เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม:มุมมองสดใสสำหรับคนสิ้นหวัง มาแล้วจ้า...หายไปนานเพราะช่วงนี้ชีวิตวื่อวึน มีคนถามว่าอาการเป็นยังไงไอ้วื่อวึนเนี่ย เจ้าจันทร์ไม่ได้จงใจทำให้ภาษาวิบัตินะคะ วื่อวึนของเจ้าจันทร์ก็คือวุ่นวายนี่เอง (อันที่จริงก็มีคนอื่นพูดเหมือนกันนะ) เจ้าจันทร์มีหนังสืออีกเล่มที่อ่านตั้งนานแล้ว และก็เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ไว้นานแล้วอีกเหมือนกัน แต่เนื่องจากเจ้าจันทร์เพิ่งจะมี Blog กับชาวบ้านเค้า เจ้าจันทร์อยากจะแนะนำให้ใครที่หลงเข้ามาพบเจ้าจันทร์ลองอ่านดูค่ะ อ้อ..คนที่อ่านแล้วก็มาบอกเล่าความรู้สึกแลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้นะคะ จะยินดีมากและขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม:มุมมองสดใสสำหรับคนสิ้นหวัง ในชีวิตของหลายคนอาจมีสักครั้งที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่หากใครได้อ่าน “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” หรือในชื่อภาษอังกฤษว่า “Colorful” เขียนโดย นักเขียนหญิงชาวญี่ปุ่นมือรางวัล โมริ เอโตะ ตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ.1998 นำมาตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ JBOOK ในเครือสำนักพิมพ์อิมเมจ เมื่อปีพ.ศ.2546 วิยะดา คะวะงุจิ แปล จะทำให้คุณมองโลกในมุมใหม่ที่สดใสกว่าเดิม เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เป็นเรื่องราวของคนๆหนึ่งที่วิญญาณล่องลอยออกจากร่างแล้วได้พบทูตสวรรค์ที่มาบอกข่าวว่าเขาได้รับรางวัลจากสวรรค์ให้ได้กลับไปแก้ตัวที่โลกมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งตายหลังจากทำผิดมหันต์ (อันที่จริงเขาจะไม่ได้รับโอกาสให้ไปเกิดใหม่) และจะได้ไปอาศัยอยู่ในร่างใหม่ของมนุษย์คนใดคนหนึ่งในครอบครัวที่เขาไม่มีสิทธิ์เลือก และหากดวงวิญญาณนี้ระลึกถึงความผิดมหันต์ที่ก่อไว้ได้ก็ถือเป็นการสิ้นสุดการแก้ตัว วิญญาณจะออกจากร่างที่อาศัยอยู่ขึ้นไปยังสวรรค์และกลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง วิญญาณดวงนี้ได้ไปอยู่ในร่างของ โคบายาชิ มาโคโตะ เด็กชายอายุ 14 ที่เพิ่งกินยาฆ่าตัวตายและวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ทูตสวรรค์จึงให้เขาเข้าไปอยู่ในร่างนั้นแทน เมื่อเขากลายมาเป็นโคบายาชิ มาโคโตะ สิ่งที่เขาพบเจอครั้งแรกเมื่อลืมตาคือครอบครัวของมาโคโตะ ซึ่งมี พ่อ แม่ และพี่ชายอีกหนึ่งคน หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคนในครอบครัวที่มีต่อเขา ซึ่งทำให้เขาเข้าใจว่าความผิดที่เขาทำก่อนตายคงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่จึงได้มาอยู่กับครอบครัวที่แสนดีอย่างนี้ เพราะทูตสวรรค์บอกกับเขาว่าการจะได้ไปอยู่กับครอบครัวแบบไหนขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของความผิดที่เคยทำไว้ก่อนตาย แต่เมื่ออยู่ไปนานวันความจริงหลายอย่างก็เริ่มปรากฏ สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่อย่างที่เขาคิด และความจริงอาจไม่ใช่แค่การมองเห็น เขาได้รับรู้ว่ามาโคโตะได้พบเจออะไรมาบ้างจนทำให้ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่มาโคโตะอาจตายไปทั้งที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงนิยายเรื่องนี้จะตีพิมพ์ออกมานานแล้วแต่ก็ไม่สายเกินไปที่จะหามาอ่าน และสำหรับฉันเมื่อได้อ่านแล้วก็ยังหยิบขึ้นอ่านได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นิยายเรื่องนี้ทำให้เข้าใจความเป็นไปของคนรอบข้าง และมองให้ลึกกว่าที่เห็นอยู่ ไม่ด่วนตัดสินแค่เพียงพบผ่าน มองปัญหาในมุมกลับว่าในเลวมีดี และเมื่ออะไรๆไม่เป็นอย่างที่คิดคุณจะรับมือกับมันยังไง ปัญหาคือแบบฝึกหัดพิเศษของการดำเนินชีวิตที่จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ อ่านแล้วทำให้รู้สึกรื่นรมย์กับชีวิตที่หม่นเศร้า เรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตาก็ยังได้ จึงไม่แปลกใจที่นิยายเรื่องนี้จะได้รับรางวัลซังเคและขึ้นแท่นเป็นหนังสือขายดีอันดับสองในปีค.ศ.1998 ของญี่ปุ่น และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยคนไทยซึ่งอาจจะได้ชมในเร็วๆนี้ 060107   Create Date : 11 กันยายน 2550     8 comment Last Update : 11 กันยายน 2550 22:14:44 น.     Counter : 568 Pageviews.   Share Tweet

