เสี่ยงแค่ไหนเมื่อเป็น "เบาหวาน"

บ่อยครั้งและพบเจอได้เป็นปกติธรรมดาสำหรับ โรคเบาหวาน
วันนี้ขอนำเสนอข้อมูลย้ำเตือนอีกครั้ง ข้อมูลจาก hospital&healthy


ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
บางคนเท่านั้นที่มีโอกาสเป็น ได้แก่คนที่มีความเสี่ยงหลายๆอย่าง ได้แก่ คนอ้วนหรือลงพุง คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน เช่น พ่อ แม่ หรือคนที่เป็นโรคของตับอ่อน ก็มีโอกาสเป็นเบาหวานได้

โรคแทรกซ้อนของเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมาหลายปี มักพบโรคแทรกซ้อน เช่น ปัญหาด้านสายตา ไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ขาชา แผลเน่าโดยเฉพาะบริเวณเท้า ความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เป็น และระดับน้ำตาลในเลือด
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงระดับปกติมากเท่าไร ช่วยชะลอและลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนเรื้อรังลงได้มากเท่านั้น

ทำไมจึงเกิดโรคแทรกซ้อนเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อระบบหลอดเลือดซึ่งเป็นเสมือนท่อน้ำเลี้ยงของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีจะมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดด้วย โดยจะมีไขมันในเลือดสูงปกติ และมีความดันเลือดสูงปกติ

credit : hospital & healthy เครือมติชน เดือนธันวาคม 2553
กัญญา เนอร์สซิ่ง แคร์ - บริการจัดส่งดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พี่เลี้ยงเด็ก แม่บ้าน และจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วย //www.kanya-nc.com




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2553   
Last Update : 20 ธันวาคม 2553 11:52:11 น.   
Counter : 1148 Pageviews.  

6 ท่า..นวดกดจุดคลายเครียดหนุ่ม-สาวออฟฟิศ

อ่านเจอในหนังสือวันนี้(พุธที่ 15 ธันวา 53) กับ 6 ท่าการนวดกดจุดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ เลยเอามาเรื่องดีดีนี้มาเล่าสู่กันฟัง



ท่าที่ 1 นวดกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่
กดน้ำหนักทั้งฝ่ามือและนิ้ว นับ 1-5 ประมาณ 3 ครั้งแล้วเปลี่ยนข้าง ทำเหมือนเดิม จะสามารถช่วยลดความรู้สึกอ่อนล้าในบริเวณไหล่และต้นคอ

ท่าที่2 นวดกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ
ใช้มือวางด้านหลังลำคอ บีบและคลายประมาณ 5-10 ครั้งลดอาการตึงบริเวณต้นคอ

ท่าที่3 นวดใบหู
การนวดหูนอกจากจะช่วยให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายแล้วยังช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงอีกด้วย โดยวางปลายนิ้วโป้งไว้หลังใบหู และนิ้วที่เหลือวางเพื่อประคองด้านหน้า และนวดคลึงใบหูให้ทั่ว

ท่าที่4 การนวดตา
ช่วยให้ผ่อนคลายสำหรับผู้ที่ใช้สายตาเยอะๆอยู่หน้าคอมนานๆใช้นิ้วโป้งกดบริเวณหัวตากดค้างไว้นับ 1-6 และค่อยๆผ่อนน้ำหนักออก

ท่าที่5 นวดหนังศีรษะ
ช่วยกระตุ้นระะไหลเวียนโลหิต ทำให้โลหิตเลี้ยงสมองมากขึ้น ทำให้มีการตื่นตัวของระบบประสาทและลดการหลุดร่วงของเส้นผมด้วย

ท่าที่6 นวดบริเวณขมับ
ช่วยลดอาการตึงเครียด ปวดศีรษะ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดคลึงบริเวณขมับเป็นวงกลมประมาณ 6 ครั้ง แล้วกดน้ำหนักค้างไว้ นับ 1-3 แล้วค่อยๆผ่อนน้ำหนักออก

หวังว่าหนุ่มสาวออฟฟิศจะนำไปใช้กันนะ.....

กัญญา เนอร์สซิ่ง แคร์ : บริการจัดส่งผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พี่เลี้ยงเด็ก และจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วย //www.kanya-nc.com




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2553   
Last Update : 15 ธันวาคม 2553 10:30:49 น.   
Counter : 1986 Pageviews.  

