สิงหาคม 2559

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
25
26
27
28
29
30
31
 
 
23 สิงหาคม 2559
พิศวาสพญายักษ์






ตำนานแม่น้ำโขง ตอนที่3 พิศวาสพญายักษ์
....ร่องรอยเส้นทางที่ยักษ์สะลึคึลาก “ของ” ไปหากินแต่ละวันนั้น.ในปัจจุบันยังมีสถานที่หลายแห่งที่ปรากฏให้เห็น เช่น “ภูคันนา” หรือ “กำแพงหินยักษ์” ซึ่งทอดยาวในเมืองท่าแขกสปป.ลาว มีลักษณะเป็นคันหินที่วางทับซ้อนกันมีความหนาของคันหินประมาณ1เมตร.บางช่วงสูง10–20เมตร.ยาวจากตัวเมืองท่าแขกไปทางทิศเหนือประมาณ14–16 ก.ม.  ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไปชมกันมาก.ผู้เฒ่าเล่าว่า.กำแพงหินเกิดจากยักษ์สะลึคึลาก “ของ” ไปทำให้หินภูเขาแยกไปเป็นแถบ ๆ.แต่พอขากลับได้ลากของกลับมาผิดร่องเดิม.หินจึงมีลักษณะเป็นคัน.เหมือนคูนาแต่สูงมาก.ชาวบ้านจึงเรียก “ภูคันนา” เลียบไปตามริมฝั่งแม่น้ำของ.ต้องลองไปพิสูจน์ไปดูกันด้วยตาจะพบกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์ครับ
 ....อยู่มาวันหนึ่งยักษ์สะลึคึ.ออกเดินทางไปหาอาหารกินตามปกติ.มันเดินทางจากท่าแขกขึ้นไปทางทิศเหนือ.พอไปใกล้จะถึงบริเวณที่เป็นอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยในปัจจุบัน.ยุคนั้น “แม่น้ำของ” บริเวณนั้นน้ำกัดเซาะตลิ่งจึงกว้างและลึกมากกว่าที่อื่น.ยักษ์สะลึคึเห็นควายป่าตัวหนึ่ง.ตัวใหญ่มาก มีเขาสวยงามยามแสงแดดกระทบที่เขาจะมีแสงวับวาวราวกับสีเงินยวง.มันจึงจับก้อนหินใหญ่ทุบไปที่ตัวควายป่า.ทำให้ควายป่าที่มีเขาเป็นสีเงินตัวนั้นตกลงไปในลำแม่น้ำและจมหายไป.ยักษ์สะลึคึงหาเท่าไรก็ไม่พบ.จึงหาไม้ซุงมาทำเป็นไม้คานหาบเอาหินภูเขาฝั่งซ้ายแม่น้ำ.มาทดน้ำด้านเหนือไว้เพื่อจะได้มองเห็นควายป่าที่จมอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำ.มันพยายามทำเป็นคันคูหิน.โดยหาบหินมาหลายเที่ยว.คันคูหินก็ใกล้จะจรดฝั่งขวาเข้าทุกที.แต่แล้วไม้ซุงที่ทำเป็นคานหาบหินนั้นเกิดหักกะทันหัน.ทำให้ไม้คานแตกเป็นเสี่ยงเสี่ยง.ไม้คานบางส่วนกระเด็นไปตกยังฝั่งของแม่น้ำของบริเวณนั้น ชาวบ้านจึงเรียกชื่อว่า “เสี่ยงคาน” ภายหลังเรียกเพี้ยนกันมากลายเป็น“เชียงคาน” และคันคูหินที่ยักษ์สะลึคึ.สร้างเพื่อทดน้ำนั้นปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ส่วนภูเขาที่อยู่ทางด้านทิศใต้ของแก่งคุดคู้นั้น.จะมีลักษณะเป็นชะง่อนผาแหลมยื่นออกมาเหมือนเขาควาย.เชื่อกันว่าควายป่าตัวที่จมในน้ำกลายเป็นภูเขา.ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ภูควายเงิน” ยังมีผู้สงสัยอยากถามเกี่ยวกับยักษ์ในยุคนั้นว่า.มีแต่ยักษ์เพศผู้ชื่อสะลึคึเท่านั้นหรือ? ยักษ์เพศเมียล่ะมีบ้างหรือไม่? เรื่องนี้ผู้เฒ่าก็เล่าให้ฟังว่า มียักษ์เพศเมียอีกตนหนึ่งชื่อว่า “นางแก้วโยนีหลวง”เธอจะหากินอาหารประเภทปลา.ตั้งแต่บริเวณมุกดาหารในปัจจุบัน ลงไปทางใต้ผ่านอุบลราชธานี จำปาสัก บริเวณน้ำตก “คอนพระเพ็ง” ที่จำปาสักเป็นแหล่งหาปลาของเธอและเลยลงไปจนถึงดินแดนกัมพูชา ถึงเวียดนามติดกับทะเล การหาปลาของ นางแก้วหลวงก็ไม่ต้องมีเครื่องมือจับปลาเหมือนชาวประมงทั่วไปเนื่องจากเธอไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้า.