|
เมื่อฉันมีเนื้องอกในหัว เมื่อฉันมีเนื้องอกในหัว พิมพ์ไม่ผิดและอ่านไม่ผิดหรอกเนื้องอกในหัวนี่ หมายถึงในหัวสมองนี่จริงๆ อะอะบางคนอาจจะคิดว่าจะมาเขียนบันทึกก่อนจะตาย จะทำพินัยกรรมทำอย่างไรใช่มั้ย ไม่ใช่หรอก ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายอะไรขนาดนั้น หรือจะมาถามวิธีรักษาใช่เปล่า ก็ยากนะถามปัญหาสุขภาพทางsocial mediaโดยคนให้ความเห็นเป็นหมอหรือเปล่าไม่รู้ อีกอย่างตรวจเจออะไรมาบ้างก็ไม่รู้อีกขนาดหมอในวงการสาธารณสุข บางครั้งตรวจทั้งเลือดทั้งเอกซเรย์อะไรอีกเยอะแยะก็ยังหาสมมุติฐานของโรคไม่เจอเลย ขืนปรึกษาสุ่มสี่สุ่มห้า จะเข้าป่าอาจมีโรคอีกหลายโรคตามมาก็เป็นได้ แต่ที่จั่วหัวมาอย่างนี้เพียงแต่อยากเล่าประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดตอนที่เจอว่าตัวเองมีเนื้องอกแถมไปซุกในหลืบสมองลึกๆอีก. แล้วก็สาบานได้ที่เขียนนี่สติยังดี ไม่ได้โดนอำนาจเนื้องอกครอบงำแต่อย่างใด ตั้งแต่แต่งงานได้สองสามปี ฉันมักมีอาการปวดหัวไมเกรน ปวดตุ๊บๆอยู่ข้างเดียวซ้ายบ้างขวาบ้างเอาแน่เอานอนไม่ได้แต่ถ้าเป็นแล้วต้องนอนแน่ๆ เวลาไอเวลากระแอมก็จะปวดตุ๊บแรงขึ้นเหมือนถูกค้อนทุบ ลำพังยาพาราเซตามอล หรือพวกponstanก็ไม่หายเอาไม่อยู่ ปวดแต่ละครั้งเกือบอาทิตย์ บางครั้งขับรถอยู่ปวดจนคลื่นไส้ ต้องคว้าถังขยะในรถมารองอาเจียน. จะทุเลาได้ก็ต้องใช้ยาตระกูลcafergot กินได้วันละไม่เกิน6เม็ดอีกต่างหาก แต่โชคดีนะส่วนใหญ่กินเม็ดเดียวก็หายปวด และจะกลับมาปวดอีกก็เป็นอาทิตย์. แต่ละเดือนก็ปวดไม่น้อยกว่า4-5ครั้ง ที่สังเกตุได้ก็คือเวลาที่ได้กลิ่นบุหรี่ อยู่ในที่ร้อนอบอ้าวหรือเลยเวลาทานข้าวมาเป็นชั่วโมง ชั่วโมง ก๋วยเตี๋ยวก็เป็นนะเอาเป็นว่าถ้าหิวต้องกินไม่งั้นน้องไมเกรนจะมาเคาะหัวเอา พอเริ่มปวดหัวแล้วจากนั้นก็จะยาวไปหลายวัน หมอให้กินยาป้องกัน แต่ก็ได้ผลไม่ทั้งหมด เพราะยังมีปวดหัวเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ถี่มากอย่างแต่ก่อน หมอเคยให้ตรวจด้วยเครื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือที่เรียกกัน MRI และดูพวกเส้นเลือดในสมอง MRA ไม่พบความผิดปกติอะไรในสมอง ซึ่งก็ทำให้ฉันสบายใจว่าเป็นไมเกรนธรรมดา เนื่องจากยาที่่กินทั้งป้องกันและรักษาล้วนมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ถ้ากินเป็นระยะเวลานานๆ ฉันเลยเลือกที่จะไม่กินยาพวกนั้น และพยายามออกกำลังกาย. หลีกเลี่ยงเวลาเจอคนสูบบุหรี่ หรือเลือกที่จะอยู่ในที่ลมโชยสบายๆหรือห้องแอร์. ไมเกรนของฉันก็ไม่ค่อยแวะเวียนมาหาเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีประปราย เวลาล่วงเลยผ่านมาหลายปีอะไหล่ในร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาและการใช้งาน จากที่ฉันออกกำลังกายด้วยการไปเล่นเทนนิส ประกอบกับฉันเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว บางครั้งยกของแบกของหนักหน่อย. แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นกรรมกรเบอร์นั้นนะ เลยทำให้วันนึงรู้สึกปวดหัวไหล่ขวาอย่างแรง ฉันเลยไปพบหมอกายภาพหมอบอกฉันว่าเริ่มมีอาการของหัวไหล่ติดเลยให้ฉันทำกายภาพต่อเนื่องด้วยการอัลตราซาวนด์บ้าง. ทำ shockwaveบ้าง ดึงคออีกต่างหากเพราะเอกซเรย์กระดูกคอแล้วมีหมอนรองกระดูกคอเสื่อม หมอบอกอาจไปกดทับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อต้นแขนได้ ฉันไปทำกายภาพอยู่เกือบสี่เดือน ไปตามนัดทุกครั้ง แต่รู้สึกไม่ดีขึ้นเลย. หลังๆมีคนแนะนำแพทย์แผนไทยว่าคนไปหาเยอะนวดแล้วดีขึ้นอัมพาต ปวดหลังไหล่หายมาเยอะก็ลองไปดู จ่ายไป500บาท ทั้งนวดทั้งกระตุกข้อ นวดไปตรงไหนก็บอกกล้ามเนื้อมัดนั้นชื่อนี้มัดนี้ชื่อนั้นแล้วก็พูดตลอดเวลาที่นวด จับใจความได้ว่าหลักๆต้องนวด กด บีบเพื่อเพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับกล้ามเนื้อ นวดไปทั้งสิ้นหนึ่งชั่วโมง ออกมารู้สึกกล้ามเนื้อระบมไปหมด. เลยตั้งปณิธานว่าต่อนี้ไปถ้าไปนวดจะนวดเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น ถ้าไปเพื่อรักษาขอผ่านไม่เอาอีกแล้ว พกไหล่ที่ระบมไปทำงานเจอเพื่อนเพื่อนบอกให้ไปดูวิธีบริหารแก้ไหล่ติดด้วยการบริหารแบบมณีเวช อารมณ์อยากหายมาก. กลับมาบ้านรีบเปิดyou tubeดู ทั้งหมดมี5ท่า ทำวันละสามครั้ง อย่าเพิ่งอย่าเพิ่งคิดไปไกลท่าบริหารนี้ไม่ได้ทำให้เกิดก้อนเนื้องอกแต่อย่างไร แต่มันทำให้ไหล่ที่ระบมอยู่แล้วเจ็บปางตายขึ้นไปอีก เพราะฉันเป็นประเภทเจ็บแล้วทนถ้ามันจะทำให้อะไรอะไรดีขึ้น ทนทำอยู่สามวันมั่นใจเลยว่ามาผิดทาง เลยหยุดทุกกระบวนท่า ให้ไหล่พักแต่ก็ใช้ไหล่และแขนเท่าที่ชีวิตประจำวันพึงต้องใช้. ถ้าไม่ใช้เลยไหล่ติดแน่นอนอันนั้นจะยิ่งลำบาก. ฉันเลยบากหน้ากลับไปหาหมอกายภาพอีก หมอเลยให้ฉันทำMRI สั่งให้ทำทั้งหัวไหล่และที่่กระดูกคอ ฉันไปนัดวันตรวจพอถึงวันนัดก็ดีใจว่าจะได้รู้ชัดๆไปเลยไหล่ปวดจากอะไร ตอนแรกเข้าไปนอนอุโมงค์ก็มีเพลงบุพเพสันนิวาสให้ฟัง