|
คิดถึงนราธิวาส
สมัยหนุ่มๆหลังจากเรียนจบจาก วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ได้มุ่งหน้าลงใต้สุดของประเทศไทย เพื่อบรรจุเป็นครูตามความตั้งใจ เพราะตั้งใจว่าเรียนจบแล้ว จะขึ้นเหนือสุดคือแม่สาย หรือลงใต้สุดคือสุไหงโลก หลังจากใช้เหรียญโยนหัวโยนก้อย ตกลงตามเหรียญคือไปเป็นครูที่สุไหงโลก
มีรุ่นพี่อยู่หนึ่งคนเป็นผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสสมัยนั้น ได้ลามาศึกษาต่อที่วศ.ประสานมิตร เลยไดไปพักบ้านท่าน แล้วสอบบรรจุ ก็ได้บรรจุสมความตั้งใจ การสอบสมัยนั้นยังไม่ยากเหมือนเดี๋ยวนี้ ทางการประกาศรับสมัคร 15 ตำแหน่ง แต่ที่นราธิวาส กลับมีผู้สมัครสอบเพียง 4 คน ผมสอบได้ที่หนึ่งเลยมีสิทธิเลือกโรงเรียน ก็เลยเลือกโรงเรียนบ้านสุไหงโกลก อำเภอสุไหงโกลก ไปรายงานตัวต่อศึกษาธิการอำเภอสุไหงโกลก ท่านขอให้ไปช่วยราชการ ที่โรงเรียนเปิดใหม่ ยังไม่มีครูมีนักเรียน มีแต่อาคารเรียน ชื่อโรงเรียน"บ้านลูโบ๊ะซามา" อาคารเรียนอย่าคิดว่าเป็นตึกเป็นอาคารนะครับ เป็นอาคาร หลังคาสังกะสี พื้นเป็นดิน มีฝาเตี้ยๆสูงประมาณ 1 เมตร นอกนั้นไม่มีอะไรเลย
ผมเองมิใช่คนในพื้นที่ แต่ทางศึกษาธิการอำเภอจัดครูให้อีกคน เป็นคนอำเภอตากใบ โดยแต่งตั้งผมเป็นครูใหญ่ ส่วนครูอีกคนก็จำเป็นต้องเป็นครูน้อย ผมเองก็ตกใจ เพราะอยู่ดีๆ เป็นครูใหญ่ ทั้งๆที่ทั้งชีวิต ไม่เคยผ่านชีวิตครูมาเลย นอกจากตอนฝึกสอน ไม่เคยทราบว่าการเป็นครูจริงๆต้องทำอะไรบ้าง แต่ก็ตกกะไดพลอยโจน รับไป อ่อลืมบอกอายุตัวเองไป ช่วงนั้นอายุเพียง 20 ปีกับ 8 เดือน เป็นครูใหญ่แล้ว
"โรงเรียนบ้านลูโบ๊ะซามา" เป็นโรงเรียนในชนบท ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ 10 กม. สมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก ผมปั่นจักรยานไปโรงเรียนได้ระยะทาง 7 กม. แล้วต้องฝากจักรยานไว้ เดินต่ออีก 3 กม.ถึงโรงเรียนบ้านลูโบ๊ะซามา เป็นหมู่บ้านชาวมุสลิมล้วนๆ ไม่มีไทยพุทธเลย และภาษาพูดใช้ภาษายาวีทั้งหมู่บ้าน มีบางคนที่พอพูดไทยได้บ้าง แต่กระท่อนกระแท่น ผมเองก็พูดภาษายาวีไม่ได้เลย แต่โชคดีครูอีกคนที่ไปอยู่ด้วยกันพูดได้ เลยเป็นล่ามให้ผมในระยะแรกๆ และขณะเดี่ยวกันก็สอนผมพูดไปด้วย
