ว่าด้วยการมอง
การ"มอง" มีหลายทัศนคติ หลายๆคนอาจจะบอกว่า มองได้ตั้งแต่เกิด แต่ทราบหรือไม่ว่า คนเรากว่าจะมองชัดก็ต้องหลายวันหลังคลอด กว่าจะมองชัด แยกสีรับรู้สีได้ ก็นานกว่านั้น หลายปี ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ การมองต้องมองให้ดีและมองให้ถูกกาละเทศะ ถ้ามองไม่ดีอาจจะเจอดีได้ ธรรมชาติบอกให้เรามองให้มาก แล้วคิดให้ดี ก่อนที่จะพูดหรือระบายออกมา (จะเห็นได้จากมี สองตา แต่ หนึ่งปาก) การ "มอง" ที่เป็นกลยุทธ์ ยกตัวอย่างเช่น ซุนวู บอกไว้ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" ก็ขึ้นอยู่กับการมองอีกเช่นกันว่า "มอง"ขาดหรือไม่ มองในเรา และเขาทุกปัจจัย ทุกมุมมอง "มอง" ทั้งปัจจุบัน และผลที่จะเกิดในอนาคตด้วยหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า เรา"มอง"ได้บรรลุ ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคในการประสบความสำเร็จในชีวิต การ"มอง"มีหลายด้าน 1.มองจากภายนอก เป็นการมองจากตา ภาษาพระเรียกตาเนื้อ (ที่อยู่บนหน้า ตำแหน่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้คิ้ว) คนส่วนใหญ่มักจะมองคนจากตาดวงนี้ และใช้ข้อมูลจากตาดวงนี้เกือบทั้งหมดในการตัดสินใจ 2.มองจากภายใน คนทุกคนมีตาภายใน ตาภายในหรือจิตวิญญาณ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การเรียนรู้ ลักษณะนิสัยเฉพาะบุคคล ผู้ที่มีความคิดก้าวหน้าจะใช้ตาดวงนี้ประกอบการตัดสินใจ (แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตาม)จะเห็นได้ว่าการมองมีหลายแบบ หลายทัศนคติ แล้วคุณล่ะ มีความเห็นเกี่ยวกับการมองแบบไหนการมองที่ดี ไม่ได้หมายความว่า มองดีแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตนะครับ มองที่ดี ต้อง "ทำ" ดีด้วย แล้ว"ทำ" อย่างไรให้ดี และ "ทำ" มีกี่แบบ แล้วเจอกันในบทต่อไปนะครับมอง เธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง หากเธอไม่สวยฉันจะไม่มองหากเธอไม่แจ่ม ฉันจะไม่จ้อง ฉันจะไม่มองให้หัวใจเต้น..พักตร์เธอสวยแจ่มดั่งจันทร์เพ็ญ ฉันแทบช็อคตาย เพราะใจเต้นถ้าหากไม่เห็นฉันคงไม่มอง ไม่ มอง มอง เธอ เธอสวยน่ารักฉันจึงได้มองต่อให้เทวีที่อยู่บนฟ้า ต่อให้สีดาก็ยังเป็นสองต่อให้ไซซีที่โลกยกย่อง ถ้าเจอะกันสองต่อสองฉันว่าพระอินทร์ยังต้องมองเธอ
อยู่เป็นคู่ได้อย่างไร เมื่อนิสัยต่างกัน
เมื่อชีวิตของคนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ไม่มีใครคิดฝันว่าเมื่ออยู่กันไปนานๆ แล้ว จะเกิดปัญหาตามมา ทุกคู่แทบไม่มีใครคิดถึงปัญหาล่วงหน้าต่างคิดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ในความเป็นจริงของชีวิต มักจะไม่เหมือนกับความคิดของเราเสมอไป บางครั้งก็อาจจะมีความสุขมากกว่าที่คิด แต่ส่วนมากมักจะทุกข์ มากกว่าที่คิดซะมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะช่วงเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เรามักจะฝันจะคิดถึง แต่เรื่องที่ประเทืองความสุข ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องความทุกข์ เมื่อมาใช้ชีวิตจริง ปกติธรรมดาแล้วพบเรื่องทุกข์บ้าง ก็ต้องถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตอย่าไปคิด อะไรมาก... ความยากลำบากของชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกัน จนผันเป็นความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งของชีวิต คือ ความขัดแย้งกันระหว่างสามีภรรยา" ความขัดแย้งของสามีภรรยา ที่พบได้บ่อยๆ มากที่สุด จนอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีคู่ไหนหลีกหนีปัญหาข้อนี้ไปได้พ้นคือ... "ความขัดแย้งของการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในชีวิตประจำวัน" ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนสองคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ล้วนมีที่มาต่างกันไปแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา การคบหาสมาคมกับเพื่อน แต่ละคนต่างมีที่มาต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมาอยู่ด้วยกัน ย่อมมีความแตกต่างกัน ในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน เช่นเรื่อง "อุปนิสัยส่วนตัว" บางคนมีอุปนิสัยใจคอเป็นคนใจร้อนใจเร็ว อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้ดังใจทันที ถ้าช้านิดหน่อย จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อุปนิสัยแบบนี้ ตอนที่จีบกันอยู่ อาจไม่เคยหลุดออกมาให้ดูให้เห็นเพราะไม่มีโอกาสที่จะพบเหตุการณ์ ที่แสดงความใจร้อนออกมา แต่พอมาอยู่เป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ ทุกวันทุกคืน จะฝืนตัวเองยังไงไม่ให้ความใจร้อนหลุดออกมาบ้างเลยก็คงยาก คนที่เป็นคู่ชีวิตอยู่ด้วย ก็คงช่วยทำให้เขาใจเย็นลงไม่ได้ เพราะมันเป็นอุปนิสัยใจคอที่เปลี่ยนแปลงยาก ความลำบากใจ จึงตกมาอยู่กับคนที่อยู่ด้วย ถ้าทนความลำบากใจจากอุปนิสัยที่แตกต่างกันไม่ได้ ก็จะอยู่ไปอย่างไม่มีความสุข ผลสุดท้ายอาจถึงขั้นแยกย้ายทางใครทางมันก็ได้ เรื่องนี้มีทางเดียว คือ ต้องปรับจิตปรับใจของตัวเรา ให้ยอมรับเขาให้ได้ เมื่อพบเหตุการณ์ที่ทำให้เขาใจร้อน เมื่อไหร่เราก็ควรใจเย็น และใช้คำพูดคำจาที่เปรียบเสมือนน้ำเย็นเข้าลูบ คำพูดคำจาที่จะให้ออกมาต้องระมัดระวังให้ดี อย่าเป็นคำพูดที่เป็นเชื้อไฟ ให้ความใจร้อนใจเร็วและความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโหมแรงขึ้นไปอีก ไม่ควรเป็นคำพูดที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดเขาเชื่ออยู่ในขณะนั้น ควรจะพูดเออออห่อหมกกับเขาไปก่อน พูดง่ายๆ คือ พูดอะไรก็ได้ที่จะทำให้ถูกใจเขา ความใจร้อนโมโหโกรธาของเขาจะได้ลดลง ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปคำนึงถึงข้อเท็จจริง หรือเรื่องของเหตุเรื่องของผล หาทางทำให้คู่ของเราเย็นลงให้ได้ก่อนเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้า พอใจร้อนใจเร็วซาลงแล้ว ค่อยมาพูดกันด้วยเหตุด้วยผล ก็จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกันได้มากขึ้น ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ อย่าใช้การพูดเล่นเป็นน้ำเย็นเข้าลูบ เวลาที่อีกฝ่ายใจร้อน โมโหโกรธานั้น เขาไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นพูดหัวกับใคร หรือไม่มีกะจิตกะใจมาสนุกไปกับคำพูดเล่นของใครได้ ถ้าเราขืนพูดเล่นเพื่อหวังให้เขาเย็นลง จงจำไว้เถิดว่า เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ถ้าขืนทำกันจริง จะเท่ากับยิ่งเหมือนกับเอาน้ำมันราดใส่กองไฟ ยังไงยังงั้น ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบยังไงให้คู่ของเราเย็นลง ก็คงมีอีกวิถีทางหนึ่ง คือ "การเฟดตัวเองออกไปให้ไกลๆ สักระยะหนึ่ง" แต่ก็ไม่ต้องถึงกับออกนอกบ้านไปไหน อยู่ในบ้านนั่นแหละ และคอยชำเลืองดูให้เขาอยู่ในสายตาตลอดเวลาก็พอ เมื่อคนๆ หนึ่งใจร้อนใจเร็วโมโหโกรธา เขาอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่ ปล่อยให้เขาระเบิดออกมาให้เต็มที่ เพราะอีกไม่กี่สิบนาทีต่อมา มันจะค่อยๆ ซาลง เย็นลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นเขาเย็นลงเมื่อไหร่ เราค่อยเข้าไปเอาน้ำเย็นเข้าลูบ จะสัมผัสด้วยการจูบ การโอบกันบ้างเพื่อสร้างความอบอุ่นก็ไม่ผิดกติกาอันใด ชีวิตคู่ก็จะอยู่กันได้ต่อไป ถึงแม้อุปนิสัยใจคอจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดินก็ตาม อย่าปล่อยให้ความแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ มาคอยทำให้ชีวิตคู่หดหู่ ถ้าเราปรับจิตปรับใจซะหน่อย ก็จะมีชีวิตคู่อยู่กันอย่างอร่อยเหาะแน่นอน
โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
ของขวัญจากกาลเวลา
การประสบความสำเร็จแบบเขย่งก้าวกระโดด
การประสบความสำเร็จแบบเขย่งก้าวกระโดดกระบวนการก้าวไปสู่ความสำเร็จประกอบด้วยสิ่งสำคัญดังต่อไปนี้1.เป้าหมาย (Vision) คนเราถ้าไม่มีเป้าหมายก็ทำงานแบบสะเปาะสะปะ ทำให้เสียเวลา และไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้เลยว่า สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ สิ่งใดทำก่อน ทำหลัง เป็นต้น การตั้งเป้าหมายนี้สำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว คิดให้ดี ให้รอบคอบ ขั้นตอนนี้จะเน้นการคิดเป็นส่วนใหญ่ โดยจะต้องรู้ตัวตนของเราให้ได้มากที่สุด หลายคนอาจจเถียงว่า "ก็มองเห็นตัวตนในกระจกทุกวัน" แต่อยากจะถามว่าใครบ้างที่เข้าใจในจิตใจ จุดอ่อน จุดแข็ง ของตนเอง คนๆนั้นใช่คุณในเวลานี้ไหม ถ้าไม่ใช่ขอให้คุณไปหาความต้องการที่แท้จริง จุดเด่น และจุดด้อย โดยอาจจะมาจากการถามคนรอบข้างหรือการสังเกตตัวเองก็ได้ เมื่อสำรวจตนเองเสร็จ จากนั้นต้องคิดต่อด้วยแนวคิด ดังนี้ -มองโลกในแง่ดี -มีศรัทธาในตัวเอง เชื่อว่าเราทำได้-ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีใครทำเป็นมาตั้งแต่เกิด-ใฝ่หาบุคคลต้นแบบ เพื่อประหยัดเวลาในการคิด อาจจะเอาแนวทาง หรือวิธีคิดของเค้าคนนั้น มาปรับปรุงให้เป็นแนวทางของเรา โดยส่วนใหญ่เป้าหมายจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ความสามารถเฉพาะตัว ครอบครัว และการงาน เป้าหมายสามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ใหญ่ขึ้นได้ เมื่อเป้าหมายลุล่วง 2.การก้าวอย่างฉลาด (Mission) เมื่อมีเป้าหมาย ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนรวมไปถึงกำหนดวิธีการซึ่งไปยังเป้าหมายนั้น ๆอย่างชาญฉลาด โดยคิดอยู่เสมอว่า สิ่งที่วางแผนจะต้องไปในแนวทางที่จะส่งเสริมให้บรรลุซึ่งเป้าหมายโดยเร็วที่สุด 3.การมุ่งมั่นไปยังเป้าหมาย เมื่อคนเราทำอะไรบางอย่างก็อาจจะล้า หรือเหลิง จึงต้องมีการตรวจปรับความรู้สึกและการกระทำเป็นระยะๆ ส่วนจะบ่อยขนาดไหนก็คงขึ้นอยู่กับคุณเองว่า อยากจะประสบความสำเร็จเร็วขนาดไหน ขอให้มีสติ ย้ำเตือนอยู่กับตัวเองตลอดเวลา คิดว่านี่คือสิ่งที่อยากจะทำ อย่าคิดว่าคือภาระ เพราะตราบใดก็ตามที่คุณคิดว่าเป็นภาระ ความรู้สึกเหนื่อยล้าจะตามมา แต่ถ้าคุณคิดว่านี่คือสิ่งที่คุณอยากทำแล้วย่อยเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายเล็กๆ คุณก็จะสนุกกับมัน แล้วจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณประสบความสำเร็จ4.เดินทางไปด้วยการมองโลกในแง่ดีในการทำตามเป้าหมาย บางครั้งอาจจะเจอความผิดพลาดไปบ้าง อย่าวิตก เคยได้ยินไหมครับ ผิดเป็นครู(แต่ถูกเป็นนักเรียน :) ) พยายามแก้ไขสิ่งนั้นให้ดี อย่าจมกับปัญหา หาทางแก้ไขจากภายนอก จงจำไว้ว่า ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้หมกมุ่น แก้ไขปัญหาด้วยรอยยิ้ม แล้วเราจะพบรอยยิ้มจากปัญหา เก็บปัญหาและทางแก้เผื่อวันข้างหน้าเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าจะได้มีกำลังใจ ทำทุกวันให้มีความสุข รู้จักให้กำลังใจตนเอง ก่อนนอนให้บอกกับตัวเองว่า "วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ "5.หมั่นตรวจสอบเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการหลงทาง ควรดูเข็มทิศหรือตรวจสอบเป้าหมายกับสิ่งที่กำลังทำเป็นระยะว่า ใช่หนทางไปสู่เป้าหมายจริงๆหรือไหม รวมถึงตรวจสอบตัวเราเองด้วยว่าสิ่งที่ทำ ใช่เป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ หรือไม่ หากมีข้อผิดพลาดให้เก็บไว้เป็นความรู้เพื่อต่อไปจะได้ไม่เกิดปัญหานั้นอีก 6.การจดบันทึก ในการทำงานแต่ละวันขอให้มีการจดบันทึกและประเมินตนเอง บางครั้งข้อผิดพลาดในวันนี้อาจจะช่วยให้การทำงานในวันพรุ่งนี้เร็วขึ้นก็เป็นได้