เคลิ้มๆฟินๆไปตามเสียงเพลง. ทำเสร็จเจ้าหน้าที่ให้รอสักครู่เพื่อให้รังสีแพทย์เช็คภาพ เวลาผ่านไปอย่างผิดสังเกตุ ซักพักเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์คุยกับรังสีแพทย์เชี่ยวชาญระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่ดูภาพหัวไหล่ของฉัน บอกว่าต้องฉีดสาร Gadolinium อีกครั้ง หลังจากคุยโทรศัพท์เจ้าหน้าที่ให้คุยกับรังสีแพทย์อีกท่านที่ดูในส่วนกระดูกคอว่าเป็นอย่างไร เขียนมาตั้งเยอะแยะเข้าเป้าซะที ใช่แล้วหมอบอกว่าส่วนบนสุดของภาพกระดูกส่วนคอที่ตรวจบังเอิญไปติดส่วนต่อมใต้สมองเข้ามาด้วย ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย หมอบอกว่าชั้นมีความผิดปกติอยู่ที่บริเวณต่อมใต้สมองต้องฉีดสารGadolinium เพื่อแยกว่าความผิดปกติที่เห็นเป็นเส้นเลือดโป่งพองของเส้นเลือดแดงใหญ่ที่มาเลี่ยงสมองส่วนหน้า(Internal carotid aneurysm)หรือว่าเป็นก้อนในต่อมใต้สมองที่ชื่อน่ารักน่าชังว่า ต่อมพิทุอิทารี่ (Pituitary gland) ตอนนั้นที่ห่วงเรื่องหัวไหล่ว่าจะโดนผ่าตัดหรือไม่นั้นหายไปจากความคิดหมดสิ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดโป่งพองของเส้นเลือดแดงใหญ่ที่มาเลี่ยงสมองส่วนหน้า(Internal carotid aneurysm)หรือว่าเป็นก้อนในต่อมใต้สมองก็ล้วนแต่ไม่น่าชื่นชมทั้งสองกรณี. เส้นเลือดโป่งพองไม่รักษาอะไรก็เสี่ยงกับการแตก แต่ถ้าเป็นก้อนเนื้องอกใต้สมองก็ไม่น่าจะดีมั้ย จริงๆก้อนเนื้องอกในร่างกายเท่าที่รู้ก็มีทั้งเนื้อดีและเนื้อร้ายเนื้อร้ายนี่ที่เรียกกันว่ามะเร็งไง. มึนงงอยู่พักใหญ่เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญตัวไปนอนบนเครื่องอีกครั้งเพื่อฉีดสารGadolinium นอนน้ำตาไหลพรากในอุโมงค์อยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นเครื่องทำงาน สงสัยเจ้าที่เจ้าทางคงเห็นว่าจิตใจไม่พร้อมเลยทำให้เครื่องไม่ทำงาน. ซักพักเจ้าหน้าที่มาบอกว่าเครื่องขัดข้องไม่สามารถเลื่อนเตียงเข้าไปอุโมงค์ได้. ต้องนัดมาทำใหม่ จะแจ้งอีกทีว่ามาให้ทำวันไหน. ฉันกลับบ้านด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก มีความรู้สึกเหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ในตัว ตั้งสตินึกได้ว่าเคยตรวจMRI มาตั้งแต่ปี2544สมัยนั้นจะบันทึกภาพไว้ในฟิล์มไม่เหมือนปัจจุบันที่เอาภาพลงแผ่นซีดี และในระบบของโรงพยาบาลได้ ฉันเลยไปรื้อดูถ้าเผื่อยังอยู่ ก็กะว่าจะพกไปให้รังสีแพทย์เพื่อเปรียบเทียบตอนนัดไปฉีดGadolinium