสองสามรอบ 

ก่อนมันจะมาทับร่างตัวเรานั้นรู้สึกตัวอยู่ และได้ยินเสียงบางอย่าง

ถ้าตื่นทัน รีบตื่นสิ่งนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้  แต่ถ้าตื่นไม่ทัน

มันมาเล่นงานจนกว่าจะพอใจ แล้วจึงค่อยปล่อยแล้วหายจากไปฯ


  ครั้งหนึ่ง ณ วัดทุ่งมะส้าน จ. แม่ฮ่องสอนฯ 

เหตุการณ์ตอนนั้น ผมไม่รู้จะพึ่งพาอะไรได้

เพราะว่ามันรู้สึกทรมานใจในเวลากลางค่ำกลางคืน

ที่ต้องโดนนอนทับเป็นประจำ 

พอดีวันนั้นด้านหลังพระประธานเห็นมีตะกรุตชุดใหญ่ ชุดหนึ่ง

อยู่เป็นห่อ น่าจะเป็นตะกรุตที่ญาติโยมนำมาเก็บไว้

พอผมเจอเข้าผมเลยมีความคิดว่าสิ่งนี้กระมั่งที่เป็นของดีจะปกป้องเราได้

จากภัยผู้ลึกลับ ที่ชอบมาเยี่ยมเยือนในยามค่ำคืน

คิดได้ดังนั้นแล้วก็เอาตะกรุดนั้นมาวางไว้บนหน้าอกกอนนอน 

คิดว่า เครื่อง รางของขลังคงจะช่วยอะไรได้บ้าง

แต่พอนอนหลับเข้าจริงๆ ตะกรุดไม่สามารถป้องกันได้

สิ่งนั้น ก็ยังมาทับร่างเหมือนค่ำคืนที่ผ่านๆมา

เครื่องรางของขลังก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเลิกไปเองฯ


ต่อมาอีกวันหนึ่ง มีความคิดใหม่ละทีนี้

ช่วงหัวค่ำผมได้นำเอามีดทำสวนเล่มหนึ่งลับไว้อย่างคมกรีด 

หวังว่าจะเอามีดฟันตอนมันมาในยามค่ำคืน

พอตกกลางคืน ก่อนนอนกำมีดไว้อย่างแน่น

แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับไม่มีเรี้ยวแรงที่จะกำมีดฟันเลยแม้แต่นิด

ต้องดิ้นกันอีกตามเคยจนกว่ามันปล่อย

พอมันปล่อยคิดแผนใหม่อีก

ที่นี้ผมนำเอามีดมาตั้งบนหน้าอก ตั้งใจว่าให้สิ่งนั้นมาเสียบตัวเอง

ตอนมันมานอนทับ พอกลางดึกตอนนอนหลับ มันมาทับเข้าจริงๆ 

ผมรู้สึกได้ว่า มีดไม่ได้อยู่บนหน้าอกละ จะกำมีดก็ไม่ได้อีกเช่นเคย 

คือไม่มีแรงที่จะกำคล่ายๆว่าชาไปทั้งตัว


แต่ก็ยังดิ้นตามประสา ทั้งดิ้น ทั้งร้อง เพื่อนสามเณรที่นอนข้างๆ

ก็ไม่ยอมตื่นต้องแบบว่าดิ้นสู้จนกว่ามันจะปล่อย

ใน ขณะมันจะปล่อยนั้น มีดก็วางอยู่บนฝามือ

รู้สึกได้อยู่ว่ามีดยังอยู่ พอมันปล่อยปู๊ปกำมีดจนสุดแรง ลุกขึ้นได้ก็ฟันทันที ทันไดที่ผมฟันมั่วๆนั้น

ได้ยินเสียงตินวิ่งเท่าตินเเมววิ่งลงบันไดไปในความมืด

มันเกิดขึ้นเร็วมากจากที่นอนกับบันไดน่าจะห่างกัน ประมาณสักสิบเมตรคงได้

เพราะว่าพวกผมที่เป็นสามเณรนอนกันบนศาลาใหญ่

ศาลาใหญ่ก็โล่ง จากพระประธาน โล่งหยั่นนบันได 

ไม่มีฝาผนังกั้น

แปลกตรงที่มันไวมาก วินาทีที่ผมฟันไปฟันมามั่วๆ

กับเสียงที่วิ่งลงบันไดเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

พร้อมๆกัน โดยไม่ทันมองเห็นอะไรฯ

++++++++++++++++++++++++++++

     เหตุการณ์ต่อมาเกิดอีกที่หนึ่ง เกิดขึ้น

ที่ จ.กาญจนบุรี, ที่วัดไชยชุมพลชนะสงครามฯ

คือตอนนั้นได้มีโอกาสมาศึกษาเล่าเรียนพระบาลีที่วัดแห่งนั้น

คือตอนนั้นได้มีโอกาสมาศึกษาเล่าเรียนพระบาลีที่วัดแห่งนั้น

มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่ผมนอนอยู่นั้น ผมนอนหันหน้าเข้าไปหาทางด้านฝาผนัง

