รากหญ้าภูมิปัญญาไทย ฉบับของคนรากหญ้า ที่ถ่ายทอดให้สังคมได้รับรู้ความเป็นไป

คู่มือศึกษาม็อบต้านเผด็จการ ฉบับเปลว คนรากหญ้า



ท่านที่ติดตามสถานการณ์การเมืองมาอย่างต่อเนื่อง อาจบอกกับตัวเองได้ว่าเนื้อเรื่องกำลังดำเนินเข้าสู่บทที่ตื่นเต้นเร้าใจ นั่นคือ “มหกรรมม็อบขับไล่เผด็จการ” เนื้อหาสาระของม็อบขับไล่เผด็จการปี ๒๕๕๐ ไม่อาจจะนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์พฤษภา ๒๕๓๕ หรือ ตุลา ๒๕๑๖ เพราะว่า ต่างสถานการณ์ ต่างเงื่อนไข ต่างอุดมการณ์ ต่างกาลเวลา และธรรมชาติของม็อบก็ต่างกัน อีกทั้งคนที่เคยเป็นกรรมการกลางก็กลับกลายมาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคมช. นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของพันธมิตรฯเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก ยิ่งทำให้สถานการณ์มีความยุ่งเหยิงมากขึ้น งั้นลองมาสรุปสถานการณ์และความเป็นไปได้แยกออกเป็นข้อๆดังต่อไปนี้

๑) เนื้อแท้ของม็อบ – เงื่อนไขของการยึดอำนาจเมื่อกันยายน ๒๕๔๙ คือยึดอำนาจจากอธิปไตยของประชาชนที่มอบหมายให้กับกลุ่มทุนใหม่เป็นผู้ดำเนินการบริหารประเทศ (ประชาชนในที่นี้หมายถึงกลุ่มชนชั้นล่างในเมือง ชนรากหญ้าในชนบท และชนชั้นกลางบางส่วน ที่ตื่นตัวทางการเมืองและรักหวงแหนประชาธิปไตยอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน) ทั้งนี้เพื่อคงสถานะของชนชั้นสูงและชนชั้นศักดินาเอาไว้ โดยจัดวางยุทธศาสตร์ปักธงเหลืองบังคับให้ผู้คนในเมืองหลวงเลือกข้าง จึงมีปัญญาชนและนักวิชาการจำนวนมากไปเข้าด้วยกับฝ่ายเผด็จการ ดังนั้นเนื้อแท้ของม็อบที่มาต้านคมช.จึงไม่ใช่ปัญญาชนกับนักศึกษาอย่างที่เคยเป็นมา ม็อบในเมืองหลวงจึงเป็นชนชั้นล่างในเมืองและชนชั้นกลางบางส่วนที่นำโดยปัญญาชนที่อยู่ตรงข้ามกับคมช.และพันธมิตรฯ ขณะที่ม็อบตามหัวเมืองใหญ่ๆต่างจังหวัดเป็นชาวรากหญ้าที่เป็นฐานเสียงของทรท. ดังนั้นเนื้อเเท้ของม็อบคราวนี้จึงแตกต่างไปจากครั้งอดีต และมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าแกนนำทรท.บางส่วนคงเทหน้าตักลงมาเล่นเกมม็อบไล่เผด็จการคราวนี้ด้วย ถึงจะมีม็อบกลุ่มต่างๆหลากหลายองคาพยพ แต่ถือว่าเป็นฟากฝ่ายประชาธิปไตยเดียวกัน ที่ต้องการขับไล่เผด็จการออกไป แล้วจะสถาปนาอำนาจอธิปไตยของประชาชนคืนมาโดยผ่านเส้นทางการรื้อฟื้นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ๒๕๔๐

๒) ยุทธศาสตร์ของม็อบ – ม็อบที่เมืองหลวงจะเป็นเพียงหัวเชื้อเท่านั้น ม็อบของจริงที่มีพลังขับเคลื่อนจะเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน นั่นคือการเกิดขึ้นของม็อบที่ต่างจังหวัดหลายๆจุดพร้อมกันทั้งเหนือและอีสาน ห้วงเวลาที่ผ่านมานั้นแกนนำม็อบของจริงยังไม่ได้ออกมาเดินเกม ถ้าคนพวกนี้ออกมาเมื่อไร (คาดว่าต้นเดือนเมษายนนี่แหละ) เราจะได้เห็นพลังขับเคลื่อนของม็อบอย่างมหาศาล คนพวกนี้ไม่เคยกลัวทหาร มีกลไกการจัดการม็อบและควบคุมสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงได้อย่างเยี่ยมยุทธ์ สามารถพลิกแพลงสถานการณ์จากรับกลายเป็นรุกได้เพียงเสี้ยวนาที หากมีการประกาศพรก.ฉุกเฉินขึ้นมาเมื่อไร ก็จะเข้าทางม็อบต้านคมช.ทันที ผมเชื่อว่าแกนนำม็อบตัวจริงต่างภาวนาให้คมช.เร่งประกาศพรก.ฉุกเฉินด้วยซ้ำไป ยิ่งเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนจนนำไปสู่สภาวะมิคสัญญีขึ้นที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ จะยิ่งทำให้การจัดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำไปสู่เป้าหมาย ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะถ้ามีการปราบปรามปรามม็อบจะถูกนำมาขยายผลให้เป็นการปราบปรามประชาชน อันส่งผลให้เงื่อนไขสุกงอมพอดี



๓) ยุทธศาสตร์ฝ่ายคมช.- การออกมาให้ข่าวของหัวหน้าคมช.ว่า ขั้วอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลังสถานการณ์ที่สามจังหวัดภาคใต้ หัวหน้าคมช.ออกมาพูดทำไมตอนนี้ ถ้ารู้ตัวก็ออกหมายจับไปเลย นี่เป็นเกมตื้นๆที่อ่านกันไม่ยากเลย นั่นคือ หากว่ามีการก่อม็อบไล่คมช.จนมีเหตุการณ์แทรกซ้อนเลยเถิดไปจนถึงการเกิดความไม่สงบในเมืองหลวง หรือตามจังหวัดต่างๆ คมช.ก็จะโยนข้อหาไปที่ขั้วอำนาจเก่า ทรท.นั่นเอง ยุทธศาสตร์หลักในการต้านม็อบของฝ่ายคมช.จึงเป็นการบังคับใช้กลไกของฝ่ายปกครอง ตำรวจ และสุดท้ายกองกำลังทหาร (กองกำลังทหารมีไว้ในลักษณะป้องปราม ควบคุมประชาชนในพื้นที่ชุมชนต่างๆ และควบคุมเส้นทางสำคัญๆไม่ให้ม็อบสัญจรได้สะดวก ม็อบมืออาชีพจะไม่เดินบนถนนเส้นหลักหรอกครับ เดินข้างถนน หรือแม้กระทั่งดำดิน ก็ทำได้) นอกจากนี้คาดว่าฝ่ายคมช.จะมีการเตรียมการนำคนของตัวเองจำนวนหนึ่งแฝงเข้าไปในกลุ่มม็อบต้านคมช. และพร้อมที่จะออกคำลั่งในคนพวกนี้ก่อกวนสร้างความวุ่นวายสับสนขึ้นในหมู่ของม็อบ เพื่อโน้มนำให้เกิดสถานการณ์ที่เข้าทางคมช.เพื่อจะได้นำมาเป็นข้ออ้างในการจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับม็อบเช่นกัน เดิมพันมันสูงมาก ถ้าคมช.เสียท่าก็ไม่มีวันได้อยู่ในประเทศไทยได้อีกต่อไป ความสำเร็จของคมช.ในการต้านม็อบอยู่ที่การควบคุมกลไลข้าราชการฝ่ายปกครองและตำรวจให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งแกนนำม็อบตัวจริงก็รู้ช่องทางนี้เช่นกัน พวกเขาจะหาทางทำให้ข้าราชการเพิกเฉยต่อคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมของคมช. โปรดฟังอีกครั้งหนึ่งว่า แกนนำม็อบตัวจริงต้องการเผชิญหน้ากับกองกำลังทหาร ถ้าทหารเคลื่อนพลออกมาเมื่อไร นั่นเท่ากับว่า คมช.กำลังจะพ่ายแพ้ และถ้าหากทหารเคลื่อนพลเข้าปราบปรามหรือลั่นกระสุนปืนเข้าใส่ม็อบเมื่อไร คมช.เตรียมเเพ็คกระเป๋าบินไปเมืองนอกได้เลย

๔) ก๊กที่สามที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งขิง - ถ้าหากจะมีการแตกหักกันเพียงสองฝ่ายคือ ม็อบต้านคมช. กับฝ่ายคมช. สถานการณ์คงจะไม่ยุ่งยากนัก สามารถมองเกมเพียงสองมิติก็จะอ่านสถานการณ์ได้ไม่ยาก แต่นี่ดันมีฝ่ายที่สามคือพันธมิตรฯที่หนุนหลังคมช.บางคนอย่างเปิดเผยเข้ามาร่วมด้วย พันธมิตรฯก็แตกคอกันเอง ไม่ได้ร่วมรักสามัคคีกันดังแต่ก่อน ถ้ากล่าวถึงพันธมิตรฯในตอนนี้ ให้หมายถึงหัวหน้าของพวกเขา(ไม่อยากออกชื่อ)และสาวกผจก. ตอนนี้หัวหน้าพันธมิตรฯก็แทบจะไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ดิ้นพราดๆตลอดเวลา และกำลังแปรพักตร์ไปจากสายป๋า เป็นไปได้อย่างสูงว่าเมื่อสถานการณ์กำลังมั่วซั่วสับสน พันธมิตรฯจะอาศัยความได้เปรียบจากความชำนาญเกมการเมืองก่อการอะไรบางอย่าง และหนุนหลังใครบางคนให้ยึดอำนาจ เพื่อที่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเสียที เช่นเดียวกันกับแกนนำม็อบตัวจริงที่ไม่กลัวทหาร แกนนำม็อบพันธมิตรก็ไม่กลัวทหารเช่นกัน และรู้จุดอ่อนของทหารเป็นอย่างดี การมีมีก๊กที่สามเข้ามาเกี่ยวด้วยนี่ ทำให้สถานการณ์มันยุ่งยากและอ่านเกมได้ยากลำบาก กลายเป็นเกมสามมิติไปเลย

