ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 

มาคนเดียวเที่ยวญี่ปุ่น (ภาคต่อ)


ผมตื่นนอนหกโมงเช้าเลทๆ อาบน้ำสระผม ทำธุระต่างๆเสร็จ ก็ รีบแต่งตัว เจ็ดโมงหม่ำอาหารเช้า มีไข่ดาว( ทอดงัยไม่รู้ ไม่ต้องใส่น้ำมัน ) ใส้กรอกทอด แซลมอนย่างเกลือ สลัดผักนานาชนิดทั้งหวานทั้งกรอบ โยเกิร์ตโรยผงเขียวๆ และแอ้ปเปิ้ลกับพลับที่เพิ่งเก็บมาสดๆจากต้นอยู่หลังบ้านปอกมาพูนจาน มาซามิซังบอกให้ผมทานเยอะๆ เพราะวันนี้ต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก เวลาที่คนญี่ปุ่นบอกเดินนิดเดียวก็ คือ เยอะสำหรับคนไทย และถ้าพูดว่า เดินมากสักหน่อย แปลเป็นไทยได้ว่าเดินมากเว่อร์แน่ๆเลยครับ พอสิบโมงตรงสามเราก็ออกเดินทาง ยาสุยูกิซังขับรถนุ่มนวลมาก เส้นทางที่ไปดูแปลกตา ค่อนข้างห่างตัวเมืองเกียวโตไปทางตะวันตก หลังจากจอดรถแล้ว ก็เข้าไปซื้อตั๋วที่เค้าเต้อร์ของท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานโทเกซึเคียว(Togetsukyo hashi ) นักราวๆ 200 - 300 เมตร ตั๋วราคา 4,100 เยน ต่อคน( แอบนึกในใจว่า ราคาสูงจัง ตั้งพันสองร้อยกว่าบาท ) เพื่อที่จะไปลงเรือล่องแม่น้ำโฮซูกาวะ (Hozugawa River Boat Tour ) ซึ่งคนญี่ปุ่นนิยมมาเที่ยวกันมากๆเลยโดยเฉพาะช่วงเวลาที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีอย่างเดือนนี้ครับ


ลูกทัวร์/ผู้โดยสารทุกคนเข้าคิวลงเรือท้องแบนลำใหญ่ที่เทียบท่ารอในแม่น้ำโฮซูกาวะหรือ อีกชื่อหนึ่ง คือ แม่น้ำโออิ มีคนพาย/แจวอยู่ท้ายเรือหนึ่งคนและอีกคนประจำที่หัวเรือถือลำไม้ไผ่คอยคัดหัวเรือพร้อมทั้งเป็นมัคคุเทศน์( Guide : ญี่ปุ่นออกเสียงว่า “ ไก๊โด่ะ )บรรยายไปด้วย ซึ่งทั้งสองคนจะต้องแข็งแรงและชำนาญการพายเรือล่องแก่งที่แม่น้ำสายนี้มากๆเพราะใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง ( ระยะทาง 16 กิโล ) โดยสลับกันพายน่ะครับ


เนื่องจากเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านหุบเขาและแมกไม้  ลูกทัวร์เป็นญี่ปุ่นทั้งลำราวๆ 16 คนยกเว้นผมที่เป็นต่างชาติ( Kaijin ) ต่างก็ใช้เวลาตักตวงความสุขจากธรมชาติในขณะที่เรือล่องผ่านเกาะแก่งต่างๆ มีทั้งขนาดใหญ่มหึมาและก้อนเล็กๆเด่นเป็นสง่าตามลำน้ำ ระดับน้ำตื้นบ้าง ลึกบ้าง ช่วงที่น้ำนิ่ง ก็ จะเห็นนกเป็ดน้ำว่ายดำเล่นเป็นฝูง นกขนาดใหญ่ยืนสงบนิ่งเหมือนคอยเหยื่อที่จะว่ายผ่านมา  ผมได้สัมผัสกับสายลม เห็นใบไม้หลากสีต้นนี้ใบสีแดง ต้นนั้นสีทอง ต้นโน้นสีเหลือง พอเรือห่างมาไกลๆ ก็จะเห็นเป็นภูเขาหลากสี  นึกถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมมีโอกาสไปนั่งเรือชมทิวทัศน์ที่อ่าวโตเกียว ได้เห็นตึกรามบ้านช่องมากมาย รู้สึกตื่นเต้น แต่ไม่เพลิดเพลินเจริญใจดุจดังธรรมชาติบำบัดแบบนี้เลยละครับ