วันแรกที่เปิดรับสมัครนักเรียนสนุกมาก มีนักเรียนมาสมัครเรียนทั้งหมด 50 กว่าคน จำตัวเลขได้ไม่แม่นเพราะผ่านมานานแล้ว เลยแบ่งกันสอนกับครูอีกคน คนละครึ่ง ช่วงแรกๆขณะสอน มีผู้ปกครองมามุงดูรวมถึงชาวบ้านทั่วไปด้วย เพราหมู่บ้านไม่เคยมีโรงเรียนมาก่อน ยังกะมุงดูการแสดง ข้าวปลาอาหารชาวบ้านใส่ปิ่นโตมาให้ รับประทานกันไม่หมด บางคนเชิญไปรับประทานที่บ้าน ชาวมุสลิมเอื้อเฟื้อมีน้ำใจมาก จะลำบากช่วงถือบวช ที่เขาไม่รับประทานอาหารตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนดวงอาทิตย์ตก พวกเรา(ครู 2 คน) ก็เลยต้องอดอหารไปด้วย
การเป็นครูครั้งแรกยากจนมาก เพราะไม่กล้าขอเงินจากพ่อแม่แล้ว เพราะเรียนจบแล้ว เงินเดือนก็ประมาณ 3 - 4 เดือนจึงจะตกเบิก ไปโรงเรียนจักรยานก็ต้องยืมเขา(เจ้าของจักรยานที่ให้ยืม ก็กลายมาเป็นแม่ของลูกผมในปัจจุบัน) จะเข้าเรียน พัก เลิกเรียน นาฬิกาก็ไม่มี ต้องใช้ไม้ปักเอาไว้ ดูเงาอาคารเรียน ถ้าเงาถึงไม้ก็เข้าเรียน ถึงไม้อีกอันก็พัก ถึงอีกอันก็เลิก วันไหนฝนตก หรือมีเมฆ ก็ ประมาณเอา ก็สนุกไปอีกแบบ
ชาวบ้าน เป็นคนมีน้ำใจ น่ารัก เอื้อเฟื้อ เคารพและนับถือมผมมาก ช่วงหลังเวลาไปโรงเรียนต้องเอากระสอบไปด้วย เพราะเขามีของฝากทุกวัน เช่น เงาะ ทุเรียน ลองกอง ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วต้องแบกกระสอบกลับ มารับประทานที่บ้าน พร้อมฝากเพื่อนบ้าน ที่หน้าโรงเรียนมาร้านกาแฟ เจ้าของร้านผมเรียกว่า "กานิ" ซึ่งแปลว่า"พี่สาว" ในช่วงที่ผมไม่มีเงินเดือน ท่านก็ให้กินฟรีบ้าง ให้เซ็นต์ไว้บ้าง
พูดถึงร้านกาแฟ ในภาคใต้ขอบอกว่า เป็นที่รวมของประชาคมในหมู่บ้าน คนใต้ชอบดื่มกาแฟมาก และร้านกาแฟ เป็นที่พบปะสังสรรค์ของคนในหมู่บ้าน สารสุขทุกข์ดิบ ข่าวสารบ้านเมือง ข่าวสารในชุมชน ปัญหาในชุมชน จะมานั่งถกกันที่ร้านกาแฟ ผมเองก็ลยติดกาแฟตั้งแต่นั้นจนบัดนี้
ที่ภาคภูมิใจคือผมสอนนักเรียนไปประมาณหนึ่งเดือน นักเรียนก็ร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ แม้เนื้อร้องและทำนองจะเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็เป็นผลงานที่ภูมิใจมาก
บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าชาวบ้านพูดภาษาไทยไม่ได้ รวมทั้งลูกศิษย์ผมด้วย จะมีเพียงหนึ่งคน ที่พอจะพูดได้บ้าง เพราะอายุมากกว่าเพื่อน (ลืมบอกไปว่าเปิดเรียนเฉพาะชั้น ป. 1 เท่านั้น) ชื่อนาย"ดาโอ๊ะ" ช่วยเป็นล่ามกระท่อนกระแท่น สือสารระหว่างครูกับศิษย์ ขณะที่ผมสอนภาษาไทย ให้กับนักเรียน นักเรียนก็สอนภาษายาวีให้กับผมด้วย