๕) การก่อตัวของฝ่ายที่สี่ - เมื่อสถานการณ์งวดเข้ามาทุกที เราจะได้เห็นการรวมกลุ่มกันของนายทหารที่ไม่ใช่สายป๋า ที่รวบรวมกำลังทหาร ตำรวจและข้าราชการจำนวนมาก เพื่อกอบกู้สถานการณ์ของบ้านเมือง เพราะถ้าหากม็อบต้านคมช.เป็นฝ่ายชนะ กองทัพจะไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป หรือถ้าหากฝ่ายพันธมิตรสามารถช่วงชิงความได้เปรียบสนัยสนุนให้ใครบางคนยึดครองอำนาจไว้ได้ ประเทศของเราก็จะเป็นเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบไปทันที หรือถ้าฝ่ายคมช.ยังเหนียวแน่น ยึดครองอำนาจได้ต่อไป บ้านเมืองก็มีแต่ถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ ส่งผลผู้คนยากเเค้นลำเค็ญกันทั้งประเทศ ขณะที่ชนชั้นสูงเพียงหยิบมือเดียวที่ควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศและเสวยสุขกัน ดังนั้นฝ่ายที่สี่จึงน่าจะมีบทบาทหลังจากที่ฝุ่นควันทางการเมืองเริ่มจางเพื่อควบคุมสถานการณ์ของประเทศชาติและมีแนวโน้มสูงเป็นอย่างยิ่งว่า ฝ่ายที่สี่นี้จะจับมือกับฝ่ายม็อบต้านคมช.



๖) อำนาจที่มองไม่เห็น – ในที่นี้ขอกล่าวถึงอำนาจที่มองไม่เห็นจากต่างประเทศเท่านั้น อเมริกา นั่นเอง คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้กันหรอกว่า การอยู่รอดปลอดภัยของเผด็จการทหารตัวเอ้ๆในประเทศไทยไล่กันมาตั้งแต่ จอมพลป. เผ่า สฤษดิ์ ถนอม ประภาส ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐–๒๕๑๖ (แม้แต่ยุครัฐบาลเปรมด้วย) ล้วนแต่เป็นการหนุนหลังของอเมริกาทั้งสิ้นทั้งปวง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และฐานทัพของอเมริกัน โดยที่อเมริกาไม่สนใจหรอกว่าเผด็จการเหล่านั้นจะกดขี่ รีดนาทาเร้น หรือโขกสับประชาชนอย่างไร อเมริกาไม่สนใจว่าเผด็จการมันจะโกงกินกันอย่างมโหฬารอย่างไร นี่คือเรื่องจริง แม้เเต่ตอนนี้ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่ความรุนแรงกระพือโหมลุกไหม้อย่างไม่ยอมเลิกลานั้น เชื่อกันว่าเป็นการเเทรกแซงของซีไอเอจากอเมริกาเช่นกัน ถ้าอเมริกาถือหางฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็สามารถพลิกเป็นฝ่ายชนะได้โดยง่าย นี่คือปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เป็นไปได้อย่างสูงว่าอเมริกาไม่ค่อยพึงพอใจต่อคมช.สักเท่าไรนัก

๗) ดำน้ำพยากรณ์ - ความอึมครึมสับสนจะสะเด็ดน้ำภายในเดือนพฤษภาคมนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟที่ก่อติดเรียบร้อยเเล้ว ถ้ามีการใส่จำนวนฟืนที่มากพอเข้าไปในกองไฟ อย่างถูกที่ ถูกจังหวะเวลา ถูกสถานการณ์ ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าอาจจะเเตกหักกันเร็วๆนี้ แต่ก็เป็นไปได้สูงเช่นกันว่าม็อบรอบนี้เป็นเพียงการโหมโรง เพื่อที่จะก่อการยืดเยื้อไปจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะแตกหักกันตอนนั้น เนื่องจากปัจจัยเร่งทางเศรษฐกิจที่ล้มเหลว วิกฤติรัฐธรรมนูญ วิกฤติความชอบธรรมของผู้ปกครองประเทศ และวิกฤติปัญหาภาคใต้ จะเป็นฝีกลัดหนองที่รอวันแตกในเดือนตุลาคมพอดี แต่ยิ่งยืดเยื้อยาวนานไปเท่าไร ประเทศชาติก็ยิ่งบรรลัยหนักเท่านั้น อยากจะให้สัประยุทธ์กันให้รู้ผลไปเลย ประเทศจะได้ตั้งต้นใหม่กันเสียที



๘) บทส่งท้าย – จุดจบแบบ รสช.นั้นมันดีเกินไปสำหรับพวกคมช. เพราะรสช.ยังเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมไทยได้ แถมยังได้รับบำเหน็จบำนาญอีกด้วย คมช.และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มันต้องจบแบบไม่มีแผ่นดินอยู่ เพราะก้อนดินที่แผ่นดินสยามมีค่าสูงเกินกว่าที่จะนำไปกลบหน้าของคนพวกนี้ - พวกโจรโฉดใช้กำลังเข้ามาล้มล้างรัฐธรรมนูญของประชาชน ยึดกุมอำนาจปกครองประเทศแล้วยังไม่พอ ยังกลับใช้กลไกของรัฐ สร้างวาทกรรมผ่านสื่อของรัฐและเอกชน เนรมิตให้พวกมันกลายเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ เป็นพวกมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองต่อไป – พวกที่สนับสนุนให้โจรโฉดเข้ามาใช้กำลังล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้วยังไม่สาแก่ใจ คนพวกนี้ยังดูหมิ่นดูแคลนสติปัญญาของประชาชนและสร้างความแตกแยกให้กับสังคม เนรมิตตัวเองให้กลายเป็นคนที่สร้างภูมิปัญญาให้กับคนไทย ล้างสมองลูกหลานคนไทยกันทั้งโครตพันธุ์ เหตุใดบ้านเมืองของเราจึงได้วิปริตกันได้ถึงเพียงนี้

หยุดความวิปริตในประเทศชาติของเราเสียแต่วันนี้ หยุดพวกโจรโฉดปล้นประชาธิปไตย หยุดพวกสนับสนุนโจรโฉดปล้นประชาธิปไตย หยุดคมช. หยุดพันธมิตรฯ ต้องลากตัวพวกทรราชย์ของเเท้ที่ร่วมกันปล้นประชาธิปไตยไปขึ้นศาลประชาชน ต้องปฎิรูประบบราชการและกองทัพให้เป็นข้าราชการและกองทัพของประชาชน ต้องมีความเสมอภาคของประชาชนในการศึกษา การทำมาหากิน เสรีภาพ ฯลฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน




 

Create Date : 30 มีนาคม 2550   
Last Update : 30 มีนาคม 2550 10:01:22 น.   
Counter : 602 Pageviews.  

กว่าจะมาเป็น“ผู้ไท”บนผืนแผ่นดินไทย



ชี้ชวน - ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยมีความทรงจำที่งดงามกับผู้สาวเชื้อสายผู้ไทแห่งเมืองสกลนครนางหนึ่ง ด้วยความรักและความพิสวาทต่อนางอันเป็นที่รัก ความประทับใจต่อศิลปะและวัฒนธรรมของชาวผู้ไท จึงได้สอบถามและมานะสืบค้นเรื่องราวความเป็นมาของพวกเขา ซึ่งพบว่าช่างน่าประทับใจราวกับเป็นเรื่องของเทพนิยายก็มิปาน กาลต่อมาแม้นว่าจำต้องมีอันจำพราก มิได้ครองคู่กัน แต่ความรู้สึกอันดีงามยังคงบานสะพรั่งอยู่ในหัวใจตราบจนกระทั่งบัดนี้ นี่เป็นความเชื่อและความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผู้เขียนมิได้เล่าเรียนมาทางด้านนี้ หากข้อเขียนมีบกพร่องประการใดต้องขออภัยไว้ด้วย หากมีสิ่งที่ดีอยู่บ้างขออุทิศให้กับชาวผู้ไทผู้แสนดีและความดีงามของผู้สาวผู้ไทนางหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา

เปิดเรื่อง ขอเปิดเรื่องด้วยบทเพลง “หนาวลมที่เรณู” ที่ขับร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ ความยาว ๓.๒๔ นาที [คลิกเปิดเพลง //img477.imageshack.us/my.php?image=sornkirirenunakornup9.swf] อยากสมมติให้คุณอยู่ในภวังค์ของค่ำคืนอันเหน็บหนาว อ้างว้าง และเปล่าเปลี่ยว อยากจะท้าทายท่านผู้อ่านว่าท่านมีจิตใจที่เข้มแข็งขนาดไหนด้วย intro melody ของบทเพลงนี้ที่มีความยาว ๕๖ วินาที ผมเชื่อว่าจะสะกดคุณให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ดั่งเหมือนต้องมนต์ขลัง บางท่านอาจรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงไวโอลินนั้นช่างหวานบาดลึก บางท่านที่มีความหลังฝังใจอาจรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจและเหงาจนอยากให้ใครสักคนมาอยู่เคียงใกล้ บางท่านอาจรำลึกถึงใครบางคนที่เก็บซ่อนเร้นไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ เมื่อนั้นขอบหางตาของคุณอาจรื้นชื้นขึ้นมาโดยพลัน

บทเพลงนี้ - กล่าวขานถึงเรื่องราวพิสวาทฝังใจของเจ้าหนุ่มต่างแดนที่ประสบพบรักกับสาวผู้ไทที่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม “เรณูนครถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง ได้พบนวลนางดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง น้องนุ่งซิ่นไหมไว้ผมมวยสวยเพริดพริ้ง พี่รักเจ้าแล้วแท้จริงสาวเวียงพิงค์แห่งแดนอีสาน” แค่ท่อนเเรกของบทเพลงก็บรรยายให้เห็นภาพแล้วว่านางเอกนั้นเป็นใครเเละมีความงดงามเพียงใด ชาติกำเนิดของเธอเป็นผู้สาวเผ่าผู้ไท เป็นที่ทราบกันดีว่าผิวงามและรูปโฉมสะคราญนัก ครูเพลงเหมือนจะสื่อเป็นนัยให้ผู้ฟังจินตนาการว่าพระเอกน่าจะพบกับนางเอกที่งานบุญสักแห่งหนึ่ง เพราะการที่เจ้าหนุ่มต่างแดนจะได้พบกับสาวเจ้าถิ่นในเหตุการณ์ที่สาวเจ้าแต่งชุดซิ่นไหมไว้ผมมวย จนกระทั่งผูกสัมพันธ์กันได้นั้น จะต้องเป็นงานบุญหรืองานมงคลอย่างใดอย่างหนึ่ง



