Miffy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




I'm nothing special, in fact I'm a bit of a bore.
If I tell a joke, you've probably heard it before.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Miffy's blog to your web]
Links
 

 

เชียงราย (2)


วันที่ 2 

วันนี้เราเหมารถไปเที่ยวดอยตุงกัน
ตอนแรกมีคนแนะนำว่าให้ไปเที่ยวตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลย 
จะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถย้อนไปย้อนมาจากแม่สลอง
แต่เราไม่อยากแบกกระเป๋าไปด้วย ดูทำอะไีรไม่สะดวก เลยยอมย้อนไปย้อนมา

เราเหมารถสองแถวจากแม่สลองไปดอยตุง และให้พาเที่ยวรอบ ๆ แม่สลองด้วย
ค่าเหมารถ 1500 บ. (ถ้าไปดอยตุงอย่างเดียว 1200 บ.) 

ตอนเช้าอากาศหนาวมากกก ยิ่งโดนลมปะทะหน้าตอนอยู่บนรถนี่รู้สึกเหมือนจะเเข็งตายอยู่แล้ว
แต่อากาศเย็น ๆ แบบนี้ช่วยบรรเทาอาการเมารถได้เยอะเลย




ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงดอยตุง
ต้องเสียค่าเข้าคนละ 190 บ. สามารถเข้าชมได้ 3 ที่ คือ





1.พระตำหนักดอยตุง : เจ้าหน้าที่จะจัดให้เราเข้าชมได้เป็นรอบ ๆ พร้อมแจกเครื่องบรรยาย
ให้เรากดฟังเองเมื่อไปถึงจุดต่าง ๆ ตามหมายเลขที่กำกับไว้








2.สวนแม่ฟ้าหลวง : สวนนี้กว้างมากกกกกก ดอกไม้สวยมากจริง ๆ 
เห็นแต่ดอกไม้สุดลูกหูลูกตาเลย แต่ต้องเดินขึ้นเดินลงกันจนเมื่อยขาเลย














(นี่คือต้นมะเขือเทศการ์ตูน ผลของมันรูปร่างประหลาดดี)

3.หอแห่งแรงบันดาลใจ : เป็นห้องรวบรวมพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ของสมเด็จย่า
และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นด้วย มีแผ่นป้ายให้อ่านเยอะมาก รูปก็เยอะ
บางเรื่องอ่านแล้วน้ำตาซึมเลย ยิ่งเรื่องเกี่ยวกับความลำบากของชาวเขาในสมัยก่อน







เราใช้เวลาเดินเที่ยวที่ดอยตุงประมาณ 3 ชั่วโมงได้ (รวมทานข้าวเที่ยงด้วย)
ใครจะมาเที่ยวที่นี่ควรเผื่อเวลาเยอะหน่อยนะคะ เพราะสถานที่กว้างมาก และมีหลายจุดให้ชม





จากดอยตุง เราไปเที่ยวไร่ชาวังพุดตาลกันต่อ
ว่ากันว่าคุณตันมาถ่ายโฆษณาอิชิตันที่นี่แหละค่ะ
ด้านหน้ามีรูปปั้นสิงโตตัวใหญ่เท่าตึกสามชั้น 2 ตัว เป็นจุดเด่นของที่นี่เลย







นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นกาน้ำชาอีก แต่ที่นี่ดูเหมือนไร้ชาร้างเลย
ไม่เห็นคนงานหรือคนดูแลสักคน เราเดินถ่ายรูปได้ทั่วโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร











ท้องฟ้าเชียงรายใสแจ๋ว เห็นแล้วอยากถ่ายรูปทุกที่ :D





จากไร่ชาเราเดินทางไปจุดท่องเที่ยวที่สุดท้ายของวันนี้ คือ พระธาตุศรีนครินทร์
กว่าจะขึ้นมาถึงบนนี้ได้รู้สึกใจหายใจคว่ำมาก เพราะถนนชันเกิน 45 องศาเสียอีก
แต่พี่ม้งก้ดริฟต์มาเราขึ้นมาถึงจนได้ค่ะ




ขึ้นมาเห็นวิวตรงนี้เเล้วรู้สึกหายเหนื่อยเลย อยากร้องเพลง Top of the World 





ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด แต่ภายในก็ไม่มีอะไรให้ชมมากนัก



