หนึ่งการเริ่มต้นที่ทรงคุณค่า ดุจเมล็ดกล้าแห่งข้าวสาลี
Group Blog
 
All blogs
 

แล(ร)กรัก ตอนที่ 2



ตอนที่ 2

มือเล็กๆ ดำมอมแมมหลายคู่ โบกหยอยๆ เพื่ออำลาชายหนุ่มตรงหน้าที่ยกมือโบกลาอยู่บนรถ ก่อนเร่งเครื่องขับออกไป สภาพเส้นทางตรงหน้ามีแต่ขี้ดิน ขี้โคลนเฉอะแฉะ มีรอยยางรถเป็นแนวยาว ไปตลอด คงรถเครื่อง หรือมอเตอร์ไซด์พาหนะหลักของคนในหมู่บ้านบนเขาแบบนี้ ที่ใช้สัญจรไปมา นานๆ จะมีรถคันใหญ่แบบโฟร์วิลล์เวียนมาสักครั้ง

ชายหนุ่มมองผ่านกระจกหลัง ยังเห็นเด็กๆ ยังยืนโบกมือ ยิ้มแต้ให้โดยมีบ้านกระต๊อบเป็นฉากหลังให้ รอยยิ้มเด็กๆ มันช่างไร้เดียงสาน่าเอ็นดูเขาถึงว่า เด็กเหมือนผ้าขาวที่สุดแท้แต่ผู้ใหญ่จะแต่งแต้มสีอะไรลงไปให้ ถ้ายังนั้นไอ้จอมป่วนที่บ้านคงโดนสาดสารพัดสีเข้าให้ มันถึงได้ทะลึ่งตึงตัง แถมฉลาดเป็นกรดไม่ผิดกันคนเลี้ยง

รถยนต์โฟรวิลล์เลอะคราบโคลนแห้งกรัง แล่นผ่านอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะลับเหลี่ยมขา วิ่งเข้าเขตรั้วบ้าน สองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้พื้นเมืองปลูกให้แน่นขนัด ทั้งไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม ไม้เลื่อย แค่มาถึงลานหน้าเรือนไม้หลังใหญ่ เครื่องยนต์ยังไม่ดับสนิท ก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ ผิวขาวจั๊วโดดกระย่องกระแย่งออกมาจากตัวบ้าน ในมือมีแท่งสีดำเหลี่ยมกำแน่น ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวรถจากรถ คนตัวเล็กแค่เอวก็ฉีกยิ้มร่าเป็นการต้อนรับ

“พ่อล่าสวัสดีคับ” เสียงแจ้วๆ ทักขึ้นสุภาพอย่างผิดสังเกต ไอ้ที่มีคำลงท้ายประโยคครับๆ มายังนี้ต้องมีอะไรแน่ พอเห็นแท่งสีดำในมือจอมป่วนได้ชัด ก็เดาได้ว่าเมื่อกี้ในบ้านคงกำลังมีสงครามแย่งดูทีวีกันแน่ แล้วไอ้ตัวดีมันก็ชิงรีโมทวิ่งโล่มาหาคนเพิ่งเข้าบ้านหวังตีคลุมให้มาเป็นพวก

“พ่อคับ ไปดูการ์ตูนกับกล้านะครับ” เสียงท้ายพยายามเน้นคำให้ชัดเจน

“แย่งปู่ดูข่าวอีกล่ะสิ แล้วนี้จะมาหาพวก ก็ได้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน” ผู้เป็นพ่ออุ้มเด็กชายต้นกล้าขึ้นวางพาดบนแขน ทำแก้มป่องรอรับของแลกเปลี่ยน

“พ่อเหม็น” คนตัวเล็กบ่นกระปอดกระแปด

“จะดูการ์ตูนหรือเปล่า”

“จ๊วบบบ” ต้นกล้าหอมแก้มพ่อฟอดใหญ่

“อีกข้าง” ชายหนุ่มยืนหน้าอีกข้างให้

เด็กชาย ต้นกล้าทำหน้าย่นใส่ก่อน “จ๊วบบบ” ให้อีกที ไอ้ตัวร้ายนี้มันน่าหมั่นไส้นัก พออยากได้อะไรบอกให้ทำอะไรมันทำได้หมด แต่ถ้ามีพวกเป็นของตัวเองแล้ว อย่าหวังเชียวว่ามันจะยอมทำอะไรให้ง่ายๆ ยังนี้ แต่เค้าก็อดที่จะใจอ่อนกับจอมป่วนไม่ได้ทุกครั้ง

“เอ๊าไป ไปดูการ์ตูนกัน”

ชายหนุ่มอุ้มลูกชายเดินไปถึงกลางบ้าน เจอชายสูงวัยนั่งคอยท่าอยู่บนโซฟา ตาเสมองหน้าจอทีวีที่มีแต่ตัวการ์ตูนวิ่งวนไปมา

“ต้นกล้า! เอารีโมทมาคืนปู่เดี๋ยวนี้”

“รีโมทอันนี้ไม่ใช่ของปู่ซะหน่อย แล้วพ่อล่าก็กลับมาแล้ว พ่อล่าจะดูการ์ตูนกับกล้า ตอนนี้มีคนจะดูการ์ตูน 2 คนแล้ว เปลี่ยนช่องไม่ได้”

“บ๊ะ ไอ้ตัวแสบพ่อเอ็งมาถึงก็หาพวกเลยนะ ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ก็ปู่จะดูข่าว การ์ตูนดูไปทำไมไร้สาระ”

“บ๊ะ ก็ปู่บอกเองว่าเสียงข้างมากชนะ พ่อล่ากับกล้าจะดูการ์ตูน 2 คน ปู่ดูข่าวคนเดียวปู่แพ้ ...แล้วการ์ตูนก็ไม่ได้ไร้สาระ ครูที่โรงเรียนยังทำนิทานการ์ตูนให้อ่านเลย การ์ตูนมีประโยชน์กับเด็ก ทำให้สมองดี ”

คนเป็นปู่อ่อนใจกับไอ้ตัวเล็กที่ยอกย้อน เลียนเสียงเขานึกอยากจะขำกับทั้งหลักการ หลักเกินที่ยกมาอ้างให้วุ่น แต่ยังเก๊กหน้าขรึม ส่วนคนกลางได้แต่ยืนยิ้ม โยกหัวลูกเล่นอย่างเอ็นดู

“พ่อ ก็ยกทีวีให้กล้าดูไปก่อนสิ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้ว ทีนี้พ่อจะดูช่องไหนก็เอา แต่ตอนนี้ก็ยกประโยชน์ให้ต้นกล้าไปก่อนเหอะ”

“แกก็เข้าข้างลูกทุกทีแหละหว่า มันถึงกล้าสมชื่อมันอยู่นี้ไง” ชายสูงวัยแขวะเข้าให้

“ก็ใครดันตั้งชื่อนี้ให้มันล่ะ”

“เออ ชั้นเอง ก็ให้ชื่อต้นกล้าที่แปลว่าเจริญงอกงามเว้ย ไม่ใช่ให้มันมากล้าเถียงฉอดๆ อย่างนี้”

ปฐพีเถียงไม่ขึ้น เลยขี้เกียจเถียงต่อนั่งเงียบยอมดูการ์ตูนโดยสดุดี เจ้าตัวแสบพอลงจากวงแขนพ่อได้ก็วิ่งแน้บไปหน้าทีวี ตาจ้องการ์ตูนเป๋งไม่กระพริบ

“พ่อ หิวข้าว กับข้าวเสร็จยัง วันนี้ฝากท้องด้วยคนสิ” ชายหนุ่มเอยขึ้น

“ไม่รู้ ไปถามแม่เอ็งในครัวโน่น” ตอบเสียงห้วนเหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่ตามองตามจนแน่ใจคนเป็นลูกเดินหายเข้าหลังบ้านแล้วจริง ก็รีบหันกลับแย่งรีโมทในมือหลานชายอุตลุด

--
‘แก๊งง แก๊งง’ เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังเป็นระยะ กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล พูดถึงฝีมือการทำอาหารคนแทบนี้ทุกคนต่างยกนิ้วให้คุณนายจันทร์หล้า ที่รับหน้าที่แม่ครัวเอกของหมู่บ้านทุกงานไม่ว่างานวัด งานโกน งานบวช ชายหนุ่มเดินเงียบกริบ เข้าสวมกอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง

“ว๊ายตาย ตาเถร” แม่ครัวเอกเขวี้ยงตะหลิวลอยละหลิวข้ามหัวล่าฤทธิ์ มาตกลงบนพื้น

“ตาเถรที่ไหนคุณนาย ตาล่าต่างหาก” ล่าฤทธิ์ยิ้มแต้ หอมแก้มจันทร์หล้าฟอดใหญ่ซ้ายที ขวาที

“ตาล่า มาเงียบๆ อีกแล้ว แม่ตกใจ หัวใจวายตายขึ้นมาจะทำไง” คุณนายจันทร์หล้ายังลูบอกป้อย

“ไม่วายง่ายๆ หรอก แม่ออกจะแข็งแรง ยิ่งมีพ่อ กับไอ้ตัวแสบเป็นยาบำรุง มีหวังอยู่อีกเป็นร้อยปี”

“เชอะ ยาบำรุง ยาให้ยุ่งสิไม่ว่า ทะเลาะกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน พ่อแกก็นะ กับลูกกับหลานนะไม่มียอมแพ้ ที่กับเด็กผู้หญิงสาวๆ นะ ยอมให้ทุกอย่าง”

ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดจากแม่ ก้มหยิบตะหลิวไปล้าง แล้วยื่นคืนให้แม่ครัวเอก

“แม่ก็อย่าเก็บมาหึงสิ ก็รู้อยู่ว่าแก่ไม่ได้คิดอะไร พ่อแค่หาเพื่อนคุยแก้เหงาไปวันๆ”

“หึงนะไม่ได้หึง แก่ๆ กันแล้ว แต่หมั่นไส้ออกไปข้างนอกได้ทุกวัน เดี๋ยวนี้ก็จะเปิดเทอมอีกแล้วใช่มั้ย คงได้ตะเวนไปมหาวิทยาลัยแกอีก พักนี้ยิ่งเอาใหญ่พาต้นกล้าออกไปตะลอนๆ ด้วย จนคนแถวนี้มาพูดถึงหูแม่ว่าปู่หลานนิสัยเหมือนกันชอบไปเหล่สาวนอกบ้าน อีกหน่อยเถอะตากล้าจะเสียเด็กกันพอดี”

“แม่ไม่ออกไปหาอะไรทำข้างนอกบ่อยสิ จะได้ไม่ต้องมาคิดเรื่องพอ”

“ไม่ดีกว่า ขืนออกไปบ่อย คนอื่นก็ยิ่งจะเอาไปนินทาต่อสิว่าบ้านเราต้องมีปัญหาแน่ๆ ผัวไปทาง เมียไปทาง อยู่บ้านดีกว่า ไม่จำเป็น ไม่มีใครมาขอตัวจริงๆ แม่ก็ไม่อยากออกไป เบื่อ...” ไม่ว่าอย่างไร เรื่องความมั่นคงของครอบครัวก็ถือเป็นเรื่องสำคัญของคุณนายจันทร์หล้า แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าที่บ้านไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่ชอบใจที่จะมีใครเอาเรื่องไปพูดต่อๆ กันในทางไม่ดี

“ลูกกลับมาเหนื่อยๆ ก็ต้องมาฟังแม่บ่นอีก ไปเถอะไป๊ ไปอาบน้ำก่อนไป เหนียวตัวเชียวแล้วเดี๋ยวค่อยลงมากินข้าว วันนี้มีแกงจืดลูกรอกของโปรดลูกด้วย” คุณนายจันทร์หล้าพลั้งพรูเรื่องที่อัดอั้นตันใจ จะระบายกับใครก็ไม่ได้ ที่บ้านนอกจากปฐพี กับต้นกล้าแล้ว ก็มีแต่คนงาน จะพูดไปก็จะให้เก็บเอาไปนินทาต่อได้ ก็มีแต่ล่าฤทธิ์คนเดียวที่จะพูดให้ฟังได้ แต่เขาเองนานๆ ถึงจะกลับมาบ้านสักที”

ล่าฤทธิ์หอมแม่ให้อีกฟอด พอให้คนเป็นแม่ได้ชื่นใจหายคิดถึง แล้วเดินออกจากครัวผ่านห้องนั่งเล่น ยังเห็นสองปู่หลานแย่งรีโมทโทรทัศน์กันเหมือนเดิม ก็ส่ายหน้าระอา แต่ตั้งแต่มีต้นกล้าเข้ามาในครอบครัว ก็ช่วยให้พ่ออยู่ติดบ้านมากขึ้นจากเดิมที่จะไปเดินเล่น นั่งเล่นนอกบ้านบ่อยๆ ถึงจะดูว่าสองปู่หลานจะไม่ลงรอยกันนัก แต่ปู่หลานคู่นี้กลับอยู่ห่างกันไม่ได้นานไม่ใครก็ใครสักคนต้องบ่นคิดถึงขึ้นมาก่อน

ล่าฤทธิ์เดินเลยขึ้นบันได ไปถึงห้องนอนส่วนตัวได้ ก็ทิ้งตัวบนเตียงนอน กลิ่นหอมของแดดยังกรุ่นๆ บนผ้าปู แม่บ้านมักจะคอยทำความสะอาดห้องหับ และที่นอนของเขาอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มานอนเป็นประจำ เพราะปกติจะพักที่หอพักในมหาวิทยาลัยเพื่อความสะดวก ที่สำคัญไม่อยากเจอหน้าพ่อทุกวัน อยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็มีแต่เรื่องให้ทะเลาะกันจนได้ สู้นานๆ มาหาทีพ่อจะได้คิดถึงเค้าบ้าง

--
20 ชั่วโมง บนเครื่องบิน ที่เห็นแต่เพดานเครื่อง กับช่องหน้าต่างกระจกหนา 2 ชั้น มันยิ่งกว่าการถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องนอน ยามที่เธอทำผิดเมื่อครั้งเป็นเด็ก ยิ่งต้องนั่งนิ่งๆ นานๆ เปลี่ยนอิริยาบถได้บ้าง ก็ตอนจะลุกเข้าห้องน้ำ จนเธอรู้สึกอึดอัดในช่องท้อง เหมือนมีลูกโป่งสูบลมอัดแน่นอยู่เต็ม แม้จะได้เปลี่ยนเครื่องบินอยู่บ่อยครั้งทั้งจากที่สนามบินเจเอฟเค ที่นิวยอร์ก ก่อนมาต่อเครื่องที่ประเทศญี่ปุ่นอีกที จะทำให้หญิงสาวมีโอกาสลุกเดินยืนเส้นยืนสาย คลายลมในท้องออกไปได้บ้าง แต่เมื่อกลับมานั่งนิ่งๆ บนเครื่องบินอีก 3-4 ชั่วโมงก่อนถึงเมืองไทย ลูกโป่งมันก็ลอยกลับมาอยู่ในท้องเธออีกครั้งเสียแล้ว

ถึงสนามบินดอนเมือง เธอต่อเครื่องบินภายในประเทศตรงไปที่จังหวัดเชียงรายทันที โดยใช้เวลาอีกเกือบ 2 ชม. กว่าถึงที่หมาย ถ้าใครจะมาบอกว่า การเครื่องบินเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แสนอัศจรรย์ แล้วหล่ะก้อ ฉันจะไม่เถียงเลย มันน่าอัศจรรย์มากที่สามารถเสกลูกโป่งนัดสิบเข้าไปอยู่ในท้องผู้โดยสารได้ *1

เนรินดา มาถึงสนามบินเชียงราย ระหว่างรอรับกระเป๋าเดินที่กำลังลำเลียงมาทางช่องสายพานสัมภาระผู้โดยสาร เธอพยายามมองออกไปนอกหน้าประตูส่วนในของสนามบิน เห็นมีคนจำนวนมากมายืนรอรับญาติหรือคนรู้จักที่เดินทางมาด้วยเครื่องบินไฟล์เดียวกับเธอ

หญิงสาวล่วงกระเป๋าสตางค์ หยิบรูปชายคนหนึ่งที่เก็บไว้ขึ้นพิจารณา เป็นภาพของชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ต้นๆ ที่ถ่ายคู่กับเด็กหญิงเนรินดาเมื่อครั้งอายุ 13 ปี ตาชั้นเดียวแบบไม่ต้องเดินขึ้นชั้นบนให้เมื่อย ประกอบกับใบหน้าอิ่มอูมด้วยก้อนเนื้อและไขมันจนเห็นรอยชั้นใต้คาง ยามยิ้มทำให้ดวงตาที่เล็กอยู่แล้วเหลือเพียงขีดเส้นตรง 2 เส้นเท่านั้น แต่เป็นดวงตาที่สดใส และยิ้มแย้มอยู่เป็นนิตย์