ผู้บรรยาย (ตะโกนพูดไป ก็ ถ่อเรือไปด้วย) บอกว่าสมัยก่อนน่ะ แม่น้ำโฮซูกาวะมีความสำคัญในการคมนาคมระหว่างเกียวโต-โอซาก้าเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางของผู้คน หรือการขนส่งสินค้าต่างๆ


 ถือเป็นเส้นทางหลักเลยทีเดียว แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน ระบบขนส่งของญี่ปุ่นพัฒนามากๆ สะดวกทั้งทางรถไฟและรถยนต์ แม่น้ำสายนี้จึงได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางน้ำซึ่งญี่ปุ่นได้มีการบริหารและจัดการอย่างเป็นระบบให้แหล่งท่องเที่ยวแต่ละจุดสามารถเชื่อมต่อกันเกิดประโยชน์ทั้งธุรกิจการท่องเที่ยว  นักท่องเที่ยว และการค้าขาย เกิดการสร้างงานให้คนในแต่ละชุมชนโดยมีผู้คนมาล่องเรือปีละประมาณสองแสนคน  และสำคัญสุดๆ คือ มีความปลอดภัยในชีวิตสูงมากๆ ไม่มีโจรผู้ร้ายให้เห็นเลย ผมเองก็แอบฝันกลางฤดูใบไม้เปลี่ยนสีว่า อยากเห็นบ้านเมืองของเราเป็นแบบนี้บ้างจังเลยละครับ


เกือบสองชั่วโมงที่ได้เต็มอิ่มกับธรรมชาติ เค้าก็ส่งเราขึ้นฝั่งที่ท่าเรือของเมืองอาราชิยามะ( Arashiyama )เป็นการสิ้นสุดการล่องเรือ ส่วนลูกเรือทั้งสองก็ แจวเรือเปล่ากลับไปสิบหกกิโล เพื่อเริ่มต้นใหม่ที่คาเมโอกะ รับลูกทัวร์ชุดต่อไปและอดีตผู้โดยสารทั้งหลาย ตอนนี้ ก็เหมือนว่า ได้รับการส่งต่อให้มาเยือนอาราชิยามะ ผู้คนและนักท่องเที่ยวในวันนี้ ก็ แทบจะมีแต่ญี่ปุ่นอีกน่ะแหละเดินกันขวักไขว่บนถนนซากะ( นี่ขนาดวันราชการนะครับ )ร้านขายของและร้านอาหารคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน ได้กลิ่นอาหารห๊อม หอม เที่ยงกว่าแล้วด้วย หิวอ่ะ ยาสุยูกิซังพาเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นอาคารไม้ดูโบราณมากๆ อาหารกลางวันเป็นซุบเต้าหู้ขาวใส่ภาชนะแบบสมัยก่อน เหมือนหม้อกับกาน้ำ คนละหนึ่งชุดหม่ำกับข้าวเปล่า 