ไปโรงเรียนตอนเช้าผมจะผ่านโรงเลื่อย(สมัยนั้นยังมีโรงเลื่อยอยู่) ผมก็จะขอเศษไม้เศษกระดาน จากโรงเลื่อย แล้วเอาผูกติกกับจักรยาน จากโรงเลื่อย เอาไปโรงเรียน เท่าจะเอาไปได้ วันละเล็กละน้อย ไปถึงก็ยืมขอเลื่อย ฆ้อน จากชาวบ้านมาประกอบเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ให้นักเรียน รวมถึงโต๊ะของครูด้วย ต่อมาเมื่อผู้ปกครองมาเห็น ก็ไปช่วยขนไม้มาให้ และช่วยกันทำ ไม่กี่วันนักเรียนผมก็มีโต๊ะเก้าอี้นังทุกคน โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณทางราชการ นอกจากผมเองต้องตัดใจควักเงินอันไม่ค่อยจะมี ซื้อตาปู ไปเอง เงินนั้นหรืออย่าว่าจะซื้อตาปูเลย จะซื้อข้าวกินยังเกือบไม่มี เพรามาได้เงินเดือนตกเบิกหลังจากเป็นครูไปแล้ว 3 - 4 เดือนตามที่กล่าวแล้ว อยู่ได้ด้วยน้ำใจของชาวบ้าน
การพัฒนาโรงเรียนก็ช่วยกันกับครูอีกคนนักเรียน ผู้ปกครอง เช่นไปตัดไม้ในป่ามาทำเสาธง ทำห้องน้ำห้องส้วม ทำรั้วโรงเรียน ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ จนเริ่มเป็นโรงเรียน การเรียนการสอนก็ราบรื่นไปด้วยดี จนอยากบอกว่าดีมาก เพราะหนึ่งปีผ่านไป นักเรียน อ่านออกเขียนได้ทุกคน ผมเองก็พูดภาษายาวีได้
พอเริ่มเปิดเรียนปีที่สอง มีนักเรียนมาเข้าเรียนเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ก็แยกเป็น ป.2 นักเรียนประมาณ 50 กว่าคน ผมสอนเอง ส่วนนักเรียน ป.1 ที่เข้ามาใหม่ ให้เพื่อนครูอีกคนสอน ตอนนี้ผมมีเงินซื้อจักรยานยนต์แล้ว เป็นรถรุ่น ซุปเปอร์คับ ไปโรงเรียนก็สะดวกขึ้น แต่รถก็ต้องล้างทุกวัน เพราะถนนเป็นโคลนเยอะ บางครั้งก็ต้องเข็น แต่ดีกว่าขี่จักรยาน กับชาวบ้านก็รู้จักกันหมดทุกคนในหมู่บ้าน หน้าผลไม้ก็ต้องหากระสอบใหญ่ขึ้นขนกลับบ้านเช่นเดิม
พออยู่โรงเรียนนี้ประมาณ 1 ปีกับ 6 เดือน ทางราชการสมัยนั้น ก็ได้โอนโรงเรียนประถม ไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผมเองเป็นครูกรมสามัญศึกษา ที่ไปช่วยราชการ ก็ต้องกลับสังกัดเดิม ต้องจากโรงเรียน "บ้านลูโบ๊ะซามา" มาด้วยน้ำตา ทั้งศิษย์ ผู้ปกครอง และตัวผมเอง
ที่เล่ามาถึงเรื่องนี้ เพราอยากให้เปรียบเทียบกับเหตุการในปัจจุบัน ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะมีเหตุการสามจังหวัดภาคใต้เช่นในปัจจุบัน อะไรที่ทำให้คนในพื้นที่ที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อ มีความโอบอ้อมอารี สถานการณ์จึงเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ ขอฝากความระลึกถึงชาวบ้าน ผู้ปกครอง ศิษย์ ทุกคน ในบ้าน"ลูโบ๊ะซามา" ว่าผมคิดถึง เป็นห่วง และไม่เคยลืม ความดีของทุกคน อยากกลับไปเยี่ยม อยากกลับไปดูความหลัง อยากกลับไปดูโรงเรียน แต่ด้วยสถานการณ์ ก็เลยรั้งรออยู่ แต่สักวันหนึ่ง "ครูจักลับไป"