‘ศรปราชญ์’ พ่อทูนหัวที่ถูกต้องตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา หรือ ‘พ่อจ๋า’ ที่เธอเรียกอย่างติดปาก เป็นเพื่อนสนิทคนไทยเพียงคนเดียวของพ่อ ซึ่งเคยไปเยี่ยมเธอและพ่ออยู่หลายครั้งที่สหรัฐอเมริกา แต่หลายปีหลังเกือบไม่ได้ไปมาหาสู่อีก เห็นพ่อบอกว่าพ่อจ๋าไม่ว่างเพราะกำลังยุ่งวุ่นวายกับงานและตำแหน่งใหม่อยู่ แต่พ่อจ๋าก็ไม่เคยลืมส่งขอขวัญวันเกิด แถมด้วยการ์ดอวยพรปีใหม่ให้เธอทุกปี จนเมื่อปีกลาย เธอจึงมีโอกาสพบ พ่อจ๋าอีกครั้ง ในงานศพของพ่อเธอ

หลังรับกระเป๋าเดินทางแล้ว เธอเห็นชายสูงวัยร่างป้อม ยืนชูป้ายชื่อเธออยู่ไกลๆ ‘ใช่แน่ พ่อจ๋าของชั้น’ เธอเดินตรงรี่เข้าไปหา และสวมกอดกันกลมกับพ่อทูนหัว อยู่ครู่ใหญ่จนเริ่มรู้สึกว่าคนรอบข้างพากันเหลียวมอง เธอผละออกจากอกชายสูงวัย พิจารณาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วใบหน้า พ่อจ๋าของเธอ บัดนี้รูปหน้าเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ผิวกร้านคล้ำน่าจะด้วยฤทธิ์ของแสงยูวีจากดวงอาทิตย์ในเขตภูมิประเทศที่ใกล้เส้นศูนย์สูตรเพียงไม่อีกองศา แต่ยังคงความเจ้าเนื้อ และอารมณ์ดีซึ่งเป็นเอกลักษณ์เด่นยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เช่นเดิม

“เป็นไงบ้าง เนด้า การเดินทางราบรื่นดีมั้ย เหนื่อยมั้ยลูก” เสียงทักทายด้วยภาษาไทย น้ำเสียงแสดงความห่วงใยอย่างเปิดเผย ทำให้เธอน้ำตารื่นขึ้นมาฉับพลัน เธอคิดถึงพ่อเสียเหลือก่อน พ่อจะพูดกับเธอด้วยภาษาไทยทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน แต่เกือบ 1 ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้ยินเพราะพ่อจากเธอไปแล้ว

“นิ่งเชียว เป็นไรไปครับ เนด้า เหนื่อยมากรึ ไปๆ ขึ้นรถ... เดี๋ยวพ่อจ๋า ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงที่พักแล้ว หนูจะได้อาบน้ำนอนพักให้หายเหนื่อยนะ” ศรปราชญ์ลูบศีรษะลูกสาวบุญธรรมอย่างเอ็นดู แต่มันยิ่งทำให้น้ำตาที่เออเต็ม ล้นทะลักขอบตาออกมาเป็นสาย

“อ้าวตาย ร้องไห้ใหญ่เลยทีนี้ ทำไงดีว่ะกู” พ่อบุญธรรมที่ไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเอง ทำตัวไม่ถูกกับลูกสาวตรงหน้า ได้เกาหัวแกร๊กๆ สบถกับตัวเอง

“เนด้าไม่เป็นไรคะ เนด้าไม่เป็นไร แค่คิดถึงพ่อจ๋า ดีใจที่เจอพ่อจ๋าอีก” คนบ่อน้ำตาตื้นตอบเป็นภาษาไทยชัดเจน ก่อนยกแขนเสื้อปาดน้ำตาทิ้ง

“ตกลงร้องไห้ เพราะดีใจเจอหน้าพ่อหรอกรึ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นไรไป ไอ้เด็กคนนี้ร้องไห้ได้เป็นเผ่าเตา ทำตกอกตกใจหมด” ไม่ว่าเปล่า พ่อทูนหัวขยี้ผมเธอเบาๆ และรับกระเป๋าจากลูกสาวนอกไส้มาถือไว้

“เอ๊าไป ไม่มีอะไรแล้ว งั้นขึ้นรถ กระเป๋าเราเอามาครบแล้วใช่มั้ย ตกลงจะเข้าบ้านเลย หรือว่าจะแวะกาด* (กาด ในภาษาเหนือหมายถึงตลาด) ก่อนดี พ่อจ๋ากะว่าจะหาซื้ออะไรไปเตรียมไว้เป็นมื้อเย็นด้วย จะได้ไม่ต้องวิ่งรถออกมาอีก” ศรปราชญ์ ถามความเห็นก่อนบรรยายแผนการเดินทางที่คิดไว้ล่วงหน้า

“ยังก็ได้คะ แล้วแต่พ่อจ๋า”

----

มาถึงกาดเย็น จากที่เดินมาด้วยกันสองคนพ่อลูก เนรินดา เริ่มเดินแยกคนละทางตื่นตาตื่นใจกับของแปลกใหม่ เห็นอะไรก็น่าลองน่าลิ้มไปเสียหมด เนรินดากลายเป็นจุดสนใจของคนผ่านไปมา เพราะผิวพรรณหน้าตาทีเห็นชัดว่าไม่ใช่คนพื้นเมือง ทั้งยังสวยสดใสจนอดที่จะมองไม่ได้ เธอเดินเรื่อยมาถึงแผงขายห่อหมก เนรินดาถามแม่ค้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แม่ค้าคะ อันนี้มันคืออะไรรึคะ” เนรินดาถามด้วยภาษาไทยชัดแจ๋ว จนแม่ค้าอดยิ้มไม่ได้

“แม่หนูพูดไทยชัดจัง ” แม่ค้าเอยชมด้วยภาษาพื้นถิ่น ก่อนแจกแจงคำตอบให้เธอสิ้นสงสัย

“ไอ้นี่เค้าเฮียกว่าหมกเจ้า คนภาคกลางเค้าเรียกห่อหมก นี้ก้อมีหมกปลา หมกพุงปลา หมกหมึก หมกแมงดาก็มีนะเจ้า หอมดีจะลองรับดูสักห่อมั้ย ห่อสุดท้ายแล้ว”

เนรินดาก้มลงมองห่อหมกหลากหลายชนิดบนแผง แต่พุ่งความสนใจไปที่ห่อหมกแมงดาเป็นพิเศษ เอื้อมมือจะหยิบ แต่ก็อีกมือหนึ่งคว้าไปเสียก่อน เนรินดาเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับชายไทย หน้ารูปไข่ ตาเข้ม ผิวนวล อย่างที่บ่งบอกว่าเป็นคนเหนือแน่ กำลังมองเธอด้วยสายกึ่งขอโทษ ที่ไปแย่งห่อหมกที่เธอกำลังเลือกอยู่ขึ้นมา แต่ขณะนี้เนรินดา จ้องมองเขาอย่างรู้สึกคุ้นเคย และต้องชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เกิดรู้สึกไม่ต่างจากเธอ

พลันเสียงแม่ค้าดังขึ้น “ อาจารย์วันนี้รับหมกกี่ห่อดีเจ้า....” เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือรึ มิน่าถึงแต่ตัวภูมิฐานผิดกับชาวบ้านทั่วไป

“ห่อนี้ คุณผู้หญิงคนนี้กำลังจะซื้ออยู่หรือเปล่า …”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียนขานว่าอาจารย์ หันไปถามแม่ค้า ก่อนเอ่ยกับเนรินดาเป็นภาษาอังกฤษว่า “ขอโทษครับ นี่ของคุณครับ”

“ไม่เป็นไรคะ คุณเอาไปเถอะ ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ซื้อไปไม่รู้จะทานเป็นหรือเปล่า” เนรินดาตอบกลับเป็นภาษาไทย ชัดถ้อยทุกคำ ทำเอาอาจารย์หนุ่มหน้าเว่อ ผิวหน้าใสบางเปลี่ยนสีเป็นแดงระเรื่อ

“อ้าว พูดไทยได้รึครับ ผมหลงปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ นี่ห่อหมกแมงดา อร่อยนะหอมดี คุณอยากลองชิมหน่อยไหม .. นี้ห่อสุดท้ายแล้วใช่มั้ยป้า” ชลตุลย์ หันไปถามแม่ค้าอีกครั้ง

“เจ้า.. เหลือห่อเดียวนี่แหละ วันนี้ขายดี”

“งั้นคุณรับไว้เถอะครับ จะได้ลองชิมอาหารพื้นเมืองของไทยดู ” อาจารย์หนุ่มยืนหมกแมงดาส่งให้เธอ

“ไม่เป็นไรคะ คุณรับไปเถอะดูท่าว่าคุณจะชอบทานมันอยู่มาก” เนรินดาปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“ผมนะคนที่นี้วันอื่นค่อยมาซื้อกินก็ได้ แต่คุณสิถ้าพลาดแล้วจะเสียดาย มันอร่อยจริงๆ นะ ” ว่าจบ ชายหนุ่มก็หยิบห่อหมกชนิดอื่นบนแผง อีก 2 ห่อยื่น ห่อหมดให้แม่ค้าใส่แยกถุง พร้อมส่งเงินให้แม่ค้า แล้วยื่นเฉพาะห่อหมกแมงดาหญิงสาว

“ห่อนี้ผมซื้อให้ รับไว้นะครับ ถือว่าเป็น welcome meal ล่ะกัน ”

“มีที่ไหนคะ welcome meal เค้ามีกันแต่ welcome drink” เนรินดาอมยิ้มในสำนวนแปลกๆ ของเขา ก่อนไหว้ขอบคุณ และรับห่อหมกไว้ในมือ

“คุณใจดีจริงๆ ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีโอกาสวันหน้าเราคงได้เจอกันอีก ผมขอตัวนะครับ ขอให้อร่อยกับ welcome meal ห่อหมกแมงดานะครับ”

เนรินดายิ้มค้าง สายตายังคงมองตามชายหนุ่ม ที่เดินค่อยๆ เดินห่าง แทรกตัวไปในหมู่ผู้คนที่มาจับจ่ายอาหาร ‘ผู้ชายไทย รูปหล่อใจดีอย่างนี้ทุกคนมั้ยน่า’ จนสะดุ้งกับเสียงศรปราชญ์ ที่ตะโกนอยู่ข้างหู

“เนด้า !”

“พ่อจ๋า ตะโกนเสียงดังทำไม ยืนกันใกล้อยู่แค่นี่” เนรินดายกมือขึ้นเขี่ยเข้าไปในหู

“พ่อจ๋า เรียกหนูอยู่ตั้งหลายที่ หนูก็ไม่ตอบ มองหาอะไรอยู่เหรอ นึกอยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวพ่อจะได้หาให้”

“เปล่าคะ... พ่อจ๋าห่อหมกไข่แมงดานี่มันอร่อยเหรอ ”

“อร่อยสิ ของโปรดพ่อจ๋าเลยหล่ะ หนูอยากลองมั้ยเดี๋ยวพ่อซื้อให้”

“ไม่ต้องคะ เมื่อกี้มีคนซื้อห่อหมกให้เนด้าแล้ว นี่ไง” ว่าแล้วสาวน้อยก็ชูถุงห่อหมกขึ้นตรงหน้าพ่อทูนหัว

“ใครซื้อให้ หนูไปรับของของคนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง ใครก็ไม่รู้จักเดี๋ยวใส่ยาอะไรไม่รู้ให้หนูกินจะทำยังไง ไม่เอาไม่เอา ทิ้งไปซะ” ว่าแล้วก็ฉวยห่อหมกในมือลูกสาว

“พ่อจ้า พ่อจ้า !!” เนรินด้าร้องห้ามเสียงหลง คว้าห่อหมกคืนมากุมไว้ในมือ

“ไม่มีใครใส่อะไรหรอก เค้าซื้อจากร้านตรงนี้ ทีแรกเค้าก็จะซื้อกินเอง แต่เห็นว่าเนด้าอยากลอง เขาก็ใจดียกให้ แถมจ่ายเงินให้ด้วย คงเห็นว่าเนด้าเป็นคนต่างชาติ เลยอยากตอนรับมั้ง ไม่มีอะไรหรอก” คนเป็นลูกสาวรีบยกเหตุผลเท่าที่จะคิดได้ มาแจกแจง

“ ถ้าอย่างงั้นก็แล้วไป แต่แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร แล้วเกิดหนูกินเข้าไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ กลับเถอะพ่อจ๋า หนูเหนื่อยแล้ว อยากพักแล้วหล่ะ นั่งเครื่อง ต่อเครื่องมาเกือบครบ 24 ชั่วโมง เหม็นตัวเองจะแย่ อยากอาบน้ำจัง” รีบตัดบท ก่อนกึ่งลากกึ่งจูงพ่อจ๋าออกไป

--

รถญี่ปุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของ วิ่งเอื่อยๆ มาจนถึงบ้านพักอาจารย์ ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสวัสดิการหนึ่งของมหาวิทยาลัยสำหรับอาจารย์ แต่จะมีการแบ่งแยกโซนตามลำดับขั้นของตำแหน่งไว้ หากเป็นอธิการบดีก็จะมีบ้านพักรับรองหลังใหญ่ เป็นบ้านเดียวอยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบมหาวิทยาลัยได้ทั้งหมด ส่วนรองอธิการบดี คณะผู้บริหาร และคณบดีคณะต่างๆจะเป็นบ้านเดียวหลังย่อมลงมาอีกหน่อย แต่ อยู่ไม่ห่างจากตัวบ้านอธิการบดีนัก

ถัดออกไปก็จะเป็นบ้านของอาจารย์ทั่วไป ที่จะเป็นบ้านแฝด 2 หลังติดกัน ซึ่งบ้านพักของศรปราชญ์ เป็นบ้านแบบที่ 2 เพราะพ่อทูนหัวของเธอมีตำแหน่งถึงคณบดีคณะวิทยาศาสตร์

ดูจากบ้านหลังข้างๆ พื้นที่บ้านก็กว้างขวางไม่น้อย แต่บ้านของพ่อบุญธรรมเธอนี้ กลับรกครึ้ม เต็มไปด้วยต้นไม้พืชผักสวนครัวและสมุนไพร ที่คณบดีปลูกไว้เก็บกิน และใช้ประโยชน์จนทำให้บ้านดูหลังเล็กลงไปถนัดตา ศรปราชญ์ยังง่วนอยู่กับของจิปาถะท้ายรถ ตั้งแต่จอดรถแล้วก็ยังไม่เงยหน้าออกจากกระโปรงท้ายรถ

“เข้าไปข้างในเลยเนด้า เดี๋ยวกระเป๋าพ่อยกตามเข้าไปให้เอง”

เนรินดา เปิดประตูนำเข้ามาก่อนตามคำเชิญ ภายในบ้านจัดแบ่งห้องต่างๆ อย่างเป็นสัดเป็นส่วน ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว และห้องกลางที่จะรับหน้าที่สารพัดตั้งแต่เป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องทานอาหาร รวมอยู่ด้วยกัน

ดูรวมๆ แล้วบ้านหลังนี้ก็เล็กกะทัดรัดเหมาะที่จะอยู่คนเดียว แต่มันจะน่าอยู่มากกว่านี้ ถ้าของรกเกะกะ ที่วางไว้อย่างไม่เป็นที่ จะจัดวางให้เป็นระเบียบ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์จะได้รับทำความสะอาดบ้าง เธอเดินเตะโน้น สะดุดนี้ไปตลอดทางกว่าจะถึงบานประตูด้านข้างตัวบ้าน ที่มองเห็นบึงน้ำกว้างใหญ่

เนรินดา เดินผ่านแปลงสมุนไพรหลังบ้านออกไป ยังบึงน้ำที่มีแนวยาวเชื่อมบ้านพักอาจารย์ทุกหลัง ให้ต่อถึงกัน บ้านหลังนี้มีศาลาริมน้ำ แบบสำเร็จรูปวางไว้ โดดเด่นกว่าบ้านหลังอื่นๆ เธอหยุดนั่งพัก สูดอากาศบริสุทธิ์ยามบ่าย จนฉ่ำปอด ก่อนเดินกลับมายังตัวบ้าน