ชึ่งเตียงนอนก็ติดผนังพอดี แต่ในคืนนั้นนอนไปโดยไม่ได้ปิดไฟ

นอนจนหลับ เหตุการณ์ลึกลับนั้นมาอีกตามเคย

คือมาทับร่าง ขยับตัวไม่ได้ ร้องเสียงไม่ออก 

เหมือนมีคนจับเรากดไว้ด้วยมือสองข้าง

เรี้ยวแรงเท่ากับผู้ใหญ่จับเด็กกดไว้กับฟื้นไม่ให้ดิ้น 

แต่วันนั้น ยังสามารถลืมตาได้

พอลืมตาเท่านั้น ได้มองเห็นเงาตรงฝาผนังที่หันหน้าเข้าพอดี

เงานั้นภาพเหมือนโครงกระดูก เห็นส่วนส่วนหัวกะโหลกอย่างชัด

กำลังทับอยู่บนร่างของผม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากดิ้นๆ 

จนเขาพอใจแล้วปลดปล่อยเองเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาฯ


อีกเหตุการณ์ต่อมา หลังจากได้ศึกษาพระบาลี 

ได้ย้ายมาอยู่แถวอำเภอบ้านโป่ง

วัดรับน้ำ จ. ราชบุรี เหตุการณ์มีอยู่ว่า วันหนึ่งพอตอนช่วงกลางดึก

ถึงเวลา มันต้องมาทุกคืนอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย

ครั้งนั้นช่วงที่มันทับผมดิ้นสุดขีดเท่าที่แรงมี รู้สึกว่าขัดขืนมันอย่างสุดเรี้ยวแรง

เลยที่เดียว ชนิดที่ดิ้นแบบลุกขึ้นได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นท่านั่งก้มๆเงยๆ

ถึงขนาดนั้นลุกขึ้นได้แล้วและก็ตื่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวผม

รู้สึกมีคนขี่คอ ผมดิ้นทุรนทุราย เพื่อให้สิ่งที่ขี่คอนั้นหลุด เป็นพักใหญ่ๆ

เหมือนเด็กเล่นขี่คอกันอย่างไงอย่างงั่น พอดิ้นหลุดได้ ก็รีบเปิดไฟ 

แต่ก็ไม่มีภาพอะไร แต่หูได้ยินเสียงแว่วๆ

เป็นเสียงเด็กทารกร้อง ดังมาจาก แถวละเเวกหมู่ บ้าน

ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่า คงเป็นเสียงเด็กชาวบ้านเขาร้อง

ตามประสาทารกเท่านั้น แล้วก็หลับต่อ พอตอนเช้า เหตุการณ์ ก็ปกติทุกอย่าง 

ไม่เคยมีอะไรผิดปกติในเวลากลางวัน แต่อย่างใดฯ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ต่อมา ไม่ช้าไม่นาน ผมได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

แต่อาการที่ชอบเป็นตอนกลางคืนนั้น ก็ไม่มีท่าทีจะหายง่ายๆ

เป็นมาตั้งแต่ยังเป็นเณรน้อย จนบวชเป็นพระ ใช้ว่าเป็นพระถือศีล ปฏิบัติธรรม

 จะปราบสิ่งลึกลับได้ หาไม่เลย นอกเสียจาก ท่านจะศึกษาเล่าเรียนจากต่ำหรับต่ำรา

 ต่อจากโบราณจารย์ เท่านั้น

อีกทั้งตัวผมยังทำบุญสะเดาะเคราะห์ ด้วยวิธีการปฏิบัติต่างๆ

ตามคำแน่นำจากใครหลายๆคน แต่ไม่สามารถจะแก้ไขสิ่งลึกลับนั้นได้เลยฯ

ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสเดินทางไปชลบุรี ปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักสงฆ์ วัดเขาพริกฯ