ซุปอร่อยดี แต่ให้มาเยอะมากมาย ญี่ปุ่นแต่ละคนทานจนหมด ผมเอง ก็ต้องรีบจ้ำหม่ำตามเค้าให้ทัน กว่าจะหมด เล่นเอาเหนื่อยเลยครับ ถึงตอนลุกออกไปจ่ายเงินลูกค้าจะพูดกับคนเก็บตัง “โกจิโซซามาเดชิตะ Gochisosamadeshita “ เหมือนกับบอกว่าอิ่มแล้วนะคะ/ครับ เค้าก็จะโค้งให้ แล้วตอบขอบคุณ “อาริกาโตะโกไซมาชิตะ “ ออกมาเดินย่อยอาหารตรวจตลาด ร้านขายของที่ระลึกมากมายสนนราคาสูงเสียจนไม่กล้าหยิบเลย แต่ความสวย น่ารักน่ะเต็มร้อยละครับ เดินไปได้สักพัก ก็ ถึงทางเข้าวัดเทนริวจิ(Tenryuji ) หรือวัดมังกรสวรรค์ เหตุที่ชื่อนี้เพราะน้องของโชกุนที่สั่งให้สร้างวัด ได้ฝันเห็นมังกรทองบินผ่านแม่น้ำโออิ(โฮซูกาวะ ) พวกเราเดินอีกไกลลิบจะถึงที่ซื้อตั๋วเข้าชมวัด แต่ดีที่ต้นไม้สองข้างทางกำลังเปลี่ยนสีสวยงาม ช่วยลดความเหนื่อย( ผมคนเดียวนะเพราะคุณยาสูบกับคุณมาซามิน่ะเดินลิ่วๆเลย )ได้เยอะ


ยาสุยูกิซังไปซื้อตั๋วที่จะเข้าชมวัดคนละห้าร้อยเยน ซึ่งอาณาบริเวณวัดกว้างใหญ่ไพศาลมาก และถ้าจะเข้าชมในอาคาร/วิหารต้องซื้อตั๋วที่หน้าอาคารอีกร้อยเยน ขอบอกตรงๆว่า ผมมาญี่ปุ่น ก็ หลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาล่องเรือในแม่น้ำโฮซูกาวะและเข้าชมวัดเทนริวจิ ก่อนเข้าไปในอาคารทุกคนจะต้องถอดรองเท้า เค้าจัดที่วางรองเท้าไว้ให้อย่างเป็นระเบียบ จะถูกจะแพง ก็ ไม่ต้องกลัวหายเลยครับ ไม่เหมือนเพื่อนผมที่เมืองไทย วันพระใหญ่ ก็ ขึ้นบรรไดโบสถ์ ถอดรองเท้าไว้แล้วเดินวน ซะห้ารอบ( ปกติเค้าเดินกันสามรอบ อีกสองรอบน่ะหารองเท้า ) เนื่องจากวัดนี้เป็นนิกายเซน ดังนั้น การจัดสวนและบริเวณต่างๆจึงเป็นแบบเซน ผมเองลองนั่งเพ่งกรวดหินข้างหน้าอยู่เป็นนานก็ ได้แค่เข้าถึงใบไม้เปลี่ยนสีตามแนวเขาอาราชิยามะ และปลาคาร์พสวยๆที่แหวกว่ายไปมาในสระ ตลอดจน เหล่าบรรดาสาวๆญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนที่ดูงดงามเดินมาเป็นกลุ่มๆ


เห็นว่าที่กรุงเทพฯ ก็ กำลังรณรงค์ให้ผู้คนใส่ชุดไทย/ผ้าไทยไปเที่ยว/ช้อปปิ้งกันแล้วนะครับ) เค้าบอกว่า ผู้คนจะมาเที่ยวที่เมืองนี้กันมากที่สุดตอนช่วงซากุระบานปลายมีนาหรือต้นเมษา และก็ตอนช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเดือนพฤศจิ นี้แระครับ

พวกเราพากันเดินผ่านบริเวณสวนของวัดมังกรสวรรค์เรื่อยไปจนถึงป่าไผ่( Bamboo Forest ) หรือ สวนไผ่ ( Bamboo Garden )หรือสวนไผ่ซากาโน่( Sagano Bamboo Grove ) 