วิธีหาปลาจะใช้วิธีนอนถ่างขา.เอาอวัยวะเพศรองรับน้ำตก “คอนพระเพ็ง” บ้าง “น้ำตกหลี่ผี” ที่มีปลาชุกชุมบ้าง.ฝูงปลาก็จะเข้าไปรวมตัวกันข้างใน.พอเธอเห็นว่าปลาเข้าไปอยู่ภายในมากพอประมาณแล้ว.เธอก็หุบขาเข้าลุกขึ้นยืนก้าวย่างลงไปทางทิศใต้ถึงบริเวณเมืองเสียมเรียบกัมพูชาในปัจจุบัน.แล้วเธอก็จะถ่างขาเทน้ำและปลาออกมา.ทั้งน้ำทั้งปลาจำนวนมากก็หลั่งลงพื้น.เจิ่งนองกลายเป็นทะเลสาบ.ปัจจุบันเรียก “โตนเลสาบ”ซึ่งเป็นแหล่งปลาชุกชุมมากที่สุดในกัมพูชา
 ....กล่าวถึงความรักของยักษ์จะมีเหมือนมนุษย์เราหรือไม่.ผู้เฒ่าผู้สันทันกรณีท่านเล่าให้ฟังว่า.ยักษ์สะลึคึก็มีความต้องการทางเพศสูง.มีความใฝ่ฝันหาเพศตรงข้ามเหมือนมนุษย์ทั่วไปและในทำนองเดียวกัน ยักษ์นางแก้วหลวงก็มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน.เล่ากันว่าเวลาที่ยักษ์สะลึคึเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา.ไม่มีอะไรจะทัดทานได้.บางทีตัวมันเองต้องไปดึงเอาหวาย.จากป่ามาจำนวนมาก.เพื่อทำเป็นเชือกมัดดึงอวัยวะเพศไว้.แต่หวายที่ขันชะเนาะนั้นทนแรงไม่ไหว
...บุพเพสันนิวาสมีจริง..ณ.บริเวณมุกดาหารในปัจจุบันเมื่อก่อนเทือกเขาภูพานจะทอดเป็นแนวยาว พาดผ่านจากสกลนครไปถึงมุกดาหาร.นับว่าเป็นภูเขาที่สูงมาก.บริเวณเทือกเขานี้เป็นที่แห่งความรักของยักษ์ทั้งสองตนจะเกิดขึ้น! ... เมื่อยักษ์สะลึคึเที่ยวหากินสัตว์ป่า.จากจีนลงมาทางทิศใต้ผ่านพม่า ลาว ไทย จนถึงบริเวณเมืองท่าแขกและนครพนม มุ่งหน้าไปสู่มุกดาหารในปัจจุบัน.ซึ่งมีเทือกเขาภูพานกั้นอยู่.ในขณะเดียวกัน ยักษ์นางแก้วหลวง.ก็หาปลากินตามปกติ.โดยหาปลาขึ้นมาเรื่อย ๆ มุ่งหน้าจากเวียดนามผ่านกัมพูชา.เข้าสู่ไทยใกล้ถึงมุกดาหารที่มีเทือกเขาภูพานขวางกั้นอยู่...แม้จะมีภูเขาสูงกั้น.แต่ยักษ์ทั้งสองตนก็สูงใหญ่เกินภูเขาสูงเสียอีก.ยักษ์ทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก...รักแรกพบเกิดขึ้นแล้ว!...ทั้งสองโผเข้าหากัน! แม้ภูเขาจะกั้นขวางหน้า...ก็หาได้เป็นอุปสรรคไม่.ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยง.กลิ้งไปมาทำให้เทือกเขาภูพานส่วนหนึ่งแตกถล่มทลายกลายเป็นภูเขา ลูกเล็ก ลูกน้อย บางแห่งราบเป็นหน้ากอง.แตกพังทลายลง.ในปัจจุบันบริเวณดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น บริเวณที่ยักษ์บักสะลึคึกับยักษ์อีนางแก้วนอนด้วยกัน เรียกว่า “ดงบักอี่” ภูเขาที่แตกออกเป็นภูเล็กภูน้อยก็มีชื่อว่า ภูมโน.ภูหมู.ภูจ้อก้อ และภูผาเทิบ และยังมีลำห้วยธรรมชาติแห่งหนึ่ง.อยู่ทางทิศใต้ของหอแก้วมุกดาหาร ลงไปประมาณ 5 กิโลเมตร.กรมทางหลวงได้ทำป้ายชื่อของลำห้วยที่หัวสะพานว่า “ห้วยลึคึ” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสายน้ำที่เกิดจากการถึงจุดสุดยอดของยักษ์สะลึคึ.