แต่สำนักสงฆ์ที่นั้นเตียงนอนเขาค่อนข้างไม่ธรรมดาเพราะเขา

เอาฝาโลงมาสร้าง คือโลงศพที่เคยบรรจุศพแล้ว ไม่ได้เผ่าฝา เก็บฝาไว้ 

สร้างอย่างอื่นที่นำมาใช้เป็นประโยชน์ได้

เพราะว่าฝาโลง บางที่ก็ทำจากไม้อัดบ้าง ไม้จริงบ้าง

ชึ่งเป็นไม้ที่ยังนำไปใช้งานได้อยู่ เขาจึงนำฝาโลง

นำมาสร้างเป็นเตียงนอนของพระ

เพราะว่าทางวัดไม่ค่อยคิดอะไรมากหมาย

เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปฯ

มีอยู่วันหนึ่งคืนนั้นผมนอนบนเตียงนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีก่อนจะหลับ

ได้ยินเสียงแปลกๆ แว่วๆ เข้ามาในหู ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่นยังไม่หลับสนิดฯ

แต่ก็คิดว่าเราเป็นพระนักปฏิบัติสักอย่างกลัวไปทำไมเรื่องผีๆสางๆ

พอนอนได้สักพัก มาเหมือนเดิม มาอำมาทับร่างเหมือนเคย

ก็ดิ้นกันไปตามระเบียบปกติดิ้นๆจนตกเตียงทีนี้ก็เลยนอนข้างล่างฯ

คิดว่าบนเตียงมันคงทับกันง่ายมากเพราะมันเป็นเตียงที่ทำมาจากฝาโลงศพของผู้ที่ตายแล้วฯ


ต่อมาจากชลบุรีฯ ได้จาริกเดินทางไป จ. นครปฐม 

ณ วัดดอนยอ มีอีกคืนหนึ่ง คืนหนึ่งคืนนั้นช่วงนอนหลับได้ฝันเห็นเด็ก

คนหนึ่งเกาะอยู่บนต้นกระถินแล้วค่อยๆหันหน้ามายิ้มให้ 

พอฝันเห็นเท่านั้นมันมาทับร่างอีก ตื่นขึ้นมาตอนเช้า 

จำภาพเมื่อคืนนั้นติดตายังไม่หาย 

ผมรีบลงดูต้นกระถินที่อยู่หน้ากุฏิ

จุดตรงที่มันมาเกาะอยู่ มีแต่ต้นไม่เปล่า ไร้ร่องรอย

ทั้งๆที่ ไม่เคยทำกรรมเวรอันใดกับเด็กไว้เลย

แต่ภาพที่เห็นในฝันเป็นเด็กแก้ผ้าแล้วเกาะอยู่บนต้นไม้ฯ


     พออกพรรษาแล้วได้เดินทางปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ 

แต่การปฏิบัติ ของพระที่ผมปฏิบัติวันนั้น ช่วยอะไรไม่ได้กับ สิ่งลึกลับ

ที่มาหาช่วงกลางคืน แต่ที่ออกปฏิบัตินั้นก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ไขอะไรเลย

เพราะถูกติดตามมาไม่รู้กี่ปี กี่ปี จนชินกับอาการนั้น ก็ว่าได้ฯ


   อาการนั้นๆก็ไม่ได้แปลกประลาดใจ หรือสร้างความทุกข์แต่ประการใด

คือไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านอะไรมากนักฯ


บางทีก็คิดว่า เป็นเวรกรรมของเราก็แล้วกัน 

ไม่คิดแล้วที่จะทำให้อาการนั้นหาย

ไหนๆ เราก็ดำรงชีพอยู่ในเพศบรรพชิต 

ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจอยู่แล้ว พอหลังจากจาริกป่าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่เรื่อยๆ 

นั้น ก็ได้มีโอกาส กลับไปทางบ้านแถว แม่ฮ่องสอน ส่วนมากไม่เคยอยู่บ้าน 

ตั้งแต่เล็กจนโต

แต่ก็กลับมาเยี่ยมเยือนโยมแม่อยู่บ้าง 

มีอยู่คืนหนึ่ง ในบ้านโยมแม่นั้น เวลาหลับนอนกลางคืน

ก็เริ่มทำการทับร่างอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนั้น ติดตามไปมาได้ขาดนี้ 

ทั้งๆที่ข้าม จังหวัดไปๆมาๆ จากเหนือ ล่องใต้ จากใต้ขึ้นเหนือ 

ไม่ได้หลุดล่องลอยหายไปไหน แล้ว เขาจะขึ้นรถ 

ลงเรือ นั่งเครื่องไปกับเราตลอดอย่างนั้นหรื่อเปล่า

ข้อข้องใจอันนี้ ไม่สามารถไขได้ฯ


แล้วที่ถูกสิ่งลึกลับติดตามคอยทับร่าง ทับไปเพื่ออะไร?