ท่อนที่สอง “เราเคยสัมพันธ์พลอดรักเมื่อคราหน้าหนาว คืนฟ้าสกาวเหน็บหนาวน้ำค้างเหลือนั่น เพราะได้เคียงน้องถึงต้องหนาวตายไม่ไหวาดหวั่น รุ่งลางต้องร้างไกลกันสุดหวั่นไหวก่อนลา” บทเพลงสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจนว่า สัมพันธภาพระหว่างเจ้าหนุ่มต่างแดนกับผู้สาวภูไทคนงามเป็นไปอย่างลึกซึ้ง ถึงขนาดว่าได้ร่วมกันผ่านค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาด้วยกัน แล้วมีอันต้องจำพรากจากกันเมื่อยามรุ่งอรุณ ถือว่าเป็นความลุ่มลึกของผู้เขียนบทเพลงที่มิได้ใส่รายละเอียดไปมากกว่านี้ อันเป็นการเปิดช่องให้กับผู้ฟังจินตนาการไปได้หลายทาง และมิได้เป็นประเด็นพาดพิงให้ผู้สาวต้องเสียหาย

ท่อนที่สาม “ผ้าผวยร้อยผืนไม่ชื่นเหมือนน้องอยู่ใกล้ ดูดอุร้อยไหไม่คลายหนาวได้หรอกนา ห่างน้องพี่ต้องหนาวนักอุรา คอยนับวันเวลาจะกลับมาอบไอรักเรา” เป็นความชาญฉลาดของครูเพลงที่ยกเอาเอกลักษณ์ของชนเผ่าผู้ไทมาใช้เปรียบเทียบในเนื้อเพลงว่า ไออุ่นที่ได้รับจากการห่มผ้าผวย (ผ้าห่มของชาวอีสาน) และการดื่มอุ (สาโทดีๆนี่เอง) ว่ามิอาจเทียบได้กับไออุ่นที่ได้รับจากผู้สาว เป็นการตอกย้ำว่าสาว-หนุ่มคู่นี้มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งดูดดื่ม จนเชื่อได้ว่า ยามเมื่อจากกันมาไกลแสนไกล ย่อมจะต้องมีความห่วงหาอาวรณ์กันจริงๆ อันมีผลให้บทเพลงนี้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้ฟังเพลงตลอดมา

ท่อนส่งท้าย “เย็นลมเหมันต์ผ่านผันยิ่งพาสะท้อน โอ้น้องบังอรก่อนนั้นเคยคลอเคียงเจ้า ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนมยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์โอ้เเม่สาวเรณู” ครั้นเหมันตฤดูผ่านมาอีกครา สายลมหนาวพัดมาต้องผิวกาย ถึงกับทำให้เจ้าหนุ่มถวิลหาผู้สาวผู้ไทโฉมสะคราญ พาให้นึกถึงความหฤหรรษ์คราที่เคยคลอเคลียกันที่งานบุญประจำปีฉลองพระธาตุพนม ถ้าหากว่าครูเพลงมิได้กล่าวถึงพระธาตุพนมอันเป็นฉากหลังของมนต์รักที่เกิดขึ้น มนต์ขลังของบทเพลงนี้จะลดลงไปอย่างน่าใจหาย มนต์ขลังชองบทเพลงนี้พออนุมานได้ว่า ตราบเท่าที่พระธาตุพนมยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยอีสานและชาวลาวฝั่งซ้ายเเม่น้ำโขง ตราบนั้นผู้คนที่ถวิลหาความไพเราะจากบทเพลง ”หนาวลมที่เรณู” ย่อมนึกถึงมนต์รักของคู่สาว-หนุ่มที่มีพระธาตุพนมเป็นฉากหลังนั่นแล



กว่าจะมาเป็นผู้ไทบนผืนแผ่นดินไทย
แต่ครั้งกาลนานมาแล้ว มีชนเผ่าที่เรียกตนเองว่า “ผู้ไท” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานเขียนว่า "ผู้ไทย" หรือบางแห่งเขียนว่า “ภูไท”) ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินบนดินแดนทางตอนเหนือของประเทศลาวและเวียตนาม และติดกับตอนใต้ของประเทศจีน ชนเผ่าผู้ไทดังกล่าวมี ๒ พวกคือ ผู้ไทดำที่นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและสีคราม ครอบครอง ๘ หัวเมือง และผู้ไทขาวที่ชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว ครอบครอง ๔ หัวเมือง รวมเป็นทั้งหมด ๑๒ หัวเมือง จึงได้ขนานนามเเว่นเเคว้นเเห่งนี้ว่า "สิบสองจุไทย" โดยมีศูนย์กลางของการปกครองอยู่ที่เมืองแถง แคว้นสิบสองจุไทนี้ตั้งอยู่ชิดใกล้กับแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของประเทศจีน อันว่าแคว้นสิบสองจุไทนั้นเคยเป็นดินแดนที่อยู่ในความครอบครองของราชอาณาจักรไทยมาช้านานในฐานะเมืองประเทศราช แต่มีอันต้องสูญเสียให้กับประเทศฝรั่งเศสไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ จากกรณีพิพาททางการเมืองระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส เหตุผลเพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชของดินแดนส่วนใหญ่สยามประเทศเอาไว้นั่นเอง

การอพยพครั้งแรกของชนเผ่าผู้ไท : การละถิ่นฐานจากเมืองแถง แคว้นสิบสองจุไท
การละทิ้งถิ่นฐานจากบริเวณเมืองแถงของชนเผ่าผู้ไทดำครั้งแรกนั้น มีสาเหตุมาจากการรุกรานของกลุ่มผู้ไทขาว ที่ขยายอำนาจจนสามารถครอบครองหัวเมืองได้ถึง ๑๑ หัวเมือง พร้อมทั้งประกาศตนไม่ยอมขึ้นกับเมืองแถง ส่งผลให้ผู้ไทดำต้องอพยพลงสู่ดินแดนที่ราบสูงทางตอนใต้เรียกว่า “หัวพันทั้งห้าทั้งหก” อันมีเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูเป็นหัวเมืองหลัก ครั้นต่อมาต้องประสบปัญหาขัดเเย้งกับชนพื้นเมืองเดิม และทุพภิกภัยที่เกิดจากฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลก่อให้เกิดความแห้งแล้ง จึงได้อพยพอีกครั้งมาตั้งถิ่นฐานที่บริเวณที่ราบเชียงขวาง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศลาว) โดยมีเมืองเชียงขวางเป็นศูนย์กลาง ผู้ไทดำได้ทำมาหากินอย่างสงบสุขเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี



ลุถึง พ.ศ. ๒๓๒๑ - ๒๓๒๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระบัญชาให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) กับเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำทัพไทยสองหมื่นคนไปตีหัวเมืองลาวตั้งแต่นครจำปาศักดิ์จนถึงนครเวียงจันทน์ กองทัพไทยล้อมเวียงจันทน์ราว ๔ เดือนเศษ จึงสามารถตีหักเอานครเวียงจันทน์ได้สำเร็จ หลังจากนั้นทางการของไทยได้ผนวกประเทศลาวทั้งหมดเป็นเมืองประเทศราช ในการศึกครั้งนี้เมืองหลวงพระบางได้ส่งกองทัพมาช่วยไทยตีเวียงจันทน์ด้วย ภายหลังจากตีกรุงเวียงจันทน์แตก ฝ่ายไทยได้ให้กองทัพหลวงพระบางเคลื่อนพลไปตีหัวเมืองทางด้านตะวันออกของหลวงพระบาง อันมีผู้ไทดำครองเมืองอยู่คือเมืองทันต์และเมืองม่วย สมเด็จพระเจ้าตากสินรับสั่งให้กวาดต้อนผู้ไทดำ (ลาวทรงดำ) เหล่านี้ไปตั้งบ้านเรือนที่เมืองเพชรบุรี (บางส่วนน่าจะย้ายไปอยู่ที่ราชบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรีและบางจังหวัดในภาคกลาง เรียกกันว่าลาวโซ่ง) ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ผู้ไทขาวส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่เมืองแถงในแคว้นสิบสองจุไท จึงไม่ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ผู้ไทดำจากสองเมืองนี้นับว่าเป็นผู้ไทระลอกแรกที่ถูกกวาดต้อนเข้าสู่ประเทศไทย (เป็นกลุ่มที่มิได้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่ภาคอีสาน) นับว่าเป็นกุศโลบายที่สำคัญของฝ่ายชนะศึกที่จำต้องการกวาดต้อนผู้คนของฝ่ายแพ้ศึกมาด้วย เพื่อเป็นการตัดทอนมิให้ฝ่ายพ่ายศึกสามารถซ่องสุมรี้พลขึ้นมาแข็งข้อในภายหน้าได้ อีกทั้งเชลยศึกที่กวาดต้อนมานั้นก็นำมาปูนบำเหน็จให้กับเเม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบ เพื่อให้ไปช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมืองกันต่อไป

การอพยพระลอกที่สอง : จากเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูเข้าสู่เมืองวัง
“ท้าวก่า” หัวหน้าของผู้ไทยดำได้เกลี้ยกล่อมชาวผู้ไทดำราวหมื่นคนเศษ ให้อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของเจ้าอนุวงศ์หรือเจ้าอนุรุธแห่งนครเวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์ได้โปรดให้ไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองวัง อันเป็นพื้นที่ป่าดงและมีภูเขาตามที่ชาวภูไทยถนัดทำกินในการปลูกข้าวไร่และทำสวนผลไม้ ต่อมาท้าวก่าและสมัครพรรคพวกได้เแย่งชิงอำนาจในการปกครองเมืองวังกับชนพื้นเมืองเดิมคือ “พวกข่า” โดยทำการเสี่ยงบุญวาสนาแข่งขันยิงลูกหน้าไม้ให้ติดหน้าผา ปรากฎผลว่าลูกหน้าไม้ของฝ่ายท้าวก่าซึ่งติดขี้สูดสามารถยิงติดหน้าผาได้ชัยชนจากการประลอง (ท้าวหนู น้องชายของท้าวก่าเป็นผู้แสดงฝีมือ) แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่เหนือกว่าของชนเผ่าผู้ไท ท้าวก่าได้รับการแต่งตั้งเป็น “พญาก่า” ปกครองเมืองวังขึ้นตรงต่อเวียงจันทน์ ทั้งนี้ต้องส่งพร้า มีดโต้และขวาน เป็นเครื่องบรรณาการต่อกรุงเวียงจันทน์ปีละ ๕๐๐ เล่ม และต้องส่งขี้ผึ้งหนัก ๒๕ ชั่ง เป็นบรรณาการแก่เจ้าเมืองญวนด้วย