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2551 |
| |
|
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 14:05:40 น. |
| |
Counter : 861 Pageviews. |
| |
 |
|
|
อากาศปีนี้
อากาศปีนี้แปลกมาก ที่บ้าน(ในจังหวัดอุบลราชธานี) อากาศเริ่มหนาวตั้งแต่เดือน พฤษจิกายน 2550 จนถึงวันนี้ 19 กุมภาพันธ์ 2551 ปกติทุกปี ในช่วงหน้าหนาว ความหนาวจะมาเยือนเป็นช่วงๆ คือหนาวประมาณ 5 - 7 วัน แล้วอากาศจะอุ่นขึ้น แล้วสักระยะหนึ่ง อากาศหนาวจะมาอีก เป็นระลอกๆ ไม่ติดต่อกัน แต่ปีนี้ ตั้งแต่เดือน พฤษจิกายน 2550 หนาวตลอดจนถึงวันนี้ อาจจะมีเวลาอากาศอุ่นขึ้นบ้างแต่เป็นเวลาสั้นๆ ไม่เกินหนึ่งวัน ก็จะหนาวกลับลงอีก ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ (วลา 10.40 น)อากาศในห้องประมาณ 22 องศาเซลเซียส ภายนอกกลางแดด ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ตอนเช้ามืด อุณหภูมิจะอยู่ประมาณ 11 - 15 องศาเซลเซียส วันไหนมีลมแรง อากาศก็จะยิ่งหนาวเพิ่มขึ้น สงสารสุนักที่เลี้ยงไว้ทั้งสี่ตัว แม้จะใส่เสื้อกันหนาวให้แล้ว ยังนอนขดกันกลม ใครๆเขาพูดกันถึงภาวะโลกร้อน แต่ปีนี้ทำไมหนาวนานจัง แต่ก็ดี ประหยัดค่าแอร์ได้มาก เพราะตั้งแต่เดือนพฤษจิกายน 2550 เป็นต้นมา ยังไม่เคยเปิดแอร์เลย ประหยัดค่าไฟฟ้าไปได้มาก ค่าไฟลดลงประมาณ 2000- 2500 บาทต่อเดือน อยากให้หนาวไปนานๆก็ดี

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551 |
| |
|
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2551 9:20:23 น. |
| |
Counter : 332 Pageviews. |
| |
|
|
|
ขี่เสือไปเที่ยวลาว
จะทดสอบว่าตัวเองแก่หรือยัง ประกอบกับหลงลมปากสมาชิกชาวเสือ เลยรับปากจะปั่นเสือภูเขาไปเที่ยวลาวกัน (รายละเอียดดูที่ Blog Pinksnail) วันนี้ส่งภาพมาให้ดู


จะหยุดล้อไว้รอวัน แอบอิงฝันกำแพงเก่า หลืบมุมมีร่มเงา ให้หัวใจได้จำจาร แรมทางมารอบทิศ โซ่ชีวิตนั้นหย่อนยาน คืนวันที่ผันผ่าน ประทับอานเป็นริ้วรอย หยุดอยู่เพื่อรู้จัก แวะพักผ่อนเพื่อรอคอย กลางโลกอันเคลื่อนคล้อย อีกหมุนคว้างอยู่อย่างนั้น ก่อนแดfจะผลัดเงา กำแพงเก่าแปรเปลี่ยผัน เพียงพักสักห้วงวัน ก่อนวนวิ่งสู่ดินเดิม

เรื่องเล่า ตอนไปเที่ยว ที่เขียนไว้ใน blog ลูกสาว