ไม่เห็นบอกกล่าว ขอส่วนบุญแต่อย่างใด แต่ส่วนบุญส่วนกุศล

ก็ทำการกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล ให้แก่เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร 

แต่ก็ไม่มีการตอบรับส่วนบุญแต่อย่างใดฯ


คืนหนึ่ง ที่บ้านโยมแม่นั้น ตอนนอนหลับได้มีกิจกรรม สิ่งนั้นมาอีก 

ร้องไม่ค่อยจะเป็นภาษาคนยังที่กล่าว พูดได้ว่าบ้านใกล้เรือนเคียงตื่นกันทั่วหน้าฯ

คืนนั้นโยมแม่นอนอยู่โรงครัว คือโรงครัวเป็นอีกบ้านหลังหนึ่งบ้านหลังเล็กๆ

ที่ติดกับบ้านหลังใหญ่

โยมแม่ได้ยินจนตื่น บ้านใกล้เรือนเคียงก็ถามกัน ใครเป็นอะไรยังไง

เพราะส่วนมากตอนผมเป็นพระไม่ค่อยได้จำวัดทางบ้านอยู่แล้ว 

โยมแม่ก็ขึ้นมาที่บ้านหลังใหญ่มานั่งเฝ้า จนหลับ 

เช้าขึ้นมา ต่างก็ถามเรืองราวที่นอนร้องเอะอะเสียงดัง

เรื่องราว ไปยังไง มายังไง ก็บอกเล่าไปตามเหตุการณ์ปกติ

พูดได้ว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้นฯ


แล้วคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้ได้ว่ามีวิธีแก้ วิธีรักษา 

และอีกอย่างก็ไม่ได้เอาใจใส่ อะไรมาก

คิดได้เหมือนเดิมว่า เป็นเรื่องปกติฯ


ต่อมา ก็ไปๆมาๆ ปกติแล้ว เป็นคนชอบปฏิบัติ มักน้อยสันโดษ ชอบสงัด

และเป็นคนชอบนั่งสมาธินานปฏิปทาเดินป่าเดินเขาธุดงค์ไปเรื่อยๆ

ตามประสาพระนักปฏิบัติธุดงค์ด้วยกันหลายๆองค์เป็นเวลาหลายปี

เรียกได้ว่าเที่ยวแบบพระ คือการเดินธุดงค์ไปทุกภาคแทบทั่วประเทศไทย

พระนักปฏิบัติส่วนมากได้มีโอกาสเที่ยวทั่วมากเลยนะครับ ภจนภัยหลายๆที่

ยิ่งบวชนาน ยิ่งเที่ยวทั่ว ได้ไปหลายที่ หลายป่า หลายเขา หลายลำเนาไพร

พระส่วนมากไม่ค่อยได้เที่ยว ในเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย


หรือสถานท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อกับงจังหวัด แต่เป็นการเดินป่ามากกว่า 