“เมื่อกี้ ใครบอกว่าเหนื่อย อยากอาบน้ำไม่ทราบครับ” พ่อทูนหัวทักขึ้น

“ก้อ...เนด้าเห็นศาลาริมน้ำ สวยดีเลยคิดจะออกไปดูแค่แป๊บเดียว แต่อากาศที่นี้ดี๊ดีนะคะ เลยเผลอนั่งเล่นนานไปหน่อย เดี๋ยวจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้แล้ว กระเป๋าหนูอยู่ไหนคะ”

เด็กคนนี้ช่างหัวไวดีแท้ ด้วยคำที่ฟังเผินๆ เมื่อจะเป็นคำชื่นชมเพียงบรรยากาศภายนอก แต่แฝงไว้ด้วยคำแก้ตัวในที แถมใช้ภาษาไทยได้ฉะฉานไม่ผิดกับคนที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย หรือาจะดีกว่าเด็กหลายคนด้วยซ้ำ

“หิวน้ำมั้ย มีน้ำขวดอยู่ในครัวนะหยิบได้เลย แก้วก็คว่ำอยู่ตรงนั้นแล้ว กินเสร็จแล้วก็ไม่ต้องล้างนะ”

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวหนูล้างเลยก็ได้ เนด้าทำได้คะ” เนรินดาเกรงใจ มาขออาศัยบ้านเขาถ้ามีอะไรหยิบจับช่วยผ่อนแรงได้เธอก็เต็มใจทำให้ทันที

“ไม่เป็นไร วางไว้เถอะ แต่ก็จำหน่อยล่ะกันว่าแก้วหนูแก้วไหน เวลาจะใช้อีกก็หยิบแก้วเดิมนั้นแหละมาใช้ ไม่ต้องล้างให้เปลื้องน้ำ ปากเราเองน้ำลายเราเองกินซ้ำได้ไม่เป็นไร”

พ่อบ้านจอมประหยัดพูดไปเรื่อยเสมือนเป็นเรื่องปกติในชีวิต แต่สะกิดหูคนฟัง คิดได้ไงไม่ต้องล้างให้เปลื้องน้ำ ช่างทำไปได้ แต่เธอก็คราญที่จะใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ เสมองหากระเป๋าเดินทางของตัว

“อยู่ในห้องทางซ้าย พ่อจ๋า เอาไปเก็บไว้ให้แล้ว”

ศรปราชญ์ชี้มือไปที่ห้องนอน ที่เปิดบานประตูทิ้งไว้ เนรินดากล่าวขอบคุณ แล้วเดินเลยเข้าห้องทางซ้าย ตามมือบอกของผู้เป็นพ่อบุญธรรม ไม่นานนักเนรินดาก็เดินออกมาพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำพร้อม และห่อเนคไท

“พ่อจ๋า ของฝากคะ” เนรินดานั่งลงข้างศรปราชญ์ ยื่นห่อของขวัญที่เธอกระเหม็ดกระแหมเก็บเงินซื้อมาให้
“อุ๊ยยยย ซื้ออะไรมาให้สิ้นเปลืองสตางค์เปล่าๆ เก็บไว้เถอะ”

“คงเก็บไว้ไม่ได้หรอกคะ เพราะถึงเก็บไว้เนด้าคงไม่ได้ใช้แน่”

“แล้วซื้ออะไรมาล่ะ พ่อจ๋าจะใช้ได้เหรอ”

“ใช้ได้สิคะ แก้ห่อดูก่อน ว่าพ่อจ๋าชอบมั้ย”

ศรปราชญ์ บรรจงแกะห่อของขวัญอย่างทะนุถนอม แม้เนรินดาจะรู้สึกดีว่าพ่อจ๋าถนอมของฝากของเธอ แต่กว่าจะลอกสกอต์เทปแต่ละชิ้นได้ มันชักช้าไม่ทันใจเธอเอาซะเลย เนรินดาคว้าห่อของขวัญในมืองศรปราชญ์มาแกะเสียเอง ฉีกห่อกระดาษลายสวยเสียดังแขวะต่อหน้าต่อตาศรปราชญ์

“เฮ้ย! จะเก็บกระดาษห่อของขวัญไว้ซะหน่อย” ศรปราชญ์สะบทลั่น

“เก็บไว้ทำไมกันคะ เนด้าให้ของขวัญข้างในนี่นะ ไม่ใช่ให้กระดาษห่อของขวัญ”

“ก็มันสวยดีนิลูก ของขวัญมันก็ดี แต่กระดาษห่อเรายังเก็บไว้ใช้ต่อได้นะ” ศรปราชญ์ยังคงตระหนี่เหมือนเคย เขาเลื่อนกล่องของขวัญเปิดออกเผยให้เห็นเนคไทสีขาวนวล มีลายกราฟฟิกสามเหลี่ยมสีเหลืองสด สลับแดงกระจายอยู่เต็มเส้นเนคไท ก็ทำหน้าตาปุเลี่ยนๆ น้ำลายเกิดหนืดฝืดคอขึ้นมากะทันหัน ชะงักมองของขวัญตรงหน้า สลับกับใบหน้าผู้ให้

“แหม๋ เนด้าก็ใจเร็วอยากให้พ่อจ๋าเห็นของขวัญเร็วๆ นิ ไงคะ สวยมั้ย” เนรินดาถามความเห็นอย่างภาคภูมิใจในของขวัญชิ้นนี้ที่เธอเลือกให้เองกับมือ

“เออ สวยจ้ะสวย แต่มันจะเหมาะกับพ่อจ๋ารึเนี่ย เหลืองอ๋อยขนาดนี้ไม่ไหวมั้ง”

“สวยสิคะ นี่เนด้าเลือกตั้งนานเลยน้า ถามคนขายแล้วว่าเหมาะหรือเปล่าเขาก็ยืนยันว่าเหมาะมากจะช่วยกระชากวัยคนใส่ได้ เปิดเทอมวันแรกพ่อจ้าผูกไทเส้นนี้นะคะ ถ้าไม่ผูกเนด้าเสียใจจริงๆ ด้วย”

ศรปราชญ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น คิดแต่ว่าเป็นตายร้ายดีก็ไม่ผูกไทเส้นนี้เด็ดขาด ขืนผูกไปมีหวังอาจารย์ในคณะ รวมถึงลูกศิษย์ปากดีแต่ละคนในคณะต้องล้อเขาเอาได้แน่ ว่าเป็นตาแก่วัยกลับ

“พ่อจ๋า ที่นี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศเหรอ บ่ายๆ อย่างนี้ในบ้านร้อนแย่เลย” เนรินดาบ่นขึ้นมาอย่างคนติดอากาศเย็น

“ไม่มีหรอก ไม่ได้ติด ถ้าร้อนนักก็มีพัดลมใช้ได้ แต่ถ้าร้อนไม่มากเปิดประตู หน้าต่างทิ้งไว้ ลมโชยมาก็เย็นแล้ว”

เนรินดาทำหน้ายู่ เดินเข้าห้องน้ำ ในใจยังคิดว่า ถ้ามีแอร์คงดีกว่านี้ แต่ช่างเถอะ ยังไงเธอคงพักที่บ้านพ่อทูนหัวไม่นานก็ต้องย้ายไปอยู่หอพักนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยที่เธอจองห้องไว้ แต่เวลานี้ยังไม่ถึงวันเปิดภาคเรียนหอพักจึงยังไม่เปิด งั้นก็ทนๆ เอาหน่อยล่ะกัน

“ในห้องน้ำมีสบู่ ยาสระผมครบ แต่จะอาบน้ำอาบท่าอะไรก็อย่าให้นานนักหล่ะ”

“ทำไมหล่ะคะ... พ่อจ๋าจะอาบน้ำเหรอ พ่อจ๋าอาบก่อนก็ได้นะคะ เนด้าอาจจะอาบนาน ” เนรินดาออกตัวอย่างเกรงใจ

“เปล่า แต่หนูอย่าอาบให้นานนัก อากาศเริ่มเย็นแล้วเดี๋ยวเป็นไข้ไม่สบายขึ้นมาจะลำบาก เพิ่งมาถึงแท้ๆ เอกสารลงทะเบียนอะไรก็ยังไม่เรียบร้อย ถ้าต้องหามดหาหมอจริงๆ ต้องเสียเงินโขเบิกก็ไม่ได้ ”

“แต่หนู่ร้อนนิ ร้อนจะแย่อยู่แล้วเหนียวตัวไปหมด” สาวน้อยต่างถิ่นที่ยังไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศเมืองไทยบ่นอุบ ชะโงกหน้ามองสำรวจทั่วห้องน้ำ

“พ่อจ๋า ที่นี้ไม่มีอ่างอาบน้ำรึ หนูนึกคิดว่าจะแช่น้ำให้สดชื่อเสียหน่อย ว้าเสียดายจัง”

“ไม่มีหรอก ที่นี้มีฝักบัวให้ก็หรูแล้วลูก ชาวบ้านเขาตักอาบกันจากในตุ่มเลยน่า หรือถ้าไม่มีห้องน้ำเขาต้องไปอาบกันที่ลำธารก็มี”

“ลำธาร ที่นี้มีลำธารด้วยเหรอจะ หนูเห็นแต่บึงหลังบ้าน ตรงนั้นอาบได้มั้ยคะ” เนรินดามองบึงน้ำตาแป๋วเป็นประกายอย่างหวังใจจะได้แช่น้ำให้สบายตัว

“บึงนี้ใครเค้าอาบกัน มีไว้เก็บน้ำให้ดินชื้นเท่านั้น มีห้องน้ำก็ใช้ห้องสิ มิดชิดไม่ประเจิดประเจ้อด้วย”

“โธ่ นึกว่าได้ น่าเสียดาย ช่างเถอะยังไงตอนนี้มีน้ำให้อาบก็ดีแหละ” เนรินดากำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำก็ชะงักกึกกับเสียงไล่หลังของพ่อทูนหัว

“นี่ แล้วอย่าอาบให้มันนานนะล่ะ เปลืองน้ำ อาบเสร็จหนูอยากลืมปิดไฟด้วยนะทิ้งไว้ก็เปล่าประโยชน์ แล้วอย่าปิดก๊อกให้สนิทนะ อย่าให้หยดนะลูกก๊อกมันไม่ค่อยดีอยู่ ”

เนรินดาทึ่งกับความใส่ใจทุกรายละเอียดของพ่อทูนหัวเสียจริงจริ๊ง และมันก็ทำให้เธอเข้าใจได้มากขึ้นถึงข้อสงสัยว่าเหตุใดพ่อทูนหัวของเธอยังคงครองตำแหน่งชายโสด ด้วยอายุเลย เฉียด 50 ได้ไว้อย่างมั่นคง ก็นอกจากสภาพบ้านที่ไม่เคยเก็บกวาดนานนับเดือน หรืออาจถึงแรมปี กับนิสัยจุกจิกหยุบหยิมแบบนี้คงมีใครหร๊อกที่อยากจะรับอาสาเป็นแม่ทูนหัวของเธอ

“เดี่ยวพ่อเดินไปดูแปลงเพาะหลังบ้านนะ มีอะไรก็เรียกหละกัน เอออีกอย่าง แล้วตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าติดเรียกพ่อ ว่าพ่อจ๋าล่ะ” พ่อทูนหัวเริ่มตั้งกฎแปลกๆ

“ทำไมล่ะคะ”

“ไม่จำเป็นก็อย่าให้ใครรู้เลยว่าหนูเป็นลูกบุญธรรมพ่อ รำคาญขี้เกียจตอบคำถาม เมียไม่มีไหงมีลูกสาวโตป่านนี้ แถมหน้าตาลูกครึ่งซะอีกจะหาว่าพ่อจ๋าไปหลอกฟันฝรั่งเขาให้”

พ่อทูนหัวของเธอมีนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก ติดจะทำงานคนเดียว ใช้ชีวิตกินคนเดียว เที่ยวคนเดียว ถึงยังไม่มีใครมาร่วมใช้ชีวิตด้วย

“ว่างๆ ก็ฝึกเรียก ‘อาจารย์ศรปราชญ์’ ให้คล่องๆหล่ะ ออกไปข้างนอกจะได้ไม่เรียกผิด ไหนลองเรียกสิ”


“ค๊าาา... อาจารย์ศรปราชญ์” เธอลากเสียงยานคางล้อเลียน ก่อนปิดประตูห้องน้ำทำธุระส่วนตัว
------

หลังอาบน้ำเสร็จ เนรินดา คิดจะจัดกระเป๋า แต่เผลอหลับไปเพราะความเหนื่อย และยังปรับตัวกับเวลา ที่ต่างกันถึง 12 ชม. ไม่ได้ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ช่วงหัวค่ำ เดินสะโหลสะเหล่ ออกมาจากห้องนอน เตะเอานมกล่องทั้งแพ็กที่วางไว้เกลื่อนไว้หน้าห้องครัว

เนรินดาเดินไปจะเปิดตู้เย็นหาอะไรใส่ท้องสักนิด เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี้ เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลย ก็มาเจอกันโน้ตของศรปราชญ์ ที่ติดตู้เย็นไว้

‘ให้หาอะไรรองท้องไปก่อน พ่อมีงานด่วน ค่ำๆ จะกลับมา’ เนรินดาหมดความสนใจโน้ต หันมาเปิดตู้เย็นหวังหาอะไรมาคลายความหิว แต่เปิดประตูได้แค่ครึ่งหนึ่งเนรินดาก็ต้องรีบปิดลงโดยเร็ว เพราะในนั้นมีกลิ่นอาหารบูดเน่าโชยออกมาปะทะจมูกอย่างสุดแสนจะบรรยาย ไม่รู้ศรปราชญ์จะเก็บอะไรไว้ในตู้เย็นนักหนา ของสดหลายอย่างคงเน่าเสียหมดแล้ว ทำให้กลิ่นปนคละคุ้งกันไปหมด

เธอย้อนกลับออกมา ควานหานมกล่องที่เพิ่งเดินเตะไปเมื่อเจาะหลอดดื่ม รสชาตินมที่นี้ทั้งจืด ทั้งใสผิดกับที่เธอเคยดื่มอยู่เป็นประจำที่อเมริกา แต่มันก็พอช่วยประทังความหิวไปได้เปลาะหนึ่ง เมื่อหาอะไรรองท้องได้ตาก็เหลือไปเห็นแสงไฟเรืองๆ มาจากทางศาลาริมน้ำ

‘นี้พ่อจ๋าลืมเปิดโคมนิออนที่ศาลาริมน้ำทิ้งไว้ล่ะสิ แล้วไหนว่าจะประหยัดนี้กลับเปิดทิ้งไว้ให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ’

เนรินดาเดินหาสวิตซ์ไฟเพื่อจะปิดช่วยประหยัดค่าไฟ เดินจนรอบบ้านแต่ไม่มีสวิตซ์ตัวไหนที่ใช่สักตัว

‘สงสัยสวิตซ์คงติดอยู่กับเสาศาลามั๊ง’

เนรินดาเปิดประตูมุ้งลวดเดินผ่านแปลงเพาะสมุนไพร แต่แค่เพียงก้าวแรกเท้าแตะพื้นหญ้าก็สัมผัสได้กับกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ไม่รู้เป็นกลิ่นหอมจากสมุนไพร หรือไม้ต้นไหน แต่ช่างหอมเย็นชื่นใจดีแท้ เนรินดาสูดหายใจลึกเข้าปอด อดใจนั่งทอดอารมณ์ที่ศาลาริมน้ำสักพักไม่ได้

‘ไม่รู้ปานนี้เฮเลนจะทำอะไรอยู่น้า’ เนรินดาคิดถึงเพื่อนสนิทที่บัดนี้อยู่ห่างกันคนละซีกโลก ยังนึกขำ กับสีหน้าบูดบึ้งของเฮเลน ตอนที่เธอแซวหล่อนให้มีข่าวดีเร็วๆ

ลมเปลี่ยนทิศ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาเมื่อครู่จางหายไปแล้ว แต่กลับมีกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งมาแทนที่ เป็นความหอมที่ชวนให้ปวดเสียเวียนเกล้า หอมฟุ้งจนเอียน กระตุ้นเจ้านมกระป๋องที่เพิ่งดื่มเข้าไปเขย่าขลุกขลักอยู่ในท้อง ดันเรื่อยสูงขึ้นมาจรดลำคอ ราวกับโซดาขวดที่ถูกเขย่าจนแตกฟอง กำลังจะพุ่งกระจายพ้นปากขวดรอมร่อ

เนรินดาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่ต้องการให้มันออกมาตอนนี้ เพราะรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธออาเจียน มันจะทำให้เธอต้องรู้สึกแย่กว่าที่เป็น อาการปวดศีรษะ คั้นเนื้อคั้นตัวเหมือนจะเป็นไข้มักจากตามมาอย่างที่เธอเคยเป็นทุกครั้ง หลังเธออาเจียนด้วยโรคกระเพาะกำเริบ

หางตาเธอ ไปกระทบกับจุดแดงสว่างวาบเป็นระยะๆ ใกล้ริมน้ำ เลาะเรื่อยมาหยุดตรงหน้า เพ็งมองจนแน่ใจว่า แสงแดงวาบไม่ใช่แมลงหรือดวงไฟ แต่มีต้นกำเนิดจากบุหรี่ของชายคนหนึ่ง ที่เอนตัวนอนเล่นกินลม ปล่อยให้เรือพายลำเล็กลอยไปสุดแท้แต่กระแสน้ำพัดไปทางใด

พลันสายตาของชายผู้นั้นก็ลืมขึ้น เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ด้วยเห็นเงาคนทอดบังแสงไฟนิออน ที่ส่องผ่านจากศาลาริมน้ำของอาจารย์ข้างบ้าน

ล่าฤทธิ์ จ้องมองเงาที่พาดผ่านตรงหน้า เพราะแสงนิออนที่ส่องมาทางด้านหลังทำให้เขามองไม่ออก ว่าใครที่ยืนอยู่บนศาลาท่าน้ำ คาดคะเนจากรูปร่างน่าจะเป็นผู้หญิง เพราะผอมบางประหนึ่งนางแบบบนแคทวอก แต่ยังเผยให้เห็นทรวดทรงโค้งเว้า อย่างที่สตรีพึงจะมี

เนรินดา เห็นสายตาของล่าฤทธิ์ที่จ้องเธอไม่วางตา ทำให้เธอต้องก้มมองตัวเอง เสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงขาสั้นจู๋ ที่เธอคว้านหามาใส่ด้วยอากาศเมืองไทยร้อนอบอ้าว เนรินดาดึงรั้งชายเสื้อลงมาปิดต้นขาไว้

“มองอะไรนะ จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนรึไง”

ก่อนที่จะพูดอะไรมากกว่านั้น นมกระป๋องที่เธอพยายามกลั้นกลืนไว้ ก็ดันขึ้นมาจอที่คอ พร้อมจะพุ่งพรวดออกมาได้ทุกวินาที เนรินดาหันหลังให้ไม่สนใจเขาอีก วิ่งกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งเป็นปริศนาให้คนบนเรือมองอย่างไม่เข้าใจในพฤติกรรมของแม่สาวน้อย

---

ศรปราชญ์ กลับมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงโอ้กอ้ากออกมาจากห้องน้ำ ชะโงกหน้าเข้าไปดูก็เห็นเนรินดานั่งกอดโถชักโครก ก้มหน้าก้มตาเอาของเก่าออกมาจนหมด ชายสูงวัยประคองลูกบุญธรรมออกมาจากห้องน้ำมานั่งที่ห้องสารพัดประโยชน์ ก่อนจะไปละลายยาหอมยื่นส่งให้เธอ

“ค่อยๆ จิบนะ มันช่วยได้”

เนรินดารับไว้ และยกขึ้นจ่อจมูก

“ยี๊ เหม็นจะตาย ไม่เอาอะคะ”

“ทนนิดนึง เขาเรียกยาหอม ยาหอมนะไม่เหม็นหรอก หนูจิบดูก่อนมันจะหอมกินสมุนไพร ช่วยให้โล่งท้อง โล่งคอ”

เนรินดา บีบจมูกยกยาหอมดื่มพรวดเดียวจนหมด “อึ้ย ขนลุก...”

สักพักอาการผะอืดผะอมก็เริ่มดีขึ้น

“ไปกินอะไรมาถึงอาเจียนได้ล่ะ” ศรปราชญ์เริ่มถามตั้งคำถามเพื่อหาสาเหตุขออาการป่วย

“ดื่มนมคะ นมกระป๋องตรงกำแพงนั้น แต่หนูก็ดูแล้วว่าไม่หมดอายุ อีกอย่างหนูรู้สึกอึดอัด ท้องมันปั่นป่วนมาตั้งแต่นั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วหละคะ”

“โรคกระเพาะอีกหล่ะสิ คงบวกเข้าให้กับเจคแลค* กินอาหารผิดเวลา นอนไม่ตรงเวลา เลยเป็นอย่างนี้”

อาการของเธอส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางเวลาของการเดินทางอย่างกระทันหัน แต่อีกส่วนคงเป็นฤทธิ์แอลกอฮอล์ เมื่อคืนก่อนที่ยังส่งผลกับกระเพาะอาหารของเธอมาถึงตอนนี้

“เอางี้คืนนี้หนูก็ดื่มน้ำหวาน ดื่มให้มากๆ แต่ค่อยๆ จิบทีละน้อยทั้งคืน พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้น แต่ถ้าไม่หายเดี๋ยวพ่อจ๋าคงต้องพาไปหาหมอฉีดยาสักเข็ม ” เนรินดาทำหน้าปูเลียนปูเลียน

“ล้อเล่น... ไปรอที่ห้องก่อนไป เดี๋ยวพ่อจ๋าชงน้ำหวานเอาตามเขาไปให้ ”

หญิงสาวพาร่างกายอิดโรยไปโยนแบบอยู่บนเตียง ที่เธอเพิ่งลุกขึ้นมาเมื่อไม่นานเกินชั่วโมง

----

ล่าฤทธิ์ หันหัวเรือพาย ย้อนกลับมายังบ้านพักที่อยู่หลังติดกันกับศรปราชญ์ ในใจยังติดภาพสาวน้อยร่างบางที่ศาลาท่าน้ำ เสียงใสกังวานดุจกระดิ่งลม เสียดายเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็เดาไม่อยากจากโครงหน้าที่เห็นผ่านแสงคงเป็นหญิงที่งดงามไม่น้อย ก้าวเข้าถึงตัวบ้านได้ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ บรรเลงเพลง.... เพลงโปรดของเขาที่ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังหงุงหงิงอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่วางทิ้งไว้บนโซฟา แต่เขาก็ยังอ้อยอิ่งค่อยเดินทอดน่องมารับสาย

“เฮ้ย หายหัวไปไหนมา โทรมาเป็นสิบครั้งแล้ว” เสียง ‘กรกนก’ อาจารย์สาวโสด ฉายาที่เรียกขานในหมู่นักศึกษาว่า ‘เจ๊หนก’ เพื่อนสนิทที่ซี้กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ดังรอดลำโพงโทรศัพท์ เป็นการทักทาย

“พายเรือเล่นมา... มีไร” คำตอบสั้นๆ อย่าเป็นที่รู้กันว่าเขาไม่ใช่คนพูดมาก

“พายเรืออีกแล้ว นี่แกคิดจะเล่นเรือจนได้เมียเป็นเงือกสักตัวเลยหรือไง” เพื่อนสาวจอมโวยบ่นขึ้นอย่างเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมแปลกของเพื่อน

“พรุ่งนี้แกอย่าลืมไปรับชั้นที่บ้านหละ เก็บขอรอแกไว้แล้ว เป็นไปได้มาถึงเช้าหน่อยก็ดี แม่เตรียมทำกับข้าวเลี้ยงแกเพียบ แต่ชั้นขี้เกียจโคลกพริก แกมารับหน้าที่ด้วยล่ะกัน”

“ไรว่ะ บ้านแก แล้วแม่แกจะทำกับข้าวเลี้ยงแขก มันต้องเป็นหน้าที่ลูกสาวเจ้าของบ้านรับรองแขกสิ มีที่ไหนมาใช้คนอื่นทำ”

“แล้วแกจะกินมั้ย มื้อนี้แม่ทำให้แกกิน ไม่ใช่ให้ชั้นกิน ไม่รู้ล่ะแกต้องมาโคลกน้ำพริกเองด้วย ไม่งั้นก็อด”

กรกนกพูดกวนใส่เพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็เธอน้อยใจแม่นิ ทำกลับข้าวมื้อใหญ่เลี้ยง ‘ลูกล่า’ เชอะ ที่เธอกลับบ้านไม่เห็นแม่ทำกับข้าวเลี้ยงอย่างนี้บ้างเลย อย่างดีก็แค่คั่วแมงมันให้เท่านั้น ถึงจะเป็นขอโปรดก็เถอะ แต่เธอก็ต้องลงมือเก็บแมงเองอีก จะกินทั้งทีต้องลำบาก คราวนี้ก็ถือตาล่าฤทธิ์บ้างจะได้กินของฟรีทั้งทีก็ลงมือทำเองสิ

ใช่สิ ! ก็ใครใช้ให้เธอเกิดมาเป็นลูกสาวคนที่สุดท้องของบ้านที่มีลูกสาวมาแล้วถึง 3 คน แม่อยากได้ลูกชายใจจะขาด แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาเกิดเป็นน้องชายเธอ สงสัยกลัวพี่สาวขี้โมโหคนนี้ กระทืบตายตั้งแต่ยังคลานไม่เป็นละมั้ง

“เออ เดี๋ยวไป แค่นี้นะ ” ล่าฤทธิ์ตัดบทสนทนาด้วยความรำคาญ

“เดี๋ยวๆ อ.ปราชญ์เข้าบ้านยัง” กรกนกถามถึงศรปราชญ์ คณบดีข้างบ้านของเพื่อนสนิท

“มาแล้วมั้ง ไม่เห็นตัว เห็นแต่ผู้หญิงมาเดินเล่นอยู่หลังบ้าน” ล่าฤทธิ์ บอกเพื่อนไปจากสิ่งที่เห็น

“ผู้หญิง ! เฮ้ย ! เป็นไปได้ไง อ.ปราชญ์เอาผู้หญิงเข้าบ้าน เมียแกหรือเปล่าเนี่ย ”

“ไม่รู้เว้ย บอกไปอย่างที่เห็น อยากรู้พรุ่งนี้แกก็มาถามเอาเองสิว่ะ แค่นี้นะคนจะนอน” ล่าฤทธิ์ตัดสายเพื่อนทิ้ง โดยไม่รอฟังเสียงก่นด่าที่จ่อติดอยู่โคนสายโทรศัพท์ เขายังอยู่ในสภาพเสื้อยืดสีเทา กางเกงลายทหารชุดเดินป่าเต็มยศ หลังไต่เขาลงมาเกือบค่อนวัน ทั้งยังต้องขับรถโขยกเขยกกลับลงมาจากยอดดอยมันก็ทำให้เขาเพลียได้เต็มที่

แต่พอจะล้มตัวลงนอนภาพสาวร่างบางในชุดเสื้อนอนตัวโคร่ง กางเกงขาสั้น อวดเรียวขาสวย ปรากฏขึ้นในความคิด มันเป็นภาพติดตาที่น่าตรึงใจ ล่าฤทธิ์ดีดตัวลุกจากที่นอน เดินตรงไปที่เฟรมผ้าใบริมระเบียงบ้าน เปิดผ้าขาวที่คลุมไว้อยู่ออก คว้าดินสอดำแท่งประจำ ค่อยๆ บรรจงร่างโครงภาพ ไม่นานบนผืนผ้าใบก็ปรากฏเป็นรูปผู้หญิงผมยาว นัตน์ตากลม







 

Create Date : 04 กันยายน 2549    
Last Update : 5 กันยายน 2549 18:33:02 น.
Counter : 452 Pageviews.  

แล(ร)กรัก ตอนที่ 1



ตอนที่ 1

เนรินดา สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย นอกหน้าต่างฟ้ายังมืดสนิท เพิ่งผ่านคืนขอเมื่อวานมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง อากาศในช่วงปลายของฤดูร้อน ที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง กำลังเย็นสบาย มันช่างขัดแย้งกับอุณภูมิในร่างกายเธอตอนนี้ ผมเผ้ายุ่งเยิง ชื้นเปียกไปด้วยเหงื่อ เส้นวาดของอายไลน์เนอร์สีดำ ที่ผู้วาดจงใจจะเน้นดวงตากลมโต ให้เด่นชัดขึ้นอีก บัดนี้เลอะเปรอะเป็นคราบไปทั่วพร้อมกับหยาดน้ำตา จมูกโด่งรั้นได้รูปเชิดขึ้นสูดรับอากาศเข้าปอดอย่างไม่เป็นจังหวะ เช่นเดียวกับริมฝีปากบางได้รูป ที่เผยอช่วยรับอากาศเข้าไปอีกทางหนึ่ง

อีกแล้วเหรอนี่ เธอ ‘ฝัน’ ถึงเรื่องบ้าๆ อีกแล้ว มันเป็นภาพความฝันซ้ำซากครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นภาพซ้ำขึ้นคราใด เธอจะต้องนอนลืมตาโพรงบนเตียงไปจนถึงรุ่งเช้า แต่ครั้งนี้เธอจำต้องข่มใจนอนต่อให้ได้ เพราะเพลียเต็มทีกับงานปาร์ตี้หลังสอบปิดภาควันสุดท้ายเมื่อคืน เธอจะขอตัวกลับก่อนก็ไม่ได้ เพราะถึงจะเป็นปาร์ตี้ปิดภาคเรียนที่จัดเป็นประจำทุกปี แต่งานปีนี้ยังรวบยอดเลี้ยงส่งเธอที่กำลังจะเดินต่อในต่างประเทศนานเกือบปี และเหตุที่เธอต้องรีบเก็บกระเป๋าเดินทางอย่างฉุกละหุกในวันนี้ เพราะช่วงเวลาเปิดภาคเรียนของประเทศที่เธอจะไป เร็วกว่าที่อเมริกาเกือบ 2 เดือน กว่าที่เนรินดาจะเดินทางไปถึง ที่โน้นก็เกือบจะเปิดภาคเรียนอยู่แล้ว

และวันนี้ก็มีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศ ในฐานะผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกับสถาบันการศึกษาต่างชาติ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรม และเหตุผลหลักคือเพื่อลงภาคสนามทำวิจัยท้องถิ่น ในโปรเจคเครื่องสำอางสมุนไพรตะวันออก ที่เหมาะกับผิวของชาวตะวันออก ซึ่งเป็นผลงานที่เธอยื่นส่งเข้าแข่งขันเพื่อได้สิทธิ์ในโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และเธอได้สิทธิ์นั้นสมใจ โดยเนรินดาได้ชูจุดเด่นไว้ที่ตัวพืชสมุนไพรของชาวตะวันออก ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาได้หลายชนิด ซ้ำยังมีราคาถูกช่วยประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก โดยโจทย์งานระหว่างที่เธอไปอยู่มหาวิทยาลัยต่างชาติ เนรินดาจะต้องค้นคว้าสารสกัดของพืชสมุนไพร ที่ให้คุณด้านการบำรุงผิว ผลิตให้ได้เป็นสินค้าต้นแบบ ออกแบบตัวสินค้า บรรจุภัณฑ์พร้อมจำหน่าย เพื่อนำกลับไปวางตลาดทดลองของมหาวิทยาลัยหลังสิ้นสุดโครงการแลกเปลี่ยน

เธอเกือบจะปฏิเสธ โครงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้อยู่แล้ว ถ้าเฮเลน เพื่อนสนิทสาวเลือดอเมริกันแท้ ไม่ยกข้ออ้างถึงโอกาสที่ให้เธอจะได้เปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก และเอเชียเองดูก็ไม่ได้ห่างไกลความเป็นตัวเธอมากนั้น ใช่สิ ก็เธอมีเชื้อสายคนเอเชียอยู่ครึ่งหนึ่ง คนอื่นดูก็คิดว่าไม่น่าจะลำบากสำหรับเธอ แต่กับเธอแล้ว มันก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะถึงจะมีเลือดเอเชียวิ่งพล่านอยู่ในตัวส่วนหนึ่ง แต่เธอกลับไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับผืนแผ่นดินที่เธอกำลังจะเยียบในอีกไม่กี่วันนี้เท่าไหร่

‘ไทยแลนด์’ เมืองแห่งรอยยิ้มบ้านเกิดของพ่อ และก็เป็นบ้านเกิดของเธอด้วย แต่เธอกลับไม่มีความทรงจำใดๆ กับเมืองไทยเลย นอกจากแผ่นโปสการ์ด สถานที่ท่องเที่ยวหรือวัดวาอาราม ที่พ่อทูนหัวมักจะส่งถึงเธอเป็นประจำทุกปี

ความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย เท่าที่เธอพยายามค้นหาผ่านอินเตอร์เน็ต แต่พบเพียงข้อมูลชี้ชวนการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างแหล่งประวัติศาสตร์ หรือธรรมชาติน้ำตก ภูเขา ทะเล เท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของเธอเลย

ด้วยคำบอกเล่าของพ่อที่เคยได้ยิน ก็รู้แค่ว่า เธอเกิดและเติบโตที่เมืองไทยเช่นเดียวกับพ่อ จะต่างกันตรงที่เธอมีโอกาสอยู่บนแผ่นดินไทยเพียง 5 ปี ก่อนที่พ่อจะอพยพพาเธอและแม่มาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อพาแม่มารักษาตัว นอกนั้นพ่อก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังอีกเลย เธอจึงรู้จักเมืองไทยแค่เพียงฐานะ ‘เมืองเกิด’เท่านั้น

แม้อยากข่มตาหลับต่ออีกสักนิด แต่สมองดื้อด้านกลับไม่ยอมทำตาม เนรินดา ลุกหยิบเสื้อคลุมนอนเนื้อนุ่มสีฟ้าอ่อน คลุมทับเสื้อซับในลูกไม้สีครีม ที่เธอสวมเป็นชุดด้านในของราตรียาวผ่าข้าง เพื่ออวดเรียวขาสวยได้รูป เมื่องานปาร์ตี้เมื่อคืนนี้ และทุกคนพากันชมว่าเป็นอีกชุดที่เหมาะสำหรับเธอมาก แต่ไม่ว่าเธอจะหยิบเสื้อผ้าชุดไหนมาสวมใส่ ก็มักจะได้รับคำชมอยู่เสมอ โดยเฉพาะจากปากของ ซากีย์ หนุ่มน้อยแห่งดินแดนตะวันออกกลาง ผู้มั่งคั่งด้วยเหมืองแร่ และบ่อน้ำมัน...

