Europe trip * : Zugspitze เมื่อเราได้พบกันโดยบังเอิญ


หลังจากที่เราเที่ยวเมืองมิวนิคกันไปแล้ว ถึงเวลาออกนอกเมืองไปเที่ยวแบบ One day trip 
เช้านี้ฝนตกพรำๆ แต่เช้า ตั้งแต่เหยียบเยอรมันมา เราโชคดีมากที่ฟ้าสดใสทุกวัน
วันนี้เราก็หวังว่าฟ้าจะเป็นใจให้เราอีกสักวัน 

จริง ๆ วันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยวปราสาท Linderhof ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Oberammergau 
แต่หลังจากที่เราขึ้นรถไฟเพื่อจะไปลงที่เมือง Oberammergau ตามแผนของเรา  
บอกก่อนว่า ขบวนนี้จะไปสิ้นสุดที่เมือง Garmisch-Partenkirchen และที่นั่งที่เรานั่งนั้น
บนโต๊ะก็มีแผนที่สำหรับเส้นทางรถไฟนี้ และมีบอกสถานที่เที่ยวสำคัญๆ ของเมืองนั้นๆ 



ในขณะที่เราดูเส้นทางที่เราจะไปอยู่นั้น น้องเราก็ไปจิ้มที่สถานที่ที่นึง ละถามว่าไอ้ภูเขานี่มันคืออะไรอะ
เราก้อ้อออ มันคือ Zugspitze ภูเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน แล้วทุกคนก็ลงความเห็นว่าอยากไป
เพราะเริ่มเบื่อการเข้าปราสาทแล้ว แต่คือวันนี้เรากลัวฟ้าจะไม่เปิดเพราะฝนมันตก
ถ้าไปแบบฟ้าไม่เปิดเนี่ย เท่ากับว่ามาเสียเที่ยว เราจะมองเห็นแต่หมอก อีกอย่างคือค่าขึ้นที่แพงมาก
ตกคนละ 2000 กว่าบาท 
ใจลึกๆ เราก็อยากไปที่นี่มากเหมือนกัน แต่ด้วยแพลนที่เราวางมามันไม่สามารถยัดไปวันไหนได้
ดังนั้นเราเลยคิดจะไม่ไปปราสาทก็ได้ หากว่า เรานั่งรถไฟไปเรื่อยๆ แล้วฟ้ามันเปิด แดดออก 
เราก็จะตัดสินใจไปลงที่ Garmisch-Partenkirchen เลย แต่หากฟ้ายังขมุกขมัวอยู่เราก็จะลงที่ Oberammergau
แล้วเที่ยวปราสาทตามแผนเดิม ระยะทางจากมิวนิคไป Garmisch-Partenkirchen ประมานเกือบ 2 ชั่วโมง

แต่เหมือน ฟ้าจะอยากให้เราได้ไปเยือน Zugspitze เมื่อเรานั่งรถไฟมาได้เกือบจะถึง Oberammergau 
แดดเริ่มมา วิวสองข้างทางสวยมากๆ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจไปลง Garmisch-Partenkirchen 
Zugspitze จ๋าาาา พี่มาหาแล้ววววววว วว 
ใครแฟนละครแอบรักออนไลน์ หมากกับคิมมี่ก็มาที่นี่ด้วยนะเทอออ



Zugspitze คือยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ สูงจากระดับน้ำทะเล 2,962 เมตร อยู่ทางตอนใต้ของเยรมัน
ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน
การเดินทางจาก Munich ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 2 ชม. มาลงที่สถานี Garmisch-Partenkirchen แล้วเดินตามป้ายไปยังจุดซื้อตั๋วขึ้นเขา

ราคาตั๋วขึ้นยอดเขาวันที่เราไปนั้นราคา 52 ยูโร แต่ว่าพวกเรามา Bayern Ticket เลยได้ลด 5 ยูโร
เหลือแค่ 47 ยูโร ซึ่งราคาตั๋วรวมรถไฟ Cogwheel ไต่เขา และ Cable Car ขึ้นเขาจากจุดทะเลสาบ Eibsee



หน้าตารถไฟ Cogwheel ที่จะพาเราไปสู่ Zugspitze เราไม่ได้ถ่ายรูปมา เลยไปหาในกูเกิ้ลมาให้ดู