มะเร็งยุคใหม่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา รองประธานบริหาร รพ.จุฬาภรณ์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนคนเป็นมะเร็งแล้วคิดว่าจะต้องตายเป็นเหมือนถูกสาป ผู้ป่วยและญาติส่วนใหญ่จะรู้สึกหมดหวังทั้งในเรื่องชีวิตและหน้าที่การงาน

อย่าไรก็ตาม ความคิดแบบเก่า กำลังจะเลือนหายไปเพราะในปัจจุบัน มะเร็งเป็นโรคที่ “ป้องกันได้ รักษาได้ และหายได้” เนื่องจากความรู้และวิทยาการด้านการรักษาก้าวหน้าไปไกลมาก ยิ่งเป็นมะเร็งในระยะแรกๆโอกาสหายก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก

มะเร็งป้องกันได้ มีสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ เกิดจากพันธุกรรม ที่การตรวจหายีนมะเร็งหรือโปรตีนที่ยีนมะเร็งสร้างทำได้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพัฒนาการในห้องแล็บ สาเหตุต่อมาคือ เกิดจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ และอาหาร สามารถทำให้เกิดการผันแปรของยีนและนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้ แนวทางแก้ไขต้องให้ความรู้และมีมาตรการทางด้านสาธารณสุขของประเทศ การให้วัคซีนแก่ประชาชน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมของแต่ละบุคคลที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า สามารถลดความเสี่ยงด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสัดส่วน อาหารที่มีเส้นใยช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ เป็นต้น

มะเร็งรักษาได้ วิธีการรักษามะเร็งได้เพิ่มขยายขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น และผลข้างเคียงจากการรักษาลดลง ทั้งวิธีการผ่าตัด การรักษาด้วยรังสีต่างๆ มีการใช้ยาใหม่ๆ และวิธีการใหม่ๆ ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น การรักษาจะมีการประเมินความเสี่ยงเฉพาะบุคคลเน้นการป้องกัน และการตรวจการคัดกรอง เพราะมะเร็งจะรักษาให้หายได้ในระยะแรกๆรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผสมผสานร่วมกับการทำวิจัย เป็นต้น

มะเร็งหายได้ วิธีการรักษามะเร็งในปัจจุบันได้พัฒนาไปมาก จนโอกาสหายขาดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นมะเร็งในระยะแรกๆที่มะเร็งยังไม่บุกแทรกเข้าไปในอวัยวะ มะเร็งเชิงรุก ในปัจจุบันว่า สามารถรักษาให้ผู้ป่วยมะเร็งหายขาดได้ประมาณ 30% ทั้งนี้การรักษามะเร็งในระยะแรกๆจะได้ผลดี แต่หากไม่รู้หรือรู้ในระยะหลังๆ โอกาสการเสียชีวิตก็จะมีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปรับเปลี่ยน แนวทางการป้องกันรักษาจากการตั้งรับเป็นเชิงรุก คือ มีการตรวจคัดกรองเพื่อหาโรคในระยะแรกๆ ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งนี้อาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆมาวินิจฉัยเพื่อให้การรักษาได้ผลสูงสุด รวมทั้งการศึกษาวิจัยในเชิงลึกโดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติของยีน


ที่มา Hospital & Healthcare ปีที่4 ฉบับที่ 38 พฤศจิกายน 2553





 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2553 15:30:33 น.   
Counter : 532 Pageviews.  

ฟักทอง...ยาป้องกันเบาหวาน

ฟักทอง.....ยาป้องกันเบาหวาน
ฟักทองเป็นพืชผักที่อยู่ใกล้ตัวเรา คุณรู้หรือไม่ว่าฟักทองเป็นยาธรรมชาติท่น่าสนใจขนานหนึ่งทีเดียว
“ทัทยา อนุสร” ให้ข้อมูลไว้ในหนังสือ “ทุกอาหารเป็นยา ถ้ากินเป็น” ว่าการเลือกซื้อให้เลือกดูที่เนื้อเหลืองเข้มๆค่อนไปทางส้ม จะได้ฟักทองที่เนื้อเหนียวอร่อยกว่าสีอ่อนๆ การปอกเปลือกก็ควรปอกให้บางที่สุดเพื่อให้ติดส่วนที่ยังเขียวใต้เปลือกซึ่งมีประโยชน์ หรือบางทีถ้าเปลือกไม่หนามากก็สามารถกินทั้งเปลือกได้เลย
เหตุผลที่ควรกินฟักทอง เพราะฟักทองทั้งเนื้อและเปลือก 100 กรัม ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 1 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.5 กรัม แคลเซียม 21 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 17 มิลลิกรัม เหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 52 มิลลิกรัม วิตามินเอ 3,266 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินอล
ฟักทองมีคุณค่าสูง เบตาแคโรทีนที่มีอยู่สูงมากช่วยป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะที่กระเพาะปัสสาวะ มีธาตุเหล็ก วิตามินซี วิตามินบี1 และวิตามินบี2 เหมาะจะเป็นอาหารลดน้ำหนักเพราะมีเส้นใยมาก ไขมันน้อย แคลอรีต่ำ มีรายงานการวิจัยระบุว่า การกินฟักทองเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ
และงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบว่า น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีนเนื้อฟักทองมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด น้ำตาลดังกล่าวละลายได้ในน้ำคั้นฟักทองเมื่อทดสอบกับหนูที่เป็นเบาหวานจากสารอัลล็อกซานพบว่า น้ำตาล-โปรตีนดังกล่าว เพิ่มระดับอินซูลินในซีรั่ม ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มการทนกลูโคส สารสกัดน้ำตาลดังกล่าวในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนัก ให้ผลดีกว่าการให้ปริมาณต่ำๆ และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาเบาหวาน จึงสามารถนำผลการศึกษาไปใช้กับผู้ป่วยเบาหวานได้
นั่นหมายความว่า การกินฟักทองเป็นประจำ ไม่ต่างจากการกินยาป้องกันและแก้โรคเบาหวานจากธรรมชาติเลยทีเดียว