กลับมาแล้วลูก ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อย ชอบบรรยากาศในลาวช่วงนี้จัง ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก แล้วจะเล่าให้ฟัง มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนปั่นจักยายขึ้นเขา โซ่รถพ่อขาด เกือบตกเขา แต่โชตดีไม่เป็นอะไรเลย เช้าวันที่ 20 ตุลาคม เวลา 07.00 น.คณะเดินทางพร้อมกันที่ด่านช่องเม็ก ทางประเทศลาวเรียกว่า ด่านวังเต่า กว่าจะทำธุรกรรมในการตรวจหนังสือเดิน ได้ออกเดินทางจริงๆ ประมาณ 09.00น มีคณะทั้งหมด ประมาณ 22 คน หน่วยบริการอยู่บนรถยนต์อีก 3 คน รวมทั้งหมดเป็น 25 คน ออกเดินทางก็ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ ไม่ได่เร่งสปีดมากนัก แต่ลมแรงมาก เลยเหนื่อย เดินทางมาได้ประมาณ ชั่วโมงเศษ เจอโรงเรียนอยู่ริมถนนแห่งหนึ่ง เลยแวะไปเยี่ยม เห็นสภาพโรงเรียนแล้วสงสาร โรงเรียนที่แย่ที่สุดในประเทศไทย แล้วสภาพยังดีกว่ามาก ส่วนเด็กน่ารักมาก เห็นคณะเราเข้าไปเด็กๆตื่นเต้นกันใหญ่ หยุดพักครูใหญ่ ก็ออกจากโรงเรีนเดินทางต่อ มีหยุดพักเป็นระยะ จนเดือบเที่ยงก็ถึงเมืองปากเซ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของแขวงจำปาศักดิ์ มีตลาดใหญ่ชื่อตลาดดาวเรือง มีสินค้านานาชนิด ตั้งแต่สินค้าพื้นเมือง จนสินค้าที่มาจากจีนแดง หยุดพักกินข้าว ในตลาดมีขนมปังแบบฝรั่งเศษ เป็นแท่งใหญ่แข็งๆ เอามาแทะกินรวมถึงเอามาตีหัวกันก็ได้ ทานข้าว้สร็จ ช่วงๆบ่ายก็ออกเดินทางไปเมืองจำปาศักดิ์ จบภาคหนึ่งแค่นี้ก่อน
หลังเที่ยง เมืองลาวเงียบเหงามาก ทุกคนหยุดนอนกันหมด โรเรียนเด็กก็เดินกลับบ้าน ไปนอน จะเปิดอีกทีก็บ่ายสองโมง สถานที่ราชการร้านค้า ธนาคารหยุดหมด พวกเราเลออกเดินทางจากเมืองปากเซ ไปยังเมืองจำปาศักดิ์ อันเป็นที่ตั้งของแขวงจำปาศักดิ์ ย้อนกลัมาทางเส้นทางเดิม ประมาณ 20 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 30 กม. ใช้เวลาในการปั้นจักรายานประมาณ 3 ชม. ปั่นแบบสบายๆ ไม่เร่งแบบช่วงเช้า ประมาณ เกือบ 4 โมงเย็น ก็ถึงเมืองจำปาศักดิ์ เป็นเมืองเล็กกว่าเมืองปาศักดิ์ เป็นเมืองแบบโบราญ มีวังเจ้าเมืองเก่า บ้านเรือนเก่าๆ ปั้นจักรยานไปเรื่อยๆ จนถึง วัดภู อันเป็นโบราญสถาน ที่เป็นมรดกโลก เป็นปราสาทของ แบบเขาพนมรุ้งบ้านเรา แต่ใหญ่โตกว่ามาก มีพิพิทภัณฑ์สถาน ตั้งอยู่ปากทางเข้า เลยแวะเข้าไปดู แล้วเดินขึ้นไปชม ต้องปีนป่ายภูเขาขึ้นไปประมาณ กิโลเศษๆ แต่มีบันไดแบบขอมโบราญขึ้นไปจนถึงองค์ปราสาทบนสุด ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แล้วกลับลงมา วิวสวยมาก มองลงมาเห็นทุ่งนาอาบด้วยแสงตะวันที่กำลังจะลับฟ้า สวยจนสุดบรรยาย ไปพักโรงแรมที่ในเมืองจำปาศักดิ์ เป็นโรงแรมเก่าแก่สมัยฝรั้งเศษปกครองเมืองลาว มาสร้างไว้ ช่วงหลัวทหารอเมริกันมาเช่าอยู่ ปัจจุบันเป็นโรงแรมเดียวในเมืองนี้ เป็นตึกแบบโบราญ เก่าๆทึมๆ น่ากลัวมากกว่าความสวยงาม ไปถึงช่วงพลบค่ำยิ่งเพิ่มความน่าขนลุก เป็นทวีคุณ แต่เหนือยมาก ก็จำเป็นต้องเข้าพัก อาหารพอใช้ได้ กินอาหารเสร็จ รีบเข้านอน เอารแงไว้พรุ่งนี้ แต่นอนไม่ค่อยหลับเพราะความน่ากลัวของบรรยากาศ เอาไว้เล่าต่อพรุ่งนี้
เล่าต่อ .............ตื่นเช้าค่อนข้างเพลียเพราะนอนไม่ค่อยหลับ และปวดเมื่อยไปทั้งตัว ลงไปดูจักรยาน หน่วยบริการตรวจเช็กเรียบร้อยแล้ว ทั้งลมยาง หยอดน้ำมันล่อลื่นส่วนต่างๆ พเราะวันนี้ต่องไต่เขาทั้งวัน ไม่รู้ไหวหรือเปล่า เมื่อวานนี้เฉลี่ยขี่จักรยานได้ชั่วโมงละ 20 กม. ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร วันนี้ไม่ทราบว่าจะทได้หรือเปล่าเพราะต้องขึ้นเขา อาบน้ำแต่งตัว ดูหมวก ถุงมือ แว่นตา ถุงเท้ารองเท้าเรียบร้อยแล้ว รับประทานอหารแบบฝรั่งเศษ ไม่มีรสมีชาด ที่กินได้ก็มีไข่กะทะ กับกาแฟ หลังจากนั้นตรวจเช็กเส้นทางตามแผนที่ ก็เริ่มออกเดินทางปั่นไปลงแพ ข้ามแม่น้ำโขง บรรยากาศตอนเช้าสบายมาก ลมหนาวโชยมาให้ความสดชื่นดีมาก ขึ้นจากแพ ก็เริ่มปั่นจักรยานขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ไปกันช้าๆ ต้องเปลี่ยนเกียรรถเกือบตลอดเวลา เกือบ สี่โมงเช้า ถึงไร่กาแฟ เป็นกาแฟที่ดีที่สุด จอดรับประทานกาแฟ อันแสนจะหอม สดชื่น ได้รสกาแฟจริงๆ แล้วเดินทางต่อ วันนี้จะไปนอนที่น้ำตกตาดฟาน แต่จะเลยไปกินข้าวเที่ยงที่น้ำตกตาดเยื้อง ก่อนเพราะสั่งจองไว้ที่นั่น ต้องปั่นขึ้นเขาตลอดเวลา พ่อเกิดอุปบัตืเหตุเล็กน้อย กำลังขึ้นเขาชันมาก ออกแรงปั่นเต็มที่ในเกียร์ต่ำสุด ปั๋ง,,,,,,โซ่ขาด เซแซดๆๆ เกือบตกเขา ดีที่รถไม่เร็วมาก ก็เลยหยุดได้ ต้องรอหน่วยบริการมาเปลี่ยโซ่ให้ จึงเดินทางต่อ ไปถึงน้ำตกตาดเยื้อง อิจฉาลาวจัง มีน้ำตกขนาดใหญ่ และสวยงามมาก แต่คนไปเที่ยวน้อยมาก เกือบไม่มีคนอื่นๆเลยนอกจากพวกเรา และชาวบ้านที่ขายของที่ระลึก ซึ่งมี กาแฟ ใบชา มีร้านอาหารเล็กๆที่เราสั่งอหารไว้ เขาเตรียมอหารไว้เสร็จแล้ว อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นจำพวกปลา