พ่อของซากีย์ เป็นถึงเจ้าของบ่อน้ำมันรายใหญ่ และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ เธอรู้จักเขาตั้งแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เพราะเขาเป็นเดือนเด่นของคณะ อาจด้วยเชื้อสายชาวตะวันตกเพียงครึ่งหนึ่ง และด้วยความเป็นเอเชียอีกครึ่ง ทำให้ใบหน้า และผิวพรรณ โดดเด่นผิดแปลกไปจากเพื่อนในสถาบัน แต่เป็นความผิดแปลกที่ลงตัว และชวนให้น่ามอง

บรรดานักศึกษาสาวทั้งรุ่นเดียวกัน และรุ่นพี่ ต่างรุมตามตื้อซากีย์ตั้งแต่เขายังเป็นเฟรชชี่ และดูเหมือนเขาเองก็สนใจสาวๆ หลายคนอยู่ไม่น้อย เขาเริ่มเดินสายออกเดทกับสาวๆ ไม่ซ้ำหน้า โดยมีข้ออ้างว่า ‘ขอศึกษาก่อน เพียงรู้หน้า ไม่รู้ใจ’ จึงทำให้เขาไม่เคยถูกสาวคนหักอก เพราะเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหักอกพวกหล่อนก่อนเสมอ

จนขึ้นปี 2 เขาก็เริ่มหันมาให้สนใจเธอ อาจด้วยเสียงเชียร์จากเพื่อนๆ ว่าเขาและเธอเหมาะสมกันดี ด้วยเป็นลูกครึ่งเช่นเดียวกัน แถมหน้าตาของเธอก็ไม่ได้เข้าค่ายคนขี้ริ้ว ซ้ำยัง ‘สวยเด่น’ อาจจะเด่นกว่าดาวของมหาวิทยาลัยเสียอีก คงด้วยเธอเป็นลูกครึ่งไทย ผิวพรรณ และใบหน้าดูคมคาย จึงผสมผสานอย่างลงตัวกับความสง่างามของเลือดแห่งตะวันตก จึงไม่แปลกนักที่จะทำให้เธอเป็นจุดสนใจของใครต่อใครที่พบพาน

ซากีย์ จะคอยตามรับ ตามส่งเธออยู่เป็นประจำ พาไปทานอาหาร เลี้ยงหนัง เลี้ยงเพลง เขาเปย์ให้เธอทุกอย่าง ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น กับเพื่อนๆ ของเธอ ก็ยังพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย เขาเฝ้าทำเช่นนั้นนานนับปี แต่ก็ยังไม่ชนะใจเธอซะที ก็แน่หละ เรื่องอะไรจะต้องรับรัก เพียงเพราะเขาทำตามเสียงเชียร์ของเพื่อนด้วย จริงอยู่แม้ว่าจะเหมาะสมกับเธอทุกอย่าง ตามใจเธอทุกเรื่อง แต่เหมือนมีสิ่งหนึ่งที่ซากีย์ยังทำให้ไม่ได้ เขายังทำให้เธอ ‘รัก’ เขาไม่ได้เท่านั้น

ชุดราตรีหรูสีเลือดนก ที่สวยสง่ายามอยู่บนเรือนกายของเธอ บัดนี้กลับกองรูดอยู่ตรงปลายเตียง ก็เมื่อคืนหลังจบงานปาร์ตี้ ซากีย์อุตส่าห์ขับรถมาส่งเนรินดาที่บ้าน แต่เธอรับรองแขกคนสนิทเพียงหน้าประตูบ้าน ด้วยต่างคนต่างเหนื่อยกับปาร์ตี้สุดเหวี่ยง ทั้งดื่มทั้งเต้นตลอดคืน เขาจึงไม่งอนง้อต่อร้องขอเข้าบ้านเหมือนทุกครั้ง กลับรีบขอตัวกลับไปนอนเอาแรง เพื่อมารับเธอไปส่งขึ้นเครื่องบินในช่วงค่ำวันนี้ ส่วนเธอแค่เปิดประตูห้องนอนได้ ก็กระโจนขึ้นเตียง ก่อนสลัดชุดราตรีตัวสวยโยนทิ้งอย่างไม่รู้ทิศทาง

เนรินดา ยังอยู่ในอาการสะลืมสะลือ ทั้งจากด้วยการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ผสมกับฤทธิ์ของ กามิกาเซ่ ที่เธอสั่งและดื่มเหมาเยือกเพียงคนเดียว แถมตบท้ายด้วยบลูฮาวายอีกแก้ว แค่ผงกหัวขึ้นตั้งบนคอได้ก็นับเป็นดีที่สุดแล้ว เธอพาร่างโงนเงนลุกขึ้นหวังไปหาอะไรอุ่นๆ ดื่มให้รู้สึกสดชื่น คลายอาการปวดหัว คล้ายกับว่าฝรั่งเศสขนสร้างเทพีเสรีภาพอีกสักสิบตัวมาเป็นของกำนัลให้สหรัฐอเมริกา แต่มาฝากไว้บนหัวเธออยู่ตอนนี้

ก้าวย่างแรกที่สัมผัสบันได เธอก็ได้ยินเสียงใสกังวานของ ‘แม่’ ดังขึ้นใกล้ๆ
‘เนด้าระวังลูก อย่าวิ่งเดี๋ยวก็ตกลงมาหัวเข่าเขียวอีก แม่ขี้เกียจทำแผลให้หนูแล้วนะ’

ตาปรือที่แทบจะลืมไม่ขึ้น บัดนี้กลับเบิ่งโพรง เธอเหลียวมองรอบตัว รอบบ้าน กวาดสายตาไปทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่ปรากฏเจ้าของต้นเสียง แม้แต่เงาก็ไม่เห็น ใช่สิ ! แม่จากเธอไปแล้วถึง 13 ปี เสียงที่เธอได้ยินเป็นเพียงเสียงแว่วจากมโนสำนึกในวัยเยาว์ เท่านั้นเอง บ่อยครั้งที่เธอเดินก้าวลงบันไท เสียงคุ้นเคยในความทรงจำก็มักจะผุดขึ้นมาทักทายอยู่เสมอ คงเป็นเพราะเธอทั้งรักทั้งผูกพันกับหญิงผู้ให้กำเนิดอย่างมากมาย เวลา 7 ปีที่ได้อยู่ด้วยกัน มันช่างตราตรึงในใจ แม้เวลาที่แม่จากจะไปนานนับเป็นสองเท่าของเวลาที่เคยได้อยู่ร่วมกัน แต่เธอยังรู้สึกได้ว่าแม่ยังคงอยู่ข้างเธอเสมอ

เนรินดาก้าวลงบันไดอย่างเหนื่อยอ่อน แม่จะคอยห่วงใย และจะทำแผลให้ทุกครั้งที่เธอมีแผลมาอวด มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิ ที่เธอต้องทำให้เกิดขึ้นได้ไม่เว้นแต่ละวัน จนพ่อมักบ่นอยู่เสมอ ‘ เลิกสร้างแผลมาให้แม่ต้องเหนื่อยได้มั้ย’

เธอเองก็ไม่อยากจะทำมันให้มันเกิดนักหรอ ไม่เคยนึกชอบสักนิด...กับแผลพวกนั้น แต่เธออุ่นใจทุกครั้งเวลาที่แม่คอยเรียกห้ามด้วยความห่วงใย ทั้งยังได้สัมผัสไออุ่นจากลมหายใจของแม่ ยามบรรจงทายาให้อย่างเบามือ ด้วยเกรงจะเกิดรอยแผลเป็นบนเนื้อบาง เธอจึงห้ามใจไม่ได้ที่จะต้อง ‘แกล้ง’ สะดุดตกบันไดอยู่บ่อยครั้ง เพื่อจะได้อยู่ใกล้แม่ให้แม่ทำแผลให้ เพราะเป็นหนึ่งในโอกาสบางช่วงที่เธอจะได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่

เนรินดาก้าวลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย สติยังไม่กลับคืนตัว คอแหกผากสิ้นดี เหมือนหลอดอาหารมันแบบลีบติดกัน ก็นี้แหละฤทธิ์แอลกอฮอล์ร้อนแรง รู้ทั้งรู้ว่าทุกครั้งที่ดื่มต้องเป็นอย่างนี้แต่มันอดไม่ได้

วิชาวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาตั้งแต่มัธยมครูก็สอนย้ำแล้วย้ำอีกว่าแอลกอฮอล์ มันมีคุณสมบัติเป็นสารทำละลาย ให้กับสารตั้งต้นที่มีความเข้มข้น หรือมีหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรค

แล้วคอเธอไม่ได้ติดเชื้ออะไร ทำไมต้องเสียตังค์ซื้อมันในราคาแพงกว่าแอลกอฮอล์ 7 % ล้างแผลเสียอีก ซ้ำยังเอามาใช้ผิดวัตถุประสงค์การใช้งาน และผิด...ผิดศีลธรรมด้วยคำที่พ่อมักใช้กับเธอ แล้วคีลธรรมหน้าตามันเป็นยังไง... ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้ขอแค่ได้น้ำอุ่นสักแก้วก่อน ขอสัญญากับตัวเอง เธอจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เต็มสตรีมอย่างเมื่อคืนอีกแน่ (ถ้าไม่จำเป็น)

“แก๊งค์ แก๊งค์ แก๊งค์” ต้นเสียงดังมาจากในครัว เธอยืนนิ่ง... ฟัง... เสียงยังคงดังอยู่ น่าจะเป็นเสียงของทัพพี ที่กำลังวนกระทบขอบหม้ออย่างเป็นจังหวะ เหมือนมีใครสักคนกำลังเตรียมอาหารมื้อสำคัญ กลิ่นอาหารหอมฟุ้งทั่วห้อง เนรินดาเดินตามกลิ่นหอมเย้ายวนไปจนถึงประตูห้องครัว

ภาพที่เนรินดาเห็น แผ่นหลังใหญ่กว้าง ในชุดกันเปื้อนสีเขียวขี้ม้าที่แสนคุ้นเคย ‘พ่อ’ กำลังง่วนกับซุปครีมข้าวโพด ซึ่งเป็นอาหารแสนโปรดที่พ่อจะเตรียมไว้เป็นอาหารเช้าทุกมื้อตั้งแต่เธอจำความได้ จนกลายเป็นภาพที่เธอชินตา แม้ระยะหลังพ่อจะไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารนัก เพราะงานที่รัดตัว แต่ถ้าเป็นวันสำคัญแล้ว เมนูพิเศษจะไม่เคยพลาดจากซุปข้าวโพดฝีมือพ่อไปได้ และวันนี้เนรินดากำลังจะเดินทางไปเรียนต่อ ต้องจากบ้านนี้ไปไกลแสนไกล พ่อกลับมา กลับมาทำซุปข้าวโพดสำหรับวันพิเศษให้เธอ

พ่อหันมา ส่งรอยยิ้มให้อย่างเปี่ยมไปด้วยความสุข น้ำตาเธอคลอหน่วย เกือบปีที่พ่อจากไป โดยไม่ได้ร่ำลา วันนี้ที่พ่อกลับมากลับดูไม่ได้แก่ลงเลย เส้นผมพ่อยังคงดำขลับ ใบหน้ายังอิ่มเอม พร้อมรอยยาวที่หางตายามพ่อยิ้ม เธอวิ่งถลาเข้าไปด้านหลังของพ่อ สวมกอดเขาอย่างสุดแรงให้หายคิดถึง

“พ่อ หนูคิดถึงพ่อมากที่สุด พ่อไปไหน พ่อไปไหนมา ” หยาดน้ำตาหลั่งรินอย่างไม่รั้งรอ เนรินดาสะอื้นร่ำไห้ ปากพร่ำต่อว่าต่อขานพ่อไม่หยุด

“พ่อรู้มั้ย เนด้าคิดถึงพ่อแค่ไหน เนด้าเหงา เนด้าต้องอยู่บ้านคนเดียว กินข้าวคนเดียว พ่อจะไปน่าบอกเนด้าก่อนสักคำว่าพ่อจะไปไหน ทำไมพ่อไม่บอกลาเนด้าก่อน”

“เนด้า เนด้า คุณเป็นอะไรไป เนด้า” ชายในอ้อมกอดเรียกเธอ แม้จะเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคย หากแต่ไม่ใช่เสียงของพ่อ เนรินดาแหงนหน้าขึ้นมองเขาที่กำลังผินหน้ามา เนรินดาคลายอ้อมกอดเพ่งมองชายตรงหน้าหยดน้ำตาคงทำหน้าตาเธอพล่าเลื่อน เมื่อกี้ยังเห็นชัดว่าเป็นพ่อ แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายซากีย์ไปได้ เธอยกแขนเสื้อปาดน้ำตาอย่างลวกๆ มองเขาอีกครั้งแต่ก็ยังเห็นเป็นหน้าของซากีย์

เนรินดาค่อยๆ ทบทวนความคิด พ่อจากเธอไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปีก่อน ในวันเดียวกันกับวันตายของแม่ วันนั้นพ่อกำลังจะกลับรถวนมารับเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อไปไหว้หลุมศพของแม่ด้วยกัน แต่รถเสียหลัก แฉลบกินเลนส์ด้านซ้าย ทำให้รถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็ว เสยเข้าด้านข้างคนขับอย่างจัง พ่อเสียชีวิตในรถทันที พ่อจากไปต่อหน้าต่อตา แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนนิ่งมอง คนพาร่างของพ่อไปส่งโรงพยาบาล ตอนนี้เธอไม่เหลือใครแล้ว ทุกคนจากเธอไป ทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง

คงด้วยความรู้สึกว่าจะต้องห่างไกลจากบ้านแสนรักของพ่อและแม่นี่เอง ที่ทำให้เธอกลับย้อนคิดถึงท่านทั้งสองขึ้นมา

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าเนด้า”

ซากีย์ถามอย่างเป็นห่วง เขารู้มาเสมอว่าเนรินดายังทำใจเรื่องพ่อได้ไม่สนิทนัก แม้ 3- 4 เดือนมานี้เธอจะดูร่าเริงกลับมาเป็นเนรินดาคนเดิมได้ แต่หลายครั้งที่เขาแอบเห็นเนรินดามองเหม่อเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดคำนึง

“ชั้น..ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ” เนรินดาเอยเสียงแหบพร่า
ซากีย์รินน้ำใส่แก้วยื่นส่งให้เธอ

“ดื่มเสียหน่อย ดูท่าคุณไม่ค่อยดีเลย คืนนี้จะบินแล้วคุณจะไหวรึ หรือจะให้ผมโทรไปเลื่อนไฟล์ก่อน ? ”
“ไม่เป็นไรคะ แค่ชั้นคิดถึงพ่อมากไปหน่อย ว่าแต่คุณเถอะมาอยู่ในบ้านได้ยังไงเนี่ยะ” เนรินดาปรับอารมณ์กลับมาเป็นเนรินดาที่เพื่อนๆ รู้จักอย่างรวดเร็ว