การขึ้นเขาสามารถขึ้นได้โดยนั่งรถไฟไต่เขาขึ้นไปเลย ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
หรือจะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Eibsee แล้วขึ้น Cable car ไป (เราเลือกใช้วิธีนี้ เพราะเร็วกว่า)
ส่วนขากลับเราเลือกนั่งรถไฟไต่เขาลงมาเลย 

นี่คือเส้นทางขึ้นเขา 



เมื่อเราซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาขึ้นรถไฟ ที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขา Zugspitze 
วันนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ บางคนก็ต้องยืนกันเลยทีเดียว
รถไฟจะแวะจอดตามสถานีต่างๆ ซึ่งเป็นจุด Trekking ก่อนมุ่งหน้าไปจุดสุดท้ายก่อนขึ้นเขา
นั่นก็คือสถานี Eibsee นั้นเอง ซึ่งเราจะลงกันที่นี่เพื่อนจะนั่ง Cable Car ไปต่อ 

บริเวณสถานี Eibsee ระหว่างเดินไปสถานี Eibsee cable car



เมื่อลงจากรถไฟ ก็เดินไปสถานี Cable Car ที่อยู่ข้างล่าง 
การนั่ง Cable Car ขึ้นเขา มันจะไปจอดที่สถานี Zugspitze ระดับ 2962 ซึ่งเป็นสถานีตรวจอากาศ
และเป็นจุดที่สูงที่สุดของยอดเขานี้
มีทริคนิดนึงคือเมื่อขึ้น Cable Car ให้ชิดกับข้างหลังเลย เพราะตรงนี้เราจะเห็นวิวที่สวยมาก

ตรงสถานี cable car มองเห็นยอดเขา Zugspitze ด้วย


บรรยากาศใน cable car คนเยอะมาก ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน 



เมื่อขึ้น Cable car มา วิวระหว่างทางสวยมาก จากเขียวๆ ของต้นไม้ สักพักจะเปลี่ยนเป็นขาวๆ ของหิมะ
และมองเห็นทะเลสาบ Eibsee  ด้วย



เมื่อมาถึงบนสถานี เราก็เดินสำรวจบริเวณสถานี ระวังลื่นหน่อย เพราะบนพื้นจะแฉะมาก วันนี้ฟ้าใส
เราได้เห็นวิวที่สวยมากๆ ภาพที่ได้ไม่ได้แต่งสีอย่างใด คือมันคุ้มมากที่ตัดสินใจขึ้นมา
ตอนแรกเราก็คิดนะว่าหิมะจะเยอะไหม จะสวยไหม เพราะช่วงที่เราไปเดือนตุลามันยังไม่ค่อยหนาวมาก
แต่พอมาเห็นจริงๆ แล้วคือ แบบนี้แหระที่ต้องการเจอ ปลื้มมมมม 



เทือกเขาสลับซับซ้อน หิมะตัดท้องฟ้าสีฟ้าสด เมฆลอยลอยหนาทึบ สวรรค์ใช่ปะ ?? 







จุดที่ปักเสาสีเหลืองๆ นั่นตรงนั้นคือจุดที่สูงที่สุด รู้สึกว่าสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่เราไม่รู้ว่าไปยังไง



หลังจากชมบรรยากาศจากสถานีนี้จนอิ่มแล้ว ต่อไปเราต้องนั่ง Cable Car สถานี GletscherBahn อีก 1 ต่อ เพื่อลงไปยังลานสกี
ซึ่งจุดนั้น จะมีร้านอาหาร และมีโบสถ์เล็กๆ เราสามารถออกไปเดินเล่นกับหิมะได้ อีกอย่างจุดนี้คือจุดจอดรถไฟ Cogwheel ที่เราจะนั่งกลับจากเขานั่นเอง 




เมื่อออกมาเหยีบลานหิมะ ก้าวแรกคือ เกือบลื่น และมีฝรั่งลื่นต่อหน้าพวกเราไปแล้ว 1 คน
บอกเลยว่ามาที่นี่รองเท้าต้องพร้อมนะ เราใส่ผ้าใบไป เดินเท้าจิกจนเกร็ง
สุดท้ายก็ลื่นจนได้ และมีหลายๆคนที่ลื่นด้วย เราจึงไม่อาย 5555
เห็นหิมะขาวๆ แบบนี้ บอกเลยไม่นุ่มนะคะ มันแข็ง เหมือนเราเดินบนลานน้ำแข็งยังไงยังงั้น
ลื่นแล้วแบบเจ็บตูดมาก เนื่องจากมันเป็นหิมะที่ตกนานแล้ว และก็ทับถมกันจนแข็ง