จนเป็นสายธารหลั่งไหลลงสู่แม่น้ำของนั่นเอง... ผู้เฒ่าที่รู้เรื่องราวเหตุการณ์แห่งความรักอันเป็นมหาอมตะนิรันดร์กาลนี้ยังเล่าให้ฟังอีกว่า.ขณะที่ยักษ์นางแก้วหลวงยังนอนหลับไหลอยู่นั้น.เจ้ายักษ์สะลึคึลุกขึ้นจะเดินไปดูบริเวณที่เป็นรังรักว่าพังทลายพินาศขนาดไหน.แต่พอมันได้ก้าวเดินไปทางทิศใต้เลยอำเภอดอนตาลไปไม่ไกลนักเกิดเข่าอ่อนทรุดฮวบลง.หัวเข่าทั้งสองข้างกระทุ้งลงพื้นดิน อวัยวะเพศที่มหึมาก็กระแทกลงพื้นดินเช่นกัน.ทำให้พื้นบริเวณนั้นทรุดลงเป็นแอ่งกว้างลึก.ภายหลังกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่.บริเวณที่ยักษ์สะลึคึล้มเข่ากระแทกพื้นนี้ ภายหลังมีผู้คนไปอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ดังกล่าว จนกลายเป็นชุมชนมีความเจริญเป็นบ้านเป็นเมือง เรียกว่า “ชานุมาร” ซึ่งแปลว่า “หัวเข่าของยักษ์” ภายหลังมีการเขียนชื่อเปลี่ยนไปว่า “ชานุมาน” เป็นอำเภอหนึ่งของอำนาจเจริญ.ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ยังปรากฏร่องรอยของยักษ์สะลึคึและยักษ์นางแก้วหลวงที่เกี่ยวข้องกับลุ่มแม่น้ำของ เช่น ภูเขาที่ชาวบ้านน้ำแม่สะนามที่เขื่อนน้ำเทิน1สปป.ลาว เรียกว่า “ฮ่างบักสะลึคึ” จะมีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศของยักษ์สะลึคึ.ชูโดดเด่นเป็นแท่งขึ้นไปอย่างน่าอัศจรรย์และยังมีภูเขาหินก้อนไม่ใหญ่โตนักที่ปรากฏอยู่ที่อำเภอปายแม่ฮ่องสอน.รูปร่างเหมือนผู้หญิงเปลือยกายนอนตะแคง.ชาวบ้านเรียก “นางแก้ว” ซึ่งอยู่ภายใน“หมู่บ้านสันติชน”ยูนนานอำเภอปาย.เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของปาย.สอบถามชาวยูนนานบริเวณนั้นแล้วว่า.บริเวณนี้มี “น้ำของ” ผ่านหรือไม่? เขาบอกว่าที่อำเภอปายจะมีแม่น้ำของเหมือนกัน แต่เป็นสายน้ำเล็กกว่าแม่น้ำของหรือแม่น้ำโขงที่ลาว แม่น้ำของที่อำเภอปายจะไหลสู่แม่น้ำปาย.เป็นแหล่งล่องแพท่องเที่ยวที่สวยงามมาก ถึงตอนนี้ก็พอจะสรุปความได้ว่า เมื่อมีชื่อ “แม่น้ำของ” อยู่ที่ไหน ยักษ์นางแก้ว...เธอก็จะไปเที่ยวหาปลากินที่นั่น...พอเหนื่อยก็นอนพักเอาแรง..ปัจจุบันที่หมู่บ้าน “นาไก่เขี่ย” เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาวจะมีรอยไก่ยักษ์ปรากฎบนลานหิน.ชาวบ้านเรียกว่า เป็นรอยไก่ยักษ์ ที่เกิดพร้อมกับยักษ์สะลึคึ.ปัจจุบันชาวบ้านเขาอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานได้ดูเป็นแหล่งเรียนรู้ ประกอบตำนานหมู่บ้าน “นาไก่เขี่ย” ผู้สนใจมีโอกาสไปเที่ยวเมืองท่าแขกก็แวะไปชมกันได้.ไม่ห่างจากแม่น้ำของเลยครับ...
ขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพและเรื่องราวทุกท่านครับ
เรียบเรียงโดย:www.facebook.com/เชียงตุงเชียงรุ่งKengTungJinghong-178785868912773
facebookfanpage:เชียงตุง.เชียงรุ่งKengTung.Jinghong



Create Date : 23 สิงหาคม 2559
Last Update : 24 สิงหาคม 2559 6:37:02 น.
Counter : 1150 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3374541
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]