“เมื่อคืนพอส่งคุณเสร็จ ผมกลัวว่าถ้ากลับไปนอนบ้านแล้วจะตื่นไปทันนัดมาส่งคุณ ผมเลยนอนเสียในรถ แล้วท้องมันก็ร้องผมเลยคิดจะมาขออะไรรองท้องเสียหน่อย พอดีบ้านคุณไม่ได้ล็อกผมก็เลยถือวิสาสะเข้ามา... ไม่เป็นไรใช่มั้ย ผมขอโทษ”

ซากีย์รู้สึกผิดต่อเนรินดา แม้ว่าเขาจะต้องทนนอนในรถและเพิ่งเขามาในตัวบ้านเมื่อเช้านี่เอง แต่เธอเคยปรามเขาแล้วเรื่องที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านกัน 2 ต่อสองว่ามันไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม

“ไม่เป็นไรคะ เพราะชั้นเองก็ลืมล็อคบ้าน เมื่อคืนคงเมามากไปหน่อย ถ้าคนที่เข้ามาไม่ใช่คุณ แต่เป็นคนอื่นชั้นคงแย่เหมือนกัน ”

เนรินดาไม่ได้โทษหรือตำหนิเขาสักนิด ทั้งกลับรู้สึกเกรงใจที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องขดตัวนอนอยู่ในรถทั้งคืน ด้วยว่ากลัวจะตื่นมารับเธอไม่ทันทั้งที่เวลานัดเขานั้นเกือบ 10 โมงเช้า เพราะปกติเขาไม่เคยตื่นก่อน10 โมงเช้าเลยสักวัน หน่ำซ้ำยังนอนขี้เซาเข้าขั้นเขมือบบ้านเขมือบเมือง ยกเว้น วันที่มีนัดเนรินดาซากีย์กลับไม่เคยมาสายเลยสักครั้ง

“ทานซุปข้าวโพดสักหน่อยร้อนๆ รองท้องสักนิดมั้ย ผมเห็นในครัวคุณมีซุปกระป๋องอยู่เต็มเลย แล้วคุณไม่อยู่เสียตั้งปี มันจะไม่หมดอายุก่อนรึ”

“จริงสิ ชั้นก็ลืมคิดไปเสียสนิท งั้นเดี๋ยวแบ่งๆ ไปให้เพื่อนบ้านท่าจะดี ทิ้งไว้ที่นี่ก็รั้งแต่เสียดาย”

“แหม่ไม่คิดจะให้คนข้างๆ ก่อนรึ ถ้าได้ไปผมจะได้ประหยัดตังค์ซื้อเสบียงเข้าบ้านได้อีกหลายเดือนเชียว”

“นี่อย่ามาทำเป็นประหยัดต่อหน้าชั้นเลย รู้หรอกน่าว่าคุณทานแต่อาหารรสเลิศ ในภัตตาคารหรูๆ เท่านั้น ถ้าไม่จำเป็นหิวจนตาลายก็ไม่แตะหรอก อย่ามาเสียดายกับอาหารกระป๋องพวกนี้เลย ให้คนแถวนี้ยังมีประโยชน์ซะกว่า”

เนรินดารู้จักนิสัยซากีย์เป็นอย่างดี ว่าเขาพยายามปรับตัวเขาหาเธอให้มากที่สุดเพื่อเอาชนะใจเธอให้ได้ แต่ชีวิตเกิดมาบนกองเงินกองทอง ถูกเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันดุจไข่ในหิน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำตัวให้ติดดิน เธอเลยไม่อยากให้เขาต้องฝืนใจทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง

“เนด้าก้อ... ตามใจแต่ซุปถ้วยนี้ผมของกินก่อนนะไม่ไหวแล้วหิวจนจะกินกระป๋องซุปได้แล้วเนี่ยะ”

ซากีย์ละเลียดตักซุปตรงหน้าทานทั้งที่ยังร้อนกรุ่น กลิ่นหอมมันช่างยวนยั่วให้น้ำลายสอ เธอเองก้อไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืน แม้ซุปชามนี้จะมาจากฝีมือซากีย์ไม่ใช่พ่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจเนรินดาก็ถือว่าเป็นซุปข้าวโพดชามนี้ เป็นซุปสำหรับวันสำคัญของเธอเช่นกัน

หลังทานซุปเสร็จฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง แต่ซากีย์ขอนอนต่ออีกสักงีบที่โซฟากลางห้องรับแขก ที่ดูสบายกว่าเบาะหนังสีดำขลับของรถสปอร์ตคันสวย แม้ราคาจะเหยียบ 4 แสนเหรียญสหรัฐ แต่มันก็ไม่เหมาะจะเป็นที่นอนที่ดีได้

เนรินดาขึ้นห้องนอนมาจัดการธุระส่วนตัว และตรวจเช็คของในกระเป๋าสัมภาระอีกครั้ง เฮเลนสาวคนเพื่อนสนิทเดินนวยนาดเข้ามาในห้องนอนของเธอ เสมือนหนึ่งเป็นห้องของตัวเองไม่ปาน ก็ไม่แปลกหรอกเฮเลนกับเธอ รู้จักกันตั้งแต่เรียนเกรด 7 จนเข้ามหาวิทยาลัยที่เฮเลนมุ่งมั่นสมัครเรียนในมหาวิทยาลัย คณะและสาขาเอกเดียวกันกับเธอ นับรวมเวลาแล้วก็เกือบสิบปีความสนิมสนมไม่ต่างจากญาติ พี่น้องคนสนิท ซ้ำต่างคนต่างเข้าออกบ้านอีกฝ่ายจนชิน เฮเล่นสาวอเมริกันผิวขาวที่จัดอยู่ในทำเนียบคนสวยของมหาวิทยาลัย ผมหยกศกสีบรอนด์ นัยน์ตาสีฟ้า ริมฝีปากบางได้รูป โครงหน้าเฮเล่นดูแล้วไม่ต่างจากตุ๊กตาบาร์บี้แสนรักของเด็กสาวทั่วโลก จะต่างก็ตรงที่รูปร่างอวบเข้าขั้นสุดท้าย เพราะครอบครัวและนิสัยส่วนตัวนิยมกินเนยนมมาตั้งแต่เด็ก เหมือนๆ กับชาวตะวันตกทั่วไป ยิ่งถ้าหล่อนจะช่างแต่งตัวอีกสักนิด สงบปากสงบคำเสียสักหน่อย มีหวังหัวบันไดบ้านเปียกปอนไม่แห้งแน่

“นี่เธอขนซื้ออะไรไปเยอะแย่เลยเนี่ย จะยัดลงกระเป๋าไม่มันอยู่แล้วนะ”

เพื่อนสาวบ่นงุบงิบหลังจากพยายามหาที่ว่างในกระเป๋าใส่ของที่ระลึกกระจุกกระจิกที่เนรินดาขนซื้อไว้สำหรับไปฝากเพื่อนใหม่ที่ประเทศไทย

“ของที่ระลึกนะ ซื้อเผื่อไว้เอาไปฝากคนทางโน้น ไม่รู้เหมือนกันจะต้องให้กี่คน เลยซื้อไปเยอะหน่อยเหลือดีกว่าขาด”

เนรินดาพูดพราง พยายามจับของที่เหลือยัดลงกระเป๋าให้หมด แต่ของเดิมในกระเป๋าก็กินพื้นที่เท่าที่มีอยู่ก็เต็มไปซะทุกซอกทุกมุม

“นี่เนคไทนิ จะซื้อไปฝากใครเหรอ” เพื่อนสนิทไม่พูดเปล่า หยิบห่อของขวัญ ทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าที่ห่อด้วยกระดาษลายสวยขึ้นชูหรากลางอากาศ ทำตาวิบวับเจ้าเล่ห์

ดูหล่อนทำสิ ดันรื้อของจัดเรียงไว้อย่างดีขึ้นมาอีกซะนี่ แล้วเนคไท เส้นนี้เธออุตส่าห์ออมเงินค่าทำงานพิเศษเกือบทั้งเดือนเพื่อแลกมันมา ทั้งพยายามเอาเสื้อหลายตัวปิดทับไว้ คิดว่าพ้นสายตาแล้วเชียว แม่คุณยังหาเจอเสียอีก แถมแค่เห็นกระดาษห่อก็เดาได้แล้วว่าของข้างในเป็นอะไร แสนรู้จริงๆ

“ก็ซื้อไปอย่างนั้น คิดว่าคงมีผู้ใหญ่สักคนที่น่าจะให้ได้”

เนรินดาหาข้ออ้างแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พรางดึงกลับคืนมาจับวางไว้ที่ซ่อนเดิม ก่อนตัดสินใจหยิบกระเป๋าเป้อีกใบมาบรรจุขอฝากชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยเฉพาะ

“เราต้องจากกันจริงๆรึ ตั้งปีแน่ะ ชั้นต้องคิดถึงเธอมากๆ เลยแล้วอย่าลืมส่งโปสการ์ด ภาพสวยๆ ที่นั้นมาให้ชั้นด้วยนะ เขาว่าสวยมากเลยนะ จริงๆ ชั้น อยากไปกับเธอเหมือนกัน แต่เกรดฉันดันขาดไปอีกแค่0.1 เท่านั้นเอง อาจารย์ก็เขี้ยวจริง แค่จุดเดียวก็ไม่ยอมหยวนให้ ไม่อย่างนั้นชั้นคงได้ไปไทยแลนด์กับเธอแล้ว”

“ชั้นว่าดีแล้ว ถ้าได้ไปด้วยกันมีหวังเธอคงลากชั้นขึ้นเขาลงห้วย ไม่เป็นอันได้เรียนกัน ดีไม่ดีมหาวิทยาลัยทางโน้นคงเตะโด่งส่งเรากลับมหาวิทยาลัยแทบไม่ทันนะสิ”

ก็เฮเลนเล่นตระเวนพาเธอเที่ยวตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูล จนเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เริ่มปล่อย ยัยชีพจรลงเท้ายิ่งได้ใจ ลากเธอไปเที่ยวทุกปิดภาคเรียน แถมยังระดมเพื่อนในสาขาเดียวกันจนเป็นกลุ่มใหญ่ไปเที่ยวป่า เดินเขาอยู่เสมอ หรือแค่ขอให้มีเวลาสักนิดช่วงวิกเอนท์ก็ยังจัดทริปเที่ยวได้ อย่างเมื่อ 2 เดือนก่อน เธอสามารถจัดทริปไปเที่ยวได้ไกลถึงฟอริด่า ก็เคยทำมาแล้ว

“โธ่ อย่าทำเป็นพูดดีไป อยู่ที่โน้นคนเดียวจะร้องไห้คิดถึงบ้าน คิดถึงชั้นสิไม่ว่า”

เนรินดานิ่งเงียบ เธอกำลังจะต้องจากบ้านนี้ไปนานหนึ่งปี เธอคงอดคิดถึงภาพความทรงจำดีๆ ที่นี้ไม่ได้ ด้านเฮเลนเห็นเพื่อนเงียบก็คิดขึ้นได้ เธอเองต่างหากที่คะยั้นคะยอให้เนรินดา เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนไปเมืองไทย เพราะอยากให้เพื่อนได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ สักพัก เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น เพราะตั้งแต่หลังที่พ่อของเนรินดาจากไปเมื่อปีก่อน เนรินดาที่เคยร่าเริง ยิ้มง่าย ก็กลับเงียบขรึมลง และจะมีอาการเหม่อทุกครั้งที่เผลอ แม้ในหมู่เพื่อนเธอยังทำตัวให้ดูเป็นปกติทุกอย่าง แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ดีว่าเนรินดายังทำใจไม่ได้กับจากสูญเสียที่ยิ่งใหญ่นี้
เนรินดาอยู่กับพ่อ 2 คน มาตั้งแต่ 7 ขวบ ความผูกพัน ลึกซึ้งมากกว่าคนที่เป็นพ่อลูกทั่วไป เพราะพ่อของเนรินดาจะเป็นทุกอย่างให้กับลูกสาวคนเดียว เป็นทั้งพ่อ พี่ เพื่อน รวมถึงแม่ คนที่เนรินดาคอยคิดถึงอยู่ตลอดเวลา

เธอยินดีอย่างมากที่เนรินดาตัดสินใจเข้าโครงการแลกเปลี่ยนได้ เพราะก่อนหน้าที่เนรินดาเกือบจะหยุดเรียนกลางคัน จนเธอต้องยกเอาความตั้งใจของพ่อเนรินดา ที่ท่านอยากให้ลูกสาวเก็บเกี่ยวเอาความรู้ ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยหล่อหลอมให้เป็นคนที่เข็มแข็ง และพร้อมที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง มาปลุกสติเพื่อนอีกครั้ง จนหล่อนยอมฮึดสู้ และตัดสินใจจะเรียนต่อไปให้สำเร็จการศึกษา

“เนด้า แล้วเธอไปเนี่ย ใครจะมาช่วยชั้นหนีตาเบนจามินหล่ะ เบื่อขี้หน้าชะมัด ไม่รู้จะตามตอแยฉันไปถึงไหน” เฮเลน รีบเปลี่ยนเรื่องพูดหลังรู้สึกตัวว่ากำลังจะเข้าเรื่องที่ทำให้เพื่อนต้องคิดมากอีก

“จามิน เขาชอบเธอออกจะตาย เดินตามเธอต้อยๆ มาตั้งแต่ปี 1 แล้ว เมื่อไหร่จะใจอ่อนกับเขาเสียทีหล่ะ” เบนจามิน หนุ่มในสาขาเอกเดียวกันที่หลงรักเฮเลนตั้งแต่แรกเห็น และปักใจกับเธอเพียงคนเดียวตลอด 3 ปีที่เรียนในมหาวิทยาลัย ไม่เคยนอกลู่นอกทางให้เห็น แต่ที่ไม่เห็นนี่ไม่รู้ ตามรับตามส่งคอย แถมใจป้ำเลี้ยงมื้อกลางวันเพื่อนเฮเลน กับเธออยู่บ่อยๆ ทำให้บางครั้งทั้งเธอ เฮเลน เบนจามิน และซากีย์ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันไปแล้ว

เบนจามินถึงจะเป็นหนุ่มอเมริกันผิวดำ แต่เฮเลนก็ไม่ได้รังเกียจ เหยียดเรื่องผิวพรรณแต่อย่างใด ยอมที่จะคบเป็นเพื่อนและไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แต่ที่เธอปฏิเสธจะคบหาด้วย เพียงเพราะเขาตามใจเธอทุกอย่าง จนไม่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าเธอจะชี้นิ้วไปทางไหนก็ก้าวตาม ไม่เคยออกความคิดเห็นอะไรสักอย่าง แม้แต่ตัวเองจะกินอะไรยังสั่งตามเฮเลนทุกครั้งไป เพื่อนสาวเคยเผยความในใจกับเธอว่า จริงๆ แล้วเธอก็ชอบเบนจามินมาก ถ้าเขามีความกล้าอีกนิด อย่างน้อยก็กล้าพอจะบอกรักเธอตรงๆ

“ไม่เอาล่ะ ยิ้มทีงี้ฟันขาวยังกะเปิดนิออน ฟันเขาขาวกว่าชั้นชั้นไม่ชอบ” เฮเลนช่างสรรหาข้อตำหนิเขาได้เสมอ

“ใครจะเหมือนซากีย์ของเธอหล่ะ นักกีฬามหาวิทยาลัยหล่อเข้มปานนั้น เสียดายมั้ยที่เขาไม่ได้ไปประเทศเดียวกับเธอ แล้วไปอยู่เมืองไทยนานๆ ไม่กลัวเหรอว่าเขาจะวอกแวกมีสาวอื่น”

“ไม่หรอก ซากีย์เขาเป็นสุภาพบุรุษจะตาย ถึงจะมีสาวๆ มากรี๊ดตามเป็นพรวน แต่เขาก็ไม่เคยมองใคร อย่างมากถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็พาไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ด้วย บางทีเขายังพาชั้นไปด้วยเลย... ชั้นนะเสียวสันหลัง กับสายตาสาวๆ พวกนั้นจะตาย ไม่รู้ว่าวันไหนเกิดบ้าขึ้นมา จับชั้นไปรุมตบ คงแย่แน่ พักหลังเลยไม่กล้าไปกับซากีย์สองต่อสอง กลัวจริงๆ” เนรินดาไหวไหล่เล็กน้อย แล้วบอกต่อว่า “แต่ถึงเขาจะไม่มีสาวอื่นจริงๆ ชั้นก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เพราะเรายังเป็นเพื่อนกัน”