ลุถึง พ.ศ. ๒๓๓๕ - ๒๓๓๘ (ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เมืองแถงและเมืองพวนได้เเข็งข้อ กองทัพเวียงจันทน์ได้เคลื่อนพลเข้าตีเมืองทั้งสองและได้กวาดต้อนผู้ไทดำและลาวพวน เป็นเชลยส่งมาที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีรับคำสั่งให้ผู้ไทดำไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรี แต่พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์กล่าวว่า ญวนตังเกี๋ยยกกองทัพมาตีเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕ เกิดการรบที่เมืองพวน กองทัพญวนถูกทัพฝ่ายเวียงจันทน์ตีแตกไป กองทัพเวียงจันทน์จึงกวาดเอาครอบครัวชาย–หญิงใหญ่น้อยส่งมากรุงเทพฯ สี่พันคนเศษ หลักฐานชิ้นนี้ไม่ได้ระบุชื่อเมืองแถงและเมืองพวนที่ได้แข็งข้อกับเวียงจันทน์ แต่การที่เวียงจันทน์กวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองพวนส่งมายังกรุงเทพฯ อาจเป็นไปได้ว่าเมืองพวนมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ทางการไทยจึงได้หาทางระงับเหตุโดยชิงกวาดต้อนพวกนี้ตัดหน้าฝ่ายญวนเสียก่อน

การอพยพระลอกที่สาม : จากเมืองวังสู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง
ครั้นปักหลักปักฐานที่เมืองวังได้แล้ว “พญาก่า” ได้บุตรกับนางลาว ๓ คน คือท้าวคำ (ซึ่งตายแต่เล็ก) ท้าวก่ำ และท้าวแก้ว ก็เกิดเรื่องระหองระเเหงในการแต่งตั้งตำแหน่ง พระอุปฮาต (พระอุปราช) กระทั่งพญาก่าสิ้นชีวิต น้องชายคนรองของพญาก่าคือ “ท้าวหนู” ซึ่งเป็นคนที่ยิงลูกหน้าไม้ชนะพวกข่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พญาบุญชุน เจ้าหาญซี่งเป็นน้องชายคนถัดไปได้เป็นเป็น “พระอุปฮาต” ครั้นพญาบุญชุนถึงแก่กรรมแล้ว เจ้าหาญอุปฮาตก็ได้เป็นเจ้าเมืองและได้บรรดาศักดิ์เป็น “พญาลานคำ” เมื่อพญาลานคำถึงแก่กรรม เจ้าวังน้อยบุตรพญาลานคำ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองและได้บรรดาศักดิ์เป็นพญาวังน้อย พญาวังน้อยมีบุตร ๓ คน คือเจ้าแก้ว เจ้าก่า หรือ กล้า และเจ้าเขืองคำ เมื่อพญาวังน้อยสิ้นไปแล้ว เจ้าก่าได้เป็นเจ้าเมืองและได้บรรดาศักดิ์เป็นพญาก่า พญาก่ามีภรรยา ๒ คน คือนางสีดาเป็นชาวผู้ไทมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ เจ้าน้อย เจ้าลี และเจ้าลุน ส่วนภรรยาคนที่สองเป็นชาวข่าชื่อนางมุลซา มีบุตรด้วยกัน ๑ คน ชื่อ เจ้าก่ำ เมื่อพญาก่าถึงแก่กรรม นางมูลซาเป็นผู้มีอิทธิพลต้องการให้เจ้าก่ำบุตรชายเป็นเจ้าเมืองแทน แต่ชาวผู้ไททั่วไปต้องการเจ้าลีเป็นเจ้าเมือง เพราะมีนิสัยอ่อนโยนโอบอ้อมอารี แตกต่างจากเจ้าก่ำที่มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่ชอบ

ท่ามกลางความขัดแย้งของการแย่งชิงอำนาจปกครองเมืองวังกำลังครุกรุ่นอยู่นั้น (ราว พ.ศ. ๒๓๘๔ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประเทศลาวตกอยู่ในสถานะประเทศราชของไทย เมฆหมอกแห่งความยุ่งยากได้ทวีเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากเวียตนามพยายามแผ่อำนาจเข้ามาในลาว เพื่อช่วงชิงประเทศลาวไปจากฝ่ายไทย ชนเผ่าผู้ไทซึ่งถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยของลาวต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในการเลือกข้าง ยิ่งทำเลที่ตั้งของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับเขตแดนของเวียตนาม ยิ่งสร้างหวาดระแวงต่อฝ่ายไทยยิ่งขึ้นไปอีกว่าว่าฝ่ายผู้ไทนั้นจะเลือกข้างอย่างไร ในปีนั้นเองพระมหาสงครามแม่ทัพไทยพร้อมด้วยอุปราชแห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้ยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองขึ้นของเวียงจันทน์ ส่งผลให้ชาวผู้ไทในเมืองวังต้องผนึกกำลังกันสู้พลางหนีพลาง จนเข้าไปอาศัยในดินแดนญวน กองทัพไทยเข้าทำลายเมืองวังเสียย่อยยับ หลังจากนั้น “เจ้าราชวงศ์อิน” เชื้อสายเดิมของเมืองมหาชัยกองแก้ว ได้เกลี้ยกล่อมเจ้าลีพร้อมด้วยครอบครัวและไพร่พลชาวผู้ไท ให้อพยพข้ามโขงเข้ามาอาศัยอยู่ที่เมืองสกลนคร



ย้อนหลังไปที่ห้วงเวลาระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๙ – ๒๓๗๑ กองทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ได้เดินทัพลงใต้ หมายจะมาตีกรุงเทพฯ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เส้นทางเดินทัพของเจ้าอนุวงศ์ต้องมาสะดุดเพียงแค่โคราช พ่ายศึกต่อทัพของย่าโม - ท้าวสุรนารี สถานการณ์พลิกกลับกลายมาเป็นฝ่ายกบฎในเวลาต่อมา ครั้งนั้นฝ่ายไทยได้ระดมพลปราบปรามเจ้าอนุวงศ์อย่างโหดร้าย เผานครเวียงจันทน์เสียราบเรียบ เผาแม้กระทั่งวัดวาอาราม เหลือแต่วัดพระแก้วกับวัดศรีสะเกษเท่านั้น ทรัพย์สินเงินทองและอาวุธยุโธปกรณ์ของเวียงจันทน์ถูกฝ่ายไทยกวาดไปหมด พร้อมทั้งกวาดต้อนราษฎรเวียงจันทน์ไปจนเกือบจะเป็นเมืองร้าง เพราะฝ่ายไทยไม่ต้องการให้เวียงจันทน์ตั้งตัวแข็งข้อเป็นกบฏกับไทยได้อีก ขณะที่ฝ่ายญวนที่ต้องการขยายอำนาจเข้ามายังลาวและเขมร ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโอบอุ้มเจ้าอนุวงศ์เป็นอย่างดี อันนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างไทยกับรัฐญวนอย่างรุนเเรงในเวลาต่อมา และเป็นการเปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซงในภายหลัง หลังจากเหตุการณ์กบฎเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายไทยมีนโยบายที่จะอพยพชนเผ่าชาวผู้ไทและชนเผ่าอื่นๆจากชายแดนที่ใกล้ชิดติดกับญวนให้มาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้มากที่สุด เพื่อตัดทอนมิให้เป็นกำลังแก่ฝ่ายเวียงจันทน์และฝ่ายญวนอีกต่อไป แต่การอพยพครั้งนี้ยังไม่ใช่การอพยพครั้งใหญ่ที่สุด

การอพยพระลอกใหญ่ที่สุด ของชนเผ่าผู้ไทมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง เป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเวียตนามอย่างรุนแรง เพราะญวนแทรกแซงกิจการภายในของประเทศลาวและเขมร ซึ่งฝ่ายไทยถือว่าเป็นประเทศราชของไทย จนนำไปสู่สงครามอันยาวนานระหว่างไทยกับญวน สงครามครั้งนั้นทั้งญวนและไทยต้องใช้สรรพกำลังและทรัพยากรไปมาก ฝ่ายไทยได้เกณฑ์ราษฎรจากภาคอีสานจำนวนมากไปเป็นทหารในการสงคราม ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายญวนต่างก็แย่งชิงความได้เปรียบโดยการส่งกองกำลังมากวาดต้อนผู้คนจากลาวฝั่งซ้าย ให้ไปตั้งถิ่นฐานในเขตที่ควบคุมได้ง่าย ภาพความเหี้ยมโหดในการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ของทัพไทยระหว่างปี ๒๓๖๙ - ๒๓๗๑ ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของชาวลาว ต่างพากันเกลียดชังฝ่ายทหารไทย ทำให้ฝ่ายทัพญวนได้เปรียบในระยะเเรก