ต้นไผ่เขียวเนี่ยะก็เหมือนสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น ถ้าคุณผ่านไปตามนอกเมืองของญี่ปุ่น จะเห็นต้นสนใหญ่ๆเต็มภูเขาเลยและก็มีต้นไผ่เขียวแน่นขนัด แต่ว่าไผ่ที่ตรงนี้ปลูกเรียงรายสองข้างทางเดิน แล้วปลายยอดจะโค้งเข้าหากัน เหมือนเราเดินลอดถ้ำหรืออุโมงค์ไม้ไผ่เป็นเส้นทางตรงบ้าง โค้งบ้าง ยาวประมาณห้าร้อยเมตรทุกคนที่มาต่างก็หาจุดที่เหมาะสมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตามใจชอบ ผมนึกในใจว่าคนญี่ปุ่นนี่นะ แค่แนวไผ่ เค้าก็สามารถทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้อย่างดี จากนั้น คุณยาสูบ ก็ ยังพาเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนถึงยอดเขาที่มองเห็นเมืองเกียวโตอยู่ไกลๆ เราแวะพักดื่มชาเขียวกับขนมหวาน ดับกระหายคลายเหนื่อยที่ร้านบนเขา แล้ว ก็เดินลงเขาไปอีกทางหนึ่งจนถึงสถานีรถไฟซากะโทร้อคโค่( Saga Torokko Station ) เพื่อจะไปขึ้นรถไฟสายซากาโน่โรแมนติก(Sagano Romantic Train ) กลับไปยังสถานีคาเมโอะ(Kameo Torokko Station )

รถไฟสายซากาโน่โรแมนติก(Sagano Romantic Train )ก็เป็นอีกที่หนึ่งซึ่งได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นมากๆ มาถึงแล้วต้องนั่งให้ได้เลยครับ การเข้าคิวซื้อตั๋วในแต่ละเที่ยวคิวยาวตลอดเวลา รถไฟใช้หัวรถจักรแบบโบราณและที่นั่งไม้สุดคลาสสิคโดยรถไฟจะพาผู้โดยสารไปตามไหล่เขา ลัดเลาะผ่านทั้งหุบเขาและลำน้ำโฮซูกาวะ ผู้โดยสารจะสามารถชมวิวทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถไฟได้ตามใจชอบครับ


เค้าบอกว่า ในฤดูร้อน( Natsu นะสึ ) จะได้เห็นความเขียวขจีของป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ พอฤดูใบไม้ล่วง( Aki อากิ) ต้นไม้จะพร้อมใจกันเปลี่ยนสีใบจากเขียวเป็นแดง ส้ม และเหลืองอร่ามงามตา ถึงช่วงฤดูหนาว( Fuyu ฟูยุ ) ตลอดหุบเขาจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด และฤดูใบไม้ผลิ( Haru ฮารุ) ก็จะได้เห็นดอกซากุระ( Sakura : Cherry Blossom )สีชมภู หวานแหว๋วเบ่งบานสะพรั่ง อ้อ ลืมบอกค่าตั๋วในแต่ละเที่ยว ผู้ใหญ่ 620เยน และเด็ก 310 เยน ผมเองก็ได้มานั่งชมวิวดูใบไม้เปลี่ยนสีสรรสดสวยเพลินตาเพลินใจในเดือนพฤศจิกายนพอดีเลยครับ และบางช่วง ทางสถานี ก็ จะส่งตัวตลกขึ้นมาเล่น พูดคุยจี้เส้นผู้โดยสารในแต่ละโบกี้ เป็นการเพิ่มอรรถรสอีกด้วยครับ พอสุดสายปลายทาง ซาสุยูกิซังและมาซามิซัง ก็ พาผมเดิน( อีกแล้ว) เป็นกิโล จนถึงที่จอดรถและขับกลับบ้าน เค้าบอกว่า วันนี้ เราเดินคนละสี่พันก้าวแน่ะครับ