เนรินดาบอกไปตามความรู้สึก ภาพที่คนภายนอกมองเขากับเธอ อาจเหมือนคู่รักกัน แต่จริงๆ แล้ว เธอยังไม่เคยตอบตกลงจะคบกับเขาอย่างจริงจัง เธอก็ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ว่าลึกๆ แล้วเธอรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ เธอรู้ว่าระหว่างเธอกับซากีย์ที่เหมาะสมกันทุกอย่าง ทั้งหน้าตา แม้ฐานะทางบ้านเธอจะไม่ใช่มหาเศรษฐีแบบซากีย์ แต่ก็อยู่ในระดับที่ถ้าเธอเกิดเบื่อเรียน อยากนอนเฉยๆ อยู่บ้าน เธอก็ทำได้ตลอดทั้งชาติ แต่ทุกครั้งที่อยู่ข้างๆ เขา เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น

เธอแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมเดินทาง ช่วยกันไถลกระเป๋าใบโตลงจากบันได กว่าจะถึงพื้นได้สำเร็จ เล่นเอาเหงื่อซึม

“ซากีย์ ยังไม่ตื่นเลย เฮเลนช่วยปลุกเขาทีนะ เดี๋ยวชั้นมา ให้ดีช่วยสำรวจรอบๆ บ้านด้วยว่ามีประตูหน้าต่างบานไหนที่ยังไม่ปิด หรือปิดไม่สนิทบ้างนะ ไม่อยู่ตั้งปีไม่รู้จะเป็นไง” เนรินดาพูดอย่างอาลาอาวรณ์บ้านที่เธอเติบโตมา ทำท่าจะเดินออกไปนอกบ้าน

“ใช้ชั้นปิดบ้าน แล้วตัวเองจะไปไหนหล่ะ” เฮเลนท้วง

“จะแวะไปลาป้าซูซาน ซะหน่อย จะได้ฝากฝังเรื่องดูแลบ้านให้อีกทีด้วย”

ป้าซูซาน สาวใหญ่ ข้างบ้านที่คอยดูแล ไม่สิ ! ต้องบอกว่าคอยสอดส่องพฤติกรรมของคนทั่วหมู่บ้าน ไม่ผิดจากยามประจำหมู่บ้าน ใครทำอะไรที่ไหนป้าเธอรู้หมด ใครจะแต่งงาน คลอดลูก เปลี่ยนแฟน ย้ายบ้านใหม่ ทาสีบ้านใหม่ หรือบ้านไหนมดปลวกขึ้นบ้านเธอก็ยังรู้ ไม่ว่าใครจะกระดิกกระเดี้ยตัวทำอะไร ไม่มีรอดพ้นหูผีจมูกมดของเธอไปได้

แต่กลับไม่มีใครรู้สึกรำคาญ ยามสูงอายุประจำหมู่บ้านคนนี้ ทั้งยังมองเป็นสีสัน ให้เธอและเพื่อนบ้านพลอยมีความสุขกับการได้รับรู้ ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางร้ายและดีเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และถึงแม้เธอจะชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของเพื่อนบ้านมากเกินไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนพูดมากไม่เคยพูดเรื่องใครในทางเสียหาย ทั้งยังเป็นคนใจดี ยิ่งกับเด็กๆ เธอมักมีขนมนมเนย ที่เธอลงมือปรุงขึ้นเองจากเตาอบเครื่องเล็กๆ ในบ้านมาคอยแจกจ่ายให้ได้อร่อยลิ้นกันอยู่เสมอ

และป้าซูซานที่แสนใจดีคนนี้ ยังเป็นเพื่อนบ้านแสนดีของครอบครัวของเนรินดาตั้งแต่สมัยที่แม่ยังอยู่ เธอมักจะคอยมาเยี่ยมเยียนแม่ ในช่วงกลางวันที่ไม่มีใครอยู่บ้าน มานั่งคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้แม่ แม้แต่หลังจากที่แม่จากเธอไปแล้ว บางค่ำคืนในวัยเด็กที่เธอต้องอยู่คนเดียว เมื่อพ่อติดธุระต้องนอนค้างต่างเมือง ป้าซูซานก็จะมานอนเป็นเพื่อน เล่านิทานก่อนนอนให้เธอฟัง ไม่ต่างจากที่แม่และพ่อเคยทำเป็นประจำ เสียแต่ว่านิทานทุกเรื่องมักจะมีตัวละครเป็นคนในหมู่บ้านแทนที่จะเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่ก็สนุกไปอีกแบบทำให้เธอได้รู้จักเพื่อนบ้านแต่ละคนมากขึ้น เธอจึงรักและเคารพเพื่อนบ้านสูงวัยคนนี้เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

เนรินดา เดินผ่านรั้วไม้ ที่เดิมเคยเป็นสีขาวแต่บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เถาว์ สีเขียวเข้มเลื่อยเกาะกระหวัดตลอดแนวรั้ว เธอเดินอ้อมผ่านตัวบ้านไปถึงสวนด้านหลัง คุณป้าแสนดีกำลังก้มๆ เงยๆ ถอนวัชพืชที่คอยแทงยอดขึ้นมาแย่งสารอาหารจากแปลงผักสวนครัว ที่เธอปลูกไว้เพื่อเป็นของกำนัลให้กับเพื่อนข้างๆ ป้าซูซานเป็นคนมัธยัสถ์คนในหมู่บ้านรู้ดีว่าเธอมีเงินฝากในธนาคารอยู่ไม่น้อย เพราะก่อนหน้าที่เธอจะเกษียณอายุตัวเองจากงาน เธอรับตำแหน่งถึงผู้จัดการอาวุโสของโรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ก่อนจะมาใช้บั้นปลายชีวิตอย่างสงบที่นี้

“อ้าว เนด้า! หนูจะบินไปเรียนต่อวันนี้แล้วใช่มั้ยลูก” ป้าซูซานเงยหน้าขึ้นจากแปลงผัก โดยในมือยังมีหญ้ากำใหญ่ถืออยู่

“ค่ะ นี่ก็กำลังจะไปที่สนามบิน เพราะเครื่องจะออกประมาณ 1 ทุ่มคะ เนด้าเลยมาลาป้า แล้วกะจะมาขอคำอวยพรจากป้าก่อนไปนะคะ”

“เอาสิเอา ป้ากะว่าถอนหญ้าเสร็จจะไปหาหนูที่บ้านอยู่พอดี เขาไปในบ้านก่อนสิ ” ป้าซูซานเดินแวะล้างมือ ที่ก๊อกน้ำริมแปลงผัก ก่อนเดินนำไปเข้าบ้าน

“ป้าทำคุกกี้ไว้เมื่อเช้า เนด้าเอาไปทานที่โน่นด้วยนะ หนูจะได้ไม่ลืมคิดถึงป้าไงจ๊ะ” ป้าซูซานยื่นกล่องคุกกี้ให้รับไว้ ป้ายังคงใจดีเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน เนรินดาย่อตัวโอบป้าซูซานเบาๆ

“เนด้าจะคิดถึงป้าเสมอคะ” เนรินดารู้สึกใจหายวาบ เธอจะต้องจากคนที่เธอรักไปอีกคนแล้วรึนี่ แม้จะเป็นการจากเป็นก็ตาม แต่มันก็ยังคิดไม่ได้ ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ เธอจะต้องอยู่คนเดียวในโลกกว้าง เมืองที่เธอไม่คุ้นเคย

เนรินดา คลายวงแขน หันมองป้าซูซาน หวังจะบันทึกภาพใบหน้าป้าผู้ใจดีไว้ในความทรงจำ แต่ทว่าเวลานี้ ความรู้สึกของป้าซูซานก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่ ผิดตรงแต่ที่หยดน้ำไหลรินจาก เปื้อนเป็นทางตลอดแก้ม 2 ข้างที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยชรา เนรินดาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อ ลบรอยคราบน้ำตาให้

“ป้าร้องไห้ เวลาทำคุกกี้ด้วยรึเปล่าคะเนี่ย สงสัยคุกกี้กล่องนี้คงไม่ได้ใส่เกลือแน่ เพราะแค่น้ำตาป้าก็เค็มจะแย่แล้ว” เนรินดาเหยาให้ป้าซูซานได้ยิ้มเหมือนที่เคยเป็นมาเสมอ เธอยินดีที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าผู้สูงวัยอีกครั้ง

“เด็กคนนี้ แกล้งป้าอีกแล้ว” ป้าซูซานตีเบาๆ ที่ต้นแขนเธอ “ เนด้าเดินทางโดยสวัสดิภาพนะจ้ะ ใครเห็นก็เอ็นดูรักใครนะลูกนะ ” ป้าซูซานพูดพลางลูกหัว เนรินดาอย่างเอ็นดู เธอก้มกราบแนบอกผู้ที่เธอเคารพเสมือนป้าแทนๆ ตามอย่างวัฒนธรรมไทยทุกกระเบียดนิ้ว เนรินดาทำอย่างนี้อยู่เสมอ เพราะพ่อคอยพร่ำสอนจนขึ้นใจ ไม่ว่าจะเป็นใคร คนชาติไหนก็ตาม หากทำดีให้กับเนด้า หนูก็ต้องไหว้ต้องกราบเขานะลูก

เนรินดา เดินย้อนกลับออกมาทางเดิม เธอคิดย้อนเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตช่วงที่ผ่านมาจนถึงบ้านหลังสีฟ้า เธอค่อยๆ เดินสำรวจความเรียบร้อย ประตูหน้าต่างทุกบ้านปิดสนิท บ้านหลังนี้ที่ช่วยเลี้ยงดูเธอจนเติบใหญ่บ้านที่อบอวนด้วยสายใยแห่งรักของพ่อและแม่ที่ส่งผ่านมาสู่เธอ

เนรินดาสัมผัสรอยร้าวเล็กๆ บนกำแพง ริ้วรอยแห่งกาลเวลา ที่วิมานสีฟ้าหลังน้อยได้คอยคุ้มภัยให้เธอยืนหยัดต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการพลัดพรากคนที่เป็นที่รักถึงสองครั้ง

เธอต้องจากบ้านแห่งรักที่พ่อแม่มอบไว้ให้เธอนานนับปี ความทรงจำดีๆ ที่พ่อและแม่ได้พยายามก่อร่างสร้างให้กับเธอ ยังติดตราตรึงใจ จนบางครั้งภาพฝันเก่าๆ ก็ยังย้อนฟื้นให้เธอได้สัมผัสอยู่เสมอ เนรินดาเชื่อเสมอว่า... วันที่เธอกลับมายืนตรงนี้อีกครั้ง บ้านแห่งรักของพ่อและแม่จะยังคงอบอวนด้วยความอาทร พร้อมปลอบประโลมเธอให้คลายความเจ็บปวดไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม

---
ที่สนามบิน LGA บอสตัน
ซากีย์ กุลีกุจอคอยบริการเนรินดาทุกอย่าง ตั้งแต่ไปรับเธอที่บ้านบ่าย แวะพาเธอไปทานข้าว ก่อนมาทำหน้าที่เป็นเด็กยกกระเป๋า ผ่านเข้าเครื่องสแกนก่อน ลากตามเธอไปที่เคานท์เตอร์เช็คอิน เพื่อนำกระเป๋าเข้าเครื่องชั่งน้ำหนัก เขาอยากจะไปขึ้นตั๋วเครื่องบินให้เธอ เพื่อให้เธอเพียงนั่งรอเฉยๆ ด้วยซ้ำ ติดก็แต่เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบรูปพรรณสัณฐานของผู้โดยสาร ว่าถูกต้องตามพาสปอร์ตหรือไม่ ยิ่งช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อการร้าย การตรวจตรายิ่งเข้มงวดมากขึ้น

“ไม่เป็นไรคะ เนด้าทำเองได้” เนรินดาดึงพาสปอร์ตจากมือซากีย์ ที่พยายามยื้อยุดจะไปจัดการขึ้นตั๋วเครื่องบินให้เธอ

“ผมอยากทำให้ คุยแค่นั่งรอเฉยๆ จะได้ไม่เมื่อไง” ซากีย์กระเงากระงอดอาสาจะไปจัดการตั๋วเครื่องให้

“แต่เจ้าหน้าที่ต้องดูหน้าเนด้าด้วยนิคะ ขืนคุณไปขึ้นตั๋วให้ แล้วหน้าคุณไม่เหมือนรูปในพาสปอร์ต เจ้าหน้าอายัดเอกสารชั้นขึ้นมาที่นี่ก็อดไปกันเท่านั้น”

“ไม่ไปได้ก็ดีสิ คุณทิ้งผมไว้อย่างนี้สักวันคุณคงต้องเหนื่อยตาย ” ซากีย์ ทำเสียงกวนแบบเด็กๆ

“ทำไมชั้นต้องเหนื่อยตายด้วย” เนรินดาหน้าฉงน

“ก็คุณต้องวิ่งข้ามทวีปมาอยู่ในใจผมทุกวันนะสิ”

“แหวะ” เสียงเฮเลน กับเบนจามินดังขึ้นพร้อมกัน แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะร่วนกับมุขเฟ่ยๆ ของซากีย์

“ชั้นไปปีเดียวเอง แล้วเดี๋ยวจะส่งโปสการ์ดมาให้บ่อยๆ นะ อย่างเฮเลนเขาจองแล้ว เอารูปทะเลเยอะๆ แถมขอรูปหนุ่มๆ นุ่งกางเกงว่ายน้ำอาบแดดด้วย” คนกำลังจะเดินทางแซวไปถึงเพื่อนสนิทจนได้

“ว๊าย ใครขอยะ เนด้าเองต่างหากที่บอกจะหาส่งมาให้ อย่ามาใส่ความกันนะ” เฮเลนออกตัว

“แล้วตกลงจะไม่เอาใช่มั้ย รูปหนุ่มๆ นะ”

“ก็... ถ้าเห็นสวยๆ ก็ส่งมาบ้างก็ได้ไม่ว่ากัน” เฮเลนแค่นยิ้มพูดทีเล่นทีจริง

“ไม่ต้องเลย เนด้า คุณไม่ต้องส่งรูปหนุ่มไทยหล่อล้ำมานะ เดี๋ยวเฮเลนก็เปลี่ยนใจจากผมเท่านั้น”

“ตาบ้า ใครมีใจให้ย่ะ” เฮเลนลอยหน้าพูด แถมตีเข้าต้นแขนเบนจามินอีกเพี๊ยะใหญ่

“นี่ไม่ต้องเถียงกันเอาเป็นว่า จามินคุณก็ถ่ายรูปตัวเองตอนนุ่งชุดว่ายน้ำ เอาไปติดที่ห้องเฮเลนสิ แค่นี้ก็ลงตัวกันทั้งคู่ เฮเลนก็มีรูปหนุ่มหล่อล้ำไว้ดู จามินก็ไม่ต้องห่วงว่าเฮเลนจะไปมองชายอื่น ดีมั้ย” เนรินดาเสนอไอเดียสุดเจ๋ง

“เข้าท่านิ เนด้าขอบคุณนะ เดี๋ยวกลับไปเนี่ยผมจะรีบไปถ่ายรูป อัดส่งให้คุณเลยเฮเลน” เบนจามินกระดี๊กระด๊าจะรีบไปอัดรูป

“ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย ไม่เอา ไม่ต้องส่งมานะ รูปนายมีแต่จะทำให้ชั้นหลับไม่ลงเท่านั้น” เฮเลนหน้าทำหน้าปูเลียน “เนด้า ถ้าไม่อยากส่งโปสการ์ดมาให้ก็ไม่ต้องส่งก็ได้ แต่อย่ามาเสนอไอเดียแสนอุบาว์ทให้ชั้นต้องมานั่งรับกรรมอย่างนี้สิ”

เนรินดาเดินไปทำพาสปอร์ตที่เคาน์เตอร์เช็คอิน โดยมีซากีย์เดินตามติดไปเป็นบอร์ดีการ์ด แต่ตลอดเวลาที่รอเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร เขาก็อดวิพากษ์วิจารณ์การรักษาความปลอดภัยของสนามบินที่นี้ไม่ได้ ยิ่งกับเครื่องเอ็กซ์เรย์ ที่เขาด่าเต็มปากว่างี่เง่า ก็เจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ล้ำสมัยที่ตัวจับโลหะแปลกปลอมได้ทุกชนิดตัวนี้ ที่เคยทำให้เขาต้องอับอายมาแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน ครั้งที่เขาเข้าประเทศมาเรียนในมหาวิทยาลัย เพราะเครื่องมันเล่นดังไม่หยุดไม่ว่าจะเอาโลหะทุกชนิดถอดวางไว้หมด แม้กระทั่งเสื้อกล้ามตัวใน ก็ต้องถอดจนเหลือแต่กางเกงตัวเดียวเครื่องก็ยังไม่หยุดส่งเสียง จนเจ้าหน้าที่ต้องเรียกไปค้นตัวในห้องพิเศษ แบบเรดอาร์ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ห้ามดู ท่ามกลางเครื่องปรับอากาศตัวเขื่อง ที่ทำให้เขาสะท้อนสะท้านทั้งกาย และใจ