ครั้นต่อมาญวนได้แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตน ดังปรากฏในบันทึกเอกสารพื้นเวียง ซึ่งคนลาวบันทึกไว้ดังนี้ “พระเจ้ากรุงแกวจึงให้โดยยี่ไปรักษาเมืองชุมพรไว้ แกว (ญวน) เกณฑ์ผู้คนมา สร้างค่ายคูเมือง ปลูกตำหนักน้อยใหญ่ผู้คนทิ้งไร่นา เพราะถูกเกณฑ์ชาวเมืองพอง ชุมพร พะลาน สะโปน (เซโปน) อดอยากข้าวยากหมากแพง เพราะเมืองแตกผู้คนยังไม่ได้ทำนาต้องกินหัวมันแทนข้าว แกวยังข่มเหงให้ตัดไม้สร้างเมือง สร้างค่ายคู เมื่อสร้างเสร็จแล้วจัดเวรเฝ้าด่านเสียส่วยทั้งเงินทอง ควาย ช้าง ผึ้ง ผ้า เครื่องหวาย ทุกสิ่งใส่เรือส่งเมืองแกว จนชาวเมืองอดอยาก ร้างไร่ ร้างนา เขาก็ค่อยพากันหนีแกวมาพึ่งลาวทีละน้อยไม่คิดจะอยู่เป็นเมืองต่อไป พวกที่หนีไม่พ้นก็อยู่ที่นั้นบางพวกก็เป็นไข้ลงท้องตาย” จนเกิดกระแสตีกลับหันมาเลือกข้างฝ่ายไทย ผลสืบเนื่องจากการสงครามครั้งนี้ทำให้เกิดการอพยพชาวผู้ไทและชนเผ่าอื่นๆจากลาวฝั่งซ้ายครั้งใหญ่ที่สุดข้ามโขงมายังฝั่งขวา ทางการไทยกำหนดให้ชนเผ่าผู้ไทและเผ่าต่างๆที่อพยพมาในคราวนี้ พำนักพักพิงที่เมืองกาฬสินธิ์ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร จนได้สร้างบ้านแปลงเมืองอยู่กันอย่างสันติสุขตราบจนกระทั่งทุกวันนี้



หลังจากนั้นทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้า ยกฐานะชุมชนที่ชาวผู้ไทมาตั้งถิ่นฐานให้ขึ้นเป็นเมือง และโปรดเกล้าให้หัวหน้าของแต่ละกลุ่มได้บรรดาศักดิ์ในตำแหน่งเจ้าเมือง ดังนี้

เมืองเรณูนคร ตั้งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวัง มีนายไพร่รวม ๒๖๔๘ คน ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวสาย เป็น "พระแก้วโกมล" เจ้าเมืองคนแรก ยกบ้านบุ่งหวายขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร ขึ้นต่อเมืองนครพนม คือ อ.เรณูนคร จ.นครพนม ในปัจจุบัน

เมืองพรรณานิคม ตั้งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยอพยพมาจากเมืองวัง จำนวนสองพันกว่าคน ไปตั้งอยู่ที่บ้านผ้าขาวพันนา ตั้งขึ้นเป็นเมืองพรรณานิคม ขึ้นกับเมืองสกลนคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวโฮงกลาง เป็น "พระเสนาณรงค์" เจ้าเมืองคนแรก ต่อมาได้ย้ายเมืองพรรณานิคมไปตั้งที่บ้านพานพร้าว คือท้องที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน

เมืองกุฉินารายณ์ ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวังจำนวน 3443 คน ไปตั้งอยู่ที่บ้านกุดสิม ตั้งขึ้นเป็นเมือง "กุฉินารายณ์" ขึ้นเมืองกาฬสินธิ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ราชวงษ์เมืองวัง เป็น "พระธิเบศรวงษา" เจ้าเมืองกุฉินารายณ์ อ.เขาวง จ.กาฬสินธิ์

เมืองภูแล่นช้าง ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวังจำนวน 3023 คน ไปตั้งอยู่ที่บ้านภูแล่นช้าง ตั้งขึ้นเป็นเมือง "ภูแล่นช้าง" ขึ้นเมืองกาฬสินธิ์ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หมื่นเดชอุดมเป็น "พระพิชัยอุดมเดช" เจ้าเมืองคนแรก ปัจจุบันคือท้องที่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธิ์



เมืองหนองสูง ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวังและเมืองคำอ้อคำเขียว (อยู่ในแขวงสุวรรณเขต ดินแดนลาว) จำนวน ๑๖๕๘ คน ตั้งอยู่บ้านหนองสูงและบ้านคำสระอี ในดงบังอี่ (คำสระอีคือหนองน้ำในดงบังอี่ ต่อมากลายเป็น คำชะอี) ตั้งเป็นเมืองหนองสูง ขึ้นเมืองมุกดาหาร ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวสีหนาม เป็น "พระไกรสรราช" เจ้าเมืองคนแรก เมืองหนองสูงในอดีตคือท้องที่ อ.คำชะอี (ตั้งแต่ห้วยทราย), อ.หนองสูงและท้องที่ อ.นาแก จ.นครพนมด้วย

เมืองเสนางคนิคม ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองตะโปน (เซโปน) ซึ่งปัจจุบันอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในแขวงสุวรรณเขต ติดชายแดนเวียตนาม อพยพมา ๙๔๘ คน ไปตั้งอยู่ที่บ้านส่องนาง ยกขึ้นเป็นเสนางคนิคมขึ้นเมืองอุบลราชธานี ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวจันทร์จากเมืองตะโปน เป็น "พระศรีสินธุสงคราม" เจ้าเมืองคนแรก ต่อมาได้ย้ายไปตั้งเมืองที่บ้านห้วยปลาแดกและเมื่อยุบเมืองลงเป็นอำเภอเสนางคนิคม ย้ายไปตั้งอำเภอที่บ้านหนองทับม้า คือ ท้องที่อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน

เมืองคำเขื่อนแก้ว ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองวัง จำนวน ๑๓๑๗ คน ไปตั้งอยู่ที่บ้านคำเขื่อนแก้วเขตเมืองเขมราฐ ตั้งขึ้นเป็นเมืองคำเขื่อนแก้ว ขึ้นเมืองเขมราฐ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวสีหนาท เป็น "พระรามณรงค์" เจ้าเมืองคนแรก เมื่อยุบเมืองคำเขื่อนแก้วได้เอานามเมืองคำเขื่อนแก้วไปตั้งเป็นชื่ออำเภอที่ตั้งขึ้นใหม่ที่ตำบลลุมพุก คือ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธรในปัจจุบัน ส่วนเมืองคำเขื่อนแก้วเดิมที่เป็นผู้ไทย ปัจจุบันเป็นตำบลคำเขื่อนแก้ว อยู่ในท้องที่อำเภอชานุมาน จ.อำนาจเจริญในปัจจุบัน

เมืองวาริชภูมิ ตั้งในสมัยราชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพมาจากเมืองกะปอง ซึ่งอยู่ในห้วยกะปอง แยกจากเซบั้งไฟไหลลงสู่แม่น้ำโขงในแขวงคำม่วนฝั่งลาว จึงมักนิยมเรียกผู้ไทยเมืองวาริชภูมิว่า "ผู้ไทยกระป๋อง" ผู้ไทยเมืองกระปองไปตั้งอยู่ที่บ้านปลาเปล้า แขวงเมืองหนองหาร จึงตั้งบ้านปลาเปล้า ขึ้นเป็น "เมืองวาริชภูมิ" ขึ้นเมืองหนองหาร ต่อมาได้ย้ายเมืองไปตั้งที่บ้านนาหอย เขตเมืองสกลนคร จึงให้ยกเมืองวาริชภูมิไปขึ้นเมืองสกลนคร คือ ท้องที่อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวพรหมสุวรรณ์ เป็น "พระสุรินทร์บริรักษ์"

เมืองจำปาชนบท ตั้งเมื่อรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๑ เป็นชาวผู้ไทยที่อพยพจากเมืองกะปอง ตั้งอยู่ที่บ้านจำปานำโพนทอง ตั้งขึ้นเป็นเมืองจำปาชนบท ขึ้นเมืองสกลนคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวแก้วเมืองกะปอง เป็น "พระบำรุงนิคม" เจ้าเมืองคนแรก ปัจจุบันคือท้องที่อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร



บทส่งท้าย
จากถิ่นเดิมที่เมืองแถงแห่งเเคว้นสิบสองจุไท ผองพี่น้องผู้ไทได้เดินทางหลายร้อยกิโลเมตร ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี ผ่านสถานการณ์การเมืองที่พลิกไปพลิกมาจากหลายฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งลาว สยาม ญวน และฝรั่งเศส บางครั้งมีความยุ่งยากในการเลือกข้าง ด้วยวิถีชีวิตของชนเผ่าที่ต้องการดำรงชีพอย่างสงบสุข ในที่สุดก็ฝ่าฟันความยากลำบากต่างๆมาได้ จนได้มาพบนิวาสสถานอันสงบสุขบนผืนแผ่นดินไทย และเป็นคนไทยอย่างเต็มภาคภูมิ ยังคงสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

แหล่งอ้างอิง
//revival.snru.ac.th/race/3.htm
//www.surinmajestic.net/index.p....=332907
//www.isangate.com/entertain/dance_074.html#3pao




 

Create Date : 30 มีนาคม 2550   
Last Update : 30 มีนาคม 2550 9:23:21 น.   
Counter : 2288 Pageviews.  