ภาพมุมสูงถ่ายจากโบสถ์น้อยๆ 



มาแบบเหนือเมฆกันเลยทีเดียว 



เค้าบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เห็นขาวๆ แบบนี้ คิดว่าต้องหนาวแน่ๆ เลยใช่มะ
ขอบอกเลยว่า ร้อนตับจะแตก ต้องถอดโค้ชกันเลยทีเดียว เพราะว่ามันอยู่ใกล้พระอาทิตย์มาก
แล้ววันนั้นแดดแรงมากๆ ลมไม่มีสักแอะ ร้อนมากจริงๆ 





โบสถ์ Maria Himmelfahrt ที่สูงที่สุดในเยอรมัน 





สมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทริปนี้ ในที่สุดเราก้มาถึงจุดที่สูงที่สุดด้วยกัน ^^



ก่อนที่เราจะเอาก้นลงไปสัมผัสความเย็นสดชื่นของหิมะ 5555 โดยมีอาม่ายืนหัวเราะเราอยู่ข้างหลัง



หลังจากที่เราดื่มด่ำความสวยงามของวิวยอดเขาแห่งนี้แล้วก็ได้เวลาลงกันแล้ว 
วันนี้เราแฮปปี้กันมาก ตั๋วราคา 2000 กว่าบาท สำหรับเราไม่เสียดายเงินเลย เพราะที่ได้มาเห็นและสัมผัส
ไม่รู้ว่าอีกกี่ปี หรืออาจจะทั้งชีวิตนี้จะได้มาอีกไหม คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม 

ขากลับเรานั่งรถไฟไต่เขาลงมาที่สถานี Eibsee อีกครั้ง เพราะเรายังไม่ได้แวะเที่ยวทะเลสาบเลย

วิวระหว่างนั่งรถไฟลงมา อยากจะบอกว่าช่างยาวนานประมาน 40 นาทีได้ หลับเลยเรา






พอมาถึงสถานี Eibsee เราก็เดินลงไปยังทะเลสาบแต่น่าเสียดายที่เงาของภูเขาบังทะเลสาบหมด
เลยไม่เห็นความใสของทะเลสาบเลย ควรจะแวะมาเที่ยวตอนเช้าๆ ก่อนขึ้นเขาจะดีกว่า



หลังจากแวะทะเลสาบก็ได้เวลาไปรอรถไฟเพื่อไปสถานี Garmisch-Partenkirchen เพื่อจะกลับ Munich
ตรงสถานีรถไฟ Eibsee มองเห็นยอดเขา Zugspitze ด้วย ตอนนั้นแดดส่องยอดเขาเต็มๆ สวยงามมาก
นั่งท่องเที่ยวที่รอรถไฟก็ต่างหยิบกล้องมาถ่ายความงามยอดเขาที่ส่องประกายอยู่ตรงหน้า







ภาพนี่ระหว่างทางที่นั่งรถไฟ Cogwheel ไปสถานี Garmisch-Partenkirchen 
ข้างทางก็จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ารัก กับทุ่งหญ้าเขียวขจี ข้างหลังเป็น Zugspitze คนที่นี่เค้าทำบุญด้วยอะไรกันนะ
บอกเลยมาเที่ยวช่วงนี้ เราได้ทุกฤดูจริงๆ 



และแล้วเราก็ได้เวลากลับ Munich กันแล้วว วว บอกลากันด้วยภาพจากสถานีรถไฟ Garmisch-Partenkirchen 
และขบวนรถไฟที่จะพาเรากลับ Munich 1 วันที่ได้ขึ้นเขา Zugspitze ด้วยความบังเอิญนี้ เติมพลังความสุขให้เราจนล้นจริงๆ
ตอนหน้า เราจะพาไปเมืองแห่งคีตกวี ตามรอยหนังดัง The Sound of Music ค่าา 






Create Date : 23 มกราคม 2559
Last Update : 23 มกราคม 2559 23:05:30 น.
Counter : 7212 Pageviews.

1 comments
  
มันสวยมาก สวยหยุดลมหายใจให้สะตั้นไปสัก 5 วิ โอมายกอช
โดย: mariabamboo วันที่: 24 มกราคม 2559 เวลา:18:34:01 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ฉันจะเที่ยวให้รอบโลก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]