เจอแมวภูเขาเจ้าถิ่นด้วย หน้าตาน่ากลัวมาก แต่พอเราร้องเหมียว ๆ มันก็เดินเข้ามาหาทันที
ท่าทางจะคุ้นเคยกับคนเป็นอย่างดี เพราะนอนให้เราลูบ ๆ เกา ๆ อยู่นาน





เจอเด็กดอยมาขายของกับแม่ตรงทางเข้า 




ประมาณบ่ายสามโมงเราก็กลับที่พักไปอาบน้ำและพักผ่อนค่ะ 
แนะนำให้อาบน้ำตั้งแต่ตอนบ่ายเลยนะคะ เพราะน้ำจะอุ่นกำลังดี และอากาศไม่หนาวจนเกินไป
คืนแรกเราอาบน้ำตอนก่อนนอน โหย....หนาวตัวสั่น พูดไม่เป็นภาษาเลย

ตกเย็นเราก็ออกไปเดินเที่ยวรอบ ๆ อีกตามเคย









บนแม่สลองมีหมาแมวเยอะเหมือนกันค่ะ เราเข้าไปเล่นด้วยแทบทุกตัวที่เห็นเลย ฮ่าๆ





วันที่ 2 จบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ :))





 

Create Date : 26 มกราคม 2556    
Last Update : 26 มกราคม 2556 0:49:59 น.
Counter : 1392 Pageviews.  

เชียงราย (1)

อาทิตย์ที่แล้วเราไปเที่ยวเชียงรายมาค่ะ ไป 5 วัน 4 คืน 
เจอะเจออะไรมากมายทั้งที่ประทับใจและไม่ประทับใจ
เลยอยากเขียนลงบล๊อกไว้ให้คนอื่นที่อยากไปได้อ่านเป็นข้อมูล :D

เนื่องจากรูปและเนื้อหาค่อนข้างเยอะ เราจึงแบ่งออกเป็น 5 ตอนค่ะ
กลัวว่าบล๊อกจะยาวเกินไป ไม่อยากให้รอโหลดรูปนาน
งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า !!




วันที่ 1



พอเครื่องลงปุ๊บเราก็ต่อรถขึ้นแม่สลองทันที เพราะวางแผนไว้แล้วว่าจะเที่ยวที่นี่ก่อน
ใครที่เมารถง่ายขอให้เตรียมตัวให้ดี เพราะทางขึ้นแม่สลองนั้นโหดกว่าทางไปปายมาก !
ทั้งคดเคี้ยวและสูงชัน ถ้าเจอคนขับรถแบบกระชาก ๆ แล้วล่ะก็มีอ้วกกลางทางแน่
ตอนไปปายเราไม่เมารถเลย แต่ขึ้นแม่สลองนี่อาการกำเริบหนักมาก
ทั้งปวดหัว คลื่นไส้ พอถึงที่พักเท่านั้นล่ะ อาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุงทันที

เราขอแนะนำให้เตรียมยาดม ยาอม ยาแก้เมารถให้ดี
และอย่าปล่อยให้ท้องว่าง ควรทานอะไรรองท้องไว้หน่อยแต่ไม่ต้องถึงกับอิ่มมาก

 เราพักที่ Little Home Guesthouse ค่ะ ประทับใจที่นี่มากเพราะเจ้าของดูแลดีและใจดีมาก
มาถึงแม่สลองตอนบ่าย รู้สึกหิวข้าวสุด ๆ พี่ที่เกสต์เฮ้าส์แนะนำให้ไปทานที่ "ร้านผิงผิงโภชนา"



สั่งผัดยอดมะระหวาน ขาหมู ต้มจืดเยื่อไผ่ หมั่นโถว และข้าวอีก 2 จาน
อาหารอร่อยทุกจาน แถมให้เยอะด้วย กินไม่หมดเลย
ราคาไม่แพงมาก มื้อนี้รวมแล้วประมาณ 350 บ.

อาการเมารถของเรายังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย
กินข้าวเสร็จก็กลับที่พักและหลับเป็นตาย =.=
ตื่นมาอีกทีก้ 5 โมงเย็นแล้ว รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย
เราจึงออกมาเดินเล่นรอบ ๆ แม่สลอง



อากาศหนาวมากกกกกก ในไอโฟนบอกว่า 15 องศา 
แต่เรารู้สึกเหมือนหนาวกว่านั้น หนาวจนจมูกเย็นเจี๊ยบ ปลายนิ้วชา





บนนี้ดอกไม้สวยมาก ขนาดดอกไม้ถึงขึ้นแบบตามมีตามเกิดริมทางยังสวยเลย
ถ่ายรูปกันเพลิน บ้านช่องก้น่ารักดี ออกแนวจีน ๆ หน่อย
คนที่นี่ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนและพูดภาษาจีนกลางกันทั้งนั้น





ใครที่ขี่มอเตอร์ไซค์แข็ง ๆ สามารถเช่ารถขี่เที่ยวได้นะคะ
แต่เรากลัวค่ะ เพราะทางบนนี้สูงชันมากจริง ๆ เลยเดินเที่ยวเอาดีกว่า
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวรอบ ๆ ก้ใช้เหมารถสองแถวไปค่ะ





ตอนกลางคืนไปนั่งเขียนโปสการ์ดที่ "ร้านภูสลอง" ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ร้าน 7-11 
ร้านธรรมดา ๆ แต่คนขายน่ารักและอัธยาศัยดี แถมเปิดเพลงเพราะมาก
เราเลยนั่งยาวถึงสองทุ่มกว่าจึงกลับที่พักค่ะ



สั่งชามะนาวน้ำผึ้งไป รสชาดดีทีเดียว แถมราคาแค่ 25 บ. เท่านั้น 
วันแรกของเราจบแค่นี้ค่ะ ถ้าไม่เมารถหนักขนาดนี้คงได้ไปเที่ยวหลายที่เหมือนกัน




 

Create Date : 21 มกราคม 2556    
Last Update : 21 มกราคม 2556 22:54:36 น.
Counter : 816 Pageviews.  

Etude House Dear My Essence In Lips Talk : EPK001 & EOR201

เห็นว่าลิปสติกของ Etude House รุ่น Dear my essence in lips talk ออกวางขายได้นานพอควรแล้ว
แต่ทำไมไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรือแนะนำเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นรุ่นที่ออกติดกับ Dear my blooming lips อันโด่งดัง
ด้วยความที่เราสนใจลิปรุ่นนี้มาก เลยตัดสินใจสั่งมาลองใช้ 2 สี โดยอาศัยข้อมูลจากบลอกต่อไปนี้





Etude Houe : Dear My Essence In Lips Talk
Color : EOR201 , EPK001
Price : ฿270 (Pre-order)







กล่องบรรจุภัณฑ์ออกแบบได้น่ารักมาก ทั้งลวดลายและสีสัน 
เราแทบไม่อยากทิ้งเลย (แต่เก็บไว้ก็รกบ้าน)





ลิปรุ่นนี้มีลักษณะเป็นแท่งเล็กยาว ขนาดประมาณขนมโอโจ้
เวลาใช้ให้หมุนตรงปลายแท่งไปทางขวาทีละนิด 
อย่าเผลอหมุนเยอะนะคะ เพราะไม่สามารถหมุนเก็บได้ 





ตรงตูดมีสติ๊กเกอร์บอกเบอร์ลิปอยู่ เวลาจะใช้ต้องคอยพลิกดู
แถมตัวหนังสือก็ตัวเล็กมาก ๆ น่าจะออกแบบมาให้ตัวใหญ่กว่านี้หน่อย









แม้จะไม่ค่อยชอบใจว่าเวลาจะใช้แต่ละทีต้องคอยเพ่งดูเบอร์สีตรงตูดลิปสติก
แต่พอได้ลองลิปแล้ว เรายอมนั่งเพ่งหาเบอร์สีต่อไปค่ะ (ฮ่าๆ)

เนื้อลิปสติกเนียน ลื่น ชุ่มชื้นมาก คงเพราะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาให้มีเนื้อคล้ายลิปมัน ลิปบำรุง
สามารถทาลงไปบนริมฝีปากได้เลยโดยที่ไม่ต้องทาลิปมันก่อนได้ ไม่เป็นคราบ ไม่เป็นขุย
เราว่าเนื้อคล้าย Maybelline Baby Lips แต่สีจัดจ้านและติดทนกว่า