นักวิชาการ เทพ นกกระจาบ และหมาข้างถนน



สังคมไทยประกอบด้วยผู้คนหลากหลายชนชั้น มากไปด้วยปัญหาสารพัดสารพัน ครั้นจะถามหาถึงต้นสายปลายเหตุทีทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองมันบานปลายวุ่นวายบรรลัยจักรอยู่นี่ ต่อให้ถกเถียงกันสามวันสามคืน ก็คงหาคำตอบไม่ได้หรอก เพราะแต่ละฝ่ายมันยอมกันเสียที่ไหน ดีไม่ดี อาจถึงขั้น ควงมีด สะพานปืน ออกมาตัดสินกันเสียอีก

อย่าว่าแต่ปัญหาบ้านเมืองเรื่องการยึดอำนาจ หรือการร่างรัฐธรรมนูญเลย เอาแค่ปัญหา “หมาขี้เรื้อนข้างถนน” ก็ยังถกเถียงกัน ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น พวกนักวิชาการตีนไม่ติดดินหรือชนชั้นปกครอง มองเห็นเรือนร่างของหมาขี้เรื้อน ก็เฉพาะส่วนที่เป็น หลังหมา หางหมา และกระหย่อมหนึ่งของหัวหมาเท่านั้น เพราะว่าสายตาของพวกท่านมองมาจากหอคอย เทียบเคียงกันไปมา ก็พลอยทึกทักไปว่า หมาข้างถนนก็คงเหมือนกับหมาฝรั่งที่เลี้ยงไว้ในบ้านท่านนั่นแหละ แต่ชนชั้นล่างรู้จักชีวิตจิตใจของหมาและมองเห็นหมาเรือนร่างของขี้เรื้อนทั้งตัว มองเห็นท้องหมา หรือแม้กระทั่งรายละเอียดที่หนังหมาว่า มีเห็บ มีหมัด ไปเกาะกินอย่างไรบ้าง หมาขี้เรื้อนหรือหมาข้างถนนมันไม่สนใจหรอกว่า คนที่หยิบโยนอาหารให้มันนั้น จะมีคุณธรรมสูงส่ง หรือเป็นไอ้มหาโจรใจบาป มันรู้เเต่ว่าเมื่อมันหิว มันต้องหาอาหารมาขย้ำใส่ปาก บางครั้งบางที เข้าตาจนขึ้นมา อดโซจนใส่กิ่ว เเม้แต่ขี้ มันก็ยังเล็มเลียกินเเก้หิวได้ เช่นเดียวกัน หมามันไม่สนหรอกว่าจะเป็นขี้ของใคร

ตัดภาพไปที่ทำเนียบรัฐบาล ชาวนาหน้าเกรียมแดดที่มานอนอ้างว้างค้างคืนร้องทุกข์ ที่ข้างทำเนียบ สติปัญญาและศักยภาพของพวกเขามีอย่างจำกัด ครั้นพอมีใครสักคนคิดแผนเด็ดขึ้นมาได้ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า แผนนี้เด็ดแน่ เอาละหวา! ลุยเป็นลุย! ว่าเเล้วส่งสัญญาณก็ให้ คุณป้า คุณยาย ดาหน้าไปที่รั้วทำเนียบ พร้อมใจกันถอดเสื้อ เหลือเเต่ยกทรงปิดของสงวน ปีนรั้วเข้าทำเนียบ หมายจะไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ให้ท่านนายกฯ ทำไมต้องถอดเสื้อออกให้เหลือแต่ยกทรง เพราะสติปัญญาของคนรากหญ้าเหล่านี้มีเพียงเท่านี้ คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้ามาแตะเนื้อต้องตัว ลากตัวคร่าออกมาจากรั้วทำเนียบ อีกทั้งการประท้วงแปลกๆอย่างนี้ อาจจะเป็นผลพลอยได้ เป็นประเด็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ถามว่าชาวนาผู้ยากไร้เหล่านี้สนใจอะไร พวกเขาสนใจแต่จะปลดเปลื้องปัญหาหนี้สินออกไปจากบ่าของพวกเขา ใครก็ได้ที่ช่วยพวกเขาได้ พวกเขาไม่สนใจว่าจะเป็นรัฐบาลคุณธรรม หรือรัฐบาลมหาโจร หรือรัฐบาลกร๊วกอะไรที่ไหนหรอก



ตัดภาพมาที่ไอทีวี การที่คนไอทีวีผนึกกำลังกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง โดยเนื้อเเท้แล้ว ผมไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างไปจากประเด็นหญิงชาวนาใส่ยกทรงปีนรั้วทำเนียบ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สิน แต่ชาวไอทีวีเปรียบเหมือนนกกระจาบที่มีปีกบินได้ เมื่อรวมกลุ่มกันเเล้วก็สามารถส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปได้ทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นนกกระจาบที่มีสมอง สรรค์หากลวิธีในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อกลุ่มของตัวเองอย่างชาญฉลาด เล่นเอารัฐบาลเป๋ไปเป๋มา กลับลำแล้ว กลับลำอีก จนเป็นขี้ปากให้นักวิชาการและพวกเอ็นจีโอ ออกมาวิพากษ์ว่า พวกไอทีวีเห็นแก่ตัวบ้างล่ะ เอาเปรียบสังคมบ้างล่ะ ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนบ้างล่ะ พวกนักวิชาการเหล่านี้พากันออกมาสั่งสอนให้คนในสังคมและนกกระจาบไอทีวี ให้รู้สำนึก ให้รู้จักความถูกต้องชอบธรรม พร้อมยกตัวอย่างประกอบว่า พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ ๕๖ แห่ง พนักงาน บริษัทศรีไทย หรือพนักงานบริษัทอื่นๆ ที่ตกงาน ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษเหมือนพวกไอทีวี

ตัดภาพย้อนกลับมาที่นักวิชาการและเอ็นจีโอ “เทพเหนือเทพ” พวกนี้คงลืมอะไรไปบางอย่างว่า คนไอทีวีเปรียบได้กับนกกระจาบ ที่เหาะเหินเดินอากาศได้ สามารถใช้สื่อเป็นอาวุธ ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในวันนี้ได้ ในขณะที่ชาวนาที่หน้าทำเนียบมีแต่สองมือ สองตีน และบินไม่ได้ จึงต่อสู้ได้แต่เพียงถอดเสื้อจนเหลือแต่ยกทรงแล้วปีนรั้วบุกทำเนียบ อีกทั้งกรณีพนักงานบริษัทอะไรต่างๆ ที่ตกงานแล้วไม่ได้สิทธิพิเศษอะไรนั่น ก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่นก จึงบินไปได้เช่นกัน มีแต่สองตีนเดินย่ำต๊อก อำนาจต่อรองและสติปัญญาก็คงไม่ดีไม่เด่ไปกว่าชาวนาสักเท่าไร ประเด็นคือพวก “เทพเหนือเทพ” ท่านมองชนชั้นในสังคมผิด มองประเด็นปัญหาในสังคมผิด รวมทั้งมองตัวเองผิดอีกด้วย

ผมอยากจะใช้สติปัญญาแบบหมาข้างถนน แบ่งชนชั้นในสังคมของประเทศนี้เสียใหม่ เพื่อทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ จะได้นำมาสู่การมองประเด็นปัญหาและการหาแนวทางการแก้ปัญหาในอนาคตให้ถูกจุดตรงประเด็น หากเทียบให้ชนชั้นปกครองและชนชั้นสูง-เป็นเทพ, ชนชั้นกลางที่มีปากมีเสียงมีสติปัญญา-เป็นนกกระจาบ, พวกชนชั้นล่างในเมือง ชนชั้นรากหญ้าในชนบท หรือชนชั้นต่ำช้าสามานย์อะไรทั้งหลายเเหล่ที่ไร้อำนาจต่อรอง-เป็นหมาข้างถนนหรือหมาขี้เรื้อน (อันที่จริงหมาก็ยังมีอีกหลายระดับ) พวกท่านนักวิชาการและท่านเอ็นจีโอทั้งหลาย ก็เปรียบได้กับ “เทพเหนือเทพ”

นักวิชาการ - เทพเหนือเทพ ที่มองเห็นหมาขี้เรื้อน เดินอย่างหงอยๆ จ่อยๆ ที่ข้างถนน แต่พวกท่าน มองไม่เห็นหมัด ไม่เห็นเห็บ ไม่เห็นท้องหมา ไม่เห็นหนังหมา ไม่เห็นขี้เรื้อนหมา ท่านไม่มีวันเข้าถึงชีวิตจิตใจของชนชั้นล่างได้หรอก หมาขี้เรื้อนเหล่านี้เมื่อยามหิวมันกินขี้ได้ แต่หมาฝรั่งที่ท่านเลี้ยงไว้มันยอมกินขี้หรือ

นักวิชาการ - เทพเหนือเทพ พวกท่านเจรจาพาทีกันด้วย key word สั้นๆ ทั้งที่เป็นภาษาไทยหรือภาษาฝรั่ง เท่านี้พวกท่านก็พากันซาบซึ้ง เข้าใจในบริบททั้งเรื่องทั้งปวง พวกท่านพยายามยกตนเองให้อยู่เหนือ ชั้นเทพ ชั้นนกกระจาบ และชั้นหมาข้างถนน คราใดที่เรื่องของเทพ-นกกระจาบ-หมาขี้เรื้อน ไปเข้าทางของท่าน พวก “เทพเหนือเทพ” ก็พากันออกมาโปรดสัตว์เสียที แต่เรื่องในเดียวกัน หากว่าเสือกเป็นมุมกลับ พวกเทพเหนือเทพต่างกันเข้าฌานเงียบเฉยเสีย

ทำไม “เทพเหนือเทพ” จึงไม่ไปทำความเข้าใจกับพวกเทพด้วยกันที่กำลังถืออำนาจปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ หรือแม้แต่ “เทพทีวี-เอเอสทีวี” ที่ใช้วาจาสามหาวไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อน เทพกับเทพ น่าจะทำความเข้าใจกันได้ดีกว่า การที่ “เทพเหนือเทพ” ออกมาโปรดสัตว์ สั่งสอน นกกระจาบและหมาข้างถนน ให้รู้จักสำนึก ให้รู้จักคุณธรรมนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากอย่างสุดลำเค็ญ ยากยิ่งกว่ายาก

“นกกระจาบกับหมาข้างถนน” ยังพอที่จะเจรจาพาที เกื้อกูลผลประโยชน์กันได้ หรือแม้แต่ “เทพกับนกกระจาบ” ก็ยังเกื้อกูลกันได้ (แม้ว่าเทพจะต้อง กลับลำไป กลับลำมา ๒ - ๓ กระทอก ก็ตามที) แต่เรื่องของ “เทพเหนือเทพกับนกกระจาบ” หรือ “เทพเหนือเทพกับหมาขี้เรื้อนข้างถนน“ ผมมองอย่างไร ก็มองไม่เห็นทางว่ามันจะพูดจากันรู้เรื่องได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หมาขี้เรื้อนข้างถนนอย่างผม ขอเห่า โฮ่งๆ ตอบไปว่า ไม่เอาแล้วโว้ย พอกันที ขออยู่อย่างหมาข้างถนนดีกว่า

หมายเหตุ : บทความนี้ได้เขียนเมื่อคราวสถานีโทรทัศน์ไอทีวีต้องปิดตัวลง มีนักวิชาการและบุคคลต่างๆออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และได้เผยเเพร่ที่เวบไซต์บางแห่ง - เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 29 มีนาคม 2550 21:26:36 น.   
Counter : 731 Pageviews.  