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 15:03:07 น.   
Counter : 1661 Pageviews.  

สัญญาณเสี่ยง.......หัวใจวาย

เหล่านี้คือสาเหตุของความเสี่ยงที่คุณจะต้องระวังให้มาก
....ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
....ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป
....เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ เครียด ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
แล้วหากเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกระหว่างราวนม ลิ้นปี่คล้ายมีอะไรบีบรัดหรือกดทับ อาการเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณเตือนให้คุณทราบว่า คุณควรหันมาใส่ใจในสุขภาพหัวใจได้แล้ว

เพราะว่าคุณกำลังเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน !!
ภาวะหัวใจล้มเหลวคืออะไร? สำคัญอย่างไร?

นายแพทย์ทองดี วสุธารา อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลธนบุรี ให้ข้อมูลว่า ภาวะหัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถบีบเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้เพียงพอกับความต้องการจณะพักหรือเมื่อต้องออกกำลังกาย เป็นกลุ่มอาการที่พบในโรคหัวใจหลายชนิด อาจเป็นอาการแรกเริ่มของโรคหัวใจ หรืออาจเป็นระยะสุดท้ายของโรคนั้นๆก็ได้
และที่น่ากลัวคือ ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นภาวะที่พบได้บ่อย มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงมาก
สาเหตุหรือโรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน นายแพทย์ทองดีบอกว่า สาเหตุที่พบบ่อยในคนไทย ได้แก่
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ไม่สามารถสูบฉีดได้เต็มที่
โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น
โรคความดันโลหิตสูง ที่ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ ดื่มสุรามาก หรือบางครั้งอาจจะไม่สามารถหาสาเหตุได้
อาการเป็นอย่างไร ?
อาการหอบเหนื่อย โดยระยะเริ่มแรกอาการจะมีไม่มาก มักเป็นเวลาออกแรง เมื่ออาการมากขึ้น ออกแรงเล็กน้อยก็จะเหนื่อย บางครั้งตื่นขึ้นมาเหนื่อยเวลากลางคืน เนื่องจากมีน้ำคั่งในปอด อาการบวมตามขาและหลังเท้า เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตลดลง ทำให้ไตไม่สามารถขับเกลือและน้ำออกจากร่างกายได้จึงมีอาการบวมเกิดขึ้น มีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อส่วนต่างๆไม่เพียงพอ
รักษาอย่างไร?
นายแพทย์ทองดีกล่าวว่า รักษาตามอาการผู้ป่วยเหล่านี้มักจะมีภาวะน้ำหนักเกินในร่างกายก็จะได้รับยาขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำในปอด และลดอาการบวมของเข่า ผู้ป่วยมีกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ก็จะได้รับยากระตุ้นหัวใจเพื่อทำให้หัวใจบีบตัวดีขึ้น
ในการแก้ไขต้นตอที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เช่น โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจเลือดหัวใจโดยการฉีดสี
ในกรณีที่เส้นเลือดตีบมากก็ต้องทำการแก้ไขโดยการทำบัลลูนขยายหลอดเลือดหรือผ่าตัดบายพาส ในกรณีลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วมาก การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ และการรักษายังต้องหาปัจจัยที่มากระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันด้วย
เช่น รับประทานอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป ดื่มน้ำมากจนเกินไป รับประทานยาไม่ตรงเวลา เป็นต้น
หากรู้ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การรักษาง่ายขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นมาใหม่

เรื่องของสุขภาพหัวใจเป็นเรื่องเฉียบพลันที่มิอาจนิ่งนอนใจได้เลย



ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ วาไรตี้เฮลท์
วันจันทร์ที่ 22-วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 13:49:35 น.   
Counter : 680 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

kritthep2000
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add kritthep2000's blog to your web]