สี EPK001 จะเป็นสีชมพูอมแดง สีเข้มกลบสีปากได้มิดโดยไม่ต้องทาย้ำหลายครั้ง
สีน่ารัก หวาน ๆ ทาแล้วดูเป็นธรรมชาติไม่โอเวอร์เกินไปดี
ใครที่ริมฝีปากสีเข้มก็น่าจะทาสีนี้ได้ ไม่มีปัญหาค่ะ :D

สี EOR201 จะเป็นสีส้มอ่อน ๆ แต่ทาบนริมฝีปากแล้วกลับกลายเป็นสีชมพูอ่อนไปซะงั้น
ไม่ค่อยออกสีส้มเท่าไหร่เลย และคงเพราะสีค่อนข้างอ่อน จึงกลับสีปากได้ไม่ดีนัก
ทาแล้วเห็นเป็นคราบนิดหน่อย แต่สามารถใช้นิ้วเกลี่ยให้กลืนเนียนไปได้
เราว่าสีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ริมฝีปากสีเข้มค่ะ 





ในรูปนี้เราทาสี EOR201 ค่ะ จะเห็นได้ว่าเหมือนไม่ได้ทาอะไรเลย (=.=)
แต่ทาแล้วดูดีกว่าไม่ได้ทานะคะ ดูสวยแบบธรรมชาติ (ฮ่าๆ)

เราชอบเนื้อลิปของลิปสติกรุ่นนี้มาก ตั้งใจว่าจะสั่งสีอื่นมาลองอีก
หวังว่า Etude House คงไม่เลิกผลิตไปซะก่อนนะ







 

Create Date : 09 มกราคม 2556    
Last Update : 9 มกราคม 2556 23:42:28 น.
Counter : 2264 Pageviews.  

สวนรถไฟ

เมื่อวานไปปิกนิกและขี่จักรยานเล่นที่สวนรถไฟมา
เมื่อวานอากาศร้อนมาก แดดแรงแยงลูกตาสุด ๆ
เมื่อวานโดนยามในสวนรถไฟดุตลอดเวลา จนรู้สึกเหมือนปั่นจักรยานอยู่ในค่ายทหาร

วันนี้อากาศเย็นสบาย .... น่าเสียดายที่ลมเย็นมาถึงกรุงเทพฯ ช้าไป 1 วัน























ก่อนกลับแวะกินไอติมที่ร้าน ฐิตารีย์ ตรงทางเข้าสวน 






 

Create Date : 31 ธันวาคม 2555    
Last Update : 31 ธันวาคม 2555 13:02:24 น.
Counter : 1123 Pageviews.  

Cataholic Cafe


ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนถึง Purr Cat Cafe Club เอาไว้
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราเพิ่งรู้ว่ามีคาเฟ่แมวอีกร้านอยู่ที่โครงการ Ozono 
ซึ่งเป็นพื้นที่รวมร้านรวงสำหรับหมาแมวโดยเฉพาะ
คาเฟ่แมวร้านใหม่ที่เราจะเขียนถึงวันนี้คือ Cataholic Cafe ค่ะ

(รูปค่อนข้างเยอะนะคะ)





โครงการ Ozono นั้นตั้งอยู่ในซ.สุขุมวิท 39 สามารถเข้าได้ 2 ทาง ได้แก่
1. เข้าทางถนนเพชรบุรีตัดใหม่ (ทางนี้จะใกล้โครงการมากกว่าอีกทาง)
2. เข้าทางซ.สุขุมวิท 39 (บีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์)

เราเข้าทางซ.สุขุมวิท 39 ซึ่งทางนี้จะต้องต่อรถกะป๊อเข้าไปอีก เพราะจากทางนี้ร้านอยู่ลึกมาก
บอกพี่คนขับว่าไปโครงการ Ozono ได้เลยค่ะ ค่ารถคนละ 25 บ.
ส่วนขากลับ ถ้าต้องการกลับมาขึ้นบีทีเอส ให้เดินมาที่ตึก Citi Resort 
จะมีวินรถกะป๊อจอดอยู่ตรงป้อมยามข้างตึกด้านซ้ายค่ะ




ร้านนี้อยู่บนชั้น 2 แต่อย่าเพิ่งเดินขึ้นบันไดแรกที่เห็นนะคะ
เมื่อเข้ามาในโครงการแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายซัก 2 ล๊อก ก็จะเห็นป้ายร้านแบบนี้ค่ะ