กลับถึงบ้านนั่งจิบเบียร์อาซาฮี พอสดชื่น แล้วผมก็หลับซะตื่นนึงด้วยความอ่อนเพลียพอพลบค่ำ คุณยาสุยูกิ ก็ มาบอกว่าเดี๋ยวอีกยี่สิบนาที เราจะออกไปทานอาหารค่ำนอกบ้านกัน พอได้เวลา ก็ พากันเดินลัดเลาะไปสักพัก อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับที่เค้าไม่ขับรถมาเอง แต่เป็นเพราะว่าเราทั้งสามคนจะดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ด้วยซึ่งตามกฏหมายญีปุ่น ถ้าดื่มแล้วขับรถจะมีโทษสูงมากๆ และโดยปกติถ้าจะขับรถมา ก็ต้องมีคนนึงงดดื่ม เพื่อจะได้เป็นขับรถกลับ จำได้ตอนปี 2544 ผมไปร่วมโครงการแรกเปลี่ยนที่เมืองฮิเมจิ(Himeiji ) เมืองที่มีปราสาทฮิเมจิ( Himeiji jo )เป็นมรดกโลกน่ะครับ ระยะสองสัปดาห์ โดยพักกับ ลุงทานิกูจิ(Taniguchi ) ผอ.รร. ฮิเมจิ แต่บ้านเค้าอยู่ที่ทัสซึโนะ( Tassuno )ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ พอเลิกงาน ลุงทานิกูจิ ก็ ขับรถพาผมไปดื่มกินในเมืองฮิเมจิจนดึกตัวลุงเองก็ดื่มเต็มที่ ตอนขากลับผมก็งงๆว่า ลุงเค้าจะกล้าขับรถเหรอ ปรากฎว่า ที่เมืองฮิเมจิ เค้ามีบริการพิเศษรับจ้างขับรถของคนดื่มเหล้าไปส่งที่บ้านจอดรถให้อย่างเรียบร้อยโดยจะมีอีกคนขับรถคันเล็กๆตามมาด้วยเพื่อรับคนรับจ้างกลับไปที่ฮิเมจิ ก็ เลยถึงบางอ้อ ว่า ทำไมลุงแกถึงได้ดื่มเอาๆทั้งเบียร์และเหล้าสาเก เพราะมีคนไปส่งนี่เอง ตอนนี้ เห็นว่าเมืองไทย ก็ เริ่มๆมีบริการแบบนี้บ้างแล้ว


ยาสุยูกิซังพาผมขึ้นรถไฟที่สถานีซูสุรันดาย (Suzurandai station) นั่งไปได้สอง-สามสถานี ก็ ลงที่สถานีโมโตมาจิ (Motomachi) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไชน่าทาว (China town) และห้างไดมารุ (Daimaru departmentstore) หากนั่งต่อไป จะถึงสถานีใหญ่ซันโนมิยะ(Sannomiya ) ที่ผมค่อนข้างรู้จักมักคุ้นดีเพราะแอบมาเดินแถวนี้บ่อยๆและบางทีมีหลงทางในตอนกลางคืนหลายหนเหมือนกัน สำหรับห้างไดมารุเนี่ยะ ที่กรุงเทพฯ ก็ เคยมีตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นฯ เวิร์ล ในปัจจุบัน นับเป็นห้างแรกในเมืองไทยที่มีบรรไดเลื่อน และเราสามารถซื้อสิ้นค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่ห้างนี้เป็นแห่งแรกด้วยมั้งครับ เดินต่อไปอีกพักนึง ก็เจอร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่คุณยาสูบจองไว้


 เจ้าของร้านออกมาต้อนรับ “ อิรัชชามาเซ (Irasshamase’) ยินดีต้อนรับครับ “ปรากฎว่าเค้าเป็นทั้งเจ้าของ เชฟ คนเสริพและคนเก็บตัง"





เมนูอาหารค่ำนี้ แต่ละจานที่ทยอยมาจะเป็นอาหารทะเล จึงเสริพด้วยไวน์ขาว( White Wine) ก็อร่อยทุกจานละครับ แต่ที่ดูเลอเลิศสุดๆในชีวิตของผม ก็ คือ กุ้งมังกร( Lobster )ตัวเป้ง ราคาแพ้งแพงอยู่ในจานที่ผมบรรจงใช้มีดหั่น เอาซ่อมจิ้มใส่ปาก และค่อยๆเคี้ยวจนละเอียดก่อนจะกลืนลงท้อง เฮ้อ รสชาติช่างละเมียดละไมละมุนลิ้นจริงๆเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกเหมือนกันที่ได้ลิ้มรสกุ้งมังกรทั้งตัว และกว่าจะหม่ำครบคอร์ส( มันหลายจานครับ ) ก็เล่นเอาผมต้องนั่งตัวตรงเพราะความอิ่ม ยังงัยๆ อาหารมื้อนี้เป็นที่ประทับใจสำหรับผมมากมายเลยละครับ ขากลับ คุณยาสูบเรียกแท็กซี่พอเราเข้าไปนั่งเสร็จ ประตูรถที่เปิดเฉพาะข้างซ้าย ก็ ปิดเองด้วยระบบไฟฟ้าจากทางคนขับ มิเตอร เริ่มต้นที่ 650 เยน( ราวๆ 200 บาท )กว่าจะถึงบ้าน ก็ 1,500 เยน ( 450 บาท ) วันนี้ เที่ยวสนุกมาก และอาหารแสนอร่อยแต่ ก็ เหนื่อยมากๆด้วย นอนหลับ ฝันดีนะครับ

เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วจัง ผมตื่นราวเจ็ดโมง ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ออกจากห้องนอนมาทานข้าวเช้ากับยาสุยูกิซังและมาซามิซังเงียบๆ จัดการกับอาหารเสร็จ คุณมาซามิ ก็ ชงชาเขียวและกาแฟมาให้อย่างละแก้ว ที่จริงพวกเค้ามีลูกสามคน ลูกชายคนโตเป็นตำรวจอยู่ที่เมืองนาริตะ จังหวัดชิบะ คนที่สองเป็นลูกสาวมีแฟนเป็นหนุ่มแคนนาเดียนและไปปักหลักอยู่ที่แคนาดา ส่วนลูกชายคนสุดท้องยังอยู่มหาลัยปีที่สี่บางวันถึงจะกลับมานอนบ้านบ้าง เลยดูเหมือนอยู่กันแค่สองคนตายาย ตอนกลางวันคุณยาสูบพาผมไปที่สวนหลังบ้าน  เขตซูสุรันดายของเมืองโกเบค่อนข้างจะอยู่ชานเมืองนิดหน่อยเลยมีเนื้อที่ปลูกต้นได้พอสมควร ต้นพลับออกลูกดกทีเดียว รสหวานกรอบเสียด้วยเค้าบอกว่า ต้นพลับมีอายุเจ็ด-แปดปี จึงจะมีดอก ออกผล และที่สำคัญจะดกปีเว้นปีเช่น ปีนี้ให้ผลดกมากๆ พอปีหน้า ก็จะออกน้อยลง สลับกันไปทุกปี ถามเหตุผล เค้าก็บอกไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ


 และที่นี่เกือบทุกบ้าน เค้ามักจะดองเหล้าบ้วยไว้ดื่มเองด้วยเป็นโหลๆผมชิมดูแล้วออกหวานๆในกลิ่นแอลกอฮอล์ มีรสชาติใกล้เคียงกับเหล้าบ้วยดอง( Ume-shu / อูเมะชุ : Plum wine )ที่บรรจุขวดขายในแผนกเหล้าตามSupermarket เลยละครับ พอบ่ายแก่ๆ ประมาณอายุผู้เขียน ก็ได้เวลาที่จะต้องจากกันแระ มาซามิซังมายืนส่งผมที่หน้าบ้าน ผมกล่าวขอบคุณที่ดูแลผมมากมายหลายอย่าง “ Iro Iro Osewa Ni Narimashita Domo Arigatou Gozaimashita : อิโร อิโร โอเซวะ นิ นาริมาชิตะโดโมะ อริกาโตะ โกไซมาชิตะ “ เธอตอบมาว่า “ Mata Kite’ Kudazai : มาตะ คิเตะ คุดาไซ /แล้วมาอีกนะคะ “ พร้อมกับโค้งและโบกให้จนลับตาเลยครับ




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2558
2 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2558 9:53:42 น.
Counter : 2201 Pageviews.

 

ญี่ปุ่นใบไม้เปลี่ยนสีอยากไปค่ะ

 

โดย: mariabamboo 10 กรกฎาคม 2558 12:25:42 น.  

 


ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น เป็นความงดงามตามธรรมชาติ ถ้าได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะลืมไม่ลงจริงๆครับ

 

โดย: jack happy (Jack Happy ) 10 กรกฎาคม 2558 18:29:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.