จริงๆ แล้วเขาไม่ได้พกโลหะหรือยาเสพติดเข้าประเทศเลย แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอะไร เครื่องเอ็กซ์เรย์งี่เง่าตามคำเรียกของซากีย์มันจึงดังไม่ยอมหยุด ยิ่งใบหน้าคมคายแบบชาวตะวันออกกลางด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองต้องเข้มงวดกับเขาเป็นพิเศษ

ไม่นานเนรินดาก็เดินกลับมาพร้อมซากีย์ ในจุดที่พักที่เฮเลน และเบนจามินรออยู่

“อีก 15 นาทีชั้นต้องเข้าไปด้านในแล้วล่ะ พวกเธอกลับไปเถอะ” เนรินดาเอ่ยขึ้น

“ตั้งปีหนึ่งแนะ ชั้นต้องคิดถึงเธอแย่แน่ๆ เลย” เฮเลน กุมมือเธอไว้แน่น ก่อนกอดกระชับอย่างอาลัยกับการจากเพื่อนสนิท และเริ่มตั้งท่าเรียกน้ำตา

“เธอต้องคิดถึงชั้นแน่ ตอนที่เธอไปเที่ยวทุ่งหญ้าสะวาน่า ตอนที่เธอนั่งรถดูสัตว์ในซาฟารี… ไม่ต้องเลยย่ะ ชั้นรู้หมดแล้ว เธอเตรียมแผนเที่ยวแอฟริกาช่วงปิดเทอมหน้ากับเบนจามินไว้ตั้งหลายที่ เชอะ! แล้วมาทำโอดครวญ ชั้นต้องคิดถึงเธอแย่แน่ๆ เลย” เนรินดาเหยียดริมฝีปากพูดซ้ำคำเดิมล่อเลียนเพื่อนสาวอย่างรู้ทัน

“นี่ เบนจามินบอกเธอใช่มั้ย” ว่าเสร็จเพื่อนสาวก็หันไปจ้องหน้าเพื่อนชายคนสนิท ที่หดคอหงออย่างกลัวเธอเสียเต็มประดา ถ้าเขาหายตัวได้คงทำไปแล้ว เรียกเสียงหัวเราะจากเนรินดา และซากีย์ ได้ครืนใหญ่ เมื่อไหร่น่า... สองคนนี้จะลงเอยกันสักที

ซากีย์ หยุดหัวเราะ หันมาเอ่ยกับเธอ

“ ปิดเทอมนี้เจอกันนะครับ ผมจะบินไปหาคุณถึงไทยแลนด์เลย ผมขอที่อยู่ของมหาวิทยาลัยที่โน้นจากอาจารย์ไว้แล้ว คุณอย่าลืมมารับผมนะ ถ้าผมจะไปถึงวันไหนแล้วจะติดต่อไปอีกที ”

‘ตายแล้ว! จะเขาลงทุนบินข้ามโลกตามไปถึงประเทศไทยเลยรึนี่ เขารู้สึกรักเธอ และคิดถึงเธอมากขนาดนี่เลยรึ เธอสิกลับไม่ทันคิดเลยด้วยซ้ำว่าถ้าต้องห่างจากซากีย์ไปเป็นปีเช่นนี้ เธอจะคิดถึงเขาไหม’

เฮเลน เห็นเพื่อนวางสีหน้าไม่ถูกเลยรีบชิงทำลายความเงียบก่อนจะเสียบรรยากาศ

“น่าอิจฉาจัง ชั้นก็อยากไปบ้าง แล้วเนด้าอย่าลืมนะที่บอกไว้ ส่งโปสการ์ดมาให้ชั้นเยอะๆ หล่ะ แล้วชั้นจะขยันส่งรูปเพื่อนๆ ที่นี้ไปให้ดูด้วย”

เวลาล่วงเลยใกล้เวลาเครื่องออกเต็มที

“ชั้นเข้าไปด้านในแล้วนะ แล้วจะเขียนโปสการ์ดถึงเธอบ่อยๆ เท่าที่ทำได้นะ” เนรินดากอดเพื่อนเพื่อล่ำลาอีกครั้ง ก่อนหันไปเอยกับเบนจามิน

“ชั้นฝากเพื่อนของชั้นด้วยนะ ดูแลเขาให้ดีๆ ล่ะ ถึงเขาจะขี้บ่นไปบ้าง แต่จริงๆ เขาก็ใจอ่อนให้คุณกว่าครึ่งแล้วนะ อาศัยโอกาสนี้เอาชนะใจเพื่อนชั้นให้ได้ล่ะ” เนรินดาพูดจบก็เสมองเพื่อน ที่บัดนี้ยืนหน้าแดงอยู่ข้างๆ อย่างไม่คิดว่าเพื่อนสนิทคนเดียวของตัวจะกล้าพูดหักหน้าเพื่อนได้ขนาดนี้ แต่เธอไม่มีโอกาสโต้ตอบอะไร เพราะซากีย์ ขโมยตัวเพื่อนเธอไปเสียอีกมุมแล้ว ทำได้แค่เสียงคำรามอยู่ในคอ ‘ยัยเนด้า’

ซากีย์จูงมือเนรินดา เดินห่างออกจากกลุ่มเพื่อนไม่มากนัก เขาเพียงต้องการความเป็นส่วนตัวสักนิดเท่านั้น ซากีย์ยืนนิ่งจ้องมองใบหน้าของเธอ เขาทำหน้าขึงให้รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไป เป็นเรื่องจริงจัง

“เนด้า...”

“ คะ!”

“ ผมสัญญา ผมจะคิดถึงคุณตลอดที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วคุณล่ะ จะให้สัญญาว่าคุณจะคิดถึงผมบ้างได้มั้ย” ซากีย์จ้องมองลงมานัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน เมื่อเห็นเนรินดายังยืนนิ่งไม่ปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงค่อยๆ เลื่อนใบหน้ามาประชิด เปิดริมฝีปากเตรียมมอบรสจูบอุ่นๆ ให้เธอ หวังให้เธอหลอมละลายเหมือนอย่างที่เคยได้ผล ครั้งที่เขาทำเช่นนี้กับสาวๆ คนอื่น ทว่าสาวอื่นนั้นไม่ใช่ ‘เนรินดา’

เธอมองตอบกลับอย่างไม่หวั่นไหว ลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทเรียวยาวได้รูป ขนตาที่งอนงามเป็นแผงจนเธอยังเคยแอบอิจฉา ก่อนผลุบ ‘ยักคิ้ว’ ให้ทีหนึ่ง

“โธ่ เนด้า ผมกะจะสวิทกับคุณเสียหน่อย คุณมาทำหมดอารมณ์เลย” ซากีย์สุดเซ็ง ส่ายหน้าอย่างไม่ได้ดั่งใจ

“ก็อยากมาทำหวานใส่ชั้นก่อนทำไม ชั้นบอกกี่ครั้งแล้วมันใช้ไม่ได้ผลกับชั้นหรอก ต้องพวกสาวๆ ที่มหาวิทยาลัยโน้น” เธอย้อนกลับแถมพาดพิงไปถึงแม่สาวหลายคนที่เคยเสียท่าให้กับสายตาคู่นี้

“มีอะไรอีกมั้ย ชั้นไปหละนะ แล้วถ้าจะไปเมืองไทยเมื่อไหร่ ก็เขียนจดหมายหรืออีเมล์ไปบอกก่อนก็แล้วกัน ฉันจะพยายามเช็คอีเมล์ ถ้าที่นั้นมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้นะ”

“คุณจะไม่จูบลาผมจริงๆ เหรอ” ซากีย์ ยังตั้งความหวังด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นเว้าวอน

เนรินดาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ เธอไม่เคยให้ตอบแทนความรู้สึกดีๆ และน้ำใจที่ซากีย์หยิบยื่นให้เธอมาตลอด 2 ปี เลยสักครั้ง เนรินดา ประทับจูบลงปลายนิ้วมือ ก่อนเอื้อมไปสัมผัสที่ข้างแก้มเขา

พ่อสอนเธอเสมอว่า เกิดเป็นลูกผู้หญิง ถึงจะอยู่ในเมืองตะวันตก แต่ก็ให้เลือกรับวัฒนธรรมที่ดี ที่ถูก การจะรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิด แต่การจะแสดงออกซึ่งความรักต่อที่สาธารณะมันไม่เหมาะสม ถ้าวันหนึ่งเกิดผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่เราจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต เราจะยังคงเป็นเพื่อนกับเขาได้สนิทใจหรือเปล่า ถ้าเราจะต้องเสียคนรักแล้วก็อย่าให้เสียเพื่อนไปด้วย เพราะเพื่อนแท้คนหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ ในชีวิต

แต่เพียงสัมผัสเท่านี้ ก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มที่หลงรักเธอ ลิงโลดเต้นไม่เป็นส่ำ สายตาที่มองเนรินดาอย่างจะบอกว่าขอบคุณเป็นที่สุด สำหรับการกระทำเล็กๆ แต่มันช่างยิ่งใหญ่ในหัวใจเธอ

เนรินดา เดินนำซากีย์ กลับมาหาเพื่อนสาว อาลัยกอดเธออีกครั้งก่อนเดินเข้าห้องโดยสารชั้นใน แต่ไม่วายกระเซ้าเฮเลนอีกครั้ง จนทำให้เพื่อนต้องนิ่วหน้าใส่

“กลับจากเมืองไทยชั้นหวังว่าจะได้รับข่าวดีจากเธอสองคนนะ”

เนรินดา หยุดให้เจ้าหน้าตรวจเอกสารก่อนเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องผู้โดยสาร เธอหันกลับมาโบกมือลาอีกครั้ง เห็นภาพเพื่อนทั้งสามโบกสะบัดข้อมืออำลาตอบเช่นกัน







 

Create Date : 19 สิงหาคม 2549    
Last Update : 5 กันยายน 2549 18:34:16 น.
Counter : 368 Pageviews.  

แล(ร)กรัก บทนำ



งานเขียนเรื่องแรกของกล้าสาลี ที่ตั้งแต่ผลิใบมายังไม่เคยสัมผัสกับงานเขียนแนววรรณกรรมมาก่อนในชีวิต ยังไงขอฝากผลงานให้ช่วยรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย(คอมเมนท์) ด้วยนะคะ แต่อย่าหนักมือนักนะคะ เดี่ยวต้นกล้าจะเฉาตายเสียก่อน





แล(ร)กรัก


บทนำ


‘ความหลังครั้งก่อน บ้างเรื่องก็ควรค่าแก่การจดจำ กับบ้างเรื่องถึงไม่อยากจำแต่กลับฝั่งติดอยู่ในมโนสำนึก จนยากที่ขุดรากถอนโค่นให้ลืม แม้ภาพฝันความทรงจำจะค่อยๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา แต่ทุกครั้งที่ย้อนฟื้นมา ก็ทำให้อดหวาดผวาไม่ได้ แต่เขามักว่ากันว่า ในเรื่องร้ายๆ มักจะมีสิ่งดี แฝงไว้อยู่เสมอ.. แล้วเมื่อใด เรื่องดีๆ จะเกิดขึ้นกับฉันเสียที’

‘บึงบัว’ ที่เพียงมองปราด ก็เห็นชัดว่า ไม่ใช่บึงที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นผลจากแรงงานคนที่ขุดขึ้นตามเจตนารมณ์เจ้าของบ้าน ที่กำหนดสร้างไว้เพื่อเป็นจุดผ่อนคลายสายตา ให้ความสำราญแก่เจ้าบ้านและผู้อาศัย บึงน้ำที่นิ่งสงบ มีเพียงห่านเลี้ยงตัวเขื่อง 2-3 ตัว ดำผุดดำว่ายอย่างสบายอารมณ์ ช่างไม่รู้สึกรู้สมว่ามีใครกำลังจะถูกพรากชีวิตไป

...เด็กหญิงตัวน้อยตะเกียกตะกายพยุงตัว ให้คอเงยพ้นน้ำ มือเล็กขาวป่ายเกะกะหวังเพียงหาสิ่งยึดเหนี่ยว แรงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นแผ่วงกว้าง น้ำกระเซ็นกระสายแตกฟองไปทั่ว หากมีงูสักตัวว่ายน้ำเข้ามา หนูน้อยคงคว้าเอาไว้เป็นหลักยึด ด้วยความคิดขอจะให้รอดชีวิตจากการจมน้ำตาย แล้วถ้าต้องตายด้วยพิษงูก็ค่อยไปว่ากันอีกที แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่งูพิษสักตัวที่จะเป็นหลักชีวิตให้กับเธอ

‘ช่วยด้วย... ช่วยด้วย... ใครก็ได้เอาหนูขึ้นไปที หนู..หนูไม่ไหวแล้ว’ เสียงแหบพร่าแถบไม่ได้เปล่งผ่านลำคอ แต่มันกลืนกลับเข้าไป ดังก้องอยู่ภายใน แรงดันน้ำไหลทะลักทะล้นเข้าเต็มจมูก เต็มปาก จนแทบไม่เหลือช่องไว้ให้หายใจ

ผืนฟ้าเบื้องหน้า เริ่มมืดสนิทอาทิตย์อัสดงลับพ้นเหลี่ยมเขาไปเมื่อไม่นาน เวลานี้นอกจากแสงสะท้อนจากน้ำยามกระทบแสงสุดท้ายของอาทิตย์ ประดุจทุกอย่างรอบตัวกำลังจะบอกลาชีวิตน้อยตรงหน้าอย่างไม่ใยดี

เพียงไกลลิบนั้น ยังคงมีแสงสว่างจากดวงไฟ ที่ส่องมาจากบ้านกึ่งตึกกึ่งไม้หลังใหญ่ และมันช่างไกลเหลือเกิน ไม้ใหญ่ปกคลุมครึ้มทั่วไป ต้นแก้วที่ยามพลบค่ำ มันมักจะส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ มันคงเริ่มส่งกลิ่นหอมเฉกเช่นเดิม หากแต่ประสาทรับกลิ่นตอนนี้ไม่สามารถใช้การอะไรได้ เพราะแค่กลิ่นชวนให้เอียนของน้ำสีคล้ำ แถมรสชาติแปร่งๆ นี้ก็เต็มกลืนแล้ว

‘ในบ้านนั้นจะมีใครเห็นหนูอยู่ตรงนี้บ้างมั้ย ใครก็ได้ช่วยหนูที’ เสียงก้องดังอยู่ในใจ

ผืนน้ำเจ้ากรรม นอกจากรสชาติจะแย่แล้ว อุณหภูมิก็ช่างเย็นเชียบ ไม่ต่างกับน้ำที่เพิ่งรินออกจากช่องแช่แข็งในตู้เย็น มันคงชื่นใจสำหรับดื่มแก้กระหายยามหน้าร้อนยิ่งนัก แต่นี่อากาศก็หนาวเหน็บพออยู่แล้ว มันหนาวเข้ากระดูกทีเดียว ยิ่งต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นแบบนี้ มันยิ่งทำให้แขนขาเริ่มชาจนหมดความรู้สึก อย่าพูดถึงเรื่องจะทะลึ่งตัวให้พ้นน้ำ แค่จะกระดิกกระเดียวตัวยังแทบไม่มีแรง

‘พ่อขา แม่ขา ช่วยหนูด้วย ไม่ไหวแล้ว หนูหมดแรงแล้ว พ่อขา ‘ด้า’ ขอโทษ ขอโทษที่ไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ ด้า อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพ่อ ด้าขอไปอยู่กับพ่อด้วยคนนะคะ พ่อขา’

พละกำลังสุดท้ายเธอใช้หมดไปแล้ว ร่างของหนูน้อยค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่เวิ้งน้ำเบื้องล่าง ห้วงความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่สติจะหลุดจนตัว หนูน้อยสัมผัสได้กับความอบอุ่นๆ ที่แผ่โอบเธอไว้ ก่อนจิตสำนึกสุดท้ายจะดับวูบลง










 

Create Date : 17 สิงหาคม 2549    
Last Update : 5 กันยายน 2549 18:35:08 น.
Counter : 285 Pageviews.  


กล้าสาลี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






As Seen On TV
Free Web Counter
As Seen On TV
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.