ไฟใต้"กับดัก"ประชาธิปไตยอีกตัวหนึ่ง



เรียนท่านผู้เจริญ - ขออนุญาตนำข้อเขียนเก่าๆของผมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมุมมองของคนรากหญ้า ที่เขียนไว้เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งได้เคยเผยแพร่ที่เวบไซต์หลายแห่ง มานำเสนอที่นี่อีกครั้ง เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลงานของคมช.และรัฐบาลว่า ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความทุกข์เข็ญของราษฏรที่สามจังหวัดชายเเดนใต้ไปได้มากน้อยเพียงใด ขอเรียนเชิญเปรียบเทียบด้วยวิจารณญาณของท่านเองนะครับ

หากว่าคณะผู้ก่อการที่ภายหลังเรียกตัวเองว่าคมช.มีญาณทิพย์ที่ล่วงรู้ได้ว่า ภายหลังจากการยึดอำนาจได้แล้วนั้นจะต้องพานพบกับอุปสรรคนานาประการที่กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก โดยเฉพาะปัญหาความมั่นคงที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วไซร้ คณะผู้ก่อการอาจเปลี่ยนใจไม่ลงมือทำรัฐประหารเมื่อคืนวันที่ 19 เดือน 9 ปี 2549 เเม้นว่าจะถูกกดดันจากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเพียงใดก็ตาม เพียงแต่ท่านทำตามอำนาจหน้าที่มีอยู่ นำกำลังพลมาขวางการปะทะกันของม็อบสองฝ่ายดังที่ท่านกล่าวอ้าง แค่ทำให้เหมือนกับที่ตำรวจได้เคยทำมาเมื่อคราวที่มีการชุมนุมไล่รัฐบาลชุดที่แล้วกันอย่างยืดเยื้อ ป่านนี้คงไม่ต้องเอาบ่ามาแบกภาระทั้งหมดทั้งปวง

ขอมองต่างมุมว่า หากเลือกได้ คมช.คงอยากให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเร็วที่สุด เพื่อที่จะผ่องถ่ายภาระหน้าที่ให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้แต่ท่านนายกสุรยุทธ์ก็น่าที่จะคิดไม่ต่างไปจากนี้ แต่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นราวปลายปี 2550 หรือต้นปี 2551 นั้นเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด ที่หมายถึงเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ ประเทศไทยเมื่อถึงวันนั้นอาจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่เหมือนวันนี้หรือวันที่เคยเป็นมา เพราะว่าเมื่อรัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อไร จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ในสามจังหวัดนั้นร้ายแรงแบบสุดๆ อาจเลวร้ายถึงขั้นประกาศแบ่งแยกดินแดนเอาเสียด้วย คมช.และรัฐบาลต้องชิงดับไฟใต้ให้ได้ก่อนภายใน 1 ปี ก่อนที่จะประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ไม่เช่นนั้นไฟใต้จะกลับมาเผาผลาญคมช.และรัฐบาลจนอยู่ไม่ได้



เพราะเหตุใดสถานการณ์ไฟใต้จะเลวร้ายถึงขนาดนั้น ลองมองในมุมของผู้ที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนดูบ้าง พวกเขาควบคุมพื้นที่ ควบคุมมวลชนไว้ได้เกือบทั้งหมด เปรียบเหมือนกับมวยไทยชกกันมาสี่ยกครึ่ง ฝ่ายแดง (ฝ่ายแยกดินแดน)ประเคนศอกเข่าเท้าหมัดใส่ฝ่ายน้ำเงิน(ฝ่ายรัฐ)มาตลอด จู่ๆพี่เลี้ยงฝ่ายนํ้าเงินมาบอกให้ยุติการเเข่งขันไว้ก่อน แล้วบอกว่าที่ชกกันมานั้นมันผิดกติกา ขอเจรจาเพื่อร่างกติกาใหม่ ฝ่ายเเดงเขาจะยอมหรือ ชัยชนะอยู่ห่างจากมือแค่เอื้อม ดีไม่ดีอาจชนะน็อคเอาท์ก่อนครบยกเอาเสียด้วย เรื่องที่จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งในดินแดนที่พวกเขาคืดว่าเป็นของเขาเเล้ว อีกทั้งสรรพกำลังก็พร้อมพรั่งและสถานการณ์ที่เป็นต่อ พวกเขาจะยอมได้หรือ (อย่าเอาไปเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นปี 2548 ที่ทางการไทยยังพอควบคุมสถานการณ์ได้)

หากว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายเเรงก่อนถึงวันเลือกตั้ง (อาจเกิดภายใน /ภายนอกสามจังหวัดนั้น) หรือหากพวกเขาประกาศแบ่งแยกดินแดน ซึ่งแน่นอนว่าจะมีประเทศมุสลิมจำนวนมากประกาศให้การรับรองเอกราช คำถามร้อนๆที่จะเกิดขึ้นคือการเลือกตั้งทั่วไปจะดำเนินต่อไปหรือไม่ หรือจะทำการเลือกตั้งเพียง 73 จังหวัด! เว้นไว้ 3 จังหวัดกระนั้นฤา

ฟันธงได้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะดำเนินต่อไปไม่ได้ (ถ้าหากว่าการเลือกตั้งมีอันจะเกิดขึ้นตามกำหนดตามข้อสัญญาที่คมช.ให้ไว้) หากดำเนินต่อไปเท่ากับว่าทางการของไทยรับรองเอกราชของรัฐที่ประกาศแยกดินแดนไปโดยปริยาย แต่หากไม่ดำเนินต่อไปก็เท่ากับว่าคมช.และรัฐบาลไร้น้ำยาในการปกครองประเทศ ยอมให้ประเทศถูกแบ่งแยกดินเเดน อีกทั้งไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งได้ เรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง สถานการณ์บ้านเมืองจะปั่นป่วนขนาดไหนนั้นสุดที่จะจินตนาการ

นับจากนี้ต่อไปจะได้เห็นคมช.และรัฐบาลเปิดเกมรุกมิติใหม่ๆ (เช่นเรื่องต้มยำกุ้ง หรือประธานคมช.เดินทางไปประเทศปากีสถาน) เพื่อแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ หากมือชั้นอ๋องเท่าที่มีอยู่นี้และมีอำนาจเบ็ดเสร็จขนาดนี้ไม่สามารถจัดการปัญหาได้แล้ว อย่าหวังว่าการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจจะเกิดขึ้นได้ นั่นเเสดงว่าขนาดของปัญหามันใหญ่เกินว่าที่ภาครัฐจะรับมือไหว เมื่อนั้นคมช.และรัฐบาลจะดำรงอยู่ได้อย่างไร!! และอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

เหล่าทหาร-ตำรวจ-อส.-ทหารพราน หรือบรรดาหนุ่มๆที่รักชาติแบบเลือดร้อน ที่มีแนวความคิดอยากเปิดเกมเลือดเดือด หรือปิดประตูตีเเมวให้ปัญหามันจบสิ้นไปโดยพลันนั้น ขอบอกให้กลับไปคิดให้ดีก่อนว่าศักยภาพของประเทศไทยนั้นพร้อมที่จะรับมือกับประเทศมุสลิมทั่วโลกได้หรือไม่ หรือเเม้กระทั่งประเทศมุสลิมเพื่อนบ้านของเรา กรณีนี้ฝ่ายความมั่นคงของไทยทราบมาโดยตลอด ฝ่ายโน้นเขามีการจัดตั้งองค์กรต่างๆแบบมืออาชีพ หากทางการไทยราวีเขาเมื่อไร พวกเขาพร้อมที่จะเอาไปขยายผลได้ทุกเมื่อ ประเด็นปัญหาพร้อมที่จะถูกชงขึ้นบนเวทีของสหประชาชาติหรือยูเอ็น และกองกำลังสหประชาชาติ(ของชาติมุสลิม)ก็พร้อมที่จะเข้ามารักษาสันติภาพได้ทุกเมื่อเช่นกัน เหมือนกับติมอร์ตะวันออก อย่างไรอย่างนั้นเชียว กำลังทหาร-ตำรวจของฝ่ายไทยจะถูกบังคับให้ถอนตัวออกมา พร้อมๆกับชาวไทยพุทธ หลังจากนั้นก็มีท้าวมาลีวราชออกมาไกล่เกลี่ยเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อสันติภาพของสามจังหวัดของเรา ….เจรจาเพื่อสันติภาพของดินเเดนที่เป็นของไทยในตอนนี้ คนไทยทั้งประเทศจะยอมได้ละหรือ เกมแบบนี้ไม่น่าจะใช้ได้ เราอาจต้องมองหาเกมใหม่ๆหรือเกมเก่าๆที่เคยใช้ได้ผล เกมเสรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มาช่วยกันคิด ช่วยกันติ ช่วยกันทำ หวังว่ามันคงไม่สายเกินไปน่ะ ลูกหลานไทย



ประเทศมุสลิมเพื่อนบ้านของเราอย่างน้อย 2 ประเทศก็มีปัญหาการแบ่งแยกดินแดนเหมือนกับเรา แต่เขาสามารถลดระดับของปัญหาลงมาในระดับที่สามารถควบคุมได้ พวกนี้มีขบวนการจัดตั้งที่ชัดเจน ซึ่งบางส่วนก็น่าที่จะเป็นหัวโยงใหญ่ในการก่อการที่สามจังหวัดของเรา ใครๆก็รู้กันดีอยู่ว่าปัจจัยสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศมุสลิมจากตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ทั้งเงิน อาวุธ ครูฝึก ฝ่ายยุทธการและฝ่ายการเมืองสารพัด ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าทางผ่านของปัจจัยสนับสนุนต่างๆที่กล่าวมานั้น ที่จะเข้าสู่สามจังหวัดของเรามันต้องฝ่านทางประเทศเพื่อนบ้านของเราสองประเทศนั้นแหละ ตราบเท่าที่ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนไม่ไปทำความเดือดร้อนให้กับประเทศที่กล่าวมา สำหาอะไรที่เขาจะเอาขี้เหม็นๆไปยัดใส่กางเกงของเขา ขี้ของคนไทยทั้งนั้น เขาไม่ยอมรับหรอก มีรัฐอิสลามเกิดขึ้นมาอีกรัฐหนึ่งดีสำหรับเขาด้วยซ้ำ หากคิดจะต่อรองเพื่อหาความร่วมมือในการดับไฟใต้นั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าประเทศไทยจะมีอะไรไปต่อรองกับเขาได้ หรือมีอะไรไปขู่ให้เขากลัวได้บ้างที่จะทำให้เจาหันเหมาให้ความร่วมมือกับทางการของไทย