เพราะพระนักธุดงค์เขาเตรียมพร้อม ทั้งเครื่องมุ่งห่มไว้กางกันแดดกันฝนคือ 

กลดธุดงค์ ค่ำที่ไหนก็ปักที่นั้น ไม่ว่าที่นั้นจะเป็นป่าเป็นเขา แม้กระทั้งป่าช้า 

ไม่เลือกสถานที่ แต่ก็ไม่ห่างปราศจากหมู่บ้านคนในละเเวกใกล้ๆแถวๆนั้น 

ก็เพื่อที่เข้าบิณฑบาตเพื่อเลี้ยงชีพต่อไปได้ฯ


หลังๆจากได้เที่ยวเตร่เดินป่าอยู่เป็นเวลาค่อนข้างแรมปี

จนมาวันหนึ่งมีได้โอกาสได้แวะวกวน กลับทางมาหาสู่ทางบ้านอีกรอบ

 แต่คราวนี้ไม่ได้จำวัดที่บ้าน จึงได้ไปจำวัดที่วัดแห่งหนึ่งแถว 

อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนฯ

เพราะว่ามีความสะนิดสนมกับเจ้าอาวาสวัดหนึ่งเป็นการส่วนตัวพอสมควร

มักจะออกเดินทางไปโน้นไปนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ

+++++++++++++++++++++

เหตุการณ์ของผมก็คือ เวลาจำวัดนอนที่ไหน ทีไร

จนทำให้เจ้าอาวาสต้องสะดุ้งตื่นช่วงตอนกลางตลอดทุกคืน 

เพราะสิ่งที่ว่านั้นมาทำกิจวัตประจำ คือมาทับร่างกลางคืนตอนนอนหลับ

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเจ้าอาวาสยังนอนไม่หลับ

แต่ผมกับพวกเณรนอนหลับกันพอสิ่งนั้นมาทับผมดิ้นและร้องตามเคย

แต่เจ้าอาวาสก็นิ่งเฉย 

ที่ผมนอนละเมอร้องเพราะเป็นปกติของผมอยู่แล้ว 

แต่บางที่ก็ร้องหาคนมาช่วยแต่เขาบอกว่าฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

คือร้องไม่ค่อยออกภาษาคนร้องธรรมดา

เกิดขึ้นอีกคืนนั้นรู้สึกว่าตอนสิ่งนั้นกำลังทับร่างอยู่นั้นผมดิ้นถีบอย่างจริงๆจังๆ

 คือว่า ถีบจนถีบโดนเข้าพูดได้เลยว่า ถีบโดนช่วงหน้าท้องรู้สึกนิ้มๆ เหมือนถีบหน้าท้องคนยังไงยังงั่นฯ


แล้วเขาก็ปล่อยเพราะถีบเข้าอย่างแรง อีกอย่างถ้าหากเขาจะมาอีกรอบ

จะมีความรู้สึกได้ หรือได้ยินเสียแปลกๆ แต่ถ้าไม่มาแล้วก็หลับต่อได้สบายๆ

ช่วงนั้น ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงใกล้ มหาสงกรานต์ หรือวันปีใหม่เมืองฯ

ท่านเจ้าอาวาสพูดขึ้นมาว่าท่านจะตั้งขันครูเนื่องในวันปีใหม่เมือง

เพื่อจะจุดเทียนชัย สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมดวง และก็สักหาญแดง 

หรือ (หมึกแดง)สูตรมหาเสน่ห์

 ณ ตอนนั้นพรรษาของผมที่เป็นพระตอนนั้นน่าจะได้ที่สองที่สามแล้ว 

ติดตามกันมาตั้งแต่ไหนก็ไม่รู้จำได้ว่าตั้งแต่เป็นสามเณรน้อยเท่านั้น 

พอถึงวันมหาสงกรานต์หรือ หรือ (ปีใหม่เมือง)

ตอนนั้น เจ้าอาวาส ก็ทำการ ยกครู บูชา สักการะ ตามวิถีประเพณี 

ของครูบาอาจารย์ของท่านฯ


และทำการสัก ที่เป็นสูตรมหาเสน่ห์ที่เป็นหมึกสีแดงๆ หรือ (สักน้ำมันแดง)

ตามวิถีโบราณของชาวไทยใหญ่การสัก ของท่าน สักเป็นจุดๆบ้างฯ 

ตั้งแต่ช่วงหน้าท้องขึ้นบน ตอนนั้นหมู่วัยรุ่นชายหนุ่มหญิงสาวในหมูบ้าน

ก็พากันมาสักกันเยอะแยะ เพราะถือว่า สักมหาเสน่ห์ช่วงวันมหาสงกรานต์

(ปีใหม่เมือง) เป็นวันมหามงคลอันยิ่งใหญ่ในรอบหนึ่งปีเท่านั้น ว่ากันไป

ตามความเชื่อโบราณจารย์ที่ได้บันทึกไว้ในตำหรับตำรา 

ที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่สืบทอดตำหรับตำราวิชาอาคมฯ


ก็เลยมีการยึดถือปฏิบัติกันมาเป็นทอดๆ

วันนั้นท่านก็เริ่มการสักสีแดง ชึ่งชาวไทยใหญ่เรียกกันว่า(หานแดง)