ลิตเติ้ลทรี : วรรณกรรมเยาวชนเผ่าเชโรกี เจ้าจันทร์มีหนังสือในดวงใจที่อยากจะเชิญชวนให้เพื่อนๆอ่านค่ะ นี่คือบางส่วนจากมุมมองของเจ้าจันทร์นะคะ ใครอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไร มาบอกเล่าใหกันฟังได้นะคะ ลิตเติ้ลทรี : วรรณกรรมเยาวชนเผ่าเชโรกี ลิตเติ้ลทรีหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Education of Little Tree เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เขียนโดยฟอร์เรสต์ คาร์เตอร์ ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1976 ได้รับรางวัล ABBY Award Winner เมื่อปี ค.ศ.1991 และนำมาตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทยเมื่อปี พ.ศ.2541 โดยสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง กรรณิการ์ พรมเสาร์ เป็นผู้แปล ลิตเติ้ลทรีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยในอเมริกาที่เรียกตัวเองว่าเผ่าเชโรกี ผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้าของดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แต่ถูกผู้ที่เรียกตนเองว่าผู้เจริญแล้วและมีอารยะธรรมรุกรานและยึดครอง หนังสือเล่มนี้มีมากกว่าความบันเทิง เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ผู้ใหญ่ก็ควรอ่านหรือควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ในเนื้อหามีประโยคและวลีที่สามารถเก็บกลับไปคิดและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้ ผู้แปลแปลด้วยภาษาที่อ่านง่ายแต่สละสลวยและได้อรรถรส เมื่อฉันอ่าน..ตัวอักษรที่กำลังโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษได้ปลุกจิตวิญญาณในตัวฉันให้ตื่นขึ้น เรื่องราวของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างพึ่งพิง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ ธรรมชาติได้หล่อหลอมให้ผู้ที่ใกล้ชิดมีจิตใจที่บริสุทธิ์และอ่อนโยน แม้ว่าแผ่นดินจะถูกยึดครองแต่จิตวิญญาณและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์มิได้ถูกกลืนกินไปด้วย พวกเขายังคงดำเนินชีวิตไปตามวิถีที่ดีงาม อดทนและเข้มแข็ง แม้ว่าจะถูกกดขี่ข่มเหงและเหยียบย่ำศํกดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ก็ตาม ในประวัติศาสตร์อเมริกาชนกลุ่มน้อยถูกมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อน นอกรีต ไม่มีอารยธรรม และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุก ผู้เขียนถ่ายทอดให้เห็นถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบได้อย่างน่าสะเทือนใจ แต่ก็มีแง่มุมที่สวยงามคือแง่มุมที่อบอุ่นของความรักระหว่างครอบครัว ผู้คนรอบข้าง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมไปถึงธรรมชาติ หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันเข้าใจถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง การรู้จักให้เกียรติ ความไว้เนื้อเชื่อใจ แม้แต่กับมนุษย์ที่เด็กกว่าซึ่งจะเห็นได้ในตอน ”รูปเงาบนกำแพง” ลิตเติ้ล ทรีพูดถึงการที่ปู่ไว้ใจให้เขาถือตะเกียงน้ำมัน และปู่ก็ไว้ใจให้เขาทำอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งความไว้ใจนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจของลิตเติ้ลทรีเป็นอย่างมาก เพราะนั่นทำให้ลิตเติ้ลทรีเติบโตมาด้วยความมั่นใจไม่ว่าจะทำสิ่งใด แม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูก็ตาม หรือแม้แต่กับสัตว์พวกเขาก็ให้ความไว้ใจและให้เกียรติเปรียบเสมือนเป็นคนในครอบครัว ผู้เขียนสื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ สำนึกถึงบุญคุณของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เมื่อฉันอ่านจบ “ลิตเติ้ลทรี” บอกกับฉันว่าอย่าตัดสินอะไรจากสิ่งที่เราเพียงได้เห็นหรือแค่ได้ยินมา จงทำความรู้จักกับทุกสิ่งด้วยความรักแล้วเราจะเข้าใจ ความดีงามไม่ต้องป่าวประกาศ และจิตใจที่สูงส่งดีงามไม่ได้อยู่ที่การเรียกตัวเองว่าผู้เจริญแล้วหรือเป็นผู้ที่อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย 290905   Create Date : 01 กันยายน 2550     3 comment Last Update : 1 กันยายน 2550 21:20:07 น.     Counter : 1837 Pageviews.   Share Tweet