ก่อนเข้าร้านอย่าลืมถอดรองเท้าและล้างมือด้วยเจลก่อนเล่นกับแมวด้วยน้า 







ที่ร้านนี้ไม่มีระเบียงแมวเหมือน Purr Cat Cafe
แต่มีกั้นห้องเล็ก ๆ ไว้บริเวณด้านหน้า ให้แมวนอนโชว์ตัว ดูเป็นสัดเป็นส่วนดี









ในร้านมีแต่โต๊ะญี่ปุ่นแบบนั่งกับพื้นอย่างเดียวเลยค่ะ โต๊ะเยอะดีเหมือนกัน
เสียอย่างเดียวว่า ถ้ามาตอนกลางวันจะร้อนมากกกก แดดส่องเต็มที่
เพราะทางร้านไม่ไ้ด้ติดม่านหรือมูลี่ใด ๆ ไว้เลย ร้อนจนนั่งฝั่งติดหน้าต่างไม่ได้เลยค่ะ
ส่วนอีกฝั่งที่ไม่โดนแดด ก็มีโต๊ะแค่ 2 ตัวเอง ทางที่ดีควรจะติดม่านกันแดดหน่อย
ไม่งั้นถ้ามีลูกค้ามาเยอะ ๆ คงนั่งกันลำบากน่าดู





การตกแต่งจะเป็นคนละแนวกับ Purr Cat Cafe เลยค่ะ
ที่นี่เป็นแนวญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น เรียบ ๆ ใช้สีโทนสว่าง ซึ่งเราชอบมากกกกก





มีเคาน์เตอร์ครัวเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางร้านเลย







ทางร้านมีกระบะทรายให้แมวถ่ายอยู่ในร้านเลย แต่ไม่มีกลิ่นรบกวนใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะเป็นกระบะที่มีระบบดูดกลิ่นในตัว 







เมนูอาหารและเครื่องดื่มมีไม่เยอะมากนัก ราคาประมาณ 60 ~ 100 บ.
เป็นเมนูง่าย ๆ ทั่วไปเช่น แซนวิช น้ำหวาน ชา กาแฟ และเค้กอีกนิดหน่อย
อย่างเราสั่งมา 3 อย่าง ค่าเสียหายทั้งหมด 180 บ. เท่านั้นค่ะ





แอบถ่ายกาน้ำชาโต๊ะข้าง ๆ มา อุปกรณ์ ภาชนะในร้านน่ารักหมดเลยค่ะ :D







คาเฟ่แมวแห่งนี้มีแมวประมาณสิบตัวได้ (มั้ง) แต่น่าจะคนละพันธ์กับที่ Purr Cafe 
เราสังเกตจากหน้าตาและรูปร่าง แมวที่ Purr จะตัวใหญ่ หน้าแบน อ้วนกลม น่าฟัด
ส่วนแมวที่ Cataholic จะตัวเล็กกว่ามาก ขาสั้น หน้าหวาน แต่ขนฟูนุ่มไม่แพ้กัน







พี่ที่ร้านบอกว่า แมวส่วนใหญ่จะนอนกลางวัน เพราะฉะนั้นถ้ามาช่วงเวลานี้อาจจะไม่คึกคักเท่าไหร่ 
แต่ถ้าตื่นแล้วล่ะก็ รับรองความอเลิร์ทและขี้เล่นของทุกตัวเลย
แมวที่นี่เหมือนรู้หน้าที่มาก ตื่นปุ๊ป รับแขกปั๊บทันที ฮ่า ๆ









แมวทุกตัวยอมให้จับ ลูบ อุ้ม ฟัด ได้หมด แต่อย่างรุนแรงกับมันมากนักนะคะ











โปรดระวังแมวขโมยอาหารและเครื่องดื่ม !!





โดยรวมแล้วเราชอบ Cataholic Cafe มากกว่า Purr Cat Cafe ค่ะ
อาจเพราะที่นี่คนไม่เยอะพลุกพล่านเท่าไหร่ ราคาอาหารไม่แพงมาก มีโต๊ะให้นั่งเยอะกว่า

แต่ถ้าไปตอนกลางวัน จะมีพนักงานประจำร้านแค่คนเดียว ทำให้การบริการค่อนข้างช้า
ขอให้นั่งเล่นกับแมวรอหน่อยนะคะ :))






 

Create Date : 29 ธันวาคม 2555    
Last Update : 30 ธันวาคม 2555 15:25:59 น.
Counter : 11977 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.