หนึ่งอาทิตย์ถัดมาเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มานัดให้ไปตรวจฉันไปตามนัดและเอาแผ่นฟิล์มผลMRIไปด้วย. หลังตรวจเสร็จ เรื่องไหล่ก็พบความผิดปกติที่เป็นสาเหตุให้ปวดไหล่เพราะกล้ามเนื้อหลากหลายรอบหัวไหล่อักเสบอยู่หลายมัดแต่ช่างมันเถอะ ที่ฉันกังวลก็ระเบิดเวลาในหัวต่างหาก. รังสีแพทย์เดินยิ้มกริ่มมาบอกว่าไม่ใช่เส้นเลือดโป่งพอง แต่เป็นก้อนเนื้องอก พิทุอิทารี่ ไมโครอดีโนมา และที่สำคัญเมื่อปี2544มี1ภาพที่เป็นscout film เป็นภาพด้านข้างของส่วนศรีษะและคอที่ใช้เป็นแผนผังแสดงระดับของภาพตรวจ มีส่วนของต่อมใต้สมองติดมาและมีความผิดปกติตั้งแต่ปี2544แล้ว ส่วนปัจจุบันขนาดก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รังสีแพทย์ถามฉันว่ามีอาการอะไรผิดปกติมั้ย. ก็ไม่มีนะนอกจากปวดหัวนี่แหละที่มาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอแม้ว่าจะไม่ถี่อย่างแต่ก่อน. หลังจากนั้นฉันไปพบอายุรแพทย์ทางระบบประสาท หมอบอกฉันว่าถ้าไม่มีความผิดปกติอื่นใดไม่ต้องทำอะไรเพราะก้อนไม่เกิน1เซ็นติเมตร ในหัวฉันมีก้อนขนาด7มิลลิเมตรเท่านั้น ก็ให้ติดตามเป็นระยะ1-2ปี เชื่อมั้ยตั้งแต่หมอบอกว่าขนาดไม่ต่างจากเมื่อปี2544 ฉันรู้สึกว่าจะกังวลไปทำไมนี่โชคดีมากนะที่ตรวจไม่เจอตั้งแต่ปี2544 มิฉะนั้นฉันจะต้องทุกข์ใจกับก้อนในหัวฟรีๆตั้งเกือบ20ปี และอีกอย่างถึงแม้ว่าจะรู้ตอนนี้ก็ไม่น่ากังวลอะไรอีก เพราะก้อนเมื่อ20ปีที่แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นก้อนขนาดเท่าเดิมอีก20ปีข้างหน้าฉันก็ควรคิดเหมือนว่าฉันไม่รู้ว่ามีก้อนในหัวดีกว่ามั้ย หมอบอกถ้าก้อนโตเกิน1เซ็นติเมตร อาจโตไปเบียดต่อมพิทุอิทารี่ส่วนหน้า. ไอ้ตอนนั้นต้องผ่า การผ่าก็สามารถเข้าจากโพรงไซนัสเพราะใกล้ก้อนมากกว่า ไม่ใช่เข้าจากศรีษะข้างบนเพราะมันคงไชผ่านสมองอีกหลายส่วนกว่าจะเจอเจ้าก้อน การอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด เวลาที่ล่วงเลยมาเป็นคติเตือนใจได้อย่างดี ทุกข์ในสิ่งที่ไม่ได้ให้คุณให้โทษก็มีตัวอย่างให้เห็นใน20ปีที่ผ่านมาแล้วจะทุกข์ไปทำไม นับว่าเป็นโชคดีที่มีก้อนแต่ไม่พบก้อนเมื่อปี2544 ฉันเลยตั้งใจกลับมาสนใจหัวไหล่ไปพบหมอศัลยกรรมกระดูก ทานยาฝึกกายบริหารเฉพาะตามที่หมอบอก อาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ...... |
jungbb
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Link |