มีลาบปลา ปลาต้มส้ม ทอดปลา กินข้าวเสร็จ ลงไปนอนผึ่งพุงข้างๆน้ตก หลับไปพักใหญ่ จนเพื่อนๆมาปลุกเดินทางต่อ ไปน้ำตกตาดฟาน ที่พักคืนนี้ ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆแต่ก็เหนื่อยมากเพราะทางขึ้นเขาชันมาก ไปถึงตาดฟาน เกือบสี่โมงเย็น น้ำตกสวยมากๆ สูงมาก แต่ก็ได้แต่นั่งดู เพราะหมดแรงเดินลงไปชมข้างล่าง มีรีสอร์ท ซึ่งเป็นของคนไทย ได้รับสัมปทานจากลาว อยู่เหนือน้ำตก มองจากนหน้ต่างออกไปก็เห็นน้ำตก อาหารเย็น เป็นห้องโถงใหญ่อากาศหนาว แต่มีเตาผิงแบบเมืองนอกด้วย มีนักดนตรีลาวเล่นกีตาร์ ให้ฟังพอเพลินๆ ร้องสดไม่ต้องใช้เคร่องขยายเสียง ได้ฟังเพลงลาว เช่นเพลง ไทยดำรำพัน กุหลาบปากซัน ฯลฯ เข้ากับบรรยากาสดีจัง พวกเราที่ไปใครร้องได้ ก็ร่วมร้องเพลงไปด้วย แถมีไวย์ของลาว พร้อมเบียร์ลาว เสริฟตลอดเวลา แต่ก็ต้องรีบนอนเพราะเดินทางมาเหนื่อยทั้งวัน คืนนี้นอนหลับเป็นสุขกว่าเมื่อวาน เพราะมีเสียงน้ำตกคอยกล่อมทั้งคืน
เรื่องพาหลานไปเที่ยวลาว ต้องคิดหนัก เพราะลาวเองยังธรรมชาติแบบบ้านนอกมากๆ เกือบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย นอนที่รีสอร์ทยังต้องกางมุ้ง และเรื่องไฟฟ้าแล้ลาวจะส่งไฟฟ้ามาขายไทย จนเป็นรายได้อันดับหนึ่งของลาว แต่ลาวกลับใช้วิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง พอสี่ทุ่ม เขาก็ดับไฟหมด ต้องจุดตะเกียงกัน กลัวยุงจะกัดหลาน แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าลูกจะไปบอกไปพ่อจะพาไป เล่าเรื่องขี่จักรยานต่อ คืนที่นอนที่รีสอร์ทตาดฟานหลับสบายมาก ตื่นมาคราไรได้ยินเสียงน้ำตก กับเสียงแมลงกลลางคืนขับกล่อมทั้งคืน ตื่นมาก็สดชื่นมาก แต่ปวดเมื่อยไปทั้งตัว เพราะเมื่อวานออกแรงปั่นขึ้นเขาทั้งวัน รับประทานอาหารเช้า มีข้าวต้ม กาแฟ อิ่มแล้ว ก็เริ่มออกเดินทาง วันนี้เส้นทางลงเขา คงทำเวลาได้ดีและไม่เหนื่อย แต่อันตราย เบรกรถต้องเช็คแล้วเช็คอีก เพื่อความมั่นใจ วันนี้ปั่นรถด้วยความสบายใจลงมาจากภูเขาชมนกชมไม้ แต่บนถนนมีสัตว์เกือบทุกประเภท หมา หมู เป็ด ไก่ แพะ ต้องคอยหลบหลีกให้ดี เพื่อนในกลุ่มชนหมู ล้มกลิ้งไปสองคน ต้องอยุดปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ คุณสมมาตรเจ็บมาก เพราะเป็นแผลใหญ่ที่เข่า เลยมีสิทธิได้นั่งรถยนต์แทนปั่นจักรยาน หยุดชมไร่กาแฟ หยุดชมโรงงานเบียร์ลาว -ภาษาลาเขียนว่า "เบยลาว" คืนนี้จะนอนพักที่รีสอร์ทน้ำตกผาส้วม ถึงรีสอร์ทเย็นๆ ลงอาบน้ำในน้ำตก