คือหมึกแดงหรือ(น้ำมันแดง) รวมทั้งสูตรผสมว่านมหาเสน่ห์ 

ว่านมหาเศรษฐี ว่านมหาอุตม์อยู่ยงคงกระพัน ว่านไก่ขัน ว่านแดง 

ว่านสาวหลง หว่าสาวฮุม ว่านไก่งอม ว่านไก่ขัน หลายๆว่าน

เหลือเกินจนผมนับไม่ได้ และมีอีกหนึ่งประการที่สำคัญ 

คือ น้ำเหล็กไหลท่านว่าอย่างนั้น อีกหลายๆอย่าง บ้างก็เป็นรากไม้, 

บ้างก็เป็นหัว, บ้างก็เป็นใบ, เป็นแก่นไม้บ้าง, แก่นจันทร์แดง, 

แก่นจันทร์เผือกบ้าง,แล้ว นำมาลับมาฝน ใส่ร่วมกันในถ้วยเล็กๆ 

รวมทั้ง(หานแดง) 


ท่านเรียกว่าเป็นการผสมสูตรมหาเสน่ห์ ว่านมงคลตามสูตรโบราณฯ

อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจนน่าหลงไหลเลยทีเดียว จากนั้นท่านก็เริ่มสักให้ผม

เป็นคนแรก เริ่มแรกเลยทานสักที่กระหม่อม แล้วลงมาตามคิ้ว จึกทีสองที 

ลงมาเรื่อย ตามหนวดบ้างตามลิ้นบ้าง ตามคางบ้างฯ ลงมาตามไหล่ฯ

ตามข้อแขนฯ ตามข้อสอก ตามหน้าอก เป็นจุดทีสองที ทั่วทั้งร่าง

ในท่อนบน ชึ่งผมก็ดีใจที่ได้สักมหาเสน่ห์กะเขาบ้างฯ 


แถมผมยังเป็นลูกมือของท่านพระอาจารย์เจ้าอาวาสด้วย 

คือท่านให้ผมช่วยกันสักพวกชายหนุ่มหจึกทีสองทีตามแบบที่ท่านสักให้ผม 

เข็มที่ใช้สักเป็นเข็มทำมาจากทองเหลืองปลายแหลมสี่แฉก ที่เรียกว่า(ส่าม)

เป็นคำเรียกใน ภาษาไทยใหญ่ พอสักคนหนึ่งเสร็จก็มี การชุบใส่ในหม้อน้ำ

ที่กำลังต้มเดือดอยู่ท่านว่าเป็นการฆ่าเชื้อ กลัวมีเชื้อติดต่อกันว่ากันไปตามนั้นฯ

พอคืนวันผ่านไป รุ่งอรุณขึ้นอีกวัน ช่วงตอนที่กำลังนั่งฉันเช้ากันอยู่นั้น จู่ๆ 

ท่านเจ้าอาวาสพระอาจารย์ ก็พูดกับผมขึ้นมาว่า

     เอ๊ะ อาการนอนละเมอร้องของท่านไม่ได้ยินอีกเลยน่ะเมื่อคืนฯ

ชึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ติดใจอะไรมากมายไม่ได้คิดเลยว่าที่สักไปนั้นเป็นไสยศาสตร์เวทมนต์ฯ

หรือแก้ได้อะไรต่ออะไรแต่อย่างใด พอนานวันๆเข้า ก็เริ่มสังเกตเห็นได้ว่า

สิ่งลึกลับนั้นไม่กลับมาทับร่างอีกแล้ว เริ่มหายตั้งแต่สักวันแรก

จนทุกวันนี้เฝ้าดูอาการอยู่ แต่ก็นานจริงๆที่ไม่มาอีก ทุกวันนี้

ใครเขาจะพูดเรื่องผีเรื่องสางที่ไหน ไม่รู้สึกสะทกสะท้านในใจ

และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แล้วก็ไม่เคยเจอเรื่องผีเรื่องสางหลอกหลอน

อีกเลย บ่อยครั้งก่อนหน้านั้นชึ่งเคยมีเป็นเรื่องปกติ๚


นั่นอาจหมายถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์เวทย์มนต์ที่ผมได้สักมหาเสน่ห์

ตามความเชื่อโบราณเมื่อวันนั้น สิ่งที่มาหลอกหลอน ทับร่าง

เสียงโน้นนี้นั้นที่เคยเป็นมาตั้งกะยังวัยเยาว์ กับสิ่งลึกลับนั้นได้หายไปไร้ร่องรอย

และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันมีที่ไปที่มาอย่างไร แม้แต่กระทั้งตัวผมเองยังสงสัย?

ฯโปรดใช้วิจารณญาณ นะครับฯ

 ขออภัยข้อความไม่สละสลวย

 สวัสดีครับ






Create Date : 24 เมษายน 2553
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 22:27:05 น.
Counter : 416 Pageviews.

0 comment

บอลคนไม่น่ารัก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friends