นี่เป็นปัญหาหนักอกของคมช.และรัฐบาล ที่ตกอยู่ในสภาวะที่เปรียบเทียบแบบหยาบๆตามภาษิตไทยแท้ได้ว่า “ขี้เต็มกางเกง” กางเกงนั้นคืออำนาจและโครงสร้างอำนาจของคมช.และรัฐบาล ขี้นั้นคือปัญหา โดยเฉพาะปัญหาไฟใต้ จะขว้างจะเขี่ยขี้ออกให้พ้นกางเกงก็หาใครช่วยเขี่ยช่วยขวิ้นไม่ได้ นอกจากไม่ใครอยากช่วยแล้วดูเหมือนว่าจะมีแต่คนคอยรุม ครั้นจะถอดกางเกงที่ห่อขี้เขวี้ยงทิ้งไปพร้อมๆกันก็ไม่สามารถทำได้ หากว่าคมช.และรัฐบาลไม่สามารถทุเลาความร้อนแรงของไฟใต้ให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ก่อนการประกาศเลือกตั้งครั้งต่อไปได้เเล้วไซร้ การเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนถ่ายอำนาจไปสู่ระบอบประชาธิปไตยนั้นอย่าได้หมายเลย มันเป็นกับดักที่วางไว้รออยู่แล้ว ดักทั้งคมช. ดักทั้งรัฐบาล และดักคนไทยทั้งประเทศ เมื่อถึงวันนั้นคนไทยอาจต้องตกอยู่ในภาวะน้ำตาตกใน ร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ขออย่าให้มีวันนั้นเลย

ป.ล. ข้อเขียนนี้ได้เขียนราวต้นเดือนธันวาคม ๒๕๔๙ และได้เผยแพร่ที่เวบไซต์บางแห่ง - เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 29 มีนาคม 2550 21:07:41 น.   
Counter : 417 Pageviews.  

ผลสะเทือนจากกรณีม็อบ“พีทีวี”



การชุมนุมของม็อบการเมือง “พีทีวี” ที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๐ โดยการนำของ วีระ จักรภพ จตุพร ณัฐวุฒิ ไม่ว่าจะมีวัตถุทางการเมืองอย่างไรก็แล้วแต่ หากได้ส่งผลสะเทือนทางการเมืองเลื่อนลั่นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่ออย่างไรผมจะลองแจกแจงเป็นข้อๆดังนี้

๑) ทักษิณและทรท.ยังคงเป็นปีศาจร้ายที่ยังตามหลอกหลอนคมช.ให้หวาดกลัวอย่างไม่เสื่อมมนต์ขลัง การใช้สรรพกำลังทุกอย่างเพื่อขัดขวางการชุมนุมย่อมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจน การระดมตำรวจและเทศกิจจำนวนหลายร้อยคนเพื่อรื้อเวทีปราศรัย การเตรียมใช้แผนปฐีพี ๑๔๙ (แต่สุดท้ายคงประเมินสถานการณ์แล้วว่าถ้าใช้จริงคงบรรลัย จึงระงับไป) การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ปิดกั้นไม่ให้ฝูงชนมารวมตัวกันที่สนามหลวง หรือแม้แต่การปิดกั้นสถานีวิทยุที่ถ่ายทอดเสียงจากสนามหลวง การปิดเวบไซต์ที่ถ่ายทอดสัญญาณจากสนามหลวงก็ถูกปิดกั้นเช่นกัน แต่การปิดกั้นหรือการห้าม กลับยิ่งเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ส่งผลให้ชนชั้นกลางในเมืองและต่างจังหวัด หรือแม้ในต่างประเทศ ต่างเฝ้าติดตามข่าวทางอินเทอร์เนตกันอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเป็นการผลักดันคนที่ยังเป็นกลางทางการเมืองจำนวนไม่น้อยให้ไปยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลและคมช.

๒) การออกมาปกป้องป๋าในทุกวิถีทางราวกับไข่ในหินโดยบุคคลระดับสูงของรัฐบาล คมช.พันธมิตร และบุคคลต่างๆในฝากฝ่ายเดียวกัน มีทั้งการขู่กรรโชก การขู่ที่จะดำเนินการทางกฎหมาย หรือแม้กระทั่งการปลุกม็อบให้ออกมาชนกับม็อบที่ต่อต้านคมช. ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นเท่ากับว่า ป๋า เป็นกล่องดวงใจ หรือเป็นศูนย์รวมของอำนาจนั่นเอง การโจมตีที่จุดยุทธศาตร์ของแกนกลางอำนาจ ย่อมมีผลทำให้ความชอบธรรมในสายตาประชาชนของขั้วอำนาจเสื่อมถอยดำดิ่งลงไปทุกที ดังนั้นการต่อรองกับทีมงานของพีทีวี เพื่อไม่ให้โจมตีป๋าจึงได้เกิดขึ้น แต่ก็มิได้ทำให้สาระสำคัญของม็อบกลุ่มนี้ที่สนามหลวงลดน้อยถอยลงแต่อย่างใดเลย ภาพของป๋าในวันนี้ในฝ่ายตรงข้ามกับคมช.หรือฝ่ายที่เป็นกลางทางการเมืองได้แปรเปลี่ยนไปแล้วจนสิ้น วันนี้ไม่เหมือนวันวาน สีขาวกลายเป็นสีเทา



๓) การที่ทักษิณและทรท.ถูกไล่จากแกนกลางอำนาจในการบริหารบ้านเมืองเป็นเวลา ๖ เดือน ไม่ได้ทำให้ความนิยมศรัทธาจากชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในเมือง รวมทั้งชาวรากหญ้าที่ชนบทได้เสื่อมถอยลงไปเลย การณ์กลับเป็นตรงกันข้ามที่ทำให้คนกลุ่มนี้ยิ่งทุ่มใจรักภักดีต่อทักษิณและทรท.มากยิ่งขึ้น หลายร้อยหลายพันคนแสดงอาการลิงโลดดีใจกันอย่างที่สุด เหมือนกับได้เสพย์ของต้องห้ามที่ห่างหายมาเป็นเวลายาวนานถึงครึ่งปี คมช.และรัฐบาลคงประเมินได้ว่า คงจะไม่สามารถเปิดโอกาสให้นายวีระและพรรคพวกชุมนุมทางการเมืองที่สนามหลวงได้เป็นครั้งที่สองอีกเป็นอันขาด หากปล่อยให้มีการชุมนุมอย่างอิสระ ปรากฎการณ์สนามหลวงแตกจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งอาจจะเกิดการชุมนุมทางการเมืองตามหัวเมืองที่ต่างจังหวัดตามมาอีกด้วย - หากปล่อยให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นอีก ก็เท่ากับว่า คมช.เเละรัฐบาลกำลังจะกุมสภาพทางการเมืองไม่ได้

๔) การอภิปรายบนเวทีของ วีระ จักรภพ จตุพร และณัฐวุฒิ ล้วนแต่โจมตีที่แสกหน้าของรัฐบาลและคมช.แบบตรงๆเเจ้งๆ ทั้งความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่สามจังหวัดภาคใต้ ปัญหาเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญที่ซ่อนเงื่อนซ่อนปม ฯลฯ ล้วนแต่ทำลายเครดิตรัฐบาลและคมช.อย่างไม่เหลือเลย หากเทียบว่าเงินลงทุนพีทีวี ๕๐ ล้านบาท ที่ลงทุนไปแล้วได้ออกอากาศเพียงครึ่งวัน แต่การมาเอาคืนที่สนามหลวงเพียง ๔ ชั่งโมง ในทางการเมือง ถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มแสนคุ้ม ได้กำไรนับเป็นร้อยเป็นพันเท่า นอกจากนี้ยังเป็นการรุกทางการเมืองไปยังปชป.และชท. (คาดว่าจะได้รับการตอกกลับจากแกนนำของปชป.และชท.อย่างรุนแรงในเวลาต่อมา) ขณะที่ทรท.ได้เเสดงความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเข้มข้นเพื่อตรึงฐานมวลชน แต่ปชป.และชท.กลับแสดงบทบาทเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายของคมช.เสมอมา นี่คือข้อแตกต่างที่ประชาชนที่เคยลงคะแนนเลือกทรท.มิอาจที่จะเปลี่ยนใจไปสนับสนุนปชป.หรือชท.ได้เลย

๕) เป็นการตอกย้ำว่า นโยบายสมานฉันท์ที่คมช.และรัฐบาล นำมาโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองนั้นไม่ได้ผล เพราะว่าจะมีปะทะและการตอบโต้ทางการเมืองตามมาอย่างมโหฬาร อย่างน้อยก็เป็นแผนผลักดันให้นายสนธิลิ้มต้องเเสดงตนออกมาเป็นคู่กรณีกับทีมงานพีทีวีโดยตรง การดิสเครดิตแบบจังๆบนเวทีสนามหลวงย่อมทำให้นายสนธิต้องออกมาตอบโต้ วีระ จักรภพ จตุพร และณัฐวุฒิ อย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าลืมว่าบุคคลทั้งสี่ของทรท.มีค่าระดับ”โคน”หรือ”เบี้ยหงาย” ขณะที่สนธินั้นมีค่าระดับ"เรือ" นี่เป็นแผนการที่ได้รับการวางหมากมาเป็นอย่างดี นายสนธิจะเเก้มืออย่างไรต้องตามคอยดู หากหลงเหลี่ยมลงมาตะลุมบอนด้วย จะถือว่าหลงเหลี่ยมเข้าร่องแข้งทันที

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๐ และได้เผยเเพร่ที่เวบไซต์บางแห่ง - เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 29 มีนาคม 2550 20:42:49 น.   
Counter : 319 Pageviews.  

1  2  

parivatana
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กระท่อมน้อยชายทุ่ง รากหญ้าภูมิปัญญาไทย ปรีดี พนมยงค์ และศิลปวัฒนธรรม ฉบับของคนรากหญ้า ที่ถ่ายทอดให้สังคมได้รับรู้ความเป็นไป
[Add parivatana's blog to your web]