กันสนุกสนาน แล้วขึ้นมารับประทานอหาร มีการเล่านินทานรอบกองไฟ มีคุณตาแก่ๆชาวลาวเล่าเรื่องสงครามกลางเมือง สมัยอเมริการบกับพวกเวียตนาม พร้อมกับนิทานชาวบ้าน และนิทานก้อม ภาษาลาวแปลว่านิทานลามก กันหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แล้วเข้านอน ต้องกางมุ้ง ดึกไปห้องน้ำลำบากมาก เพราะไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงที่เขาตฃจุดแขวนไว้ แต่ก็ดีไปอย่างได้สัมผัสธรรมชาติเต็มที่
Create Date : 16 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 16 มกราคม 2551 9:44:12 น. |
| |
Counter : 849 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรื่องของลูกๆหลานๆ
หมดเรื่องบ้าน เรื่องหมา จะเล่าเรื่องลูกๆบ้าง ลูกคนโตเกิดปี 2509 ปัจจุบันก็อายุ 41 แล้วมั่ง ชื่อแมงมุม เพราะตั้งใจไม่ให้ชื่อเหมือนใครๆ เกิดสุดแดนใต้ที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ลูกทั้งสามคน เกิดนราธิวาสหมด เพราะผมเองไปเริ่มรับราชการที่นั่น ปัจจุบันลูกคนนี้ทำงานธนาคาร มีหลานปู่ สองคน คนโตเป็นชายชื่อว่า "ก้อนเมฆ"(ปู่ตั้งชื่อเอง) คนเล็กเป็นหญิงชื่อ "ฟ้าใส" ลูกคนที่สอง ชื่อ "มดแดง" เพราะตั้งใจไม่ให้เหมือนใครเช่นเดิม แต่ที่ไหนได้เมื่อเขาอายุได้สัก สิบสองขวบ ก็มีหนังญี่ปุ่นชุด"ไอ้มดแดง" มีทั้งมดเขียว มดx เต็มไปหมด มด ทำงานบริษัท สองทีแถมที(TT@T) มีหลานให้ปู้แล้ว เป็นหญิง ชื่อ"ยูริ" เป็นชื่อญี่ปุ่นตามพ่อ คนสุดท้องชื่อ"น้องเกด" ไม่ทราบว่าใครเป็นคนตั้งชื่อ เพราะเป็นหลานสาว พี่ป้าน้าอาย่ายาย แย่งกันตั้งชื่อ เป็นสาวสวยในอดีต ปัจจุบันลูกเขยเขาบอกว่าปีหน้าจะส่งเข้าประกวดธิดาช้างให้ได้ ทำงานเกี่ยวโทรศัพท์มือถือ มีหลานตาสองคน คือ "กันดั้ม" กับ"กุ้งกิ้ง" เข้าไปดูใน Blog Pinksnail เมื่อลูกๆมีครอบครัวหมดแล้ว พ่อเลยเหงา ต้องอยู่กับหมา และต้นไม้ คิดถึงลูกหลานวันไหน ก็จะไปเยี่ยม
Create Date : 14 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 14 มกราคม 2551 19:36:08 น. |
| |
Counter : 322 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
ครูเกษียร |
|
 |
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
อาชีพ เป็นครูประมาณ 10 ปี ภายหลังเปลี่ยนสายงานเป็นผู้บริหารการศึกษา แต่ปัจจุบันเกษียณแล้ว ช่วงเป็นผู้บริหารการศึกษา ย้ายไปหลายจังหวัดตั้งแต่นราธิวาส ไปเรื่อยๆ เกษียณที่จังหวัดอุบลราชธานี
|
|
|